แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก

<< < (7/31) > >>

ฐิตา:




๓๐. สวรรค์-นรก

มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า “ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัติธรรม มาก็หลายปีแต่ยังไม่รู้แจ้ง
โดยเฉพาะในคัมภีร์ที่พูดถึงเรื่องของนรกและสวรรค์ นอกจากโลกมนุษย์แล้วที่ไหนยังมี นรกและและสวรรค์อยู่อีกหรือ”

พระอาจารย์ไม่ตอบคำถาม แต่ให้ไปหิ้วน้ำจากลำธารมา 1 ถัง เมื่อหิ้วน้ำมาแล้ว พระอาจารย์สั่งให้เพ่งดูน้ำในถัง
 เผื่อจะได้เห็นสภาพในสวรรค์และนรก ลูกศิษย์รู้สึกแปลกใจ แต่ก็รีบเพ่งมองน้ำในถัง เพ่งไปสักพักก็ไม่เห็นอะไร
พระอาจารย์เลยกดหัวลงไปในถังนั้น ลูกศิษย์หายใจไม่ออกโวยวายดิ้นรนไปมา
ขณะที่กำลังจะหายใจไม่ออก พระอาจารย์ปล่อยมือ ลูกศิษย์กระหืดกระหอบ ต่อว่าพระอาจารย์ว่า

“ท่านนี่หยาบคายจริงๆ กดข้าพเจ้าลงไปในน้ำ รู้มั้ยว่าเจ็บปวดเหมือนกับอยู่ในนรก”
พระอาจารย์พูดเสียงเนิบๆต่อไปว่า“แล้วตอนนี้รู้สึกอย่างไร”
“ตอนนี้รู้สึกหายใจสะดวก เหมือนกับอยู่บนสวรรค์”ลูกศิษย์ตอบ
“เหตุการณ์เมื่อกี้ เจ้าก็ท่องนรกแล้วก็ไปที่สวรรค์มาแล้ว ตอนนี้เชื่อหรือยังว่า นรก-สวรรค์มีอยู่จริง”


ฐิตา:


               

๓๑. ผีเสื้อในฝัน

ช่วงเย็นของวันหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาตามลำพังอยู่ที่สนามหญ้าชานเมืองแห่งหนึ่ง
เขาไม่ได้เดินปล่อยอารมณ์อย่างนี้มานานแล้ว เพราะว่าไม่มีใครที่เข้าใจจิตใจจริงๆของเขาสักคน
 เขาจำเป็นต้องกดข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน เพราะว่าวิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะไม่ให้เขาจมปรักคิดถึงแต่เรื่องต่างๆของตัวเอง

เขานอนลงกับพื้นหญ้าและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พลางสูดดมความหอมของไอดินกลิ่นหญ้า
แล้วปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่ ไม่นานเขาก็เผลอหลับแล้วฝัน ในความฝัน เขาได้กลายเป็นผีเสื้อตัวหนึ่ง
 ที่มีปีกสีสวยงามตระการตา บินวนเวียนอยู่อย่างมีความสุขอยู่กลางสวนดอกไม้ ที่มีท้องฟ้าสีครามและ
มีเมฆขาวอยู่เบื้องบน และมีพื้นหญ้าที่นุ่มและเขียวชอุ่มอยู่เบื้องล่าง และมีสายลมพัดเอื่อยๆผ่านใบหลิว
มวลดอกไม้ต่างๆ ต่างแย่งกันอวดชูช่อและสีสัน คลื่นน้ำในสระพลิ้วไหวเป็นระลอกๆ ยามต้องลม
ชายหนุ่มนั้นดื่มด่ำมีความสุขอยู่กับความฝันนั้นจนลืมโลกลืมตัวเองไปจนหมดสิ้น

ฉับพลันนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมา เขาแบ่งแยกไม่ออกจริงๆว่าเมื่อกี้นั้นเป็นความจริงหรือความฝัน
และเมื่อเขารู้ตัวแล้วว่าเป็นความฝัน จึงพูดว่า “ข้าก็ยังคือข้า ผีเสื้อก็ยังคือผีเสื้อ”

กาลเวลาผ่านไป ในที่สุดเขาก็เริ่มรู้แล้วว่า ที่แท้ผีเสื้อที่มีปีกสีสวยงาม และบินวนเวียนอย่างมีความสุขนั้นคือตัวเขาเอง
และในขณะนี้เขาก็ยังเป็นเขาคนเดิม กับความเป็นตัวตนของตัวเองยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
 แต่ที่แตกต่างก็คือ ความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนไปจากเดิมทุกอย่างแล้ว

เขาได้เรียนรู้แล้วว่า ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะไม่ได้ดั่งใจแค่ไหน จะทุกข์สักเพียงไหน หากใจของเราไม่ไปทุกข์ด้วย
เราก็มีความสุขได้ และตัวเองก็สามารถจะทำจิตของตัวเองให้มีความสุขได้


ฐิตา:


               

๓๒. ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ล้วนว่างเปล่า

อำมาตย์และนักประพันธ์ ซูตงพอ คบหากับพระอาจารย์ฝ๋อหยิ้นมานานแล้ว พวกเขาจะสนทนาธรรมและปฏิบัติธรรมด้วยกันเสมอ
วันหนึ่งขณะที่พระอาจารย์กำลังจะแสดงธรรม ซูตงพอซึ่งมาล่าช้าไปเพราะติดธุระ ขณะที่เขามาถึงที่แสดงธรรมปรากฏว่าผู้คนนั่งเต็มไปหมดแล้ว

ในขณะที่เขาสอดส่ายสายตาหาที่นั่งอยู่นั้น พระอาจารย์เห็นเข้าจึงทักว่า “ประสก มาล่าช้าไปเสียแล้ว ที่นี่ไม่มีที่นั่งสำหรับเจ้าเสียแล้ว”
ซูตงพอจึงตอบไปว่า “ที่นี่ไม่มีที่นั่ง งั้นก็ขอนั่งบนธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ของท่านแล้วกัน”
“ถ้าท่านตอบคำถามของอาตมาได้ อาตมาก็จะให้กายของอาตมาเป็นที่นั่งของท่าน ถ้าท่านตอบไม่ได้ ก็ขอให้ท่านนำหยกที่ติดกับเข็มขัดมาให้อาตมา”
ซูตงพอตอบอย่างไม่ต้องคิดก่อนว่า “ตกลง”

“ธาตุ ๔ ของอาตมาก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว ขันธ์ ๕ ก็ไม่มี แล้วท่านนักปราชญ์จะนั่งตรงไหน” พระอาจารย์ถาม
ซูตงพออึกอักอยู่นานก็คิดอะไรไม่ออก ที่สุดก็ยอมแกะหยกที่ติดอยู่ที่เข็มขัดออก หยกชิ้นนั้นยังปรากฏอยู่ที่วัดจนถึงทุกวันนี้


ฐิตา:




๑๓. สูงและไกล

ที่วัดเสือมังกร มีพระหลายรูปกำลังวาดรูป เสือกำลังต่อสู้กับมังกร ที่บริเวณ
กำแพงวัด ในรูปเป็นรูปมังกรกำลังม้วนตัวอยู่ในกลุ่มก้อนเมฆ
และกำลังม้วนตัวลงมาด้านล่าง ส่วนเสืออยู่บนภูเขาทำท่าจะกระโจนใส่มังกร

แม้ว่าจะผ่านการแก้ไปหลายครั้ง ก็ยังรู้สึกว่า ลักษณะท่าทางไม่สมบูรณ์เท่าไหร่
พอดีพระอาจารย์เดินผ่านมา เหล่าลูกศิษย์จึงขอให้พระอาจารย์ช่วยชี้แนะ

พระอาจารย์ดูแล้ว จึงพูดว่า “ลักษณะภายนอกของเสือและมังกร
ดูแล้วไม่เลว แต่ลักษณะเฉพาะตัวของพวกมัน
พวกเจ้ารู้บ้างหรือเปล่า?” ตอนนี้พวกเจ้าควรจะเข้าใจถึง
มังกรก่อนที่จะจู่โจม หัวต้องหดถอยไปด้านหลัง
ส่วนเสือเมื่อจะกระโจนออกไป หัวจะต้องก้มลงต่ำ
หัวของมังกรยิ่งหดถอยไปด้านหลังเท่าไหร่ หัวของเสือยิ่งต่ำติดดินเท่าไหร่
พวกมันจะบุกได้ยิ่งเร็วและสูง”

เหล่าลูกศิษย์รู้สึกดีใจที่ได้รับคำชี้แนะจากพระอาจารย์
“คำของอาจารย์สามารถชี้ให้ทะลุธรรมได้ พวกข้าพเจ้าไม่เพียงแต่
วาดหัวมังกรยื่นมาข้างหน้ามากเกินไป หัวของเสือก็สูงเกินไป
...........มิน่าถึงรู้สึกว่าท่าทางยังไงก็ดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่”.............

พระอาจารย์ยังฉวยโอกาสแสดงธรรมต่อไปว่า “การจะทำอะไร
หรือจะบำเพ็ญภาวนาก็เหมือนกัน
การถอยหลัง 1 ก้าวเพื่อเตรียมตัว จะบุกไปได้ไกลกว่า
....การอ่อนน้อมถ่อมตนรู้สำนึกในตัวเองถึงจะไปได้สูง”....

เหล่าลูกศิษย์ไม่เข้าใจ ถามว่า
“คนถอยหลังจะไปหน้าได้อย่างไร คนอ่อนน้อมถ่อมตนจะไปได้สูงยังไง”
พระอาจารย์เลยพูดเป็นโศลกว่า

นำต้นกล้าไปปลูกทั่วแปลงนา
ก้มหน้าลงไปย่อมเห็นฟ้าในน้ำ
กายใจที่ใสสะอาดถึงจะเป็นมรรคปฏิปทา
ที่แท้การถอยหลังคือการก้าวไปหน้า

ฐิตา:


               

๓๔. หาร่มด้วยตัวเอง

มีอุบาสกท่านหนึ่ง ยืนหลบฝนอยู่ในชายคาบ้าน เห็นพระอาจารย์ท่านหนึ่งเดินกางร่มผ่านมา
อุบาสก : พระอาจารย์ โปรดฉุดช่วยผู้คน พาข้าพเจ้าไปฝั่งนั้นด้วยเถอะ ( พ้นจากวัฏสงสาร )

 พระอาจารย์ : อาตมาอยู่กลางฝน เจ้าอยู่ในชายคา ในชายคาไม่มีฝน เจ้าไม่จำเป็นต้องให้อาตมาฉุดช่วย
อุบาสกนั้นรีบออกมาจากชายคา มายืนอยู่กลางฝน
อุบาสก : ตอนนี้ข้าพเจ้าก็อยู่กลางฝนแล้ว ควรจะช่วยได้แล้วกระมัง?

 พระอาจารย์ : อาตมาก็อยู่กลางฝน เจ้าก็อยู่กลางฝน
อาตมาไม่โดนฝน เพราะมีร่มกันฝน
แต่เจ้าโดนฝน เพราะไม่มีร่ม
ดังนั้นไม่ใช่อาตมาฉุดช่วยเจ้า
แต่เป็นร่มช่วยอาตมา ถ้าเจ้าต้องการมีคนมาฉุดช่วย
ไม่จำเป็นต้องหาอาตมา โปรดหาร่มด้วยตัวเอง


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version