รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-
ภัยจากกลโกงบัตรเครดิต และบัตรผ่อนสินค้า
เป็นอย่างไรนะ...โกงผ่านบัตรเครดิต
มิจฉาชีพ จะทำการขโมย ข้อมูลบัตรเครดิต บัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของเรา แล้วนำไปซื้อสินค้าและบริการต่างๆในนามของเรา โดยวิธีที่มิจฉาชีพนิยมใช้ มีดังนี้
1. ปลอมแปลงเอกสารสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต เพื่อหลอกลวงให้สถาบันการเงินออกบัตรให้ในนามของเรา
2. ขโมยบัตรเครดิตหรือนำบัตรที่สูญหายไปใช้โดยที่เราไม่รู้ตัว
3. ใช้อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็ก (เครื่อง Skimmer) คัดลอกข้อมูลของเราแล้วทำบัตรปลอม
4. หลอกลวงขอข้อมูลของบัตรและข้อมูลส่วนตัวของเรา แล้วนำไปใช้ซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต ข้อมูลดังกล่าว
ได้แก่ ชื่อผู้ถือบัตร ประเภทของบัตร ธนาคารผู้ออกบัตร หมายเลขบัตร เดือน/ปี ที่ออกบัตร และเดือน/ปี ที่หมดอายุ รวมไปถึง
รหัสปลอดภัยเลข 3 -4 หลัก ที่ปรากฏอยู่บนบัตร
เตรียมพร้อม...ระวังภัยบัตรเครดิต
1. เซ็นชื่อหลังบัตรทันทีเมื่อได้รับบัตรใหม่
2. เก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่นๆไว้ในที่ปลอดภัยและไม่มอบให้กับ
ผู้ไม่น่าไว้ใจ
3. จดหมายเลขบัญชีบัตรเครดิต รหัสถอนเงินสด และหมายเลขโทรศัพท์สำหรับแจ้งอายัดบัตรได้กรณีบัตรหายไว้ในที่
ปลอดภัย (ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ หรือเก็บรวมกับบัตรเครดิต)
4. อย่าเปิดเผยรหัสถอนเงินสดให้กับผู้อื่น
5. อย่าเปิดเผยรหัสความปลอดภัยโดยไม่จำเป็น (สำหรับบัตร MasterCard และ Visa คือ
เลข 3 หลัก ที่อยู่ด้านหลังบัตร บริเวณขวามือของแถบลายเซ็น สำหรับบัตร American Express คือ เลข 4 หลัก
ที่อยู่ด้านหน้าบัตร บริเวณเหนือหมายเลขบัตรเครดิต )
6. พึงระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น เลขประจำตัวประชาชน และ วัน/เดือน/ปี เกิด เป็นต้น รวมถึงข้อมูล
ที่อยู่บนบัตรเครดิต ซึ่งสามารถนำไปทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ คือ
- ธนาคารผู้ออกบัตร และประเภทของบัตร
- ชื่อผู้ถือบัตร
- หมายเลขบัตรเครดิต
- เดือน/ปี ที่ออกบัตร และ เดือน/ปี ที่บัตรหมดอายุ
7. หลี่กเลี่ยงการใช้บัตรในร้านค้าหรือตู้เอทีเอ็มที่มีความเสี่ยงหรือมีข่าวการทุจริต หากจำเป็นต้องใช้ในสถานที่ดังกล่าว
ควรอยู่ ณ จุดที่พนักงานทำรายการ หรืออยู่บริเวณใกล้ๆในระยะที่สังเกตได้
8. การใช้บัตรที่ร้านค้าควรเช็คให้แน่ใจว่าได้บัตรเครดิตคืนมาทุกครั้ง และตรวจสอบชื่อ-นามสกุลบนบัตร
9. ตรวจสอบความถูกต้องก่อนเซ็นชื่อใน Sales Slip และเก็บไว้เพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้ หากไม่ถูกต้อง แจ้งผู้ออกบัตร
ทันที
10. การใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากตู้ ATM ควรปฏิบัติ ดังนี้
- ระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็นรหัสเบิกถอนเงินสด
- ระมัดระวัง ATM ที่น่าสงสัยว่าอาจมีการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิต เช่น เครื่องอ่านแถบ
แม่เหล็กที่ช่องเสียบบัตรเพื่อขโมยข้อมูล หรือเครื่องบันทึกข้อมูลที่แป้นกดรหัสเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว
11. การซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต ควรเลือกใช้บริการเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ
12. กรณีบัตรเครดิตหาย ต้องรีบแจ้งให้ผู้ออกบัตรทราบทันที (ทั้งนี้ คุณยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนการแจ้งบัตรหาย)
13. ทำลายบัตรเครดิตก่อนที่คุณจะทิ้งบัตรเครดิต หรือเอกสารใดๆ เกี่ยวกับบัตรเครดิตทุกครั้ง เพื่อมิให้ผู้อื่นนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ
บัตรผ่อนสินค้า คืออะไร
บัตร ผ่อนสินค้า เป็นบัตรที่ใช้ซื้อสินค้า โดยส่วนมากมักใช้สำหรับการซื้อสินค้าเงินผ่อน ซึ่งผู้ซื้อยังไม่ต้องจ่ายค่าสินค้าเต็มจำนวน โดยบริษัทผู้ออกบัตรจะเป็นผู้ชำระค่าสินค้าเต็มจำนวนให้แทน หลังจากนั้นผู้ซื้อต้องชำระเงินค่าสินค้าและดอกเบี้ยคืนให้กับบริษัทผู้ออก บัตรจนครบสัญญา
มิจฉาชีพโกงผ่านบัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตได้ด้วยหรือ
ได้สิ โดยใช้บัตรผ่อนสินค้าและบัตรเครดิตในการซื้อสินค้า
มิจฉาชีพทำอย่างไร
มิจฉาชีพ จะติดป้ายโฆษณาตามเสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ หรือที่สาธารณะ ด้วยข้อความเชิญชวน เช่น ให้วงเงินสูง อนุมัติและรับเงินสดทันทีภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับ เงินกู้นอกระบบ หากเราสนใจและติดต่อไปตามเบอร์โทรที่ให้ไว้ มิจฉาชีพจะแนะนำวิธีการและเงื่อนไขต่างๆที่เกี่ยวกับการขอรับสินเชื่อ โดยเราไม่จำเป็นต้องมีประวัติการเงินที่ดี หรือมีวงเงินเหลือในบัตรเครดิตมากนัก
หาก เรายอมรับข้อตกลง มิจฉาชีพจะพาเราไปสมัครบัตรผ่อนสินค้าของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (หากเรามีบัตรผ่อนสินค้า หรือบัตรเครดิตอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องสมัครใหม่) เมื่อได้บัตรแล้วมิจฉาชีพจะพาเราไปซื้อสินค้าโดยจ่ายผ่านบัตรนั้นๆของเรา หลังจากนั้นมิจฉาชีพจะเป็นผู้รับซื้อสินค้านั้น โดยจะหักค่านายหน้าประมาณ 30%
ตัวอย่าง เช่น
เรา ตกลงกู้เงินนอกระบบกับกลุ่มมิจฉาชีพแล้ว เขาก็จะพาเราไปทำบัตรผ่อนสินค้า (ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องทำ) เมื่อได้บัตรก็พาเราไปซื้อสินค้า สมมติราคาเท่ากับ 10,000 บาท มิจฉาชีพก็จะหักค่านายหน้า 30 % คิดเป็นเงิน 3,000 บาท เราก็จะได้เงินแค่ 7,000 บาท แต่เป็นหนี้ทั้งหมด 10,000 บาท
เรายังต้องเสียเงินค่าอย่างอื่นอีกไหม
เสียสิ เรายังคงต้องเสียเงินผ่อนชำระสินค้าพร้อมดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อีก 28% ให้กับผู้ออกบัตร โดยผู้ปล่อยกู้ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบใด ๆ และยังนำสินค้าไปจำหน่ายต่ออีกด้วย
ถ้าไม่อยากถูกโกงทำอย่างไร
1. ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ถูกกฎหมาย
เท่านั้น
2. พิจารณาเปรียบเทียบเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมการ
จัดการเงินกู้ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี ก่อนใช้บริการ
3. ระมัดระวังโฆษณาอัตราดอกเบี้ยที่แจ้งว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อเดือน หรือต่อปี
เกร็ดความรู้เรื่องดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยต่อปี = อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน x 12
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ยเงินต้นเท่ากันทุกงวด x 1.8
(Effective Rate) (Flat Rate)
(อ่านต่อ ความรู้เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย)
4. อย่าใช้บริการสินเชื่อเพียงเพราะต้องการของแถม ควรใช้เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องกู้ยืม
หลอกลวงเงินผ่านแชร์ลูกโซ่
แชร์ลูกโซ่ คืออะไร
เป็น กลโกงหลอกให้เราลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงผิดปกติ โดยในช่วงต้นจะมีการจ่ายผลตอบแทนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเงินที่เอามาจากนักลงทุนรายใหม่ ไม่ได้มาจากเงินลงทุนจริง ๆ ถ้าไม่มีนักลงทุนรายใหม่ ก็ไม่มีเงินจ่ายนักลงทุนรายเก่า แชร์ก็ปิดตัว ผู้ลงทุนก็เสียเงินไป
แชร์แบบไหนที่ควรระวัง
- ที่ตั้งสำนักงานไม่มั่นคงถาวร เช่น เช่าตึกที่ไม่มีอาคารเป็นของตัวเอง ทรัพย์สินมีค่าในสำนักงานมีน้อย
- ไม่มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง แต่มีสินค้าซึ่งไม่ระบุแหล่งผลิตถาวร
- เก็บค่าสมัครสมาชิกเป็นจำนวนสูงมาก และมีการบังคับซื้อสินค้า
- ไม่เน้นการขายสินค้าแต่เน้นให้สร้างทีมให้หาสมาชิกและผู้ลงทุนรายใหม่ โดยหาสมาชิกได้มากจะได้ค่าตอบแทนมาก
- ลงทุนต่ำ ผลตอบแทนสูงและจ่ายค่าตอบแทนเร็วเกินเหตุ รับลงทุนแบบไม่จำกัดจำนวน
ทำไมถึงมีคนถูกหลอกผ่านแชร์ลูกโซ่
ผู้ที่ทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ใช้วีธีการ ดังนี้
- ใช้เครือข่ายจากความใกล้ชิดสนิทสนมใกล้ตัวที่เราไว้ใจได้
- อ้างถึงบุคคลที่น่าเชื่อถือว่าได้เข้าร่วมหุ้นกับบริษัทด้วย เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หรือเจ้านายเรา ฯลฯ พร้อมภาพบุคคลเหล่านั้น
ร่วมกิจกรรม
- แสดงหลักฐานเรื่องผลประโยชน์ที่ตนเองได้รับมาแล้ว เช่น เงินที่เข้าบัญชี เพื่อให้เหยื่อเชื่อในประโยชน์ที่จะได้รับ
- ใช้สื่อโฆษณาสร้างความมั่นใจ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ
- แสดงแผนการลงทุนและสัญญาร่วมทุนให้ดู ทำให้เห็นว่าการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนมหาศาล
- จัดอมรมสัมมนาหรือแถลงข่าวเปิดตัวที่โรงแรมใหญ่ๆ และเชิญคนดังมาร่วมงานมากมาย
- มักจะหว่านล้อมและกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ โดยจะเชิญเหยื่อไปที่บริษัท แล้วพยายามให้ทีมงานแสดงให้เห็นถึงผลตอบ
แทนที่จะได้รับ หลังจากนั้นพยายามกดดันให้เหยื่อตัดสินใจ
เงินกู้นอกระบบ (Loan Sharks) เป็นอย่างไร
ลักษณะของเงินกู้นอกระบบเป็นอย่างไร
- เป็นการให้กู้ยืมเงินจากกลุ่มบุคคลที่มักเป็นนายทุนมีอิทธิพลในท้องถิ่น
- เงินกู้ที่มีการติดป้ายประกาศตามป้ายรถประจำทาง ตู้สาธารณะ หรือบนรถบริการสาธารณะ โดยมีข้อความชักจูง เช่น
“เงินกู้ 100%” “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ” “เงินด่วนทันใจเพียงมีบัตรผ่อนสินค้าก็สามารถกู้ได้เต็มจำนวน” หรือ
“อนุมัติเร็วภายใน 3 ชม.” เป็นต้น
- เรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมากเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน แล้วแต่ข้อตกลง
- อาจมีสัญญากู้ยืม หรือไม่มีก็ได้
- อาจมีหรือไม่มีหลักประกันก็ได้ หากมีการเรียกหลักประกัน ผู้ให้กู้จะยึดหลักประกันไว้ พร้อมกับให้ผู้กู้เซ็นใบมอบฉันทะเพื่อ
โอนกรรมสิทธิ์ไว้ หากมีการผิดชำระหนี้ หลักประกันก็จะถูกยึด
- มีการติดตามทวงหนี้ที่มีลักษณะไม่เหมาะสม เช่น ขู่กรรโชก ทำร้ายร่างกาย
ตัวอย่าง สมมติว่า กู้เงินจำนวน 10,000 บาท ผ่อนวันละ 220 บาท จำนวน 60 วัน ฉะนั้น ดอกเบี้ยทั้งสิ้น 3,200 บาท หรือคิด
เป็นอัตราร้อยละ 350.2 ต่อปี (ตัวเลขสมมติเท่านั้น)
ใครที่ใช้เงินกู้แบบนี้
ส่วนมากจะเป็นคนที่ไม่สามารถกู้เงินจาก
ธนาคารได้ เช่น
- คนที่มีรายได้น้อย หรือรายได้ไม่แน่นอน
- ประวัตการชำระหนี้ไม่ดี หรือไม่มีทรัพย์สินหรือ
บุคคลค้ำประกัน
- ต้องการใช้เงินเร่งด่วน
ถ้าเรากลายเป็นเหยื่อของเงินกู้นอกระบบ เราจะทำอย่างไร
แจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ เราไม่สามารถฟ้องเองได้เนื่องจากความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ย เกินอัตรา พ.ศ. 2475 เป็นความผิดตามอาญาแผ่นดิน ซึ่งผู้เสียหายคือ รัฐ
.