อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

ภาพปริศนา ? "พระสงฆ์สอนหนังสือเด็ก" ความเข้าใจผิดอันคลาดเคลื่อน

<< < (2/2)

sithiphong:
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเพิ่มอิสริยยศเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ให้พิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะแต่ก่อน ๆ มา
คือทรงสถาปนาเลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีนิตยภัตรเดือนละ ๑๑ ตำลึง มีถานานุกรมได้ ๑๒ รูป มากกว่าสมเด็จพระราชาคณะตำแหน่งอื่น ๆ (ซึ่งมีนิตยภัตร ๖ ตำลึงบ้าง ๗ ตำลึงบ้าง ๑๐ ตำลึงบ้าง และมีถานานุกรมได้ ๘ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง) เพื่อเป็นการเฉลิมพระราชศรัทธาปสาทะที่ได้ทรงมีในเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ที่ทรงยกย่องเป็น “อรรคมหาคารวสถาน” โดยฐานที่ได้ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในคราวทรงผนวชและเรียบเรียงหนังสือธรรมวินัยให้ได้ทรงศึกษาเป็นอันมาก
เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นับเป็นพระมหาเถระรูปที่ ๒ ได้รับพระราชทานสถาปนาในราชทินนามที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ อันเป็นราชทินนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่ขณะที่ยังไม่เป็นสมเด็จพระสังฆราช นับได้ว่าเป็นการพระราชทานเกียรติยศอย่างสูงเป็นกรณีพิเศษ
พ.ศ. ๒๔๓๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ องค์สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา พระชนมายุ ๘๓ พรรษา แต่เป็นคราวที่ไม่สะดวกในทางราชการ พระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ พระองค์นั้น ต้องประดิษฐานไว้ ณ พระตำหนักเดิมอันเป็นที่ประทับนานถึง ๘ ปีกับ ๓ เดือน จึงได้ถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓
ครั้น พ.ศ. ๒๔๓๖ ในรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ (๒๔๓๖) อันเป็นปีที่ทรงมีพระชนมายุได้ ๘๐ พอดี
การสถาปนาครั้งนี้เรียกว่า “สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ พระราชทานมุทธาภิเศก เลื่อนตำแหน่งสมณถานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีนามตามจารึกในสุพรรณบัตรตามเดิม” คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ฯลฯ มีสำเนาประกาศทรงสถาปนาดังนี้
คำประกาศ


ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาล เป็นอดีตภาคล่วงแล้ว ๒๔๓๖ พรรษา ปัตยุบันกาล จันทรคตินิยม อุรคสังวัจฉร กรรติกมาศ กาฬปักษ์ ฉัฏฐมีดิถี พุฒวาร สุริยคติกาล รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ พฤศจิกายนมาศ เอกุณติงสติม มาสาหคุณประเภท ปริเฉทกาลกำหนด
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ฯลฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ว่า พระสงฆ์ซึ่งดำรงสมณคุณ สมควรจะเลื่อนอิศริยยศในสมณศักดิ์มีอยู่หลายองค์ กาลบัดนี้ก็เป็นเวลาใกล้การมหามงคลราชพิธีรัชฎาภิเศก ควรจะสถาปนาอิศริยยศพระสงฆ์ที่ควรจะสถาปนาขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ตามตำแหน่ง เมื่อพระสงฆ์ซึ่งทรงสมณคุณได้รับอิศริยศักดิโดยสมควรแก่คุณานุรูปเช่นนั้นแล้ว แลมาสู่สงฆสมาคม ณ พระราชพิธีสถาน ก็จะเป็นการมงคลอันอุดมยิ่ง ทั้งจะเป็นการเพิ่มภูลพระเกียรติยศพระเกียรติคุณให้ไพโรจน์ชัชวาลย์ด้วย จึงทรงพระราชดำริห์ว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ ประกอบด้วยคุณธรรมอนันตโกศล วิมลปฏิภาณ ญาณปรีชา รอบรู้พระปริยัติธรรม เป็นเอกอรรคบุรุษ แลดำเนินในสัมมาปฏิบัติดำรงคุณธรรม อันได้แจ้งอยู่ในประกาศเลื่อนตำแหน่งแต่ก่อนโดยพิศดาร จึงได้ทรงสถาปนาให้มีอิศริยศักดิพิเศษยิ่งกว่าสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่โดยสามัญแล้ว บัดนี้พระมหาเถระซึ่งมีคุณแลไวยแลอิศริยศักดิเปนชั้นเดียวกันก็ล่วงลับไปสิ้นแล้ว ยังเหลืออยู่แต่พระองค์เดียวเป็นที่เจริญพระราชศรัทธา แลเปนอรรคมหาคารวะสถานยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งเจริญด้วยชนมายุกาลรัตตัญญูภาวคุณเป็นพระมหาเถระในสงฆ์ สมควรที่จะดำรงสมณถานันดรศักดิ์ ที่สมเด็จพระสังฆราช ให้ปรากฏเกียรติยศเกียรติคุณสืบไปสิ้นกาลนาน แลจะได้เป็นที่สักการบูชาแห่งพุทธสาสนิกบริสัช ทั้งคฤหัสถ์แลบรรพชิตทั้งปวงทั่วไป
จึงมีพระบรมราชโองการมาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ดำรัสสั่งให้สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระราชทานมุทธาภิเศก เลื่อนตำแหน่งสมณถานันดรศักดิ์ขึ้นเปนสมเด็จพระสังฆราช มีนามตามจารึกในสุพรรณบัตรตามเดิมว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง มหาสังฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปุสสเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโสภณ วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธสาสนบริสัชคารวะสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดรคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสีอรัญวาสี สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง เป็นประธานในสมณะมณฑลทั่วพระราชอาณาเขตร แลดำรงที่เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือด้วย พระราชทานนิตยภัตรเพิ่มขึ้นเปนราคาเดือนละ ๑๒ ตำลึง มีอิศริยยศถานานุศักดิ์ ควรตั้งถานานุกรมได้ ๑๖ รูป คือ
พระครูปลัดสัมพิพัฒนศีลาจารย์ ญาณวิมล สกลคณิศร อุดรสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง พระครูปลัดกลาง มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑
พระครูปลัดอวาจีคณานุสิชฌน์ สังฆอิศริยาลังการ วิจารณกิจโกศล วิมลสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง พระครูปลัดขวา มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑
พระครูปลัดอุทิจยานุสาสน์ วิจารโณภาศภาคยคุณ สุนทรสังฆานุคุติ วิสุทธิสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง พระครูปลัดซ้าย มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑
พระครูธรรมกถาสุนทร มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๒ ตำลึง ๑
พระครูวินัยกรณ์โสภณ มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๒ ตำลึง ๑
พระครูพรหมวิหาร มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๑ ตำลึง ๒ บาท ๑
พระครูญาณวิสุทธิ มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๑ ตำลึง ๒ บาท ๑
พระครูวินัยธร ๑
พระครูวินัยธรรม ๑
พระครูเมธังกร ๑
พระครูวรวงศา ๑
พระครูธรรมราต ๑
พระครูธรรมรูจี ๑
พระครูสังฆวิจารณ์ ๑
พระครูสมุห์ ๑
พระครูใบฎีกา ๑
รวม ๑๖ รูป เป็นที่เฉลิมพระราชศรัทธาภิยโยภาพปรากฏสิ้นกาลนาน ขออาราธนาให้รับธุระพระพุทธสาสนา เปนภาระสั่งสอนแลระงับอธิกรณ์พระสงฆ์สามเณรในคณะแลคณานุคณะในสยามรัฏฐิกสงฆมณฑลทั่วไป ให้ทวียิ่งขึ้นตามสมควรแก่กำลังแลอิศริยยศซึ่งพระราชทานนี้

ในการทรงสถาปนาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งนี้ ไม่ได้พระราชทานพระสุพรรณบัตรใหม่ เป็นแต่โปรดให้เจ้าพนักงานเชิญพระสุพรรณบัตรครั้งเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มาตั้งสมโภชที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระราชทานแต่ใบกำกับพระสุพรรณบัตรใหม่เท่านั้น ในคราวเดียวกันนี้ ได้พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดำรงพระยศ กรมหมื่น เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต และพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุตติกนิกาย ด้วย
งานพระนิพนธ์ ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) ก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นงานแปลพระสูตร หนังสือเทศนา และเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ พระนิพนธ์ต่าง ๆ ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นั้น ถือกันว่าเป็นงานชั้นครู ทั้งในด้านเนื้อหา สำนวน และแบบแผนในทางภาษา โดยเฉพาะพระนิพนธ์เทศนา มีอยู่เป็นอันมากที่ใช้เป็นแบบอย่างกันมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นจนถึงปัจจุบัน
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ว่า
“แท้จริง บรรดาเทศนาทั้งหลายของสมเด็จพระสังฆราช วัดราชประดิษฐ์นั้นพวกบัณฑิตย่อมนับถือกันว่า เป็นหนังสือแต่งดีอย่างเอกมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ถือกันว่าควรเป็นแบบอย่างทั้งในทางถ้อยคำและในทางปฏิภาณโวหารเป็นของที่ชอบอยู่ทั่วกัน” (๒๙)
พระนิพนธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ หากได้มีการรวบรวมไว้ให้ครบถ้วน ก็จักเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาในทางพระศาสนาและสารคดีธรรมเป็นอย่างยิ่ง เท่าที่รวบรวมรายชื่อได้ในคราวนี้ มีดังนี้
ประเภทพระสูตรแปล
๑. กาลามสูตร
๒. จักกวัตติสูตร
๓. จูฬตัณหาสังขยสูตร
๔. ทาฬิททิยสูตร
๕. ทีฆชาณุโกฬิยปุตตสูตร
๖. ธนัญชานีสูตร
๗. ธัมมเจติยสูตร
๘. ปราภวสูตร
๙. ปาสาทิกสูตร
๑๐. มหาธัมมสมาทานสูตร
๑๑. โลกธัมมสูตร
๑๒. สฬายตนวิภังคสูตร
๑๓. สัมมทานิยสูตร
๑๔. สุภสูตร
๑๕. เสขปฏิปทาสูตร
๑๖. อนาถปิณฑโกวาทสูตร
๑๗. อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ
๑๘. อภิปปฏิสาสสูตร
๑๙. อากังเขยยสูตร
๒๐. อายาจนสูตร
๒๑. มหาสติปัฏฐานสูตร
ประเภทเทศนา
๑. ปฐมสมโพธิย่อ (๓ กัณฑ์จบ)
๒. เรื่องจาตุรงคสันนิบาตและโอวาทปาติโมกข์
๓. ปฐมสมโพธิ (แบบพิสดาร ๑๐ กัณฑ์จบ) เรื่องนี้ใช้เป็นหนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี - เอก อยู่ในปัจจุบัน
๔. อนุปุพพิกถา (๕ กัณฑ์จบ)
๕. สาราทานปริยาย
๖. ธัมมฐิตัญญาณกถา
๗. ฉฟังคุเปกขากถา
๘. กัสสปสังยุตตกถา
๙. กฐินกถา
๑๐. วัสสูปนายิกกถา
๑๑. เทศนาจตุราริยสัจจกถา (๔ กัณฑ์จบ)
๑๒. ธุตังคกถา
๑๓. สัปปุริสธรรม ๗ ประการ
๑๔. อัฎฐักขณกถา
๑๕. อัฏฐมลกถา
๑๖. อัปปมัญญาวิภังคกถา
๑๗. จตุรารักขกรรมฐานกถา
๑๘. ธัมมุเทศกถา
๑๙. นมัสสนกถา
๒๐. ปวรคาถามารโอวาท
๒๑. ภัทเทกรัตตคาถา
๒๒. รัตตนัตตยปริตร (๓ กัณฑ์จบ)
๒๓. สังคหวัตถุและเทวตาพลี
๒๔. สรณคมนูปกถา
๒๕. สัตตาริยธนกถา
๒๖. สัพพสามัญญานุสาสนี
๒๗. อุกกัฎฐปฎิปทานุสาสนี
๒๘. โสกสัลลหรณปริยาย
๒๙. โสฬสปัญหา (๑๘ กัณฑ์จบ)
ต่างเรื่อง
๑. พระภิกขุปาติโมกข์แปลตรงคงตามบทพยัญชนะ โดยพระบรมราชานุมัติในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒. พระภิกขุปาติโมกข์สิกขาบท
๓. วิธีบรรพชาอุปสมบทอย่างธรรมยุตติกนิกาย
๔. สวดมนต์ฉบับหลวง
๕. แปลธัมมปทัฎฐกถา ภาค ๑ (บางเรื่อง)
รวมพระนิพนธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ที่เป็นงานแปลพระสูตร ๒๐ สูตร เทศนา ๗๐ กัณฑ์ และพระนิพนธ์เบ็ดเตล็ดต่างเรื่อง ๕ เรื่อง เท่าที่รวบรวมได้ในขณะนี้ เข้าใจว่าคงยังไม่ครบบริบูรณ์แต่ก็เป็นจำนวนเกือบ ๑๐๐ เรื่องซึ่งนับว่ามิใช่จำนวนน้อย
พระกรณียะพิเศษ
สมเด็จพระสังฆราช (สา) ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ถวายพระมงคลวิเสสกถา ซึ่งเป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง มาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ และได้ถวายต่อมาในรัชกาลที่ ๕ จนตลอดพระชนมชีพของพระองค์ท่าน
เทศนาพระมงคลวิเสสกถา เป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งพรรณนาพระราชจรรยาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเพื่อประโยชน์จะได้ทรงพระปัจจเวขณ์ (คือพิจารณา) ถึงแล้ว เกิดพระปีติปราโมทย์แล้ว ทรงบำเพ็ญราชธรรมนั้นยิ่ง ๆ เป็นการอุปถัมภ์พระราชจรรยาให้ถาวรไพบูลย์ (๓๐)
พระเถระที่จะรับหน้าที่ถวายพระมงคลวิเสสกถาในครั้งนั้น สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรด เช่นในรัชกาลที่ ๔ ก็ทรงอาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นผู้ถวาย และถวายต่อมาถึงในรัชกาลที่ ๕
เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ สิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แต่ครั้งยังทรงดำรงพระยศ กรมหมื่นเป็นผู้ถวาย และได้ถวายต่อมาจนถึงในรัชกาลที่ ๖
เมื่อสมเด็จพระสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ พระองค์นั้นสิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) ได้เป็นผู้ถวายต่อมา เป็นต้น
ในปัจจุบัน การถวายพระมงคลวิเสสกถา เป็นหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช หรือพระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมอบหมาย
ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕เมื่อคราวเสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุ พ.ศ.๒๔๑๖
ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ในการทรงผนวชของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า และพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้า ในพระบรมราชวงศ์จักรีหลายพระองค์
เกี่ยวกับพระอัธยาศัยส่วนพระองค์นั้นเล่ากันว่า ทรงปกครองบริษัทด้วยพระกรุณาอนุเคราะห์ และยกย่องสหธรรมิกด้วยธรรมและอามิสตามควรแก่คุณานุรูป มีพระอัธยาศัยค่อนไปข้างทรงถือพระวินัยละเอียดลออมาก หากเกิดความสงสัยในอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะไม่เป็นอาบัติแท้ ก็จะทรงแสดงเสียเพื่อความบริสุทธิ์ (๓๑)
กล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงเป็นพระมหาเถระที่เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก และทรงธรรมทางวินัยอย่างแท้จริงพระองค์หนึ่ง จึงทรงเป็นที่เคารพสักการะแห่งพุทธบริษัททุกหมู่เหล่าเป็นอย่างยิ่ง นับแต่องค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเป็นต้นตลอดจนคณะสงฆ์และพุทธบริษัททั่วไป
ในตอนปลายแห่งพระชนม์ชีพ เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ประชวรด้วยพระโรคบิดประกอบกับพระโรคชรา สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๒ นับพระชนมายุได้ ๘๗ โดยปี
เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงดำรงอยู่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๗ ปี ทรงครองวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสาราม ๓๔ ปี
หลังจากที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช(สา) สิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเลยจนตลอดรัชกาล จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่ถึง ๑๑ ปี (พ.ศ. ๒๔๔๒ - ๒๔๕๓)
เช่นเดียวกับในครั้งรัชกาลที่ ๔ หลังจากที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือ สิ้นพระชนม์แล้ว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชจนตลอดรัชกาลเช่นเดียวกัน จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่ถึง ๑๕ ปี
นำให้เข้าใจว่า แต่โบราณมานั้น พระเถระที่จะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น เฉพาะที่เป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นพิเศษ โดยฐานเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ หรือพระราชกรรมวาจาจารย์ หรือพระอาจารย์เท่านั้น
ดังนั้น ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงเคารพนับถือมากโดยฐานทางเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีก และในรัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระราชอุปัธยาจารย์และสมเด็จพระสังฆราช (สา) พระราชกรรมวาจาจารย์ สิ้นพระชนม์แล้ว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเช่นกันจนตลอดรัชกาล
เชิงอรรถ
(๑) ในหนังสือบางเล่มเรียกว่า “บางไผ่ใหญ่”
(๒) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระสาสนโสภณ (ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระสาสนโสภณ (เอื้อน) วัดเทพศิรินทราวาส ๒๕๒๑) หน้า ๗๕
(๓) จดหมายเหตุเรื่องไต่สวนนายกุหลาบ ฯ (ในงานพระศพพระองค์เจ้าแขไขดวง ๒๔๗๒) หน้า ๒๙
(๔) เล่มเดียวกัน หน้า ๒๙
(๕) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์. (ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๖๖) หน้า ๑๔๐-๑
(๖) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๗๗
(๗) จดหมายเหตุเรื่องไต่สวนนายกุหลาบฯ อ้างแล้ว หน้า ๓๕-๓๖
(๘) ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร (พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ๒๔๖๕) หน้า ๒๐-๒๓
(๙) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม (ของนาย เอ บี กริสโวลด์. พิมพ์โดยเสด็จ พระราชกุศลในมหามงคลสมัย พระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระราชบิดา ๒๕๐๘) หน้า ๓๖-๓๗.
(๑๐) สัตตปัพพ บุพพสิกขา และบุพพสิกขาวรรณนา (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑/๒๕๑๐) หน้า ฎ
(๑๑) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๔
(๑๒) ประชุมพระราชนิพนธ์ภาษาบาลีในรัชกาลที่ ๔ ภาค ๒ ( ในการพระเมรุพระศพ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฎฐายี) ๒๕๑๕ หน้า ๓๔๖ - ๓๔๙
(๑๓) ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร อ้างแล้วหน้า ๕๒-๕๓
(๑๔) เล่มเดียวกัน หน้า ๓๓
(๑๕) เล่มเดียวกัน หน้า ๒๔
(๑๖) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๑ และ จดหมายเหตุ เรื่องไต่สวนนายกุหลาบ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๓๖
(๑๗) เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๑-๑๔๒
(๑๘) สาส์นสมเด็จ (ลายพระหัตถ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ฯ องค์การค้าของคุรุสภา๒๗๖) เล่ม ๒๓ หน้า ๑๒๖
(๑๙) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๘๔
(๒๐) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๒
(๒๑) พระประวัติตรัสเล่า. (พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ฉบับพิมพ์ครั้ง ๒/๒๔๙๔ มหามกุฎราชวิทยาลัย) หน้า ๓
(๒๒) คำบอกเล่าของพระธรรมปัญญาจารย์ (ทิม อุฑาฆิโม) แต่ครั้งยังเป็นที่พระเทพเมธากร อ้างในทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๘๕
(๒๓) มหามกุฎราชานุสสณีย์ (มหามกุฎราชวิทยาลัยพิมพ์เฉลิมพระเกียรติสมัยครบ ๑๐๐ ปี จากวาระเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๑๑). หน้า (๕๒)-(๕๖)
(๒๔) ลิลิตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชใน พระนิพนธ์ต่างเรื่อง (ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มหามกุฎราชวิทยาลัย ๒๕๑๔) หน้า ๒๔๘
(๒๕) ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร อ้างแล้ว หน้า ๖๘-๖๙
(๒๖) พระประวัติตรัสเล่า อ้างแล้ว หน้า ๙๙
(๒๗) กฎหมายรัชกาลที่ ๕ (หลวงรัตนาญัปติ (เปล่ง) อธิบดีกรมอัยการ รวบรวม). หน้า ๘๓๘
(๒๘) พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย. (ของเสทื้อน ศุภโสภณ คลังวิทยา ๒๕๐๕). หน้า ๒๔๒-๔
(๒๙) โสฬสปัญหา (สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงนิพนธ์ ในการปลงศพม่อมหลวงดวงเดือน ดารากร ๒๔๖๗) คำนำ หน้า ข
(๓๐) พระมงคลวิเสสกถา หลักสูตรนักธรรมชั้นเอก (ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส มหามกุฏราวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๑๒/๒๕๐๓) คำนำ หน้า ก
(๓๑) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๙๐

sithiphong:
พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ
พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย
http://cu-banna.is.in.th/?md=content&ma=show&id=43



ประวัติการสหกรณ์ในประเทศไทย

การสหกรณ์ในประเทศไทย มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจาก เมื่อประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ มากขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ระบบเศรษฐกิจของชนบทก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบเพื่อเลี้ยง ตัวเองมาสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเพื่อการค้า ความต้องการเงินทุนในการขยายการผลิตและการครองชีพจึงมีเพิ่มขึ้น ชาวนาที่ไม่มีทุนรอนของตนเองก็หันไปกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง และยังถูกเอาเปรียบจากพ่อค้านายทุนทุกวิถีทางอีกด้วย ชาวนาจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา ทำนาได้ข้าวเท่าใด ก็ต้องขายใช้หนี้เกือบหมด นอกจากนี้การทำนายังคงมีผลผลิตที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าปีไหนผลผลิตเสียหายก็จะทำให้หนี้สินพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆจนลูกหนี้บางรายต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่นาให้แก่เจ้าหนี้ และกลายเป็นผู้เช่านา หรือเร่ร่อนไม่มีที่ดินทำกินไปในที่สุด

จากสภาพปัญหาความยากจนของชาวนาในสมัยนั้น ทำให้ทางราชการคิดหาวิธีช่วยเหลือ ด้วยการจัดหาเงินทุน มาให้กู้และคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำความคิดนี้ได้เริ่มขึ้นในปลายรัชการที่ 5 โดยกำหนดวิธีการที่จะช่วยชาวนาในด้านเงินทุนไว้ 2 วิธี คือ วิธีที่ 1 จัดตั้งธนาคารเกษตรเพื่อให้เงินกู้แก่ชาวนา แต่ขัดข้องในเรื่องเงินทุนและหลักประกันเงินกู้ ความคิดนี้จึงระงับไป
วิธีที่ 2 วิธีการสหกรณ์ประเภทหาทุน วิธีนี้เกิดจากรัฐบาลโดยกระทรวงพระคลังมหาสมบัติในปัจจุบันคือ กระทรวงการคลังได้เชิญเซอร์เบอร์นาร์ด ฮันเตอร์ หัวหน้าธนาคารแห่งมัดราช ประเทศอินเดียเข้ามาสำรวจหาลู่ทางช่วยเหลือชาวนาได้เสนอว่าควรจัดตั้ง "ธนาคารให้กู้ยืมแห่งชาติ" ดำเนินการให้กู้ยืมแก่ราษฎร โดยมีที่ดินและหลักทรัพย์อื่นเป็นหลักประกันเพื่อป้องกันมิให้ชาวนาที่กู้ยืมเงินทอดทิ้งที่นาหลบหนี้สิน ส่วนการควบคุมเงินกู้และการเรียกเก็บเงินกู้ ท่านได้แนะนำให้จัดตั้งเป็นสมาคมที่เรียกว่า "โคออเปอราทีฟ โซไซ"(Cooperative Society) โดยมีหลักการร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันซึ่งคำนี้พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณได้ทรงบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยว่า "สมาคมสหกรณ์" จึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยเริ่มศึกษาวิธีการสหกรณ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2457 แต่ก็ยังมิได้ดำเนินการอย่างไร จนกระทั่งในปี 2458 ได้มีการเปลี่ยนกรมสถิติพยากรณ์ เป็นกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ประกอบด้วยส่วนราชการ 3 ส่วน คือ การพาณิชย์ การสถิติพยากรณ์ และการ สหกรณ์
การจัดตั้งส่วนราชการสหกรณ์นี้ ก็เพื่อจะให้มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการทดลองจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นและพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ในฐานะทรงเป็นอธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ขณะนั้นได้ทรงพิจารณาเลือกแบบอย่างสหกรณ์เครดิตที่จัดกันอยู่ในต่างประเทศหลายแบบ ในที่สุดก็ทรงเลือกแบบไรฟ์ไฟเซนและทรงยืนยันไว้ใน รายงานสหกรณ์ฉบับแรกว่า "เมื่อได้พิจารณาละเอียดแล้วได้ตกลงเลือกสหกรณ์ชนิดที่เรียกว่าไรฟ์ไฟเซน ซึ่งเกิดขึ้นในเยอรมันก่อน และซึ่งมุ่งหมายที่จะอุปถัมภ์คนจน ผู้ประกอบกสิกรรมย่อมๆ เห็นว่าเป็นสหกรณ์ชนิดที่เหมาะสม ที่สุดสำหรับประเทศไทย" จากการที่พระองค์ท่าน ทรงเป็นผู้บุกเบิกริเริ่มงานสหกรณ์ขึ้นในประเทศไทย บุคคลทั้งหลายในขบวนการสหกรณ์จึงถือว่าพระองค์ทรงเป็น "พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย" สำหรับรูปแบบของไรฟ์ไฟเซนก็คือ สหกรณ์เพื่อการกู้ยืมเงินที่มีขนาดเล็ก สมาชิกจะได้มีความรับผิดชอบร่วมกัน ทำให้สะดวกแก่การควบคุมท้องที่ที่ได้รับการพิจารณาให้จัดตั้งสหกรณ์ คือ จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากเป็นจังหวัด ที่มีผู้คนไม่หนาแน่นและเป็นราษฎรที่เพิ่งอพยพมาจากทางใต้ จึงต้องการช่วยเหลือผู้อพยพซึ่งประกอบอาชีพการเกษตร ให้ตั้งตัวได้ รวมทั้งเพื่อเป็นการชักจูงราษฎรในจังหวัดอื่นทีมีผู้คนหนาแน่นให้อพยพมาในจังหวัดนี้ และเข้าทำประโยชน์ในที่ดินอย่างเต็มที่ ต่อมากรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ จึงได้ทดลองจัดตั้งสหกรณ์หาทุนขึ้น ณ ท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกเป็นแห่งแรกใช้ชื่อว่า "สหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้" โดยจดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2459 มีพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ เป็นนายทะเบียนสหกรณ์ พระองค์แรก นับเป็นการเริ่มต้นแห่งการสหกรณ์ในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์

ในระยะแรกตั้งสหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้มีสมาชิกจำนวน 16 คน ทุนดำเนินงาน 3,080 บาท ซึ่งเป็นเงิน จากค่าธรรมเนียมแรกเข้า 80 บาท และเงินทุนจำนวน 3,000 บาท ได้อาศัยเงินกู้จากแบงค์สยามกัมมาจล จำกัด ซึ่งก็คือธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบัน โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเป็นผู้ค้ำประกัน และเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี คิดดอกเบี้ยจากสมาชิกในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี กำหนดให้สมาชิกส่งคืนเงินต้นในปีแรกจำนวน1,300 บาท แต่เมื่อครบกำหนดสมาชิกส่งคืนเงินต้นได้ถึง 1,500 บาท ทั้งส่งดอกเบี้ยได้ครบทุกราย แสดงให้เห็นว่าการนำวิธีการสหกรณ์เข้ามาช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของชาวนาได้ผล และจากความสำเร็จของสหกรณ์วัดจันทร์ดังกล่าว รัฐบาลจึงได้คิดขยายกิจการสหกรณ์ไปยังจังหวัดอื่นๆแต่การจัดตั้งสหกรณ์ในระยะแรกนั้น นอกจากจะมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนแล้วยังมีข้อจำกัดในทางกฎหมายด้วย เพราะพระราชบัญญัติเพิ่มเติมสมาคม พ.ศ. 2459 ทำให้การจัดตั้งสหกรณ์ไม่กว้างขวางพอที่จะขยายสหกรณ์ออกไป หากจะให้การจัดตั้งสหกรณ์เจริญก้าวหน้าและมีความมั่นคงจะต้องออกกฎหมายควบคุมให้มีขอบเขตกว้าง ดังนั้นในเวลาต่อมาทางราชการจึงได้ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติเพิ่มเติมสมาคม พ.ศ. 2459 แล้วประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471นับเป็นกฎหมายสหกรณ์ฉบับแรก พระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้เปิดโอกาสให้มีการรับจดทะเบียนสหกรณ์ประเภทอื่นๆ จากนั้นได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471อีก 3 ครั้ง นับว่าการประกาศให้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ช่วยให้การจัดตั้งสหกรณ์ได้ขยายออกไปอีกมาก
ปี พ.ศ. 2478 มีการริเริ่มจัดตั้งสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินที่จังหวัดปทุมธานีและได้จัดตั้งสหกรณ์ประเภทใหม่ๆ ขึ้นอีกหลายประเภท เช่น สหกรณ์บำรุงที่ดินสหกรณ์ค้าขาย สหกรณ์นิคมฝ้าย สหกรณ์หาทุนและบำรุงที่ดิน ในปี พ.ศ. 2480 ร้านสหกรณ์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชื่อว่าร้านสหกรณ์บ้านเกาะ จำกัดสินใช้ มีสมาชิกแรกตั้ง279 คน และได้มีการจัดตั้งร้านสหกรณ์ในลักษณะนี้อีกหลายแห่งเพื่อช่วยเหลือ ประชาชนเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ โดยจัดตั้งขึ้น ทั้งในส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และส่วนของประชาชน การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของขบวนการสหกรณ์ในประเทศไทย ก็คือการควบสหกรณ์หาทุนเข้าด้วยกัน โดยทางราชการได้ออกพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 เปิดโอกาสให้สหกรณ์หาทุนขนาดเล็กที่ดำเนินธุรกิจเพียงอย่างเดียวควบเข้ากันเป็นขนาดใหญ่ สามารถขยายการดำเนินธุรกิจเป็นแบบอเนกประสงค์ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่สมาชิก ได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้สหกรณ์หาทุนจึงแปรสภาพเป็นสหกรณ์การเกษตรมาจนปัจจุบัน และในปี 2511 สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยได้ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อเป็นสถาบันสำหรับให้การศึกษาแก่สมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ มีหน้าที่ติดต่อประสานงานกับสถาบันสหกรณ์ต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์และความช่วยเหลือ ร่วมมือกันระหว่างสหกรณ์สากลในด้านอื่นๆ ที่มิใช่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจโดยมีสหกรณ์ทุกประเภทป็นสมาชิก ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดประเภทสหกรณ์ไว้ 6 ประเภท ตามประกาศกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2516 ประกอบด้วยสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ร้านค้า และสหกรณ์บริการ

ซึ่งนับแต่สหกรณ์ได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน ผลการดำเนินงานของสหกรณ์ในธุรกิจต่างๆ ได้สร้างความเชื่อถือเป็นที่ไว้วางใจของสมาชิกจนทำให้จำนวนสหกรณ์ จำนวนสมาชิก ปริมาณเงินทุน และผลกำไรของสหกรณ์ เพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีสหกรณ์ทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 มกราคม 2542 ประมาณ 5,549 สหกรณ์ และสมาชิก 7,835,811 ครอบครัว การสหกรณ์ในประเทศไทยจึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะ ต่อประชาชนที่ยากจน สหกรณ์จะเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพ และช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น



ที่มา : กรมส่งเสริมสหกรณ์



http://www.cpd.go.th/ewt/web_cpd/index.html

กระทู้พระวังหน้าฯ หน้า 1277
http://board.palungjit.com/showthrea...=1#post1732587

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13:อนุโมทนาสาธุครับ  ขอบคุณครับพี่หนุ่ม

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version