ผู้เขียน หัวข้อ: ร่างกายเป็นรังของโรค :พระราชพรหมยาน  (อ่าน 3919 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

ร่างกายเป็นรังของโรคมีความเสื่อมสลายไปในที่สุด
ธรรมโอวาท
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

องค์สมเด็จพระทรงธรรม บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงสั่งสอนให้
รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์
ทรงสั่งสอนให้รู้จักสภาวะของร่างกายและสังขาร
ว่าร่างกายมันเป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้
ร่างกายมันเป็น ทุกข์ ถ้าเราไปยุ่งกับมัน ใจเราก็มีความทุกข์
ร่างกายมันเป็น อนัตตา
มันจะเป็นอะไรขึ้นมา เราห้ามไม่ได้ นี่อย่างหนึ่ง
 
อีกอย่างหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า ร่างกายเป็น โรคนิทธัง
มันเป็น รังของโรค ทุกคนต้องมีโรคทั้งหมด
ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายมันมีเป็นธรรมดา

นี่อีกศัพท์หนึ่ง ท่านว่าร่างกายเป็น ปภังคุณัง
จะต้องเน่าเปื่อยเป็นธรรมดาไปในที่สุด
นี่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พ่อจำได้และก็ไม่ลืมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ถ้าเราต้องการหมดความทุกข์ ต้องการมีความสุข
ก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา
ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา
ร่างกายนี้เป็นของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นเป็นเราเป็นของเรา


ตัดความหลงด้วยมรณานุสสติกรรมฐาน
ตัดความหลงได้ความโลภความโกรธก็ไม่มี
ธรรมะโอวาท
หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

เราจะเข้าถึงความดีได้ ก็เพราะอาศัยการฝึกฝน ตน คือ จิต
คำว่าตน ในที่นี้ได้แก่จิต ไม่ใช่ร่างกาย คือ เอาจิตของเรา
เข้าไปเกาะความดีเข้าไว้ ธรรมส่วนใดที่จะทำให้เรา
เข้าถึงพระนิพพานได้เราก็ทำส่วนนั้น ธรรมส่วนสำคัญ
ที่เราจะเห็นได้ง่ายคือ ตัดรากเหง้าของกิเลส
ก็ได้แก่ โลภะ ความโลภ เราตัดด้วยการ ให้ทาน
ทำจิตให้ทรงอยู่เสมอว่า เราจะให้ทานเพื่อทำลาย โลภะ
ความโลภ แล้วความโลภจะได้ไม่เกาะใจ
อีกประการหนึ่ง รากเหง้าของกิเลส ก็ได้แก่ ความโกรธ
เมื่อจิตเราทรง พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ
เพื่อเป็นการหักล้างความโกรธเมื่อจิตเราทรง พรหมวิหาร ๔
ความโกรธ ความพยาบาทมันก็ไม่มี
ประการที่ ๓ โมหะ ความหลง ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ
เป็นรากเหง้าใหญ่ เป็นตัวบัญชาการให้เกิดความรัก
ความโลภ ความโกรธ ถ้าหลงไม่มีเสียอย่างเดียว
เราตัดความหลงได้อย่างเดียวเราก็ตัดได้หมด
การตัดตัวหลงตัดอย่างไร ตัดตรง มรณานุสสติกรรมฐาน
ก็คิดเสียว่าคนและสัตว์เกิดมาแล้ว ก็มีความตายไปในที่สุด
วัตถุต่าง ๆ ที่เป็น สมบัติของโลก
มันมีการเกิดก่อตัวขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็สลายตัวไปในที่สุด
เหมือนกัน วัตถุเรียกว่า พัง คนและสัตว์ เรียกว่า ตาย



การวางเฉยในร่างกายคือการไม่ยึดติด
แต่ถ้ากายป่วยก็ต้องบำรุงรักษาเพื่อระงับเวทนา
ธรรมโอวาท
หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ใช้ สังขารุเปกขาญาณ
เฉยทั้งอาการที่เข้ามากระทบกระทั่งจิต
ในด้านของโลกีย์วิสัย
เฉยทั้งคำชม เฉยทั้งคำนินทา
เฉยทั้งได้มา เฉยทั้งเสื่อมไป
เฉยหมด ไม่มีอะไรสนใจ
คำนินทา ว่าร้ายเกิดขึ้นกระทบใจ
แผล็บปล่อยหลุดไปเลย ช่างมัน
ฉันไม่ยุ่งอารมณ์อาการต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น กับร่างกายจะป่วยไข้ไม่สบาย
มันจะแก่ มันจะตาย ก็ช่างมัน
แต่การรักษาพยาบาล
การบริหาร ร่างกายเป็นของธรรมดา
ถือว่าทำตามปกติ ถ้าเขาจะถามว่า
ถ้าทำจิตได้อย่างนี้ยังสูบบุหรี่ไหม
ยังกินหมากไหม
ยังจะต้องใช้ของที่เคยใช้กับร่างกายไหม
ก็ต้องตอบว่าใช้ตามปกติ เขาไม่ได้ติด
แต่ ร่างกายต้องการ
เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ยังฉันภัตตาหาร เรื่องอะไร ที่ประสาทต้องการ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องบำรุงโดยประสาท
เพื่อเราจะเอาไว้ใช้เป็นประโยชน์
เหมือนกับคนที่ลงเรือรั่วเพื่อหวังจะข้ามฟาก
ถ้าขณะใดที่ยังอาศัยเรืออยู่
เมื่อน้ำมันรั่วขึ้นมาเรา ก็ต้องอุด
มันผุตรงไหนก็ต้องทำนุบำรุงซ่อมแซม
ไม่ใช่ว่าปล่อยให้มันรั่วให้มันพังไป
จนกว่าเรา จะขึ้นฝั่งได้


มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นคุณธรรมที่ใกล้บรรลุพระโสดาบัน
ธรรมโอวาท
หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อในการเกิด
เป็น นิพพิทาญาณ ในวิปัสสนาญาณ
ถ้าท่านคิด ใคร่ครวญในรูปสมถะ
ให้เห็นซากศพอยู่เสมอ
และใคร่ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป
คือเมื่อเกิด ความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้
หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ หรือความแก่เฒ่าเข้ารบกวน
ท่านก็วางใจ เฉยเสีย ไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน
โดยคิดว่า นี่เป็นเรื่องของธรรมดา
เกิดมามันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย
มีลาภแล้ว ลาภมันก็เสื่อมได้
มียศแล้ว ยศมันก็สิ้นได้
มีสุขแล้ว ทุกข์มันก็มีได้
มีคนสรรเสริญแล้ว คนนินทาก็มีได้
เกิดแล้วก็ต้องตายได้
ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ ๆ
จนจิตชินต่ออารมณ์
มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น
ก็รู้สึกว่าเป็นปกติ
ไม่ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้

ท่านเรียกว่า ได้ สังขารุเปกขาญาณ
ใน วิปัสสนาญาณ
เป็นคุณธรรมที่ใกล้ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว


-http://www.facebook.com/BuddhaSattha?filter=1
*************************


"คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร ?"
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ :"..ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ

๑) ให้นำ พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

"ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"
แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ

๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"

๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม

๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
F/B พระธรรม นำทางชีวิต ได้แชร์รูปภาพของ ขอนอบน้อม พระรัตนตรัย เป็นสรณะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2013, 11:53:53 am โดย ฐิตา »