ผู้เขียน หัวข้อ: เตือนสาวอยากสวย! ฉีดฟิลเลอร์อันตรายถึงชีวิต-เสริมดั้งโด่งเสี่ยงตาบอดจมูกเน่า  (อ่าน 1324 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เตือนสาวอยากสวย! ฉีดฟิลเลอร์อันตรายถึงชีวิต-เสริมดั้งโด่งเสี่ยงตาบอดจมูกเน่า
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000117920-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
25 กันยายน 2555 16:23 น.

เตือนสาวอยากสวยนิยมฉีด “ฟิลเลอร์” โดยเฉพาะการเสริมจมูก เสี่ยง “ตาบอด-จมูกเน่า” ย้ำ “โพลีอะคริลาไมด์” เป็นสารไม่สลายตัว อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาฉีดเสริมสะโพก-หน้าอกแล้วอยู่ได้หลายปี ชี้ หากรั่วไหลเข้าเส้นเลือด มีสิทธิ์เป็นเจ้าหญิงนิทรา เหมือนเคสพริตตี้ ด้านนายก ส.แพทย์ผิวหนัง แนะต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนฉีด
       
       วันนี้ (25 ก.ย.) ที่สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวระหว่างการแถลงข่าว “อันตรายจากการฉีดสารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์” ว่า คนนิยมฉีดสารเติมเต็ม หรือฟิลเลอร์ที่ผิวหนังทดแทนคอลลาเจนที่สลายไปตามวัย เพื่อช่วยคืนความแข็งแรงและลดริ้วรอย ซึ่งประเภทของสารเติมแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.แบบชั่วคราว (Temporary Filler) จะมีอายุการใช้งาน 4-6 เดือน จากนั้นจะสลายตัวไปตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง อาทิ สารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) 2.แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี มีระดับความปลอดภัยปานกลาง และ 3.แบบถาวร (Permanent Filler) เช่น ซิลิโคน หรือ พาราฟิน ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปแล้วสารจะอยู่ในผิวหนังตลอดและมักมีผลข้างเคียง
       
       นพ.จินดา กล่าวอีกว่า การฉีดฟิลเลอร์ถูกนำมาใช้รักษาทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย เพื่อใช้รักษาผิวพรรณให้ริ้วร้อยต่างๆ ตื้น และสภาพผิวดีขึ้น โดยจะนิยมฉีดบริเวณใบหน้า จมูก แก้ม โหนกแก้ม ริมฝีปาก สะโพก คาง หรือใบหน้าให้ดูอวบอิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลข้างเคียงและอาการแทรกซ้อนจากการฉีด ได้แก่ 1.เกิดผื่นแดงบริเวณทีฉีด 2.เกิดรอยนูนมากเกิดผิว 3.เกิดการเคลื่อนย้ายของสารที่ฉีดทำให้เกิดการผิดรูป 4.เกิดการแพ้ซึ่งอาจเกิดได้ตั้งแต่ภายหลังฉีดเสร็จแล้วถึงขั้นเป็นเดือนหรือเป็นปี 5.เกิดการอุดตัน โดยการฉีดผิดตำแหน่ง เช่น การฉีดเข้าไปในเส้นเลือดแดงทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือด หรือบางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด
       
       นพ.จินดา กล่าวด้วยว่า สารเติมเต็มที่ได้รับการยอมรับ คือ สารไฮยาลูโรนิค แอซิด ซึ่งระหว่างการฉีดต้องมีการสังเกตอาการ หากพบว่ามีอาการเจ็บบริเวณอื่นนอกจากจุดที่ฉีดควรบอกแพทย์ให้หยุดการฉีด ซึ่งแพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการฉีดสารละลายแก้ไขที่เรียกว่า ไฮยาลูโรนิเดส เข้าไป เพื่อสลายสารไฮยารูโลนิค แอซิด แต่สารตัวดังกล่าวยังไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เนื่องจากสกัดมาจากหลายชนิด อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ จึงควรต้องมีการทดสอบก่อน

 ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ประเทศไทยนิยมใช้สารฟิลเลอร์มากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมักนำมาใช้กับการศัลยกรรมเสริมจมูก ประกอบกับดารานักแสดงส่วนใหญ่นิยมทำ เนื่องจากทำง่ายเหมือนฉีดยา ไม่บอบช้ำเหมือนการผ่าตัด ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็สามารถกลับทำงานได้ ทำให้การฉีดสารฟิลเลอร์ที่จมูกเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและรวดเร็ว แต่ปัญหาที่พบ คือ หากไม่ได้รับการฉีดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีความระมัดระวัง อาจเกิดความผิดพลาดเข้าไปในเส้นเลือด แม้เพียงปริมาณเล็กน้อย 0.4-0.5 ซีซี ก็สามารถทำให้ตาบอดได้ เนื่องจากบริเวณจมูกมีแขนงหลอดเลือดจำนวนมาก และเชื่อมกับเส้นประสาทตา หากไม่ระวังย่อมส่งผลให้ตาบอดตั้งแต่บอดชั่วคราวกระทั่งถาวร
       
       “ขอให้หลีกเลี่ยงการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ เนื่องจากไม่คุ้มค่าหากต้องเสี่ยงตาบอดถาวรแลกกับการทำให้จมูกโด่งเพียงชั่วคราว แม้แต่ฟิลเลอร์ที่ อย.รับรองก็อาจเกิดตาบอดได้เช่นกัน เพราะอาการตาบอดไม่ได้เกิดจากคุณภาพของสารที่ฉีด แต่เกิดจากกระบวนการฉีดที่มีการรั่วไหลของฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงประสาทตาทำให้ตาบอด ส่วนจำนวนผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงยังไม่มีตัวเลขแน่ชัด ส่วนใหญ่เป็นการบอกเล่า ซึ่งคาดว่าในไทยคงมีประมาณ 5-10 ราย” ผศ.นพ.ถนอม กล่าว
       
       ผศ.นพ.ถนอม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ที่พบมาก คือ จมูกเน่า เพราะไปอุดตัน ทำให้เลือดไม่ไหลเวียน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบราว 10-20 ราย ซึ่งกรณีการเกิดผิดพลาดจะต้องรีบแก้ไขภายใน 90 นาที ไม่เช่นนั้นจะตาบอดทันที ดังนั้น การฉีดสารเหล่านี้ควรอยู่ในสถานที่ได้รับการรับรอง และมีเครื่องมือช่วยเหลืออย่างพร้อมเพรียง และก่อนที่จะทำต้องพิจารณาและศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน
       
       ผศ.นพ.ถนอม กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันพบการฉีดฟิลเลอร์ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า สารโพลีอะคริลาไมด์ (polyacrylamide) มีชื่อการค้าอื่นหลายชื่อ ซึ่งสารนี้จะไม่สลายตัว แต่มักถูกโฆษณาหลอกลวงว่าสลายตัวช้าอยู่ได้หลายปี ประชาชนส่วนใหญ่จึงหลงเชื่อนิยมไปฉีดสะโพก หรือฉีดเสริมหน้าอก โดยสามารถฉีดเป็นจำนวนมาก เป็นพันซีซี หรือเป็นกิโลกรัม ในราคาที่ไม่แพง ซึ่งหากเกิดภาวะแทรกซ้อนจะไม่สามารถแก้ไขได้เลย เช่น หากสารรั่วไหลเข้าเส้นเลือดไปอุดปอด หรือสมองก็อาจโคม่าหรือเสียชีวิต ยกตัวอย่าง กรณีพริตตี้ที่ไปฉีดเสริมสะโพกจนหมดสติไปนั้น สันนิษฐานว่า สารน่าจะเข้าไปในหลอดเลือดดำ และย้อนกลับไปยังปอด ทำให้คนไข้ขาดออกซิเจน และหยุดหายใจ ซึ่งสารตัวนี้คงไปอุดกั้นระบบหายใจ ทำให้สมองขาดออกซิเจนนั่นเอง ซึ่งในกรณีพริตตี้ไปฉีดที่คอนโดมิเนียม ก็เป็นสถานที่ที่ไม่ได้รับการรับรอง ไม่มีเครื่องมือช่วยชีวิตกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
       
       “อยากเตือนว่า การจะทำอะไรต้องระวัง และควรเลือกสถานที่ที่ได้รับการรับรอง และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ อย่างไรก็ตาม เดิมทีสารตัวนี้ อย.เคยรับรอง แต่หลังจากพบว่า มีเคสเป็นมะเร็งเต้านมจึงถอดทะเบียนออกทันที สำหรับผู้ที่สนใจจะฉีดสารประเภทนี้ ต้องศึกษาให้ดี และหากรู้สึกว่าเจ็บบริเวณใบหน้า นอกเหนือจากจุดที่ฉีดแล้ว ให้ถือว่ามีอาการผิดปกติต้องรีบบอกแพทย์ก่อนจะทำการฉีดต่อ” ผศ.นพ.ถนอม กล่าว
       
       พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับรายงานจากสมาชิกแพทย์ผิวหนัง ว่า มีผู้ที่ไปรับบริการฉีดสารเติมเต็มแล้วเกิดอาการแทรกซ้อนมาขอรับการรักษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งอาการแทรกซ้อนไม่ร้ายแรง เช่น เขียวช้ำ เป็นจ้ำเลือด บวม หน้าไม่เท่ากัน แพ้เป็นผื่นแดง เป็นก้อน จนถึงรุนแรงขั้น ผิวหนังตาย ตามองไม่เห็น หรือถึงขั้นเสียชีวิต จึงอยากจะขอเตือนผู้ที่อยากมาฉีดสารเติมเต็ม โดยเฉพาะการฉีดเสริมดั้งจมูก หรือในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ขอให้พิจารณา 3 อย่าง คือ 1.ผู้ฉีด ต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 2.สารที่ใช้ต้องได้รับการรับรองจาก อย.และมีข้อบ่งชี้ว่าสลายได้หรือไม่ และในระยะยาวจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย และ 3.สถานที่ฉีด ต้องมีเครื่องมือช่วยชีวิตกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
       
       “การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นหัตถการทั่วไปที่ผู้จบแพทย์ทั้งหมดสามารถทำได้ แต่แพทย์ผิวหนังจะมีการเรียนเฉพาะทางเพื่อศึกษาโครงสร้างทุกอย่างอีก 4 ปี สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ปัจจุบันมีการโฆษณา ว่า รักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ผ่านการฝึกไม่กี่วันเท่านั้น การที่ประชาชนจะเลือกรักษาด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม จึงต้องทราบถึงความเสี่ยง และเลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญสามารถดูแลหากเกิดกรณีฉุกเฉินได้ด้วย หากต้องการความมั่นใจ สามารถเข้าไปดูรายชื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่เว็บไซต์ของสถาบันแพทย์ผิวหนังได้ ส่วนแพทย์สาขาอื่นสามารถฉีดสารเติมเต็มได้เช่นกัน แต่แพทย์ผิวหนังจะช่วยสร้างความมั่นใจได้มากกว่า” นายก ส.แพทย์ผิวหนังฯ กล่าว

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)