รูปนามมันก็ประกอบด้วยขันธ์ห้านั้นแหล่ะ และขันธ์ห้าก็คือชีวิต
แต่ชีวิตจะเป็นขันธ์ห้าได้ ต้องกำหนดรู้หรือรู้
คนจึงแตกต่างจากสัตว์ในเรื่องขันธ์ห้า ทั้งๆที่มีชีวิตเหมือนกัน
สัตว์กำหนดรู้ไม่ได้ ส่วน
พืชมันไม่มีขันธ์ห้า...
แล้วทำไมต้องรู้หรือกำหนดรู้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงบอกว่า
การรู้ต้องรู้ด้วยสัมมาทิฐิ รู้สภาพตามความเป็นจริง
ดังนั้นถ้ามีใครบอกว่า ชีวิตคือขันธ์ห้ามันไม่ถูกต้องเพราะ
ขันธ์ห้าต้องกำหนดรู้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่ใช่อ่านตามตำรา
43170.ชีวิต (ชีวิตินทรีย์- อินทรีย์คือชีวิต)-http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43170&p=306880#p306880------------................
ต้นไม้ไม่ใช่สัตว์ แต่มันมีชีวิต
เหตุที่มันไม่ใช่สัตว์เพราะ รูปนามของมันไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง...หรือไม่มีขันธ์ห้า
ต้นไม้เป็น....... วิสังขาร และเป็นอสังขตธาตุ
----------.......
อ่านพระสูตรเรื่อง รูปกายกับนามกายเพิ่มเติม
อาจจะเข้าใจถึง การมีปัจจัยที่อาศัยซึ่งกันและกัน
------------.............
ไตรลักษณ์ไม่ใช่สังขตธรรม
ไตรลักษณ์เป็น อสังขตธรรม
ไตรลักษณ์ไม่ใช่สังขาร(การปรุงแต่ง) แต่ไตรลักษณ์เป็นสภาวะที่รู้เห็น
ตามความเป็นจริงของสังขาร
ดังนั้นไตรลักษณ์และสังขตธรรมจึงเป็นธรรมคนละตัวหรือคนละสภาวะ
พูดง่ายก็คือ .......ไตรลักษณ์เป็นตัวผู้รู้ สังขตธรรมเป็นตัวถูกรู้
ท่านแบ่งสังขารในลักษณะของรูปไว้คือ
อุปาทินนกสังขาร.....สังขารที่มีกรรมยึดครอง บางท่านว่าใจครอง บางท่านว่าอุปาทานขันธ์
อนุปาทินนกสังขาร....สังขารที่ไม่มีกรรมยึดครอง บางท่านว่าไม่มีใจครอง หรือไม่อุปาทานขันธ์ครอง
พระอรหันต์ที่มีอารมณ์นิพพาน ท่านอยู่ในลักษณะของ..อนุปาทินนกสังขาร รวมทั้งต้นไม้
ก้อนดิน ก้อนหิน
สมุฐานสี่ อุตุ กรรม จิตและอาหาร เขาหมายถึง......รูป
ถ้าจะพูดถึงต้นไม้ มันต้องไปดูเรื่อง........นิยาม๕
นิยาม๕มันมีอะไรบ้างก็คือ
๑.ธรรมนิยาม
๒.จิตนิยาม
๓.กรรมนิยาม
๔.อุตุนิยาม คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของปรากฏการณ์ ในธรรมชาติ
เกี่ยวกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิด หลักของอุตุนิยาม ตามแนวพระพุทธศาสนามุ่งให้ผู้ที่เข้าใจ
เกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยวัตถุ อุตุนิยาม คือลักษณะสภาวะต่างๆของธาตุทั้ง5
คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ
๕.พืชนิยาม คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปในพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์
กฎข้อนี้จึงหมายรวมในเรื่องของร่างกายและกระบวนการทำงานของสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ที่เกิดจากการถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมด้วย
กฎพืชนิยามนี้ทำให้เมื่อเรานำเมล็ดข้าวเปลือกไปเพาะ ต้นที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอ
หรือสัตว์อย่างไร ย่อมออกลูกอย่างนั้นเสมอ
ความเป็นระเบียบนี้พระพุทธศาสนาค้นพบว่าเป็นผล มาจากการควบคุมของธัมมตาทั้ง3
คือ สมตา(การปรับสมดุล) วัฏฏะ(การหมุนวนเวียน) และ ชีวิต(การมีหน้าที่ต่อกัน)
44063.มารู้จักกับขันธ์ ๕ กันดีกว่าไหม- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=44063&p=313999#p313999*****************
--------------------------....................................
ตัวอักษรที่เขียนว่า
ชีวิต เขาบัญญัติขึ้นมาใช้แทน สิ่งที่
มีอยู่จริงหรือสัจจะสิ่งที่มีอยู่จริงเดินได้ กินได้ อุจจาระได้ เขาเรียกว่า...
อุปาทินนกสังขารนั้นคือ
สังขารที่มีใจครองดังนั้นชีวิตที่เป็นตัวอักษรหรือคำพูดเขาหมาย
สมมุติแต่ถ้าชีวิตที่หมายถึงสิ่งมีชีวิตหรือเรียกอีกอย่างว่า
อุปาทินนกสังขาร มันเป็นสัจจะ
มันมีอยู่จริงไม่ใช่สมมุติ
ชีวิตก็คือมีรูปกับนามอยู่ รวมเรียกว่า อุปาทินนกสังขาร
อันนี้ได้แก่ คน สัตว์ สิ่งมีชีวิต
ส่วนมรณานั้นแสดงว่ามีแต่รูป ปราศจากนามแล้ว เรียกว่า ..อนุปาทินนกสังขาร
คนและสัตว์ที่ตายแล้วเหลือแต่ร่าง
อนุปาทินนกสังขารยังมีความหมายถึงสิ่งไม่มีชีวิตด้วยเช่น ภูเขา ก้อนหิน รถ
แต่ที่ว่ามายกเว้น พระอรหันต์ พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต แต่ท่านจัดอยู่ในอนุปาทินนกสังขารใจท่านไม่ปรุงแต่งแล้ว
----------...... ----------........ ----------........
สิ่งที่ทำให้คนเข้าใจผิดว่า ชีวิตคือขันธ์ห้า เป็นเพราะผู้ที่หลงเข้าใจผิด
กำลังหลงในสถานะของตนเอง นั้นก็คือไม่แยกแยะว่า คำพูดที่ตัวเองกำลังพูด
เป็นคำกล่าวของผู้ที่หลุดพ้นแล้ว ผู้ที่หลุดพ้นการยึดมั่นในขันธ์ห้าก็คือพระอรหัต์
กำลังกล่าวถึงอธิบายความให้เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ขันธ์ห้าเป็นอย่างไร
ถ้าเรามีสมาธิพิจารณาให้ดีแล้ว คำกล่าวคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์
ท่านไม่ได้กล่าวในขณะที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านกำลังกล่าวในสิ่งที่เกิดก่อนที่ท่าน
จะมาเป็นพระอรหันต์
ถ้าเรารู้จักการใช้สติ ใช้สมาธิแยกธรรมก็น่าจะเข้าใจได้ แต่ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้
ก็เป็นเพราะไม่รู้จักการใช้สติเบื้องต้น ไม่เข้าใจสมาธิมาตั้งแต่แรกแล้ว จึงทำให้ไม่เกิดการ
พิจารณาธรรม
----------------......... -------------............ -------------..............
มาดูว่าทำไมจึงบอกว่า ขันธ์ห้าไม่ใช่ชีวิต
ขันธ์ห้าเป็นสังขาร ขันธ์ห้าเกิดจากสังขารไปปรุงแต่ง
สังขารคือ การปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง
สังขตธรรม คือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง นั้นก็คือสังขาร
อสังขตธรรม คือ ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง นั้นก็คือวิสังขารที่นี้มาดูความหมายของ สังขารที่หมายถึงรูปนาม
สังขารที่เป็นรูปนาม คือ สังขารที่มีใจครอง เรียกว่า อุปาทินนกสังขาร
นั้นคือสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ส่วนสังขารอีกอย่างคือ สังขารที่ไม่มีใจครอง เรียกว่าอนุปาทินนกสังขาร
นั้นคือสิ่งไม่มีชีวิต.......ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ นั้นคือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต
มีใจครอง เพียงแต่เราเรียกชีวิตของท่านไปใน
ลักษณะรูปนามรูปนามของพระอรหันต์จึงเป็น.....อนุปาทินนกสังขาร
สภาวะธรรมของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต สภาวะของท่านคือ รูปนามของท่านเป็น.....
อนุปาทินนกสังขาร นั้นคือสังขารนั้นยังมีใจครอง แต่เป็น
ธรรมธาตุที่เรียกว่า..อสังขตธรรม
อสังขตธรรมที่ว่าก็คือ.....วิสังขาร
วิสังขาร ก็คือ อนุปาทินนกสังขาร นั้นคือสังขารที่มีใจครองแต่ไม่ปรุงแต่งแล้ว
อันได้แก่ พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต
ดังนั้นขันธ์ห้าเป็น สังขารที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา ที่เราคิดว่าขันธ์ห้าคือชีวิต
เป็นการเข้าใจผิด เป็นเพราะอวิชา หลงไปยึดสิ่งที่ถูกปรุงแต่งเอามาเป็นตัวตน
ดังนั้นขันธ์ห้าเป็นสังขาร
เกิดดับตามกฎไตรลักษณ์มันเกิดขึ้นดับไปตลอดเวลา
แต่การเกิดขึ้นดับไปของขันธ์ ไม่ได้ทำให้สิ่ง
ที่เรียกว่าชีวิตดับไปด้วย แสดงว่าขันธ์ห้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตก็เหมือนกับพระอรหันต์ที่มีชีวิต ท่านไม่ได้มีการปรุงแต่งขันธ์ห้าแล้ว
ขณะที่ท่านมีชีวิตในสถานะอรหันต์ ท่านมีใจครอง แต่เป็นอนุปาทินนกสังขาร
นั้นคือ เป็น
วิสังขาร ไม่ปรุงแต่งขันธ์ห้าแล้วภาษาธรรมะวันละคำวันนี้เสนอคำว่า... กิริยาจิต
**
ก่อนอื่นเราต้องรู้จุดประสงค์สุดท้ายที่เรามาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
การไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด หรือการไม่ต้องมีชีวิตซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่แหล่ะคือผลที่เราต้องการ
สิ่งที่พระพุทธองค์กำลังชี้ให้พวกเราเห็น ก็คืออะไรเป็นสาเหตุ ให้เกิดชีวิต
อะไรเป็นเหตุให้เกิดวัฏสงสาร
พระองค์กำลังบอกว่า ชีวิตที่มีอยู่นี้เกิดจากเราไปยึดเอาขันธ์ให้เป็นตัวเป็นตน
ชันธ์ห้าไม่ได้อาศัยกันและกัน การเกิดขึ้นของขันธ์มันมีสาเหตุมาจากสังขาร
แท้จริงแล้ว ชีวิตเป็นแค่รูปกับนาม แต่ที่เกิดเป็นขันธ์ห้าก็เพราะ
นามไปปรุงแต่งรูปจนเกิดเป็นขันธ์ห้าขึ้น
ดังนั้นการเกิดของขันธ์มีเหตุปัจจัยมาจากการปรุงแต่ง มันไม่มีอยู่จริง
พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นความไม่มีมีอยู่ของขันธ์ห้า ก็ด้วยกฎแห่งไตรลักษณ์
**
การที่บุคคลเห็นจิตลึกลับซับซ้อนเป็นเพราะ อวิชา
ถ้าว่าโดยชีวิต จิตใจเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันกับรูปหรือกาย
ต่างพึ่งพากันเพื่อให้ชีวิตดำรงค์อยู่
ส่วนความลึกลับซับซ้อนของชีวิต มันเกิดจากสมองที่เป็นส่วนของรูป
สมองสามารถจินตนาการให้เกิดเรื่องราวปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ
**
นามขันธ์มันเกิดตามเหตุปัจจัย และเหตุที่เกิดไม่ใช่ความสัมพันธ์และอิทธิพล
ตัวอิทธิพลที่ทำให้เกิดขันธ์ มันก็คือสังขาร ถ้าไม่มีสังขารก็ไม่มีเหตุให้เกิดขันธ์ห้า
**
ตามหลักอริยสัจจ์สี่ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์--- .. พระพุทธองค์ให้รู้แล้วละเสีย
นั้นก็คือรู้เหตุนั้นก็คือสังขาร รู้ว่าสังขารทำให้เกิดอะไร ที่เรียกว่าการยึดมั่น
เป็นเพราะอะไรจึงเกิดการยึดมั่น สรุปก็คือท่านให้รู้แล้วอย่าทำ รู้แล้วละมันเสียด้วยมรรคมีองค์แปด
---.....
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เวทนา ความสำคัญมันอยู่ที่การรู้รูปรู้นาม
การรู้รูปรู้นามเพียงแค่นี้ก็เป็นการรู้ที่แท้จริงปราศจากการปรุงแต่ง
เวทนามันเกิดจากการปรุงแต่งผัสสะ ตามความจริงแล้ว
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า มีสิ่งใดมากระทบกายก็แค่รู้ว่าเกิดการกระทบขึ้นแล้วให้จบ
อยู่ตรงที่ผัสสะการกระทบ อย่าให้นามปรุงแต่งจนเกิดเวทนาขึ้น
เวทนาทางกายไม่ได้หมายถึงเวทนาขันธ์
เวทนาทางกาย มันเป็นผัสสะอย่างหนึ่ง
---....
เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ มันเป็นขันธ์
มันเป็นผลหรือบทสรุปในการกระทำของรูปกับนาม ตัวอย่าง เช่นเกิดการกระทบทางกาย
ส่วนที่รับรู้คือประสาทกาย เมื่อรู้แล้วเกิดการปรุงแต่งมันจะเป็นสภาวะนามที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์
ถ้ารู้ผัสสะเฉยๆ เรียกวิญาณหรือจิตผู้รู้ แต่ถ้ารู้แล้วปรุงแต่งจิตรู้จะกลายเป็นขันธ์ และขันธ์ตัวนี้
จะกลายเป็นเวทนาทางใจ *** ธรรมะวันละคำ วันนี้เสนอ... อริยสัจจ์สี่
----------------...........................
การเวียนว่ายตายเกิดหรือการมีชีวิตหลายครั้ง พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า...เป็นทุกข์
การหลงว่าขันธ์ห้าคือชีวิต แท้จริงมันเป็นการปรุงแต่ง
เพราะขันธ์ห้าเป็นเพียงสังขารที่ไปปรุงแต่งรูปนาม
ดังนั้นขันธ์ห้าไม่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงคือ รูปกับนาม
การมองเห็นรูปนามตามความเป็นจริง นั้นคือเห็นปฏิจสมุบาท
การมองเห็นขันธ์ห้าเป็นเพียงสังขารการปรุงแต่งของรูปนามนั้นคือ เห็น...ไตรลักษณ์
รูปนามเป็นทุกข์..ขันธฺห้าเป็นเหตุแห่งทุกข์..ไตรลักษณ์เป็นมรรค..การดับของขันธ์ห้าเป็นนิโรธ
- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/43600.แท้จริงแล้วขันธ์ของคนก็ คือ.....งงล่ะซิงง?
-http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43600&start=15----------------------------....................
(
อาภัพบุคคล) หมายถึงบุคคลที่ไม่สามารถ
เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
ได้แก่คน ๔ ประเภทคือ .....
---------------..........................
---------------------------------
อายตนะภายนอกทั้งหก ที่เราสามารถรับรู้หรือเกิดการกระทบจนเกิดเป็น อารมณ์หรือนามได้
เป็นเพราะ อายตนะภายในทั้งหก อายตนะภายในทั้งหกก็คือ หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ
อารมณ์ต่างๆที่เกิดการกระทบของอายตนะ แล้วเราก็เข้าไปยึด กายหรือร่างกายทั้งของเรา
และคนอื่น ทั้งสัตว์และสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เราไปยีดมั่นจนเป็นตัวเป็นตน
และสาเหตุหรือสมุฐานที่ทำให้เกิดการยึดมั่น เพราะตาเราไปเห็น กายหรือร่างกายเป็นตัวเรา
ตาจึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เห็น สมุทัย เมื่อเห็นเหตุแห่งทุกข์จึงสมารถดับทุกข์ได้
การใช้หลักของโยนิโสฯก็คือ น้อมจิตเอาปัญญารู้ไตรลักษณ์
เอาสภาวะไตรลักษณ์ที่ว่า...
สังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เอามาพิจารณาธรรมที่เกิดหลังจากการกระทบจนเป็นอารมณ์
แท้จริงแล้ว เป็นแค่สังขาร ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาดังนี้จะทำให้ไม่ไปยึดเอาอารมณ์เป็นตัวตน รู้แค่ว่ามันเป็นการปรุงแต่ง
เมื่อมันเกิดแล้วก็ดับ ทำได้อย่างนี้
จิตที่เคยมองเห็นสิ่งภายนอกเป็นตัวตนเราเขาก็จะดับที่สำคัญการมองเห็นเมื่อในอดีตว่า ร่างกายที่เรามองเห็นเป็นตัวตน
มันเป็นแค่รูปที่ตาไปกระทบ แล้วเกิดอารมณ์สังขารปรุงแต่ง...
........................ แท้จริงแล้วมันเป็นมหาภูติรูปสี่ เป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ที่กล่าวข้างบน ต้องผ่านการละ สักกายทิฐิให้ได้ก่อนจึงจะเห็นสภาวะนั้น
หลักการละสักกายทิฐิ ต้องอาศัยตาและจักขุปสาทรูปเพี่อหาสมุฐานหรือเหตุ
จึงจะดับเหตุนั้นได้
------------------------..........................
*ปรโตโฆสะ*คือธรรมภายนอก เป็นธรรมที่ต้องพิจารณา
*ปัญญาสัมมาทิฐิ* คือการมองธรรมตามความเป็นจริง นั้นคือการไม่ยึดเอาธรรมที่
กำลังพิจารณาเป็นตัวตน
*โยนิโสฯ คือ การที่จิตน้อมเอาปัญญาสัมมาทิฐิมาเป็นหลัก แล้วไล่หาเหตุและผลในธรรม
หรือปรโตโฆสะนั้น กล่าวได้ว่า....โยนิโสฯเป็นปัญญา(ธัมวิจยะ)ที่มุ่งตรงต่อ.....
ปัญญาสัมมาสังกัปปะ-------------............................
หลักกาลามสูตรใช้ไม่ได้ทุกกรณีมั้ง
มันใช้ได้ถ้าเราใช้โดยมีสัมมาทิฐิคอยกำกับตรรก ถ้ามีสัมมาทิฐินำหน้า เขาเรียกตรรกนั้นว่า ......
ปัญญาสัมมาสังกัปปะ
43771.ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ
- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43771&start=30