ผู้เขียน หัวข้อ: คำสารภาพของวิญญาณบาป ตอนที่๒๒ รอยกรรม๑-๕  (อ่าน 1935 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

           

คำสารภาพของวิญญาณบาป ตอนที่๒๒ รอยกรรม๑
เรื่องที่ 5 รอยกรรม

       ณ ที่พักก่อนที่จะถึงปลายทางแห่งนั้น จิตวิญญาณสองดวงพ่อลูกลอยมาพร้อมกัน ลอยนิ่งอยู่จุดหนึ่ง เพื่อรอวิบากแห่งตนด้วยความสงบ
       วิญญาณลูกถามขึ้นว่า “แล้วเราจะไปไหนต่อพ่อ รออยู่ตั้งนานแล้ว”
“ลูกไปทางหนึ่ง พ่อก็ไปทางหนึ่ง เพราะเมื่อลูกเกิดเป็นคน ลูกยังเล็ก ไม่ได้ทำบาปทำกรรมอะไรมาก แต่วิบากทำให้ถูกต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ รับผลแห่งกรรมในชาติก่อนเสียทีหนึ่งก่อน แล้วก็คงจะไปดีสู่สุคติ ส่วนพ่อเกิดมานานกว่า ทำอะไรๆ ไว้แยะ ทั้งบาป ทั้งบุญ ทั้งคุณ ทั้งโทษ ก็ต้องรอรับวิบากนั้น แล้วแต่จะส่งไปทางไหน ลูกเห็นชายผ้าเหลืองปลิวอยู่ข้างหนัาเราไหม”

“เห็นจ้ะพ่อ ที่ลอยมานั่น พระใช่ไหมพ่อ หลวงพี่ใช่ไหมครับ”
“ใช่ ที่ลอยมานั่นคือชายผ้าเหลืองของหลวงพี่เจ้า ที่พ่อบวชให้ จนบัดนี้ก็ยังไม่สึก และองค์เดียวกันกับหลวงพี่ที่ลูกเอาของไปถวายบ่อยๆ นั่นแหละ
จิตวิญญาณดวงเล็กก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “หลวงพี่ครับ พ่อกับผมอยู่นี่ !!”

และแล้วทั้งสองก็ยกมือขื้นนมัสการชายผ้าเหลืองนั้น นับเพียงอึดใจ ร่างของพุทธสาวกก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัดขึ้นๆ แต่ไม่กล่าวอะไรออกมา ทันทีที่เห็นและนมัสการชายผ้าเหลืองนั้น จิตวิญญาณทั้งสองดวงก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นๆ ด้วยความปิติ และแล้วผ้าเหลืองผืนนั้นก็ค่อยๆ ลอยหายไปๆ ทีละนัอย จนสุดที่จะแลเห็น วิญญาณทั้งสองดวงพยายามจะลอยตาม แต่ก็ลอยไปได้เพียงระดับหนึ่ง หาสูงเทียมและเร็วทันร่างพุทธสาวกในผัาเหลืองนั้นไม่

ในชั่วระยะเวลาต่อมาไม่นานนักก็มีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่ง ในเรือนร่างของสตรีหน้าตาถมึงทึงบนศรีษะดูคล้ายๆ จะมีเปลวไฟติดอยู่ข้างบน วิ่งส่ายศรีษะไปมาด้วยความร้อนของไฟที่กองอยู่บนศรีษะ จิตวิญญาณของพ่อและลูกลอยเข้าไปใกล้ แต่อยู่สูงกว่าก็จำได้

“พ่อ นั่นแม่ใช่ไหมครับ แม่ทำไมมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ครับ”
“ใช่ลูก จิตวิญญาณนี้เป็นจิตของแม่เจ้า”
ขาดคำ จิตวิญณาณที่มีเปลวไฟพลุ่งๆ อยู่บนศรีษะก็ลอยเรี่อยๆ ต่ำๆ เข้ามาหา
“แดงใช่ไหมลูก พ่อเจ้าแดงใช่ไหม” เป็นคำถามของจิตวิญญาณ

“ใช่แล้วแม่เอม นี่คือเจ้าแดงลูกเจ้า และนี่คือจิตวิญญาณของพ่อเจ้าแดง”
“พ่อเจ้าแดงเพิ่งรึ ? ฉันมาอยู่นี่ ทรมานอยู่นี่หลายเวลาแล้ว ถ้ายังไงช่วยเอาของหนักๆ ร้อนๆ บนหัวฉันออกทีซิ”
“ใช่ ฉันกับเจ้าแดงเพิ่งมา และเดี๋ยวก็จะไปแล้ว แม่เอมทำอะไรไว้ล่ะถึงเป็นอย่างนี้”

จิตวิญญาณของแม่เอมพยายามจะเข้ามาใกล้ๆ ให้พ่อเจ้าแดงช่วยเอาเปลวไฟบนหัวออก แต่ไม่สามารถจะมาถึงได้ ยิ่งเข้ามาใกล้ ยิ่งหนักศรีษะ ยิ่งร้อน ต้องส่งเสียงร้อง กรี๊ด ด้วยความทรมาน

ถัดจากนั้น เราก็ได้ยินเสียงวิบากบอกว่า “กรรมที่เจ้าทำไว้นั้นหนักนัก เดี๋ยวก็ต้องไปรับกรรมต่อแล้ว วิบากคราวนี้จะหนักกว่าเก่า”
จิตวิญญาณของแม่เอมได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ก็ร้องกรี้ดๆ ออกมาจนสุดเสียงด้วยความกลัว
“แม่ทำกรรมอะไรไว้ พ่อ เสียงจิตวิญญาณเจ้าแดงถาม”
“ก็ให้เขาเล่า ให้เขาสารภาพให้ฟังซิ พ่อก็อยากรู้เหมือนกัน”
“โอ๊ย ข้าเข็ดแล้ว ไม่ทำอีกต่อไปแล้ว ไม่เอาแล้ว”
“เรื่องมันเป็นยังไงแม่” จิตวิญญาณของลูกชายถาม

“ก็เมื่อก่อนที่จะมารับทุกข์ทรมานอย่างนี้ ชาติที่แล้ว แม่ก็เกิดเป็นแม่เจ้านั่นแหละ แม่แต่งงานกับพ่อเจ้า ก็เพราะพ่อเจ้าฐานะดี หน้าตาสะอาดหมดจดแต่เป็นพ่อม่ายลูกติด ที่แม่เขาตายไปตั้งแต่พี่เจ้ายังเล็ก เขาให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่ก็ตกลง ตอนนั้นแม่ยังไม่มีเจ้า พี่ชายเจ้าน่ะ น่ารักมาก ฉลาด ช่างประจบแม่ก็รักเขามาก พ่อเจ้าเขาก็รักของเขาจนอายุเขาได้ราว 13 ปี เจ้าก็มาเกิด

ด้วยเหตุที่เขาเป็นลูกกำพร้า ปู่ย่าของเขา รวมทั้งพ่อเจ้าด้วย รักเด็กคนนี้มากแม่ก็เมตตาเขามากเหมือนกัน เขาเป็นเด็กที่เรียนดี ขยันเรียบร้อย ใครๆ รักเขาหมด ปู่ย่าของเขายกมรดก บ้านช่อง ที่ทางให้พี่เจ้าหมด ส่วนเจ้านั้นยังไม่ได้ เพราะยังเด็ก และยังมีพ่อแม่อยู่ เจ้าไม่ได้อะไรเลย

เมื่อปู่ย่าเจ้าตายไป ทำให้แม่คิดมาก ถ้าเจ้าได้มรดก แม่ก็ยังได้อาศัย นี่ไปตกกับลูกเลี้ยงหมด พ่อเจ้านั้นน่ะได้ที่ดินจากปู่เจ้ามาส่วนหนึ่ง คือที่ดินตรงสำเพ็ง ที่คนจีนอยู่ ที่ตรงนั้นราคาแพง แต่เก็บค่าเช่าได้น้อยมาก เพราะทำสัญญาเช่ากันไว้ถูกมานานนมแล้ว นี่แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่เจ้าได้ประกอบกรรมอันหนักลงไป ซึ่งทำลงไปก็เพื่อเจ้า ลูกคนเดียวของแม่

“ไปทำอะไรไว้ล่ะ แม่เอม” นายสุข พ่อเจ้าแดงมีชื่อจริงว่า สรอรรถ ถาม
“ด้วยความโลภ ความอิจฉา อยากให้เจ้าแดงมันได้ทรัพย์ ได้มรดกจากปู่มัน จากพ่อมันน่ะซิ แล้วก็เรื่องที่มันหนักใจเราก็เรื่องที่ดินที่สำเพ็งไงละ”
“ฉันไม่เข้าใจ เรื่องมันเป็นยังไงไปยังไงมายังไงกัน”
“ก็ฉันอยากให้เจ้าแดงมันได้มรดกได้ที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง จากปู่และจากพ่อมัน ทีนี้ มันกีดขวางที่พี่เจ้าแดง ก็พ่อเสนาะ นั่นแหละ ถ้าพ่อเสนาะยังอยู่ในบ้าน ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าแดงมันก็อดได้ แต่ถ้าพ่อเสนาะลูกเก่าของพ่อสุขไปเสียจากบ้าน หรือไม่มีชีวิตแล้ว ทรัพย์สินต่างๆ ของปู่มันของพ่อมัน ก็จะตกอยู่กับเจ้าแดงคนเดียว ฉันกับนางพริ้ง คนใช้ฉัน ก็ปรึกษากันหาอุบายวิธีต่างๆ ที่จะขจัดพ่อเสนาะให้หายไปเสียจากบ้าน หรือตายไปเสีย และที่ที่สำเพ็งก็เหมือนกัน จะขายก็ไม่ได้จะขึ้นค่าเช่าก็ไม่ได้ จะไล่ก็ไม่ไป พวกเจ็กจีนพวกนี้ดื้อที่สุด ฉันกับนางพริ้งก็ช่วยกันคิด ช่วยกันทำจนสำเร็จน่ะซิ แต่ความสำเร็จนี่มันเป็นบาปมหันต์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 14, 2013, 11:25:56 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


           

“แล้ว แม่เอมกับนังพริ้งคิดทำกันยังไง ฉันไม่เคยรู้เลย” นายสุขถาม
“ฉันจะสารภาพให้ฟัง ว่าที่ทำบาปทำกรรมลงไปนั้นน่ะ ฉันทำยังไง ผลตอนนี้จึงได้ทรมานอย่างนี้”
วันหนึ่ง ฉันนั่งคิดกับนังพริ้ง ว่าทำยังไงถึงจะให้พ่อสุขนี่ลงโทษพ่อเสนาะ ไม่ไว้ใจเขา ทำซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้แหละ จนในที่สุดพ่อสุขก็จะเห็นว่า เสนาะนี่มันลูกเหลือขอ ก็ไล่มันออกจากบ้านไปเท่านั้นมันก็สำเร็จ นางพริ้งก็ให้ความคิดว่า

“คุณ เชื่อพริ้งเถอะ พ่อแดงแก 3 ขวบปีนี้ พ่อเสนาะก็ 16 ขวบ กำลังแตกพานพอดี พริ้งว่าให้เป็นหน้าที่พริ้งๆ จะไปชักชวนพวกเด็กแก่นๆ พวกนี้สุมหัวกันอยู่ที่ท่าน้ำข้างวัด มันสูบกัญชากัน กินเหล้ากัน พริ้งจะชวนมาให้สนิทสนมกับพ่อเสนาะแก พ่อเสนาะน่ะนิสัยขี้เกรงใจคน พอพริ้งพาเข้ามารู้จักมักคุ้น แกไม่กล้าไล่มันหรอกค่ะ ในที่สุด มันก็พากันเที่ยว พากันไป หน้าที่คุณก็คือ พยายามทำใจดี ให้สตุ้งให้สตางค์พ่อเสนาะแกไว้ แล้วคุณผู้ชายก็จะเห็นเองว่า คุณของพริ้งน่ะรักพ่อเสนาะแค่ใหน ไม่นานหรอกค่ะเด็กวัยนี้พวกมากลากไป เดี๋ยวก็ได้เรื่อง ทีนี้ก็ติดเหล้า ติดกัญชา คบเพื่อน ออกเที่ยวเตร่ เอาซิคะ ทีนี้คุณของพริ้งค่อยๆ เติมไฟใส่เชื้อไปที่คุณผู้ชาย ใส่เข้าไปทุกวัน มันจะไปไหนเสีย เชื่อหัวอีพริ้งเถอะค่ะ”

นางพริ้งบอกอุบาย ฉันก็เห็นด้วยทันที แล้วทีนี้ฉันก็ให้เงินนางพริ้งมันเป็นค่าใช้จ่าย ให้หาทางพาเจ้าพวกเด็กหนุ่มแก่นๆ เหล่านี้เข้ามารู้จักกับพ่อเสนาะ ให้มันหาซื้อเหล้า มาชวนกันกิน หากัญชามาชวนกันสูบ
     ทีแรกพ่อเสนาะแกไม่เล่นด้วย ยังไงๆ แกไม่เอา แต่พวกนั้นมันก็มาทุกวัน ก็มี ไอ้แก่น ไอ้เทิ้ม ไอ้เจียน ไอ้เหลือ แล้วก็เด็กวัดข้างบ้านนี่แหละ มันมากันทุกวัน พ่อสุขก็รู้ แล้วก็ยังไล่มันไปจากบ้านออกหลายหน ไล่ไปแล้วมันก็มาอีกก็มันเคยได้เงินใช้จากนางพริ้งมันก็มาเอาแอบมาเรื่อยๆ

พ่อเสนาะแกเป็นคนดี ไม่ยอมกินเหล้า ไม่ยอมสูบกัญชา ไม่ยอมเที่ยวเสเพล แต่นานเข้าๆ ความชั่วมันยั่วยุเข้าพ่อเสนาะก็ต้องดื่มเหล้า กินเหล้ากับมันหนักๆ เข้าก็ต้องกินทุกวัน พอเจ้าพวกนั้นมา พ่อสุขเองก็เคยด่าว่าเฆี่ยนตีพ่อเสนาะหลายหน แต่กรรมมันบังพรรคพวกสารเลวที่นางพริ้งมันชักมาก็ปั่นหัวทุกวัน
   แต่อย่างไรก็ดี พ่อเสนาะก็ยังอยู่ที่บ้าน แม้จะเฆี่ยนตีบ้างก็ตาม แต่นิสัยสันดานจริงของพ่อเสนาะนั้นแกเป็นเด็กที่ดีมาก แกไม่ถลำตัวไปมากกว่านี้ คนที่เดือดร้อนก็กลายเป็นฉันกับนางพริ้ง เพราะทำยังไงๆ พ่อเสนาะก็ยังอยู่ดี

ตอนนั้นแกอายุราวๆ 17 ปี แล้วเรียนหนังสือที่วัดจบแล้ว พออ่านออกเขียนได้ พระครูที่วัดที่สอนหนังสือให้รู้ข่าวว่า พ่อเสนาะชักเริ่มคบคนเลว ชักกินเหล้าเมายา ท่านก็เรียกตัวไปอบรมสั่งสอนอีก แต่นั้นพ่อเสนาะก็หยุดดื่มเหล้า แต่มีให้เจ้าพวกนั้นกินกันเป็นประจา เป็นที่รำคาญของพ่อสุขเป็นอย่างยิ่ง เกือบจะถึงแตกหักก็หลายครั้ง
   จนในที่สุด นางพริ้งก็ออกอุบายอันเด็ดขาดอีกหนหนึ่ง อุบายอันนี้แรงนัก

“คุณค่ะ พริ้งคิดออกแล้วค่ะ คือเดี๋ยวนี้น่ะทำยังไงๆ คุณผู้ชายก็ยังไม่ทำอะไรรุนแรงกับพ่อเสนาะ แกก็ยังอยู่สบายเป็นปกติ พริ้งคิดว่า จะต้องทำให้แตกพักให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณผู้ชายรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของเรา พริ้งคิดว่าจะอันตรายนะค่ะ”
“แกจะทำยังไงของแก ที่ว่าจะต้องแตกหัก”
“ก็คุณผู้ชายน่ะชอบ แล้วก็เล่นพระบูชาต่างๆ มาก อยู่ในห้องพระไม่รู้ว่าตั้งเท่าไหร่”
“แกจะให้ฉันไปบนกับพระในห้องพักหรือ ไม่ล่ะ”

“ไม่ใช่ค่ะ คุณก็เลือกพระบูชาองค์ย่อมๆ เลือกดูองค์ไหนที่คุณผู้ชายรักมาก หวงมาก คุณก็ไปเอาพระองค์นี้มาซ่อนไว้เสีย ให้คุณผู้ชายหาอย่าเพิ่งให้ค้นพบ แล้วอีกอย่างคือ ต้นโกศลที่คุณผู้ชายเล่นอยู่ต้นสวยๆ ราคาแพงๆ ที่เขาเล่นกันอยู่มีหลายต้น และที่คุณผู้ชายรักมากก็มีอยู่แยะ พวกนี้แหละค่ะที่จะทำให้คุณผู้ชายต้องเฆี่ยนตีพ่อเสนาะ เหมาะก็อาจจะไล่ออกจากบ้านไปเลยก็ได้”
“ฉันไม่เข้าใจ แกจะให้ทำยังไงกับพระบูชา กับต้นโกศล ที่แกว่า”

“ก็ยังงี้ซิคะ พระน่ะคุณเอาซ่อนไว้ที่ไหนก็ได้ อย่าให้ค้นพบ ซ่อนสักสองสามวัน พอคุณผู้ชายว่าหายไป ก็่จะเริ่มหา เริ่มบ่น อยู่ไม่สุข ตอนนี้คุณก็เริ่มพูดบ้างซิคะว่า ในบ้านไม่มีขโมยขโจรที่ไหน นี่เกลือคงเป็นหนอนของถึงไดัหาย แล้วคุณก็พูดทุกวันนะค่ะ คอยเตือนไว้เรื่อยๆ”
พอต่อมา พริ้งก็จะเอาต้นโกศลสองสามต้นที่อยู่ในสวนโกศลของคุณผู้ชาย เอาไปเลย ทิ้งน้ำรู้แล้วรู้รอดไป ทีนี้คุณผู้ชายก็จะบ่นเสียดาย เสียใจเพราะเป็นโกศลที่หายาก ราคาแพง คุณของพริ้งก็บ่นทำด้วย เสียดายด้วยนะค่ะ ตอนนี้คุณผู้ชายไม่เป็นอันกินอันนอนหรอก เพราะจะต้องคอยจับผู้ร้าย คอยจับขโมยให้ได้ พริ้งจะออกอุบายให้คุณผู้ชายสงสัยไอ้พวกหนุ่มๆ นั่น

ในที่สุด คุณต้องแอบเอาพระไปไว้ในห้องพ่อเสนาะ ห้องที่ไอ้พวกเกเรมาสุมหัวกันน่ะคะ พอวันไหนคุณเอาพระไปซ่อน วันนั้นพริ้งจะจ่ายเงินมันให้หนัก ให้มันเมากัน เอะอะกัน จนคุณผู้ชายทนไม่ไหว คุณของพริ้งก็จะพูดว่า “รำคาญพวกนี้จริง มันเอาเงินมาแต่ไหน กินกัน สูบกันทุกวัน หนวกหูจะตาย วันหนึ่งๆ ไม่เห็นทำอะไรกัน”

คราวนี้แหละ คุณผู้ชายก็จะเข้าไปในห้องพ่อเสนาะ เพราะหนวกหูรำคาญ ก็จะแลเห็นพระที่คุณของพริ้งแอบไปวางไว้ เหมือนเตรียมจะเอาออกจากบ้าน แค่นี้ก็จะบ้านแตกสาแหลกขาดแล้ว คุณผู้ชายก็จะเล่นงานไอ้พวกนั้น รวมทั้งพ่อเสนาะด้วย แล้วพริ้งก็ยุพวกนั้นมัน ให้เอาพระไปขาย เอาเงินมาซึ้อเหล้า ซื้อกัญชาสูบกันจริงๆ ด้วย พวกนั้นก็จะต้องเห็นดีเพราะมันได้เงิน

“แล้วแกจะทำยังไง ถึงจะให้คุณผู้ชายเข้าไปในห้องพ่อเสนาะแกล่ะ”
“ดิฉันก็จะไปเปรยๆ ใกล้ คุณผู้ชายสิค่ะว่า สงสัยพวกขี้เหล้าเมายานี่แหละ คงขโมยพระ กับต้นโกศลที่หายไป แล้วคงจะต้องเอาไปขายเอาเงินไปผลาญกัน เท่านั้นแหละค่ะ คุณผู้ชายก็ต้องวิ่งเข้าไปดู สำคัญคุณต้องเอาพระแอบไว้ซอกตู้ในห้องนอนนะคะ พริ้งจะทำไปกวาดๆ อีตอนที่คุณผู้ชายเข้าไป ตอนสายๆ เพราะพวกแก่นๆ นั่นมันมากันเย็นๆ”

ฉันชมนางพริ้งว่ามันฉลาดหลักแหลม ทีนี้ฉันก็ทำอย่างนางพริ้งมันแนะทุกอย่าง พอเกิดเรื่องเข้าเท่านั้น พ่อเจ้าแดงไม่เป็นอันกินอันนอนหรอกวุ่นวายทุกวัน บ่นทุกวัน จนวันหนึ่งอุบายนางพริ้งก็ได้ผล มันทำเป็นเข้าไปกวาดห้องพ่อเสนาะ แล้วก็ส่งเสียงตะโกนลั่น
“คุณผู้ชายค่ะ คุณผู้ชายค่ะ พริ้งพบพระแล้วค่ะ พวกนั้นมันเอามาซ่อนที่นี่ ที่หลังตู้ห้องพ่อเสนาะค่ะ ห่อไว้เสียดีเชียว กำลังจะเอาออกไปขายอยู่แล้วค่ะ”


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


           

พอได้ยินเท่านั้น พ่อสุขก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องพ่อเสนาะ เห็นชัดๆ เลยว่าพระบูชาองค์ย่อมที่หายไปนั้น อยู่ในห่อกระดาษ พร้อมที่จะเอาออกจากบ้านไปขาย พ่อเจ้าแดงรีบเอาพระมา วิ่งไปห้องพระ เอาไปวางไว้ที่เดิม หน้าตาโมโหสุดขีด
สักครู่ พ่อเสนาะก็มาบ้าน ตามมาด้วยพวกขี้ยา ขี้เหล้าตามเคย พ่อสุขไม่พูดพร่าม ออกปากไล่ทันที ไล่ทุกคนให้ออกไปจากบ้าน พร้อมกันก็จะพาตำรวจมาจับเข้าคุก ฐานขโมยของ

ฉันก็ต้องทำดี รีบเข้ามาจัดการระงับเรื่องไม่ให้ถึงตำรวจ ไม่ให้ถึงโรงถึงศาล แต่สุดท้ายพ่อเจ้าแดง ก็ไล่พ่อเสนาะออกจากบ้านไป ตัดลูกตัดพ่อกันไปเลย ฉันเล่ามาถึงตอนนี้แล้ว ฉันเองก็อดสงสารแกไม่ได้ พอพ่อเจ้าแดงไล่พ่อเสนาะและพวกเจ้าหัวโจกออกไปจากบ้านแล้ว ญาติๆ ของพ่อเสนาะก็มาสอบถาม ขอโทษขอโพย จะให้ยกโทษ ฉันก็ได้พริ้งนี่แหละเป็นตัวเติมเชื้อไฟ ใส่เข้าไป ใส่เข้าไป จนพ่อเจ้าแดงไม่ย่อมท่าเดียว ไล่พ่อเสนาะออกไปจนได้ในคืนนั้น

พ่อเสนาะไม่มีทางไป ก็ไปหาอาจารย์ที่วัด ไปเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้พระอาจารย์ท่านฟังจนหมด สบถสาบานได้เลยว่า “แกไม่ได้สูบกัญชา เหล้าก็ดื่มนิดๆ พอเข้ากับเพื่อน เรื่องขโมยของพ่อ ทั้งพระ ทั้งโกศลก็ไม่เคย และไม่รู้เรื่องด้วย”
อาจารย์ท่านรู้นิสัยศิษย์อยู่แล้ว ท่านก็สงสาร รับไว้ให้อยู่ที่วัด และสุดท้ายก็บวชเป็นเณรให้ แล้วก็อยู่ที่วัดนั่นเอง เณรเสนาะตั้งใจเรียนตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำของอาจารย์อย่างดีที่สุด สอบได้เป็นนักธรรม แล้วก็อยู่ที่วัดตลอดมา

วันหนึ่ง พระอาจารย์ท่านพบกับพ่อเจ้าแดง ท่านก็เลยพูดเรื่องพ่อเสนาะให้พ่อเจ้าแดงฟัง พูดมาตั้งแต่ต้น แต่แกก็ยังสงสัยว่าตัวพ่อเสนาะ ถึงแม้จะไม่ขโมย แต่เพื่อนๆ สารเลวพวกนั้นคงจะขโมย แล้วกำลังจะเอาออกไปขายพอดี แต่ก็เริ่มจะเชื่อๆ บ้างแล้วล่ะว่า พ่อเสนาะน่ะ เป็นคนดีที่ชั่วไปก็เพราะคบเพื่อนเลวในที่สุดแกก็ให้พ่อเสนาะบวชล้างนิสัย ล้างบาปต่อไปอย่าเพิ่งสึก แต่พ่อเสนาะนั้นไม่คิดจะสึกแล้ว กะว่าพออายุครบบวชก็จะบวชพระ แล้วปฏิบัติธรรม เขาป่าเข้าดงเป็นพระธุดงค์ไปเลย

ส่วนเจ้าแดงนั้น มันรักพี่มัน แอบไปหาบ่อยๆ เอาของกินไปถวายเณรด้วย ทั้งนี้ความชั่วของฉัน มันไม่ลดละฉันก็ทำอาหารไว้ แล้วฝากเจ้าแดงไปถวายเณร แต่แอบเอาสลอดใส่ลงไปด้วย แล้วก็มาบอกพ่อสุขว่า ฉันทำอาหารฝากเจ้าแดงไปถวายเณรเสนาะ พ่อสุขก็ดีใจ แต่หารู้ไม่ว่า เณรนั้นเกือบตาย ถ่ายเสียจนตัวซีด ดีแต่อาจารย์ท่านช่วยไว้
   ฉันทำชั่วแบบนี้มาหลายหน เณรก็พาซื่อฉันเข้าไปทุกที แล้วก็เจียนตายทุกทีเหมือนกัน
   เณรก็บวชเรียนต่อมา จนอายุครบบวช แล้วก็ว่าจะไม่สึก ตอนนั้นพ่อสุขหายข้องใจแล้ว ก็จัดการบวชให้ วันบวชฉันก็ไปแล้วอาราธนาว่า “ท่านอย่าสึกเลย บวชอยู่อย่างนี้ดีแล้ว บวชให้เป็นสมภาร ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ให้ได้ ฉันจะส่งเสียเอง” พ่อเสนาะก็รับคำ ไม่สึก เพราะรู้แล้วว่าสึกออกมาก็เท่ากับมารับกรรมอีก

พระท่านก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอด นานๆ ฉันก็ไปเตือนเสียทีว่า “อย่าสึกนะ อย่าสึก” ฉันทำบาปเอาไว้แยะในเรื่องนี้ ผลมันก็เลยพลอยตกไปถึงเจ้าแดงด้วยตอนนั้น เจ้าแดงอายุได้ราวๆ 9 ขวบ หรือ 10 ขวบแล้ว เริ่มเกเร เอาแต่คบเพื่อน ไม่ร่ำไม่เรียนอะไรทั้งนั้น พอดีการทำมาหากินก็ฝืดเคืองลง เงินทองชักขาดมือ ฉันก็อยากได้เงินสักก้อนมาลงทุนทำมาหากิน

ฉันนึกถึงที่ที่สำเพ็งของพ่อสุขได้ ก็ไปหาคนเช่า ขอขึ้นค่าเช่า เขาก็ไม่ยอม ที่ดินที่สำเพ็งของพ่อสุขมีอยู่เกือบ 2 ไร่ ถ้าขายก็ได้โขอยู่ เพราะเป็นถิ่นค้าขายของคนจีนทั้งนั้น ฉันก็บอกขาย ราคาก็ไม่แพงเรียกว่าถูกที่สุด ผู้คนสนใจจะซื้อแยะ แต่ติดขัดด้วยการขับไล่ เขามีข้อแม้ว่า ต้องเป็นที่ว่าง ไม่มีใครอยู่อาศัย เขาเบื่อการฟ้องขับไล่ ในที่สุดกี่รายๆ ก็ไม่ตกลงเพราะเหตุนี้ ฉันก็มาปรึกษากับนางพริ้งอีก นางพริ้งนี่มันฉลาดหลักแหลมจริงๆ พอพูดเสร็จเท่านั้น ความคิดมันก็ออก

“มันจะยากอะไรค่ะคุณ คุณก็หาวิธีเผามันเลยให้หมด ให้เหลือแต่ที่ดินเปล่าๆ ขี้คร้านจะขายได้ แย่งกันซื้อเสียอีก เพราะทำเลมันดี”
แล้วนางพริ้งก็ออกอุบายให้เงินเจ้าเกิด นักเลงกัญชาเจ้าเก่า ให้ไปสมัครงานที่ร้านขายของในสำเพ็งนั่นแหละ เงินเดือนเท่าไหร่ก็เอา 3 บาท 4 บาท เอาทั้งนั้น แล้วนางพริ้งก็แนะให้ฉันให้เงินเจ้าเกิดมันค่ากัญชา พอ 7 วันมันก็มาที ยังงี้เรื่อยไป

ฉันถามว่า “แล้วเมื่อไหร่มันจะเห็นผลล่ะ”
นางพริ้งบอกว่า “ในไม่กี่วันนี่แหละ พอให้เถ้าแก่ที่ร้านมันไว้ใจเจ้าเกิดเสียหน่อยก่อน ค่อยลงมือทำงาน”
จากนั้น นางพริ้งก็จัดการฝากฝังเจ้าเกิดให้เข้าทำงานเป็นกุลี ลูกจ้างในร้านค้า พวกผ้าและพรมน้ำมันที่สำเพ็งจนสำเร็จ

เจ้าเกิดขยันทำงานหนักเอาเบาสู้ทั้งแบกทั้งหาม เอาทั้งนั้น เพราะมันได้เงินสองทาง จากทางเจ้าของร้านทางหนึ่ง จากทางนังพริ้งทางหนึ่ง พอทำได้ไม่เท่าไหร่เลย เถ้าแก่เจ้าของร้านก็รักใคร่ เพราะความหนักเอาเบาสู้ของมัน แต่ต้องรู้กันนะ กัญชากับเจ้าเกิดนี่ ห่างกันไม่ได้ พอได้เข้าไปสักบ้องสองบ้องเท่านั้น งานการเท่าไหรเท่ากัน ทีนี้นางพริ้งก็ทุ่มเงินให้เรียกว่าเหลือเฟือเลยแหละ
เมื่อเงินได้ขึ้นมาก เจ้าเกิดสูบ เขาเกิดก็สูบมาก วันไหนไม่มีเงินซื้อกัญชา มันก็จะลงแดงตายเอง

ต่อมานางพริ้งก็เริ่มออกอุบาย ทำหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้เจ้าเกิดพบเวลามันมาหา มาขอเงิน อาทิตย์หนึ่งก็แล้ว สองอาทิตย์ นางพริ้งหลบเรื่อย จนเจ้าเกิดชักหงุดหงิด ก็ไอ้เพราะเงินขาดมือนี่แหละ มือมันเติบเสียแล้ว เถ้าแก่ให้น่ะ เขาก็ให้มากอยู่ แต่มันไม่สูบกัญชา ไอ้กินน่ะมีละ เพราะมันกินกับเถ้าแก่ เรียกว่า กินกงสี

ในที่สุดนางพริ้งก็เกลี้ยกล่อมเจ้าเกิดสำเร็จ แต่ก็ต้องติดสินบนมากอยู่ ก็ฉันนี่แหละเอาเงินให้เจ้าเกิดตั้ง 1 ชั่ง เชียวล่ะ นางพริ้งนี่แหละเป็นคนวางแผนกะเอาตอนตรุษจีน ไหว้เจ้า ทุกบ้าน ทุกช่องในแถบนั้นไหว้เจ้ากัน ไม่มีเว้น จุดธูปจุดเทียน เผากระดาษเงินกระดาษทองกันอย่างมโหฬาร ตอนเขาไหว้เจ้ากัน เจ้าเกิดก็นั่งสูบกัญชาไป ในห้องโกโรโกโสของมัน ในที่สุดคืนนั้นไฟก็ติดฝาบ้านที่ผุๆ พังๆ แล้วก็ลามไปยังกระถางธูป กระถางเทียน ครู่เดียวเท่านั้น ไฟก็ลามไปๆ อย่างรวดเร็ว จากบ้านนี้ไปบ้านโน้น เพราะบ้านมันติดๆ กัน แล้วก็เป็นบ้านไม้ทั้งหลัง เจ้าเกิดก็วิ่งร้องตะโกนไป “ไฟไหม้ๆ” แล้วมันก็วิ่งไปล้มกระถางธูป กระถางเทียนตามบ้านต่างๆ ไป

พอไฟติด ลมก็มา ทีนี้ไฟก็โหมกันใหญ่ ผู้คนตื่นตระหนก ทิ้งบ้านทิ้งช่องกัน ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง วิ่งกลับไปเอาของบ้าง ถูกไม้ที่ติดไฟล้มทับตายเสียก็หลายคนไม่มีทางที่จะดับไฟกันได้ในสมัยนั้น ดูเหมือนจะเป็นต้นๆ รัชกาลที่ 6 ที่มีคำพังเพยพูดกันว่า “ตื่นยังกับไฟไหม้สำเพ็ง” ก็ครั้งนี้แหละที่เกิดไฟไหม้สำเพ็งอย่างมโหฬาร และคำว่า “เจ๊กตื่นไฟ” ก็เกิดขึ้นมาในสมัยนี้เหมือนกัน

เมื่อไฟลุกลามแรงขึ้น เจ้าเกิดก็พยายามจะเข้าไปแสดงบริสุทธิ์ ทั้งๆ ที่มันเองเป็นคนจุดไฟเผาบ้านของมัน โดยวิ่งเข้าไปช่วยเหลือนายและลูกๆ ของนาย ไม่ทราบว่าจะช่วยได้บ้างหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ กรรมตามทันเจ้าเกิดถูกไม้จั่วไม้คานหลังคาบ้านที่ติดไฟหล่นทับ เลยหกล้ม สุดท้ายก็เลยไหม้ไปในกองไฟนั้นด้วย ดับชีวิตไปคนหนึ่งละ
   ผู้คนครั้งนั้นล้มตายกันมาก บาดเจ็บพิการตลอดชีวิตก็มาก วอดวายหมดตัวก็มาก ทีนี้ก็เป็นเวรเป็นกรรมของชั้นอีกอย่างหนึ่ง ฉันคิดว่าหัวของฉันจึงหนักและร้อนเป็นไฟอยู่อย่างนี้ ถ้าใครมาช่วยฉัน ยกเอาไอ้กองไฟบนหัวฉันออกไป ฉันก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้”

จิตวิญญาณของพ่อสุขสงสัย ก็ถามว่า “แล้วนังพริ้งล่ะ”
“แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2012, 07:49:40 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


           

ต่อมา เมื่อไฟมันไหม้วอดวายกันหมดแล้ว ฉันจึงบอกขายที่ที่สำเพ็งของพ่อสุขนั่นแหละ แต่พ่อสุขไม่ยอมขาย อ้างว่าสงสารคนไร้ที่อยู่ ฉันกับพ่อสุขจึงทะเลาะกันแทบทุกวัน นางพริ้งก็เป็นแรงกระตุ้นอีกแรงหนึ่ง

ในที่สุด พ่อสุขก็ยอมตกลงแล้วแต่ฉัน ฉันก็รีบบอกขายที่ทันที ขายในราคาถูกๆ คิดดูซิ บอกขายเขาตารางวาละ 5 บาท ไร่ละเพียง 2,000 บาท ที่มี่อยู่ 2 ไร่กว่า ขายไปได้หมื่นเดึยว แต่มันก็มากมายเหลือเกิน ฉันเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นเงินหมื่นคราวนี้เอง ฉันให้นางพริ้ง ตัวต้นความคิดไป 2 ชั่ง มันก็เลยทำเป็นคุณนายอยู่หลายวัน

ต่อมาฉันก็เอาเงินนี่แหละ มาซื้อที่ที่ห้องแถวๆ บางลำพู ตรงริมคลองตรงนั้นมันเป็นตลาด มันก็วิกหนัง มีวิกยี่เก เพื่อจะได้ทำมาค้าขาย กะว่าจะค้าขายของที่เขาพายเรือมาขายซื้อขึ้นร้านไว้ แล้วทำอาหารขายด้วย ฉันจะไปอยู่นั้นด้วย แต่พ่อสุขไม่ไป เจ้าแดงก็ไม่ไป จะอยู่ที่เก่า อ้างว่าเคยอยู่สะดวกสบาย แล้วก็ใกล้วัด ที่พ่อเสนาะแกบวชด้วย ฉันก็ตามใจ

ตกลงฉันไปกับนางพริ้งซื้อห้องซื้อที่เขาที่ตลาดบางลำพู อย่างที่ว่าค่อยๆ ซื้อไป ขายไป ก็ค่อยดีขึ้นๆ นานๆ ก็มาเยี่ยมเจ้าแดง เยี่ยมพ่อสุขเสียทีหนึ่ง
ตอนหลัง ค้าขายดีขึ้น มีเงินมากขึ้น ฉันก็เลยเล่นหวย เล่นไพ่ไปตามเรื่อง หวย ก.ข. มันกินทุกวัน นานๆ ถึงจะถูกซักที ทีละไม่กี่บาท กี่ตำลึง มันกินเสียละมาก ไพ่ก็เหมือนกัน ฉันเล่นเสียได้แทบทุกวัน เงินทองได้มาก็ร่อยหรอไป
นางพริ้งก็มาแนะนำให้ฉันเข้าวัดไปหาอาจารย์ต่างๆ บ้าง เข้าวัดนี่ไม่ได้เข้าไปทำไมหรอก ไปขอหวยน่ะ แต่มันก็ซวยทุกที ถ้าเขาว่าอาจารย์ที่ไหนดี ฉันไปถึงหมด แต่มันก็แย่ลงๆ ก็จำต้องเลิก ขืนเล่นต่อไปก็ไม่มีจะกิน โชคมันไม่ดี

ฉันพยายามสืบเรื่องของพระเสนาะอยู่เสมอ ทราบว่าสมภารที่วัดใหม่ ที่พระเสนาะแกบวชอยู่นั้นมรณภาพไป พระเณรในวัด รวมทั้งชาวบ้านแถบนั้นเขาประชุมกันจะให้พระเสนาะขึ้นเป็นสมภารแทน แต่พระท่านไม่รับเลยออกจากวัด กลายเป็นพระธุดงค์หายไป ทรัพย์สมบัติต่างๆ ก็ไม่เอา ไม่รับ ก็เลยตกมาเป็นของเจ้าแดง ตามที่ฉันต้องการ ฉันก็อยากๆ จะเลิกร้านที่ทำมาค้าขายที่บางลำพูอยู่เหมือนกัน กะว่าพอเจ้าแดงมันโตสักหน่อย ทำมาหากินได้ จะได้อาศัยอยู่กับมัน แต่ทีนี้ ที่ร้านก็ยังทำมาค้าขายได้ พอมีกำไรอยู่ ก็เลยทำต่อไปเรื่อยๆ

   ทีนี้ถึงคราวเคราะห์ ปีหนึ่ง หลังเดือน 5 ไม่กี่วัน เกิดพายุใหญ่พัดบ้านเรือนพังทลายกันหลายหลัง แถบวัดสังเวชโดนก่อน แล้วก็เรื่อยๆ มา บ้านเรือนแถบนั้นเป็นไม้ทั้งนั้น แล้วก็เก่าด้วย พอมันพังลงมาก็เกิดติดไฟ ไฟก็ลุกขึ้น ลมก็แรง ก็โหมกระหน่ำกันใหญ่ ทีนี้ทั้งไฟ ทั้งลมพายุ ตลาดบางลำพูฝั่งคลองก็วอด ไม่มีปัญญาที่จะดับไฟได้
   ทีแรกน่ะฉันไม่รู้หรอก ไม่อยู่บ้าน ไปธุระกับนางพริ้งมัน ไปเดินนายหน้าขายที่ พอขึ้นรถราง มาถึงใกล้ๆ บางลำพู เขาไล่ลง ว่ารถไปไม่ได้ไฟกำลังไหม้บางลำพู ฉันก็ตกใจ รีบวิ่งครึ่งเดินครี่งกับนางพริ้ง จะไปที่บ้าน ที่ไหนได้ ไฟกำลังลุกไหม้ใกล้ๆ จะถึงบ้านอยู่แล้ว ฉันตกใจสุดขีดเพราะเก็บทองเก็บหยองไว้ในบ้านมากอยู่ นางพริ้งตะโกนว่า “คุณอยู่นี่ อย่าไปพริ้งจะรีบวิ่งเข้าไปเอาของมาออกมาเอง”

อารามตกตะลึง ฉันก็ยืนงงเหมือนโดนนะจังงัง ส่วนนางพริ้งนั้นน่ะรีบวิ่งต่อไปยังบ้านทันที ทีนี้เข้าบ้านไม่ได้ เพราะกุญแจบ้านอยู่กับฉัน แล้วข้าวของที่ฉันเก็บไว้ นางพริ้งก็ไม่รู้ด้วยว่าเก็บที่ไหน นางพริ้งรีบวิ่งมาเอากุญแจที่ฉัน ฉันก็รีบให้มันไป เพราะไฟไหม้ใกล้เข้ามาแล้ว ลมก็แรงด้วย ควันไฟก็เต็มไปหมด แสบหู แสบตาเต็มที
   นางพริ้งวิ่งไปถึงบ้าน ก็ไขกุญแจเข้าไป ฉันน่ะไม่เห็นหรอกเพราะคนแยะ วิ่งออกมาจากบ้านกัน เต็มไปหมด ร้อนก็ร้อน เสียงปะทุระเบิด ดังเป็นระยะๆ ฉันรออยู่สักอึดใจ ไม่เห็นนางพริ้งออกมา ก็ตัดสินใจวิ่งตามเข้าไปในบ้าน ซึ่งหนทางที่วิ่งเข้าไปนั้น มันมีไม้ไหม้ไฟ ตกลงมากองเป็นระยะๆ ก็ต้องวิ่งลุยเข้าไป เข้าไปจนเกึอบจะถึงบ้าน ก็เห็นนางพริ้งนอนร้องโอยๆ ลั่น เพราะไฟหล่นใส่หลังมัน ข้างหน้ามันก็กองไฟ ข้างๆ แล้วก็ข้างหลังมันก็กองไฟ ไม่มีทางจะออกมาได้

ฉันตัดลินใจเข้าไป ช่วยนางพริ้ง ดึงตัวมันออกมาจากกองไฟนั่น พอดึงตัวได้ หน่อยเดียวก็หลุดมือ เพราะนางพริ้งตัวมันอ้วน โตกว่าฉัน ตกลงนางพริ้งก็เลยจมอยู่ในกองไฟนั่น แล้วก็เลยตายในนั้น เพราะถูกย่างถูกเผาทั้งเป็น
   ส่วนฉันนั้น ไม่เอาแล้ว ข้าวของเงินทอง หันกลับวิ่งออกมาอย่างเร็วที่สุด ทั้งๆ ที่เสื้อผ้าติดไฟลุกอยู่ แขนขาฉันพองเปิกไปหมด วิ่งออกมาได้ก็พอดีหมดแรง สลบไปหน้ากองไฟนั่นเอง
   ฉันลลบไสลไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงคนพูดว่า “ยังไม่ตาย ยังไม่ตาย ซึ่งผู้คนแถวนั้นช่วยลากเอาตัวฉันออกมา เอาน้ำราดดับไฟที่กำลังติดเสึ้อผ้าอยู่ ไฟก็ดับ แต่ตัวฉันพองปอกไปหมด

แล้วผู้คนแถวนั้นก็พากันไปที่วัดตองปุ ก็วัดชนะสงครามนั้นแหละ แม่ชีที่นั่นก็เห็นเข้าแกก็สงสาร เอายาน้ำมันต่างๆ มาชะโลมตัวฉัน ให้ข้าวให้น้ำจนค่อยยังชั่ว ฉันจึงบอกแกว่า ฉันอยู่กับพ่อเจ้าแดง ข้างวัดใหม่โน่น แต่แม่ชีแถวนั้นแกก็ยังเวทนา เยียวยาให้ต่อไป ให้ข้าวให้น้ำ พระเจ้าที่เห็นเข้าท่านก็สงสาร เอาอาหารมาให้บ้าง เอายามาให้บ้างตามประสาที่ท่านมี
   นานเข้าแผลก็หาย แต่มันก็เป็นแผลเป็นไปทั้งตัว แขนก็เหยียดไม่ออก หนังมันติดกัน นิ้วก็เหยียดไม่ได้ มันติดกันเหมือนตีนเป็ด หน้าตาปาก ก็มีแต่แผลเป็นเหมือนผี ขาก็งอหงิก เหยียดไม่ออก เพราะหนังมันติดกันหมด เดินก็ไม่ได้ ทนทรมานอยู่ที่วัดนั่นแหละ มันทรมานจริงๆ ตัวก็ด่างไปทั้งตัว เดินไปไหนก็เหมือนผี เด็กๆ เห็นเข้าก็ร้องไห้โฮทันทีเพราะความกลัว

ฉันตัดสินใจไม่มาหาพ่อเจ้าแดง ยอมตายที่วัดนั้นแหละ แล้วในที่สุดฉันก็ตายจริงๆ ตายด้วยความทรมานอย่างที่สุด มันเจ็บ มันปวดร้าวไปทั้งตัว ก่อนจะตายฉันนึกว่า “ฉันทำกรรมอะไรไว้หนอ ถึงได้เป็นเช่นนี้ คืนหนึ่งฉันนอนที่ใต้ถุนกุฏิแม่ชี ก็ฝันไป ฝันเห็นนางพริ้งมันมาหาฉัน ชวนไปอยู่ด้วย นางพริ้งตัวมันสูงใหญ่จริงๆ เสียงแหลมเล็ก เวลาเดินมามันมีกองไฟลุกโชนที่หัวไหล่สองข้าง ที่บนหัวก็มี แถมยังฝันเห็นเจ้าเกิดด้วย มันก็แบบเดียวกัน มีไฟลุกโชนอยู่ตามตัวเหมือนกัน ฉันนึกออกว่า
   “ไอ้กรรมที่เราเผาบ้านเผาเรือนเขา ผู้คนตายในกองไฟมากมายทุกข์ทรมานเยอะแยะ บัดนี้ได้กับตัวฉันเองแล้ว ฉันถึงต้องรับเวรรับกรรมแบบนี้”

พอตายแล้วก็มาอยู่ที่นี่แหละ มาก่อนพ่อเจ้าแดงกับเจ้าแดงหลายเพลาอยู่ นี่แหละพ่อเจ้าแดง กรรมที่ฉันทำไว้ มารู้เอาตอนสายเสียแล้ว ยังไม่หมด ตอนที่พระเสนาะบวชที่วัดใหม่ใกล้บ้าน ฉันก็ทำดี เอาของไปถวายแกล้งพูดดังๆ ให้พ่อสุขได้ยินว่า ให้นางพริ้งเอาของไปใส่บาตรพระเสนาะที แต่ของที่ใส่น่ะ เสียทั้งนั้น บูดทั้งนั้น ให้หมา หมามันยังไม่กินเลย ฉันให้นางพริ้งมันห่อใส่บาตร เพื่อว่าพระฉันเมื่อไหรก็ผิดสำแดงตายเมื่อนั้น แต่พระท่านก็ไม่ตาย ฉันทำแบบนี้มาหลายหนเต็มที ตอนนี้ฉันเห็นแล้ว เวลาฉันหิว ฉันเห็นของกิน เดินรี่เข้าไปจะกิน ปากก็อ้าไม่ออก ของที่แลเห็นก็กลายเป็นอาจมเหม็นหึ่ง อย่าว่าแต่จะกินเลย แม้แต่จะดมก็ไม่ไหว กรรมจริง ๆ
   เห็นแล้วว่า ที่ฉันทำไปน่ะ ผลเป็นยังไง แต่ถ้าเจ้าแดงกับพ่อสุขมีเมตตาจะช่วยเอาของที่ร้อนๆ หนักๆ บนหัวของฉันออกเสียได้ ก็จะเป็นบุญอย่างเหลือหลาย


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


                 

คำสารภาพของรายนี้ จะจบลงไม่ได้ ถ้าไม่ได้เอ่ยถึง กรรมอันเลวร้ายอีกกรรมหนึ่ง ที่แม่เอมได้ทำลงไปแต่ไม่สำเร็จ โดยแม่เอมจ้างเจ้าเกิดให้เผากุฏิพระ ที่พระเสนาะจำวัดอยู่ ให้ใหม้ไปทั้งกุฏิเลย แต่เจ้าเกิดไปเมาเสียก่อน เลยทำงานไม่สำเร็จ กรรมอันนี้จึงทำให้วิญญาณของแกมีแต่ไฟลุกไปทั้งหัวทั้งตัว แล้ววิญญาณแม่เอมก็ถามว่า “แล้วพ่อสุขกับเจ้าแดงล่ะ ทำอะไรไว้มานี่ เมื่อไหร่ จะไปไหนต่อ ?”
“ฉันกับเจ้าแดงไม่ได้ทำกรรมอะไรไว้มาก เมื่อหนุ่มๆ ก็กินเหล้าเมายา ตีไก่ กัดปลาไปตามเรื่อง ฉันก็ต้องมาใช้กรรมที่นี่ นี่จะไปไหนต่อยังไม่รู้ ไม่เห็นมีใครมาชี้ทาง

ส่วนเจ้าแดงนั้นไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร บุญเขาทำมาแค่นั้น เขาอยู่โลกมนุษย์ได้ไม่กี่ปี พอกะว่าจะบวช ก็พอดีเป็นป่วงลงตาย ปีนั้นเป็นป่วงกันมาก ที่วัดสระเกศมีแต่ศพกองๆ กันไม่มีเวลาจะเผา พอเจ้าแดงตายไปไม่กี่วัน ฉันก็หมดอายุเหมือนกัน เจ็บตายตามธรรมดา หลังจากที่ฉันทำบุญฉลองอายุ 60 ปีไม่เท่าไหร่ วันทำบุญฉันก็นิมนต์พระเสนาะมารับสังฆทาน และก็เจ้าแดงนี่แหละวิ่งเข้าวิ่งออก จากบ้านไปวัด จากวัดไปบ้าน เอาของไปถวายหลวงพี่มันอยู่เรื่อยๆ เมื่อตะกี้ยังเห็นจีวรพระท่านอยู่ไหวๆ นี่เดี๋ยวฉันกับเจ้าแดงก็ต้องไปแล้ว
ว่าแล้วจิตวิญญาณของพ่อสุขและเจ้าแดงก็ค่อยๆ เลื่อนลอยหายไป

ผมก้มลงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “แล้วพระเสนาะล่ะขอรับ ท่านออกธุดงค์ แล้วไปไม่กลับมาเลยหรือ หรือไปไหนต่อ”
หลวงพ่อบอกว่า “ก็ไปพบกันที่แดนกะเหรี่ยง แถบราชบุรี เห็นพระเสนาะนั่งปฏิบัติธรรมอยู่รูปเดียว ก็เดินเข้าไปหา พูดกัน คุยกัน พระท่านชอบนับถืออัธยาศัย ท่านก็ขอมาอยู่ด้วย เมื่อหลวงพ่อและพระเสนาะปฏิบัติธุดงควัตรในป่าพอสมควรแล้ว ย่างเข้าหน้าฝนหลวงพ่อก็เดินทางกลับอยุธยา มาจำพรรษาที่วัดวงษ์ฆ้องต่อ พระเสนาะท่านก็ขอติดตามมาด้วย”

แล้วหลวงพ่อท่านก็ชี้ให้ดู “นั่นไงกุฏิของพระเสนาะท่าน แต่ท่านไม่รับแขก นั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่รูปเดียว อายุท่านอ่อนกว่าหลวงพ่อหลายปี แต่ตอนนั้นท่านก็อายุ 66 เลยไปแล้ว”
“หลวงพ่อทราบเรื่องแม่เอม พ่อสุขได้อย่างไรขอรับกระผม ว่าแม่เอมแกทำกรรมไว้หนักหนาขนาดนั้น”
“ก็ทราบเรื่องจากพระเสนาะท่าน ท่านล่าให้ฟัง ท่านมีเมตตาสูง มีแต่ให้อภัย ท่านปฏิบัติสูงมา นี่พอออกพรรษาแล้ว ท่านว่าท่านจะออกธุดงค์ต่อไปในป่าต่างๆ อีก ท่านพอใจในความสงบ ความวิเวก ชาวบ้านเขาจะขอให้ท่านอยู่ที่นี่ ให้เป็นสมภารแทน ท่านไม่รับ ท่านว่าท่านไม่อยากเอาบ่วงมาคล้องคอ”

เราสองคนได้โอกาส ก็ขออนุญาตหลวงพ่อสักครู่ ค่อยๆ ย่องไปกราบนมัสการท่านอาจารย์เสนาะที่กุฏิ พอก้มลงกราบ ท่านก็ยิ้ม “เจริญสุขๆ” ท่านกล่าวแค่นี้ แล้วท่านก็นั่งสงบต่อไป
เรานั่งอยู่สักครู่ ก็กราบลาท่าน ท่านให้พรแบบเดิมอีกคือ “เจริญสุข เจริญสุข” ผมเองก็นึกบาปในใจเหมือนกันว่า พระอาจารย์ผู้นี้พูดได้แค่นี้เอง ที่จริงคำนี้เป็นคำประเสริฐ ทุกคนไม่ว่าใครก็ต้องการความสุขความเจริญทั้งสิ้น เรามาคิดได้ตอนหลังว่า พรของท่านนี่วิเศษจริงๆ ใครพบท่านแล้ว “เจริญสุข” ทุกคน ถ้ามีธรรม มีเมตตาอย่างท่าน

ผมเองก็สนใจและนับถือ หลวงพ่อเสนาะ ท่านมาก เพราะหน้าตาท่านดูอ่อนหวาน ยิ้มๆ ท่าทางมีเมตตา แต่แปลก กุฏิของท่านอยู่ไม่ห่างจากกุฏิหลวงพ่อไม่กี่ก้าว กลับไม่ปรากฏว่าท่าน ได้เข้ามาคลุกคลีกับหลวงพ่อเหมือนพระภิกษุสามเณรรูปอื่น ท่านมักจะปิดกุฏิของท่านเงียบอยู่รูปเดียว เวลาผมขึ้นไปอยุธยา ไปหาหลวงพ่อ ผมก็มักจะไปกราบท่านเสมอ ผลคือท่านก็อมยิ้มแล้วให้พรว่า “เจริญสุข เจริญสุข” เวลาเอาของขบของฉันไปถวาย ท่านก็รับ แล้วก็วางไว้ตรงนั้น ดูๆ ท่านไม่ยินดียินร้ายอะไร สบง จีวร อัฐบริขารที่มีผู้ศรัทธาถวาย ท่านก็รับแล้วก็แจกๆ ไปยังพระเณรรูปอื่นหมด ตอนหลังชาวบ้านเรียกท่านว่า หลวงพ่อเสนาะเหมือนกัน

พอสิ้นหลวงพ่อเจ้าคุณวัดวงษ์ฆ้องแล้ว ก็ไม่ทราบว่าธุดงค์ไปที่ไหน หายสาบสูญไปเลย หายไปจนคนลืมท่าน ว่ามีพระผู้ปฏิบัติดีรูปหนึ่งอยู่ที่วัดนี้
แต่ทั้งนี้ผมจำคาถาตอนหนึ่งของท่านได้ ท่านให้คาถาไว้สั้นๆ จะไปไหน จะทำอะไร ที่มันไม่ผิดศีล ผิดธรรม ก่อนจะลงมือ พูดก่อนจะลงมือทำ ให้นึกในใจว่า
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
แค่นี้เองแล้วสิ่งนั้นจะสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ปลอดภัยจากมนุษย์ อมนุษย์ ทั้งปวง

คาถาที่ว่านี้แสดงความกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีพระคุณแก่มนุษยโลกใหญ่หลวงนัก สุดที่จะพรรณนาได้ เมื่อผู้ใดมีความกตัญญูแล้วผู้นั้นจะคลาดแคล้วภัยอันตรายทั้งปวง มีแต่ความสุขความเจริญ

ผมได้นำเรื่องนี้ไปกราบเรียนหลวงพ่อทราบ ว่าท่านอาจารย์เสนาะให้คาถาไว้ แล้วก็ว่าคาถาให้ท่านฟัง ท่านบอกว่านี่เป็นยอดคาถากันภัย คาถามหาสำเร็จ แม้จะบำเพ็ญเพียร บำเพ็ญธรรม ก็สำเร็จคาถานี้ดีนัก ท่านว่าอย่างนั้น
ผมได้กราบเรียนถามท่านว่า “ที่แม่เอม ได้ทำลงไปกับพระเสนาะ ได้ทำลงไปกับมวลชน คือการเผาไล่ที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากมายอย่างนั้น แล้วทำไมบ้านเมืองเขาไม่ทำการจับกุมลงโทษ ทั้งๆ ที่แกก็่ไม่ได้หลบหนีไปไหน ?”

หลวงพ่อท่านตอบว่า “สมัยนั้นเขาก็สืบทราบว่าบ้านที่ติดไฟหลังแรกเป็นบ้านลูกจ้างที่ติดกัญชา และข้างๆ ก็ไหว้เจ้ากันทั่ว อากาศมันแล้งเพราะเป็นหน้าหนาว คือเดือนอ้าย แล้วบ้านแรกซึ่งก่อให้เกิดเพลิงไหม้คนที่เป็นเจ้าของที่อาศัยอยู่ก็ตายไปในกองไฟ แล้วก็สุดที่จะสืบจะเอาผิดกับใคร แต่กรรมซิมันไม่เว้น คิดดูสิผู้คนบาดเจ็บล้มตายเท่าไหร่ พลัดที่นาคาที่อยู่เท่าไหร่ พิการทนทุกข์ทรมานแค่ไหน เจ้าตัวต้นเหตุก็รับวิบากทันที คือตายไปในกองไฟนั่น แล้ว

ต่อมาวิบากก็ติดตามไปให้ผลไม่มีเว้น แม่พริ้งก็ตายในกองไฟนั่น แม่เอมก็ทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสพิกลพิการอยู่นาน ทนทุกข์ทรมานไม่รู้ว่าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่กว่าจะตายไป ลูกผัวก็ไม่ได้พบกัน วิบากกรรมตามสนองทันตา ในชาตินี้วิบากนี่มันตามมาได้ทุกชาติทุกภพตราบใดที่ยังเกิด ยังจุติ ตายไปก็รับกรรม เกิดมาอาจจะเป็นสัตว์เดียรัจฉานถูกใช้งาน ถูกเฆี่ยนตี อดๆ อยากๆ ภัยอันตรายรอบข้าง ถ้าเป็นสัตว์ที่ตัวโตหน่อย เขาก็ล่าเอามาใช้งาน อาหารก็อดๆ อยากๆ บางทีก็ถูกล่ามาเป็นอาหาร ระหว่างสัตว์ด้วยกันเองหรือมนุษย์ล่าเอามา

และถ้าเกิดมาเป็นคน เมื่อใช้เวรใช้กรรมไม่หมด เจ้าเวรเจ้ากรรมที่ทำไว้มันตามมาสนองอีก ก็คนที่เกิดมาพิการ ปากแหว่ง จมูกโหว่ หูหนวก ตาบอด อาการไม่ครบสามสิบสอง นั่นก็เพราะผลแห่งวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ จึงได้ตกทุกข์ยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงว่า ผลแห่งกรรมนั้นย่อมตามผู้กระทำเท่านั้นไป เสมือนล้อเกวียนที่บดตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉันนั้น จึงเรียกว่า รอยกรรม
“แล้วคนที่ทำแต่ความดี ทำบุญสุนทานเล่าขอรับกระผม กรรมจะทันตาเห็นเหมือนอย่างอกุศลกรรมที่ทำไปหรือไม่” ผมกราบเรียนถาม
“มีซิ ก็อย่างมีท่านผู้หนึ่งทำบุญ ทำทานจริง ใส่บาตร สร้างวัดสงเคราะห์พระสงฆ์องค์เจ้า ตลอดจนคนยากคนจนและสัตว์ต่างๆ ท่านทำมาเสมอ ทำเป็นนิตย์ เราก็คงเคยได้ยิน ท่านเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีวาสนา ลูกสาวท่านก็รับผลแห่งกรรมดีนั้นแทบทุกคน

ครั้งหนึ่ง ท่านไปไหนจำไม่ได้ ตกน้ำว่ายน้ำก็ไม่เป็น หากันเท่าไหร่ก็ไม่พบ จน 3 วัน 3 คืน แล้ว ก็ปลงกันว่าท่านคงเสียชีวิตแล้ว ที่ไหนได้ลอยตามน้ำไปโผล่เสียไกล ไม่ตาย แปลกที่สุด ไม่ใช่กี่นาที กี่ชั่วโมงนะ แต่เป็นวันเป็นคืน
ตอนที่พบ คนเหวี่ยงแหจับปลาในแม่น้ำเหวี่ยงได้ของหนักๆ นึกว่าเป็นปลาตัวโต กว่าจะเอาขึ้นได้ก็ขึ้นโขอยู่ พอเอาแหขึ้นได้เท่านั้น พวกจับปลาก็ตกตะลึง นึกว่าได้ศพคนตกน้ำมาแน่ๆ แต่แปลกที่ลักษณะไม่เหมือนศพคนตกน้ำตายที่ต้องขึ้นอืด หนังเปื่อยยุ่ย พวกนั้นก็เอาขึ้นมาบนฝั่งปรากฏว่าไม่ตาย ท่านรอด รอดมาจนได้

ตั้งแต่นั้นมาก็ทำบุญให้ทานหนักขึ้น ทำจนเกินไป ขายที่ ขายบ้านทำบุญหมด ท่านเป็นสตรีสูงศักดิ์ เป็นถึงคุณหญิง ในสกุลใหญ่ท่านหนื่ง นี่เป็นตัวอย่างซึ่งเกิด ในสมัยรัชกาลที่ 6 คนที่โตแล้วในสมัยนั้นก็คงรู้เรื่องดี ท่านอายุยืนต่อมาอีกนาน
ทำดีไว้เถิดผลมันไม่ไปไหน มันต้องตอบสนองแน่ๆ ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว เว้นแต่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น การที่เร็วหรือช้าก็เพราะน้ำหนักแห่งกรรมมันไม่เท่ากัน เหมือนโยนของหนัก ของเบาลงมาจากที่สูง ของหนักก็ย่อมถึงที่ก่อน ของเบาต้องถึงทีหลัง หรือจะลอยต่อไปไหนๆ ก็ได้

ที่ทำชั่วแล้วจะได้ดีนั้น ไม่มี ที่เห็นว่าผู้นั้นประสบสุข ร่ำรวย มีหน้ามีตานั้น เป็นเพราะบุญเก่ามาก บุญที่เคยทำไว้ตามมาได้ผล แต่อกุศลกรรมชาตินี้ที่ทำ มันก็ต้องตามมาสนองอยู่เอง ช้าหรือสุดแต่น้ำหนักแห่งกรรมนั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า รอยกรรม
ดังนี้คือ พอถึงเวลาอกุศลกรรมที่ทำไว้ตามมาสนอง ก็เห็นเอง เสื่อมลาภ เสื่อมยศ หมดสุข มีแต่ทุกข์ มีแต่นินทา หมดการสรรเสริญเยินยอ นี่เป็นของจริงที่ไม่มีผิด หนีไม่พ้น

ผมก้มลงกราบหลวงพ่อท่าน 3 ครั้ง ก่อนที่จะกราบลาท่านกลับกรุงเทพฯ ท่านให้ศีลให้พรด้วยคำว่า
อะระหังพุทโธ สุคะโต ภะคะวา
ผมก็ท่องคำนี้มาเรื่อยทุกครั้งที่จะเดินทางไหนมาไหน แม้ถึงตอนนี้ เวลาผมนั่งเครื่องบินไปไหนมาไหน พอเครื่องบินจะออกบิน ผมจะนั่งภาวนาคาถาของหลวงพ่อเรื่อยไป จนเห็นว่าปลอดภัย
คาถานี้ไม่ห้ามไม่หวงนะครับ ท่านผู้ใดสนใจ จะท่องบ่นภาวนาคาถา ทั้งสองที่ผมนำมาเล่าในเล่มนี้ ก็ยินดีนะครับ ผลแห่งการภาวนานี้คุณจะเห็นเองครับ



จบ... เรื่องที่ 5
ธรรมจักร

-http://www.sanggadjai.com/index.php?board=3.220