แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก
ฐิตา:
๙๙. ให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อไป
มีชายคนหนึ่ง ขณะที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ได้เห็นมารดาฆ่าตัวตายต่อหน้า
ต่อตา เพราะแก้ปัญหาชีวิตไม่ตก ดังนั้นความทรงจำที่เลวร้ายอย่างนี้
จึงฝังอยู่ในใจลึกๆของเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถลบ
ความทรงจำนี้ให้ออกไปจากใจได้
เมื่อเขาอายุได้ 15 ปี น้องชายของเขาก็ได้ฆ่าตัวตายอีก การตายของญาติสนิท
ทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ผิดๆ คิดว่า ความตายเท่านั้นคือทางสุดท้ายที่จะไป
ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็มีผู้ช่วยเขาไว้ได้ทัน
พระอาจารย์ที่วัดเห็นหนุ่มนั้นน่าสงสารจึงรับเขาให้มาอยู่ที่วัด แต่หนุ่มนั้นก็ยัง
คิดเสมอว่า ตัวเองอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยความเจ็บปวด
สู้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า
วันหนึ่งพระอาจารย์เห็นอาการอมทุกข์ตลอดเวลาของเขาแล้วพูดว่า
“อาจารย์ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเอง เจ้าสามารถนั่ง
สมาธิได้ทุกวัน แต่สิ่งที่อาจารย์จะบอกเจ้าคือ การนั่งสมาธิก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“เมื่อไม่มีประโยชน์อะไร แล้วจะไปนั่งสมาธิทำไม?”
“ก็เพราะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงต้องนั่งสมาธิ” พระอาจารย์ตอบ
ที่สุดหนุ่มนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ว่า คนเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อนำมาใช้ประโยชน์
แต่เป็นการให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อไป
ฐิตา:
๑๐๐. อย่าลืมว่าตัวเจ้าคือเจ้า
มีสตรีนางหนึ่งเนื่องจากเกิดเป็นลูกนอกสมรสของพ่อแม่ จึงเป็นทุกข์
เครียดกับเรื่องนี้มาตลอด ไม่ว่าเจ้าหล่อนจะไปทางไหน ความคิดนี้ก็
ติดตามเป็นเงาดำตามตัวไป ทำร้ายจิตใจตนเองเสมอมา
วันหนึ่งเมื่อหล่อนเครียดจนทนไม่ไหวจึงไปกระโดดน้ำเพื่อฆ่าตัวตาย
แต่ก็มีผู้ช่วยไว้ได้ทัน และแนะนำให้หล่อนไปที่วัดเพื่อหาทางสว่าง
สตรีนางนั้นเลยไปหาพระอาจารย์ทีวัดแห่งหนึ่ง พร้อมกับเล่าเรื่องราว
ความเป็นมาต่างๆให้ฟัง เมื่อพระอาจารย์ฟังจบก็ไม่พูดอะไร ได้แต่สั่งให้
หล่อนนั่งสมาธิ
นั่งสมาธิผ่านไปได้สามวัน จิตก็ยังไม่สงบ กลับรู้สึกอับอายต่อเรื่องราวต่างๆ
ของตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งเครียด คิดจะไปหาพระอาจารย์ เพื่อจะด่าให้สะใจ
“เจ้าคิดจะด่าข้าใช่ไหม? ขอให้เจ้านั่งสงบอีกสักพัก ความคิดนี้ของเจ้าก็จะ
หายไป พระอาจารย์รีบพูดก่อนที่หญิงนั้นจะเอ่ยปากออกมา ทำให้เจ้าหล่อน
รู้สึกแปลกใจและเกิดความนับถือขึ้นมาในใจ เลยทำตามแล้วนั่งสมาธิต่อไป
นั่งไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์ถามมาเบาๆว่า “ก่อนที่เจ้าจะเกิดมา
เป็นลูกนอกสมรสเจ้าเป็นใคร?”
สตรีนางนั้นเหมือนกับเส้นสายภายในสมองถูกกระตุกไปชั่วขณะ หล่อนใช้สอง
มือปิดหน้าของตัวเองแล้วร้องไห้เสียงดังขึ้นมาว่า “ข้าก็คือข้า ข้าก็คือข้า”
ฐิตา:
๑๐๑. กลิ่นอายแห่งการฆ่า
ราชวงศ์ซ่งมีนายพลท่านหนึ่ง ขณะเมื่อทำสงครามเสร็จสิ้น
เคลื่อนพลผ่านอารามแห่งหนึ่ง เหล่าภิกษุในอารามรู้ดีว่า นายพลท่านนี้
มุทะลุดุดัน ทุกคนเลยหนีไปซ่อนจนหมด เหลือแต่เจ้าอาวาสที่นั่ง
สมาธิอยู่หน้าพระประธาน
นายพลนั้นเรียกท่าน ท่านก็ไม่สนใจ แล้วก็ยังไม่ยังไม่สนใจจะมองด้วย
นายพลนั้นเห็นแล้วก็โมโหยิ่งนัก พูดว่า “กองทัพของข้าผ่านมาที่นี่
ทำไมเจ้าแม้แต่ทักทายสักคำก็ยังไม่มี? ท่านกล้าเสียมรรยาทเช่นนี้
ไม่รู้เลยหรือว่า คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้านี้ คือนายพลที่ฆ่าคนได้โดยไม่
ทันได้กระพริบตาเลยหรือ?”
พระอาจารย์ได้ยินแล้วจึงลืมตาขึ้นมา แล้วพูดว่า “นายพลที่ขึ้นเสียงขู่คำราม
ต่อหน้าพระ ช่างไร้มรรยาทสิ้นดี แล้วเจ้าไม่กลัวเหตุต้นผลกรรมที่จะตอบสนองหรือ?”
“อะไรเหตุต้นผลกรรมที่จะตอบสนองหรือไม่สนอง แล้วเจ้าไม่กลัวตายหรือ?”
“แล้วเจ้าไม่รู้เลยหรือว่า คนที่นั่งอยู่หน้าเจ้านี้ เป็นพระที่ไม่กลัวความตายเลย”
นายพลท่านนั้นรู้สึกอึ้งในความกล้าของพระอาจารย์ท่านนี้ และก็ถูกความนิ่ง
สงบของท่านสยบให้ยอมอยู่ในทีพูดเสียงอ่อนขึ้นว่า
“อารามใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมจึงเหลือท่านเพียงคนเดียว รูปอื่นๆไปไหนกันหมด?”
"เพียงแต่เจ้าตีกลองขึ้นมา เมื่อคนอื่นๆได้ยินเสียงกลองก็จะกลับมา”พระอาจารย์ตอบ
นายพลท่านนั้นจึงตีกลองขึ้นอย่างรุนแรง ตีอยู่นาน ก็ไม่มีผู้ใดเดินออกมา
จึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ก็ตีกลองแล้ว ทำไมไม่เห็นมีใครกลับมาเลย?”
“เป็นเพราะว่าตอนที่ท่านตีกลอง กลิ่นอายแห่งการฆ่าแฝงอยู่อย่างมากมาย
เจ้าลองสวด “นะโมไปตีกลองไป แล้วดูซิ”
นายพลท่านนั้นเลยตีกลองไปสวดไป ไม่นานพระที่แอบซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ
ก็ค่อยๆทยอยออกมา นายพลนั้นรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จึงถามพระอาจารย์ท่านนั้น
ว่าชื่ออะไร เมื่อนายพลท่านนั้นรู้ชื่อแล้วถึงกับคุกเข่า แล้วก็ขอโทษอย่างนอบน้อม
พร้อมกับพูดว่า “ที่แท้คือพระอาจารย์ที่มีภูมิธรรมสูงส่งและมีชื่อเสียงลือนามไปทั่ว
ท่านอาจารย์ โปรดได้ช่วยชี้แนะว่า “เมื่ออยู่ในสงครามทำอย่างไรจึงจะชนะ?”
“ข้าไม่รู้” พระอาจารย์ตอบ
ฐิตา:
๑๐๒. ล้างหน้าปฏิวัติใจ
พระอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นคนเคร่งครัดปฏิบัติธรรมมาก
ชั่วชีวิตของท่านไม่เคยที่จะเบื่อหน่ายและเกียจคร้านต่อการปฏิบัติ
เมื่อล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา ก็มีข่าวมาจากที่บ้านเกิดว่า หลานชาย
ของท่าน วันๆเอาแต่กินเหล้าเคล้านารีและเหล้า ไม่ยอมทำมาหากิน
ที่บ้านของพี่สาวของท่านแทบจะหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ผู้เป็นบิดา
อยากจะนิมนต์ท่านให้กลับไปเทศน์โปรดหลานชาย
เผื่อจะได้กลับเนื้อกลับตัว ประพฤติตนเป็นคนดีต่อไป
พระอาจารย์จึงเดินทางกลับไปที่บ้านเกิด หลานชายเห็นหลวงลุงกลับมา
รู้สึกดีใจยิ่งนัก สนทนาพูดคุยกับหลวงลุงถูกคอยิ่งนัก
พระอาจารย์นั่งสมาธิอยู่บนเตียงทั้งคืน ครั้นรุ่งเช้าก็จะลาจากไป
พูดกับหลานชายว่า “ข้าคิดว่าข้าคงแก่แล้วจริงๆ สองมือก็สั่นตลอดเวลา
เจ้าช่วยผูกเชือกรองเท้าให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
หลานชายดีใจที่ได้ปรนนิบัติหลวงลุงยิ่งนัก พระอาจารย์กล่าวว่า
“ขอบใจนะ เจ้าดูซิ คนเราเมื่อยามแก่ สังขารก็เสื่อมลงไปทุกวันทุกวัน
เจ้าต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดีนะ ฉวยโอกาสที่ยังหนุ่มยังแน่น ประพฤติตน
ให้เป็นคนดี สร้างพื้นฐานของชีวิตให้มั่นคง”
พระอาจารย์พูดจบก็ลาจากไป ไม่เอ่ยตำหนิถึงความประพฤติที่เลวร้าย
ของหลานชายแม้แต่คำเดียว แต่ว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลานชายของ
ท่านก็ไม่เคยประพฤติตนเป็นคนเสเพลอีกเลย
ฐิตา:
๑๐๓. ลมพัด ธงสะบัด หรือจิตไหว
ท่านเว่ยหล่างหลังจากรับตำแหน่งสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ก็หลบหนีการแย่งชิงบาตร
และจีวรจากศิษย์ร่วมสำนักไปอยู่กับพรานในป่าถึง 15 ปี จึงกลับเข้ามาในเมืองอีก
วันหนึ่งขณะที่เดินผ่านวัดแห่งหนึ่ง ในวัดกำลังมีงานพิธีบูชาธง เพื่อให้เกิดความ
เป็นสิริมงคล ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ พิธีนี้ต้อง
จัดถึง 49 วัน ทุกๆวันนอกจากช่วงหัวรุ่งหรือช่วงบ่ายที่หยุดพักผ่อน
นอกจากนั้นจะต้องสวดมนต์ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
พิธีบูชาธงเริ่มต้นจะต้องเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสา ธงนั้นเป็นรูปยาวรี ทำจากผ้าแถบ
ยาวๆ สีแดง น้ำเงิน ขาว และดำ เขียนคำว่า “พุทธะ” ไว้ด้านบน ด้านล่าง
ทำเป็นพู่ยาวๆ 7 เส้น หากพู่เจ็ดเส้นนั้นพันรวมกันเป็นเส้นเดียวกัน แสดงว่า
พระโพธิสัตว์เดินทางมาถึงแล้ว มารับเครื่องสักการะของปวงชน แล้วก็จะคุ้มครอง
ปกปักรักษาหมู่ผู้ศรัทธา ให้มีความสุขความร่มเย็นตลอดปี
หากปลายพู่เจ็ดเส้นนั้นเดี๋ยวคลาย เดี๋ยวเป็นเส้นเดียวกัน สุดท้ายก็คลายหมด
แสดงว่าการบูชาธงครั้งนี้ไม่ได้บรรลุจุดประสงค์ ยังต้องใช้วิธีการขั้นสูงต่อไป
หลังจากพิธีบูชาธงเสร็จสิ้นลง ท่านเจ้าอาวาสได้ถามเหล่าลูกศิษย์ว่า
“พวกเจ้าดูนั่นทำไมธงถึงสะบัดไปมา?”
“เป็นเพราะธงพลิ้วไหว” คนหนึ่งตอบ
“ไม่ใช่ธงพลิ้วไหว ธงไม่ใช่สิ่งมีชีวิต จะพลิ้วไหวไปมาได้อย่างไร เป็นเพราะลม” อีกคนตอบ
“ทั้งธงและลม ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องเป็นสองสิ่งรวมกัน จึงจะสะบัดได้”
ท่านเว่ยหล่างเดินเข้ามาคำนับพร้อมกับพูดว่า
“บางท่านว่าธงพลิ้วไหว บางท่านว่าเป็นเพราะลม บางท่านว่าสองสิ่งรวมกัน
แต่ข้าพเจ้าว่าเป็นเพราะจิตผู้ดูไหวก็เท่านั้นเอง
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version