อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
sithiphong:
คุมเข้ม 'ยาเสียสาว' - คุณหมอขอบอก
วันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2556 เวลา 00:00 น.
จากกรณีที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยกระดับ “อัลปราโซแลม” จากวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ทำให้หลายคนสงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมีการคุมเข้มยาดังกล่าวมากกว่าเดิม
นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) บอกว่า ที่ผ่านมามีการเฝ้าระวังมานานแล้วพบว่ามีการนำยาอัลปราโซแลมไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ ปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อย ๆ เนื่องจากอัลปราโซแลมไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จึงมีผู้ไม่หวังดีนำไปบดผสมกับเครื่องดื่มมอมเหยื่ออยู่บ่อย ๆ ที่หลายคนเรียกกันว่า ยาเสียสาว ก็ยาตัวนี้ที่มีการนำไปใส่เครื่องดื่มมอมเมากัน ดังนั้นการยกระดับให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 น่าจะช่วยให้การเข้าถึงอัลปราโซแลมยากขึ้น เพราะมีการกลั่นกรองโดยแพทย์ มีการนำไปใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์มากขึ้น
เดิมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ร้านขายยาที่มีใบอนุญาตขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 และ 4 สามารถจำหน่ายได้ แต่พอยกระดับขึ้นมาต่อไปร้านขายยาไม่สามารถจำหน่ายได้ จะมีเฉพาะในคลินิก หรือสถานพยาบาลที่มีแพทย์สั่ง การนำไปใช้ในทางที่ผิดก็น้อยลง
ส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งยาเหล่านี้ให้คนไข้ ตัวคนไข้ก็ต้องผ่านวิธีการรักษาอื่น ๆ มาพอสมควร เพราะการรักษาด้วยยามีขึ้นอยู่แล้ว การสั่งจ่ายยากลุ่มนี้แสดงว่า คนไข้เคยใช้ยาตัวอื่นมาแล้ว บางคนมีปัญหาเยอะมันจำเป็นจริง ๆ เพราะถ้าไม่ได้รับยาคนไข้จะทรมานมากนอนไม่หลับ และมีปัญหาอื่นตามมาอีกเยอะแยะ ดังนั้นความจำเป็นในการใช้ยาตัวนี้ก็ยังคงมีอยู่
อัลปราโซแลมมี 3 ขนาด คือ 0.25 มก. 0.50 มก. และ 1มก. ต่อเม็ด โดยเฉลี่ยปีหนึ่งมีการใช้ประมาณ 70-80 ล้านเม็ด ไม่ถึง 100 ล้านเม็ด การใช้โดยแพทย์สั่งคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าแพทย์ต้องประเมินคนไข้ก่อน แต่ที่เรากังวลคือการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้นการยกระดับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คงลดปัญหาลงได้พอสมควรแต่คงยังไม่หมดไป เพราะยังมีการหลุดรอดออกไปได้อยู่
ด้าน ภก. ประพนธ์ อางตระกูล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด กล่าวว่า ยาอัลปราโซแลมใช้สำหรับรักษาอาการวิตกกังวล ช่วยให้นอนหลับ แต่มีคนไม่หวังดีเอาไปใช้ในการมอมเมาผิดวัตถุประสงค์ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขยกระดับอัลปราโซแลมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ ดังนั้นต่อไปร้านขายยาจะไม่สามารถจำหน่ายได้ ที่ผ่านมายาตัวนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่คลินิกและโรงพยาบาล ในร้านขายยามีไม่ถึง 10%
โรงพยาบาลรัฐจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาตครอบครอง ส่วนโรงพยาบาลเอกชน คลินิก ต้องขอใบอนุญาตครอบครอง ในส่วนภูมิภาคยื่นขออนุญาตต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ส่วนกรุงเทพฯ ยื่นขออนุญาตที่ อย. ทั้งนี้ให้ทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐ เอกชน คลินิก จัดทำบัญชีรับ-จ่าย ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ปัจจุบันยานอนหลับซื้อในร้านขายยาได้หรือไม่? ภก.ประพนธ์ กล่าวว่า ยานอนหลับส่วนใหญ่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ประเภท 3 และ 4 ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ห้ามร้านขายยาจำหน่าย ส่วนประเภท 3 และ 4 ร้านขายยาที่ได้รับใบอนุญาตขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ขายได้ โดยต้องมีใบสั่งแพทย์ และมีเภสัชกรเป็นผู้ส่งมอบ อย่างไรก็ตามวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ปกติก็ไม่ค่อยมีอยู่ในร้านขายยาอยู่แล้ว กรณีอัลปราโซแลมเดิมร้านขายยามีไว้ก็ไม่ได้เอาไว้ขายให้กับประชาชนทั่วไป แต่เอาไว้ขายให้กับคลินิก เพราะต่างจังหวัดเข้ามาซื้อยาหรือสั่งยาในกรุงเทพฯ หรือร้านขายส่งค่อนข้างลำบาก.
นวพรรษ บุญชาญ รายงาน
sithiphong:
13 วิธีสร้างสุขให้ทุกวันของชีวิต/ดร.สุภาพร เทพยสุวรรณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 เมษายน 2556 13:36 น.
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000051306-
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุขและต่างก็แสวงหาความสุขด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ผู้เขียนมีวิธีที่ช่วยเพิ่มความสุขให้ตัวเองที่ทำได้ไม่ยากมาฝากค่ะ
1. อยู่กับคนที่ทำให้เรายิ้มได้ จากการศึกษาพบว่าเราจะมีความสุขที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุขเหมือนกัน ให้เราอยู่กับคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างอารมณ์สุนทรีย์เพราะคนเหล่านั้นจะพลอยพาให้เราหัวเราะและมีความสุขไปด้วย
2. ยึดถือคุณค่าในตัวเอง อะไรคือความเชื่อของเรา อะไรคือสิ่งที่ยึดถือ เช่น ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม หากเราให้ความสำคัญต่อคุณค่าเหล่านี้มากเท่าไหร่ เราจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและคนที่เรารักมากขึ้นเท่านั้น
3. ยอมรับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ตาม อย่าผลักไสสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นและคิดว่าสิ่งนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ให้เรายอมรับสิ่งดีที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งน้อยนิดก็ตาม
4. จินตนาการถึงการประสบความสำเร็จ อย่ากลัวว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้นั้นเราจะไปไม่ถึง ให้เราวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง หลายคนไม่กล้าวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง เพราะกลัวว่าจะทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ในความจริงการจินตนาการถึงความสำเร็จของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น
5. ทำในสิ่งที่เรารัก แม้ว่าเราไม่สามารถไปนั่งชมวิวชายทะเลทุกวัน หรือดำน้ำดูปะการังที่เราชอบได้บ่อยๆ แต่การได้ทำในสิ่งที่เรารักบ้างนานๆครั้ง จะช่วยเพิ่มความสุขให้แก่เราอย่างไม่น่าเชื่อ
6. มีเป้าหมายในชีวิต คนที่มีเป้าหมายในชีวิตจะพยายามไปถึงจุดนั้นและจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและต่อชีวิต
7. ทำตามใจของเรา เราเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถบอกตัวเราเองได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวหรือเพื่อนๆบอก แต่เป็นสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจตัวเอง
8. ผลักดันตัวเองไม่ใช่กดดันผู้อื่น เป็นการง่ายที่เราจะรู้สึกว่าความสำเร็จของเรานั้นขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับเรา เมื่อเราเข้าใจและตระหนักในสิ่งนี้แล้ว ในทางกลับกันสิ่งเหล่านี้จะมีอำนาจผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายได้ ให้เราหยุดตำหนิโลกนี้และคนอื่น อย่าเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น และเราจะค้นพบคำตอบในไม่ช้า
9. เต็มใจรับการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าอาจจะยาก แต่ให้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆในชีวิต และจะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง
10. พอใจกับชิวิตง่ายๆ คิดทางบวกอยู่เสมอ เช่น เรามีคนที่รักเรา เรามีความทรงจำที่ดี เรามีเพื่อนที่ดี วันนี้รถติดน้อยกว่าเมื่อวาน สิ่งง่ายๆเหล่านี้ทำให้ชีวิตของเราดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร
11. ทำดีกับทุกคน การทำดีกับผู้อื่นจะช่วยสร้างความสุขให้แก่ตัวเรา ไม่ว่าความดีที่เราทำนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด แต่จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตัวเราได้ งานวิจัยพบว่า เด็กอายุ 9-11 ขวบที่ให้ทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน ไม่เพียงแต่มีความสุขเพิ่มมากขึ้นแต่ยังเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนๆอีกด้วย
12. มีความเพียงพอ รู้จักประหยัด การมีหนี้สินหรือการใช้จ่ายเกินตัว ทำให้เราเป็นทุกข์ สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตนั้นมีไม่กี่อย่าง แต่สิ่งที่เราต้องการมีมากจนไม่รู้จบ ให้เรารู้จักพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ว่าเรามีเพียงพอแล้ว ความละโมบทำให้เราเกิดความทุกข์ จากการไม่รู้จักพอ
13. เป็นพ่อแม่คน สิ่งนี้หลายคนอาจไม่เห็นด้วย แต่การจากศึกษาพบว่าการเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองทำให้เรามีประสบการณ์อีกขั้นหนึ่งในชีวิตที่คนที่ไม่มีลูกไม่ได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเป็นพ่อแม่คนทำให้เรามีความสุขแต่การเป็นพ่อแม่เป็นการเชื่อมต่อของความสุขและเป็นสิ่งที่มีความหมาย จากการศึกษาของ Lyubomirsky ในปี 2012 พบว่า การเป็นพ่อ แม่ของลูกเป็นประสบการณ์ที่ทำให้มีความสุขอีกขั้นหนึ่งของชีวิตและทำให้เรารู้จักความหมายของชีวิตมากขึ้น
ความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก แค่เพียงเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง มองเห็นคุณค่าในตัวเอง พอใจกับชีวิตง่ายๆ รู้จักพอ และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆในชีวิต ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
ข้อมูลอ้างอิงจาก -http://m.psychologytoday.com-
-------------------
วิธีแก้ปัญหาสารพัดเบื่อ/ดร.แพง ชินพงศ์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 เมษายน 2556 08:55 น.
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000048990-
“เบื่อ” เป็นสภาวะของอารมณ์ที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองในขณะนั้น โดยอาจแสดงออกด้วยการซึมเศร้า นิ่งเฉย ขาดความสดชื่น ไม่มีความตื่นเต้น ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ขาดแรงจูงใจและเป้าหมายในการกระทำสิ่งต่างๆ
ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกคนต้องเคยตกอยู่ในสภาวะแห่งความเบื่อหน่ายกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเบื่องาน เบื่อแฟน เบื่อคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งเบื่อตัวเอง
ผู้เขียนมีวิธีการแก้เบื่ออย่างง่ายๆ ที่มั่นใจว่าช่วยลดความเบื่อได้อย่างแน่นอน 100% ดังนี้
1.เบื่องาน เช่น รู้สึกไม่อยากทำงาน ขาดแรงจูงใจในการทำงาน รวมไปถึงเบื่อเพื่อนร่วมงาน เบื่อหัวหน้า เบื่อลูกนัอง เบื่อระบบงานต่างๆ ซึ่งทำให้ไม่อยากจะหยิบจะจับงานอะไรหรือพาลอยากจะลาออกจากงานไปเลยด้วยซ้ำ
วิธีแก้เบื่องาน
- คิดด้านบวกเกี่ยวกับการทำงาน คือ คิดเสียว่างานเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรา มีงานทำดีกว่าไม่มี เพราะถ้าไม่มีงานเราก็จะขาดรายได้ซึ่งทำให้เราไม่มีเงินสำหรับการใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นหรือซื้อหาความสะดวกสบายให้ชีวิต
- คิดว่างานเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเรา เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่เราจะต้องเอาชนะและทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความสามารถของเรา
- จัดแต่งโต๊ะทำงานใหม่ เช่น เอารูปภาพวิวสวย ๆ มาติด เอาแจกันใส่ดอกไม้สวย ๆ มาวางบนโต๊ะทำงาน ทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ซึ่งจะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายหายเบื่อได้
- แก้ปัญหาเบื่อเพื่อนร่วมงาน อาจจะเกิดจากการที่เรามีเพื่อนร่วมงานที่มีทัศนคติไม่ตรงกัน หรือเจอเพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ อิจฉาริษยา ชอบนินทาว่าร้าย ซึ่งทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายจนพาลอยากจะลาออกจากงาน วิธีแก้เบื่อเพื่อนร่วมงานอย่างง่ายที่สุดก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พยายามพูดหรือเกี่ยวข้องกับคนที่เราเบื่อให้น้อยที่สุด
2.เบื่อคนใกล้ตัว เช่น เบื่อแฟน เบื่อสามี เบื่อภรรยา ซึ่งก็มักเกิดจากความไม่เข้าใจกัน มีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยๆ รู้สึกว่าถูกคนใกล้ตัวเอาเปรียบอย่างใดอย่างหนึ่งเบื่อหน่ายนิสัยบางอย่างของเขา ถูกเขาทำให้เสียใจ ผิดหวังซ้ำซาก หรืออาจเกิดจากการที่ความพิศวาส หรือความพึงพอใจในตัวเขาลดลง ทำให้ขาดความตื่นเต้นในชีวิตคู่ สัญญาณในการบอกว่าเรารู้สึกเบื่อแฟนหรือเบื่อสามีภรรยา สังเกตได้ง่ายๆ คือ รู้สึกคิดถึงและห่วงใยน้อยลง เวลาอยู่ด้วยกันก็แทบไม่คุยกันหรือมีกิจกรรมร่วมกันน้อยมาก
วิธีแก้เบื่อคนใกล้ตัว
- หันหน้าเข้าหากันเพื่อปรับความเข้าใจ รวมทั้งพูดตรงๆ ถึงความรู้สึกของกันและกันว่าเรารู้สึกไม่พอใจกันตรงไหนบ้าง เพื่อหาวิธีแก้ไขและปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะมีความเข้าใจกันมากขึ้นและเมื่อได้ร่วมกันปรับเปลี่ยนแล้ว ความรู้สึกจะดีขึ้นและทำให้หายเบื่อหน่ายซึ่งกันและกันได้
- ท่องเที่ยวร่วมกัน การที่แฟนหรือสามีภรรยา ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ในการไปดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวต่างประเทศ เหมือนเป็นการไปฮันนีมูน ไปดูสิ่งที่สวยงามแปลกใหม่ เป็นโอกาสให้ได้ใช้เวลาที่ดีร่วมกัน ซึ่งนอกจากช่วยสานสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยทำให้ความเบื่อหน่ายระหว่างกันลดลงด้วยเพราะความตื่นเต้นสนุกสนานจะทำให้อารมณ์ดีและมีความสุขขึ้นได้
3.เบื่อตัวเอง เกิดจากความรู้สึกเหงา คับข้องใจ ไม่ได้ตามที่ใจต้องการ หันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่ซ้ำซากจำเจ หดหู่ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ถ้าเกิดกับใครขึ้นมา คนนั้นก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองจนขาดแรงบันดาลใจและความสุขในการดำเนินชีวิต
วิธีแก้เบื่อตัวเอง
- เปลี่ยนทรงผมและเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเราเป็นคนใหม่ได้
- ออกกำลังกาย ทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ผ่อนคลาย ยิ่งถ้าคุณมีปัญหาในเรื่องน้ำหนักด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ ลองท้าทายตัวเองโดยการออกกำลังกายเพื่อให้เรามีรูปร่างที่ดีขึ้น แล้วชีวิตใหม่ๆ จะเกิดขึ้นแน่นอน
- เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น แต่งบ้านใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมในบ้านให้แปลกตาไปกว่าเดิม จัดสวนใหม่ หาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยง เช่น สุนัข แมว ปลา จะทำให้ชีวิตเราสดชื่นขึ้นและผ่อนคลายขึ้น
- ลองเปลี่ยนเส้นทางในการไปทำงานหรือกลับบ้านบ้าง จากเส้นทางเดิมๆที่รถติดน่าเบื่อหน่ายอาจสลับเปลี่ยนไปเดินทางที่ลัดบ้างอ้อมบ้างแต่รถไม่ติดมากและยังได้เห็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปจากเดิม
- ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป เพื่อสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต
- กินอะไรที่ไม่เคยกิน ไปร้านอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือลองคิดค้นหาเมนูอาหารใหม่ๆ ลองทำกินดู
- โซเชียลเน็ตเวิร์กช่วยได้ การคุยกับเพื่อน ๆ ออนไลน์ผ่านทาง facebook whatsapp line ช่วยทำให้เราหายเบื่อได้ แต่อย่าถึงเสพติดจนติดแหง่กไม่สนใจชีวิตด้านอื่นเลย
- สมัครเรียนคอร์สสั้นๆ ที่เราสนใจ เช่น เรียนทำขนม เรียนภาษา เรียนร้องเพลง เรียนโยคะ
- ไปเดินตลาดต้นไม้ หาต้นไม้มาปลูกที่บ้าน เพื่อสร้างความสดชื่น
- เขียนบันทึก หรือเขียนบล็อกของตัวเอง ระบายความในใจ
- ไปเยี่ยมคนชราหรือเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ สมัครเป็นอาสาสมัครในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม เช่น ไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง ไปเก็บขยะที่ชายหาด เราจะได้รู้สึกว่าชีวิตเรามีค่าขึ้น
ความรู้สึก “เบื่อ” เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราสามารถจัดการกับมันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ปรับสภาพแวดล้อม เปลี่ยนมุมมองความคิดของตัวเราเอง ด้วยการก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราสดชื่นและหายเบื่อได้ อย่าบ่อยให้ความเบื่อครอบงำเรานานเกินไป เพราะมันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตเรา มีแต่จะสร้างความเสียหายทั้งนั้น
ถึงเวลาทิ้งความเบื่อของคุณแล้วรึยัง!
.
sithiphong:
‘ข้อควรปฏิบัติเพื่อลดอันตรายและผลข้างเคียงจากการใช้ยา’ - ชีวิตและสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/212123-
ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันคนไทยมีการเข้าถึงยาและใช้ยากันมากขึ้น บางคนถึงกับกินยาต่างอาหาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องกินยาหลายขนานร่วมกัน และจะเห็น
ได้ว่าปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยค่าใช้จ่ายด้านยาคิดเป็นเกือบร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาท
ค่ายาประมาณ 100,000 ล้านบาท นับเป็นมูลค่ามหาศาลและมากกว่าที่ควรจะเป็นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และความไม่รู้ของประชาชนอยู่
อีกมาก
ด้วยตระหนักถึงผลกระทบของปัญหาการใช้ยาดังกล่าว ในงานประชุมวิชาการและประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นวาระครบ
100 ปีวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล และเป็นปีที่สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ก่อตั้งมาครบ 24 ปี จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาบทบาทวิชาชีพของ
เภสัชกรโรงพยาบาล ในการเป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้ด้านยาแก่ประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้ยาอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยจัดขึ้นที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี แพทย
สมาคมแห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย เมื่อเร็ว ๆ นี้
สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้มีการนำเสนอผลการวิจัยเรื่องยาเหลือใช้ ซึ่งทำการศึกษาจากข้อมูลการจ่ายยาในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 4 โรค คือ ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน หืด และปอดอุดกั้นเรื้อรัง กว่า 57,916 ราย พบว่า ผู้ป่วยกว่าร้อยละ 60 มียาเหลือใช้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ4% และประมาณการว่ามูลค่ายาเหลือใช้ทั้งประเทศมีประมาณ
4,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถลดปัญหานี้ได้หากมีความตระหนักและจัดการอย่างเหมาะสม และยังได้มีการนำเสนอการศึกษาเกี่ยวกับ “ความรู้เรื่องยา” ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังครอบคลุม
โรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศ จำนวน 3,136 ราย ซึ่งพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องยา โดยร้อยละ 50 ไม่รู้จักชื่อยาที่ตนเองใช้ และมีเพียงร้อยละ 53.6 ที่อ่านฉลาก
ก่อนการใช้ยา
ดังนั้น เพื่อลดอันตรายและผลข้างเคียงจากการใช้ยา ผู้ใช้ยาควรปฏิบัติ ดังนี้
• ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดทุกครั้งก่อนใช้ยา เพราะการไม่อ่านฉลากยา และใช้ยาผิด อาจทำให้เกิดการแพ้ยาอย่างรุนแรงและอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
• ไม่ควรใช้ยาของคนอื่น
• ผู้ที่มียาเหลือใช้อยู่ในบ้านต้องระมัดระวังและจัดเก็บให้ดี เพราะถือเป็นความเสี่ยงใกล้ตัว ถ้าเก็บไม่ถูกวิธีจะกลายเป็นยาเสีย หากมีคนนำไปใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเป็น
อันตรายต่อสุขภาพ
• หากมียาเหลือใช้ที่ยังไม่หมดอายุและอยู่ในสภาพดี ควรเก็บอยู่ในซองยา หรือขวดยาเดิมไว้ในที่เดียวกันและให้พ้นมือเด็ก หรือเก็บในตู้ยา หรือกระเป๋ายาให้พ้นแสงแดด ไม่อยู่ใน
ที่ชื้น
• อย่าเก็บยาในตู้เย็นยกเว้นยาที่มีฉลากระบุไว้
• อย่านำยาเหลือใช้มารวมในซองยา หรือขวดยาเดียวกัน
• อย่าแกะยาออกจากแผงหากยังไม่ใช้
• อย่านำยาเหลือใช้ไปให้คนอื่นใช้ และอย่ากินยาที่คนอื่นให้มา เพราะอาการที่คล้ายกันอาจไม่ได้เกิดจากโรคเดียวกัน ขนาดยาก็อาจไม่เหมาะสม และอาจเกิดอาการแพ้ยาได้อีก
ด้วย
• อย่าใช้ยาที่หมดอายุ หรือยาเสื่อมสภาพ
• ยาเหลือใช้ที่หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ สีเปลี่ยนแล้วให้ทำลายก่อนทิ้ง โดยแกะฉลากที่มีชื่อผู้ป่วย ถ้าเป็นยาเม็ดให้ทุบทำลายและเติมน้ำเล็กน้อย ถ้าเป็นยาน้ำก็ให้เทน้ำผสมลงไป
ส่วนยาที่เป็นครีมหรือขี้ผึ้ง ให้บีบออกจากหลอด จากนั้น นำกากชา ขี้เลื่อย เศษผัก หรือเปลือกผลไม้ ผสมลงไปในถุงเดียวกัน ปิดปากถุงให้สนิท ก่อนนำไปทิ้ง เพื่อไม่ให้คนอื่นนำ
ยาที่ทิ้งนั้นไปใช้ได้อีก
• หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ให้ปรึกษาเภสัชกรทุกครั้ง
และเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยจากการใช้ยามากยิ่งขึ้น ทางสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้จัดทำ สมุดบันทึกการใช้ยาประจำตัวผู้ป่วย และ แอพพลิเคชั่น
โปรแกรมบันทึกบัตรแพ้ยาที่สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสะดวกในการบันทึกประวัติแพ้ยาได้ด้วยตนเอง และเภสัชกรผู้ประเมินอาการก็สามารถบันทึกข้อมูล
ผ่านทางมือถือ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลืมบัตรแพ้ยา นอกจากนี้ แอพพลิเคชั่นดังกล่าวยังมีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการแพ้ยาทั้งในรูปแบบบทความและวิดีโอ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด
แอพพลิเคชั่น “โปรแกรมบันทึกบัตรแพ้ยา” ได้ทาง App store หรือ เว็บไซต์ของสมาคมฯ www.thaihp.org โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ข้อมูลจาก เภสัชกรสมชัย วงศ์ทางประเสริฐ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
http://www.dailynews.co.th/article/1490/212123
.
sithiphong:
จับขายยาปลุกเซ็กส์เกลื่อนเตือนระวังช็อกดับ
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM01UTXdNRFV6TWc9PQ==&subcatid=-
เมื่อเวลา 03.20 น. วันที่ 15 มิ.ย. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า พ.ต.ท.ออมสิน สุขการค้า พ.ต.ท. ภาสกร ไพจิตต์ รอง ผกก.สภ.วัฒนานคร ช่วยราชการ พดส.ภ.2 พ.ต.ท. กมล ทวีศรี ช่วยราชการ พดส.ภ.2. พร้อมด้วย ร.ต.ท.อิทธิพล ทองนาค และกำลังตำรวจ พดส.ภ.2 ส่วนหน้า นำกำลังแบ่งแยกออกเป็น 3 ชุดออกหาข่าวตามร้านขายยาในเขตเมืองพัทยา หลังมีการแอบลักลอบจำหน่ายยาปลุกอารมณ์ทางเพศให้กับต่างชาติ รวมทั้งชาวไทยกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดแรก เข้าจับกุมร้าน เค แอนด์ ฟาร์มาซี ตั้งอยู่ถนนพัทยาสายสอง ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ควบคุมตัว น.ส. พรทิวา รสดี อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/53 ม.13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ดูแลร้าน พร้อมของกลางเป็นยาปลุกอารมณ์ทางเพศจำนวนมาก ส่วนตำรวจชุดสอง เข้าจับกุมร้านไทยแลนด์ ตั้งอยู่ถนนพัทยาสายสอง ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ควบคุมตัว น.ส.สมฤดี ชินรัตน์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 ม.8 ต.กำพี้ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ผู้ดูแลร้าน พร้อมของกลาง ส่วนชุดที่สามเข้าจับกุมร้านอินทาว ตั้งอยู่ถนนพัทยาสายสอง ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ควบคุมตัว น.ส. นันทิตา วงค์กองแก้ว อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 174 ม. 9 ต.ส้าน อ.เวียงสา จ.น่าน พร้อมของกลาง โดย ทั้ง 3 ร้านตั้งอยู่ย่านพัทยาใต้
นอกจากเจ้าหน้าที่ยังยึดของกลางเป็นยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ หลายยี่ห้อ เช่น ไวอากร้าซูปเปอร์คามากร้า ชนิดเม็ด และชนิดซอง จำนวนมาก มูลค่าหลายหมื่นบาท พร้อมควบคุมตัวผู้ดูแลทั้ง 3 ร้านนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำหรับการกวาดล้างยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย พร้อมทั้งยึดของกลางได้หลายรายการ สืบเนื่องจากได้รับนโยบายมาจาก พล.ต.ต.โกศล พัวเวส รอง ผบช.ภ.2 ให้ทำการกวดขันจับกุมร้านขายยาในพื้นที่ที่ลักลอบจำหน่ายยาที่ไม่ได้รับอนุญาต และออกฤทธิ์ทางประสาทและยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เนื่องจากยาดังกล่าวส่งผลให้ถ้าผู้ใดกินแล้วเกินอาการแพ้ยา ก็อาจจะช็อกถึงขั้นเสียชีวิตได้จึงมีคำสั่งให้กวดขันสืบหาแหล่งจำหน่ายตามร้านยาต่างๆอย่างต่อเนื่อง
sithiphong:
หมอณรงค์ เตือนผู้ป่วยไข้เลือดออก ห้ามกินยาแอสไพริน-ไอโบรบรูเฟน
-http://health.kapook.com/view66048.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข
หมอณรงค์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้หากมีไข้ขึ้นสูง 2 วันติด เสี่ยงไข้เลือดออก ควรรีบพบแพทย์ พร้อมเตือนห้ามผู้ป่วยไข้เลือดออกกินยา แอสไพริน และไอโบรบรูเฟน โดยเด็ดขาด เพราะจะกัดกระเพาะ-เลือดออกง่ายขึ้น
วันนี้ (7 กรกฎาคม 2556) นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคไข้เลือดออกว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส และยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะรักษาโดยการประคับประคองอาการให้ร่างกายฟื้นตัวจนพ้นระยะอันตรายในช่วงสัปดาห์แรก ดังนั้นหากผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูงต่อเนื่อง 2 วันแล้วกินยาลดไข้หรือเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยทันที ซึ่งหากมีอาการรุนแรงแพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยจะให้คำแนะนำวิธีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ทันที ได้แก่
1. ผู้ป่วยซึมลง
2. อ่อนเพลียมาก
3. ปวดท้อง กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน
4. พบว่ามีเลือดออกเช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน ประจำเดือนมากผิดปกติ หรือถ่ายเป็นสีดำ ซึ่งมักเกิดในวันที่ 3 หรือวันที่ 4 หลังเกิดอาการของโรค
โดยหากมีอาการใดอาการหนึ่งที่กล่าวมา ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่ผู้ป่วยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะช็อก เนื่องจากมีเลือดออกในอวัยวะภายในซึ่งมักจะเกิดในระยะหลังไข้ลง ซึ่งได้รับการรักษาช้าอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้หากหลังไข้ลดแล้ว ผู้ป่วยมีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุย กินอาหารได้มากขึ้น แสดงว่าอาการดีขึ้นเริ่มฟื้นตัว และจะหายเป็นปกติ
สำหรับการดูแลผู้ป่วยในระยะ 1-2 วันแรกที่มีไข้สูง ขอให้เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดา กินยาพาราเซตามอล ยาที่ห้ามกินเด็ดขาดคือแอสไพริน และไอโบรบรูเฟน เพราะจะกัดกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น โดยให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และห้ามกินน้ำหรือผลไม้ที่มีสีแดง เช่น น้ำแดง แตงโม เนื่องจากจะทำให้แยกอาการเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ได้ยากขึ้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=190063&catid=176&Itemid=524-
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version