แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก
ฐิตา:
๖๔. ๒ โลกสวรรค์โลกมนุษย์
สามีภรรยาซึ่งอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ เป็นคู่สามีภรรยาที่มีความสุขที่สุด
สามีภรรยาบนสรวงสวรรค์ไม่เหมือนกับคู่สามีภรรยาบนโลกมนุษย์
พวกเขาไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน และไม่มีการร้องไห้ และไม่มีความโกรธ
แค้นซึ่งกันและกัน และก็ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน
ได้ยินได้ฟังมาว่า ต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันมาถึงห้าร้อยชาติ
ถึงจะมีบุญได้ไปเกิดเป็นคู่สามีภรรยาบนสรวงสวรรค์
สามีภรรยาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ เมื่อคิดอยากจะกินอะไร ก็จะได้กินของดีๆ
ดังใจหวัง คิดอยากจะมีเสื้อผ้า ก็จะมีเสื้อสวยๆทันที เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึง
ไม่มีความจะเป็นต้องทำงานให้ยากลำบาก และไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
บ่อยครั้งที่พวกเขาจูงมือกันไปเดินเล่นอยู่บนทางสายรุ้ง นั่งจิบน้ำชาอยู่บนก้อนเมฆ
หรือว่าอยู่ฟังเสียงน้ำไหลจากธารสวรรค์เงียบๆ พร้อมกับชื่นชมความงามของตัวเอง
อย่างเงียบๆคนเดียว
สิ่งเดียวที่ทำให้ชาวสวรรค์เป็นทุกข์ที่สุดคือ เมื่อเสพสุขจนหมดอายุที่จะอยู่บนสวรรค์
ชีวิตก็จะสูญสิ้น กลิ่นหอมกรุ่นที่มีติดตัวก็จะหล่นหายไป
มงกุฎดอกไม้ที่ประดับอยู่บนหัวก็จะเหี่ยวเฉา เสื้อที่สวยงามก็จะบินหายไปทีละชิ้น
สุดท้ายก็จะล้มลงขณะที่ยืนหรือนั่งอยู่ และขณะที่ล้มลงนั้นเอง จะเหมือนกับดวงไฟที่ดับไปโดยฉับพลัน
แล้วเหลือเพียงควันที่ลอยหายไปในความว่างเปล่า
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้เสพสุขอยู่บนสรวงสวรรค์นี้มาหลายพันปีแล้ว เมื่อถึงวาระ
ที่ใกล้จะจบสิ้น มักจะเกิดความคิดนี้ขึ้นมาบ่อยๆว่า
“ชีวิตที่มีความสุขอย่างนี้ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
วันหนึ่งฝ่ายภรรยาลอยขึ้นไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพื่อจะเด็ดดอกไม้ไปให้สามี
เพราะว่าผู้คนทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ต้องประดับด้วยมงกุฎดอกไม้
เพื่อเป็นสง่าราศีแก่ตัวเอง และดอกไม้เหล่านี้เป็นหน้าที่ของภรรยาที่
จะต้องจัดเตรียมไว้ให้
ฝ่ายสามีซึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ เขาใช้เมฆขาวไปแตะกับแสงอาทิตย์ แล้วนำมา
ขัดตัวให้สะอาด พลางร้องเป็นเพลงออกมาอย่างไพเราะเสนาะหู เสียงเพลง
ขับกล่อมประสานไปพร้อมกับแสงทอง แว่วแผ่วไปทั่วสวนสวยในบ้าน
ของตัวเอง ภรรยาซึ่งเดินมาถึงตัวบ้านถึงกับเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศ
ที่ได้เห็นกับตา
แต่ก็เวลานั้นนั่นเอง ที่ฝ่ายภรรยาเริ่มต้นมีเหงื่อไหลออกมา
นางรู้สึกกังวลและตกใจมาก จนทำมงกุฎดอกไม้ร่วงหล่นกระจายกลายเป็น
ดวงดาว เสื้อผ้าที่สวยงามต่างๆที่มีอยู่ ก็กลายเป็นสะเก็ดไฟลอยไปทั่ว
แตกกระจายกลายเป็นเศษเพชร ชุดราตรีสีเงินยวง
ได้กลายเป็นชิ้นๆ ลอยไป แล้วกลายเป็นเมฆขาว
ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไร นางก็สลายหายไปแล้ว
เหมือนกับตกหล่นมาจากต้นไม้สูง ลอยละลิ่วลงมา
เหมือนแสงกระพริบแล้วหายไป
วินาทีสุดท้ายก่อนจะหายไป ยังได้ยินเสียงเพลงของสามีดังแว่วอยู่ในหู
เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง
ที่แท้นางได้เกิดใหม่บนโลกมนุษย์แล้ว พวกผู้ใหญ่นึกว่าเด็กเมื่อถูกอากาศแล้วตกใจจึงร้องไห้
แต่ไม่ใช่อย่างนั้น นางร้องไห้เพราะในจิตใจยังมีเสียงเพลงของสามีฝังอยู่ลึกๆ
เมื่อนึกถึงความสุขบนสรวงสวรรค์ก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้
ขณะที่นางเกิดมามีกลิ่นหอมของกุหลาบอบอวลไปทั่วห้อง
พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ว่า “กุหลาบ”
กุหลาบยังจำวันเวลาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้ และเล่าเรื่องราวต่างๆบนสวรรค์ให้คน
ในบ้านฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อ คิดว่าเป็นความฟันเฟื่องของหล่อนเอง
เมื่อกุหลาบโตเป็นสาว พ่อแม่ก็ให้แต่งงานไปกับชายหนุ่มใกล้บ้าน แม้หล่อนจะสวม
บทบาทที่เป็นภรรยาที่ดีที่สุด แต่ในส่วนลึกแล้ว ยังจำสามีที่อยู่บนสวรรค์อย่างมิ
ลืมเลือน หล่อนรู้ว่าหากอยากกลับไปอยู่บนสรวงสวรรค์กับสามีเก่าอีก จะต้องรีบ
สร้างกุศลอย่างสุดชีวิตในช่วงชีวิตอันสั้นที่อยู่บนโลกมนุษย์ และต้องรักษาอุดมการณ์
อย่างแน่วแน่ กุหลาบมักจะนำดอกไม้ธูปเทียน ไปถวายบูชาที่วัดเสมอ และใส่บาตร
ด้วยอาหารเจอันรสเลิศ บริจาคอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้กับคนยากคนจน ชีวิตของ
หล่อนเหมือนกับอยู่เพื่ออุทิศตนและทำทานเท่านั้น และนางก็นำความคิดเหล่านี้
ไปเชิญชวนและปลูกฝังให้กับลูกๆสี่คนและสามีในโลกมนุษย์ด้วย
วันหนึ่งขณะที่ทำบุญอยู่ที่วัด รู้สึกเวียนหัวขึ้นมากะทันหัน เลยพิงไว้กับกำแพงแล้วนิ่งพักสักครู่
ได้กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆแบบในสวรรค์ แล้วก็สิ้นใจไป
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หล่อนก็กำลังเก็บดอกไม้อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง หล่อนมองเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่
ที่แท้หล่อนก็สวมใส่ชุดนางฟ้าเหมือเดิมแล้ว เมื่อสามีบนสวรรค์อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินมาที่สวนดอกไม้ พูดกับนางว่า
“เมื่อกี้ข้าเรียกเจ้า ไม่ได้ยินหรอกหรือ?”
“เมื่อกี้ข้าสลายตัวไป แล้วไปเกิดในโลกมนุษย์”
“เป็นความจริงหรอกหรือ? แล้วอยู่ในโลกมนุษย์นานแค่ไหน?”
สามีถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าอยู่ในครรภ์ของแม่สิบเดือน ถึงเกิดออกมา อายุสิบหกก็แต่งงานไปอยู่กับ
คนบ้านใกล้ๆ คลอดลูกมาแล้วสี่คน พยายามทำแต่ความดีและสร้างแต่บุญกุศล
แล้ววิงวอนอธิษฐานขอให้ได้พบเจ้าอีก ดังนั้นจึงมาเกิดที่นี่อีก” ภรรยาตอบ
“แล้วอายุขัยในโลกมนุษย์ยาวนานแค่ไหน?” สามีถาม
“อายุขัยในโลกมนุษย์ ก็อยู่ในราวๆไม่เกินร้อย ร้อยปีก็เท่ากับหนึ่งคืนของสวรรค์เรา”
“แล้วคนในโลกมนุษย์ทำอะไรบ้างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่?”
ช่วงชีวิตของคน หนึ่งในสามส่วนหมดกับไปกับการนอน อีกหนึ่งในสามส่วนหมด
ไปกับแสวงหาอาหารเครื่องนุ่งห่ม แสวงหาความสุขมาปรนเปรอตัวเอง อีกหนึ่งส่วน
ที่เหลือ นำมาโกรธแค้น สำนึกผิด นินทาแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิต
ลักษณะนี้ไปจนตาย มีคนเพียงส่วนน้อยที่จะรู้จักชื่นชมสิ่งดีงามต่างๆที่อยู่รอบๆตัว
เพื่อจะได้นำมาพัฒนาโลกของจิตวิญญาณให้สวยงาม แสวงหาความรักและความอบอุ่นจากสิ่งต่างๆ
ฝ่ายสามีซึ่งได้ฟังถึงเรื่องราวต่างๆในโลกมนุษย์ รู้สึกกระเทือนใจยิ่งนัก
“หรือว่าคนในโลกมนุษย์ ไม่รู้จักสำนึกว่าช่วงชีวิตอันสั้นที่อยู่ในโลก ควรจะ
ไปทำในสิ่งที่มีความหมาย?”
“ไม่หรอก คนส่วนใหญ่ยังหลงใหลมัวเมาเหมือนอยู่ในความฝัน เหมือนกับ
ว่าพวกเขาไม่รู้จักแก่ไม่รู้จักตาย เพียงแต่เมื่อความตายมาถามหาแล้ว
ถึงจะเศร้าโศกร้องไห้คร่ำครวญ” ภรรยาตอบ
สองสามีภรรยาคุยกันถึงชีวิตอันสั้นในโลกมนุษย์ แล้วคนเหล่านั้นไม่รู้จักใช้ชีวิต
อย่างสวยงามและมีความรัก ไม่รู้จักทำสิ่งซึ่งมีความหมายกับชีวิต ในใจเกิดความ
รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายภรรยาพูดขึ้นว่า “พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องราวของโลกมนุษย์ดีกว่า มา ข้าจะกลัด
ดอกไม้เพิ่มให้เจ้าอีกดอก พูดพลางนางก็บินลงจากต้นไม้อันสูงใหญ่นั้น
เมื่อนางบินลงมาใกล้ถึงพื้นที่ปูด้วยก้อนเมฆ จึงรู้สึกว่าเหยียบไม่ถูกก้อนเมฆ
แล้วก็เหมือนกับสะดุดอะไรสักอย่าง แล้วทั้งตัวก็ลอยละล่องดังดอกไม้ที่ร่วงหล่นลง
ผ่านก้อนเมฆไปทีละชั้น ทีละชั้นลงไปเรื่อยๆ
กุหลาบตื่นขึ้นมาจากความฝัน มองไปรอบๆตัว ถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่บน
ความสุกสว่างและความสวยงามของสวรรค์ แต่อยู่ในบ้านที่ยังดูมืดสลัวอยู่
และคนที่นอนหลับสบายอยู่ข้างๆตัวนั้นคือลูกสาวคนเล็ก
ซึ่งใบหน้ายังดูแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
หล่อนนึกถึงสามีที่เพื่อปากท้องและความเป็นอยู่ของทุกคนในครอบครัว
ขณะที่ฟ้ายังไม่สาง ก็ออกไปทำงานอยู่ในท้องนาแล้ว นางหยิบเสื้อผ้าสวม
แล้วก็ไปเดินเล่นอยู่ในสวนบริเวณบ้าน ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกราตรี
โชยผ่านเข้ามา หล่อนคิดในใจ “เมื่อกี้เป็นความฝันบนสวรรค์หรือเป็นความฝัน
ในโลกมนุษย์” มองไปรอบๆตัว ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีแต่ความเงียบสงบ
ไม่มีคำตอบใดๆให้กับตัวเอง
หล่อนคิดต่อไปอีก “เรื่องที่อยู่บนสวรรค์เป็นความจริง หรือเรื่องที่อยู่ในโลกถึงจะเป็น
ความจริงนะ” มองไปที่ฟ้า ก็เห็นแต่ดวงดาวกระพริบแวววับไปมา เงียบไม่มีคำตอบเช่นเคย
เมื่อนางเฝ้าถามตัวเองอยู่นั้น แสงแรกของพระอาทิตย์ได้สาดส่องมากระทบกับ
ก้อนเมฆ ผ่านมายังพื้นโลก กุหลาบยังจำคำพูดในความฝันได้ว่า
“หรือว่าคนในโลกมนุษย์ไม่ได้รู้สำนึกเลยว่า ช่วงชีวิตอันแสนสั้นนั้น
ควรจะทำในสิ่งที่มีความหมายกับชีวิต? ไปพัฒนาโลกของจิตวิญญาณ
ให้ดีขึ้น แสวงหาความรักความอบอุ่นจากสิ่งต่างๆ ร้อยปีก็ปล่อยให้ผ่าน
ไปอย่างนี้เฉยๆโดยเปล่าประโยชน์”
ได้ยินเสียงของลูกที่ตื่นขึ้นมาเรียกหาแม่ นางคิดในใจว่า “หากสามารถใช้ชีวิตอย่าง
มีความหมาย โลกมนุษย์ก็คือสวรรค์ หากไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
สวรรค์ก็คือโลกมนุษย์”
ที่มา จากอินเตอร์เน็ต
ฐิตา:
๖๕. สิ่งดีๆควรนำมาแบ่งปัน
มีแม่ชีท่านหนึ่ง เพราะศรัทธาในพุทธศาสนามาก จึงได้สร้างพระพุทธรูป
มาองค์หนึ่ง พร้อมกับเคลือบองค์พระด้วยทองคำเปลวเหลืองอร่ามไปทั้งองค์
ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน จะนิมนต์พระพุทธรูปองค์นี้ไปด้วยเสมอ
พระพุทธรูปองค์นี้เหมือนกับศูนย์รวมความศรัทธา ความหวังและจิตใจ
แม้แต่ชีวิตของท่านก็ฝากรวมไว้ในองค์พระนี้
ผ่านไปหลายปี แม่ชีท่านนี้ก็อยู่ประจำที่วัดในชนบทแห่งหนึ่ง ภายในวัดมี
พระพุทธรูปมากมาย ก็มีกระจกใสครอบไว้ ท่านเลยหากระจกใสมาครอบไว้
บ้าง ท่านคิดจะไม่ให้ควันธูปที่จุดบูชาลอยไปที่พระองค์อื่นๆ แต่ในบริเวณ
ที่กว้างๆอย่างนี้จะไม่ให้ควันธูปลอยไปทั่วได้อย่างไร?
คิดไปคิดมาเลยคิดจะทำท่อขึ้นมาเพื่อให้ควันธูปเข้าไปที่องค์พระของตัวเอง
ที่เดียว นอกจากพระของตัวเองแล้ว ท่านไม่เคยมองหรือกราบไหว้พระองค์อื่นเลย
มีคนติว่า ทำอย่างนี้ไม่เป็นการสมควร ทำให้เกิดการเลือกเขาเลือกเรา ทำอย่าง
นี้ทำอย่างไรก็ภาวนาให้เกิดผลไม่ได้ แต่แม่ชีท่านนี้ก็หาได้ฟังคำตักเตือนของใครไม่
ผลสุดท้ายพระพุทธรูปองค์นั้นถูกควันธูปจับจนดำไปทั้งองค์ ดูแล้วหมองจนหมดราศี
บทเรียนชีวิตห้าบท
บทที่หนึ่ง…
ฉันเดินไปที่ท้องถนน
ที่ฟุตบาทมีหลุมลึกอยู่หลุมหนึ่ง ฉันเผลอตกลงไปในหลุมนั้น
ฉันเดินผิดทางแล้ว ฉันหมดหวังแล้ว
นั่นไม่ใช่ความผิดของฉัน ต้องเสียแรงไปไม่ใช่น้อยถึงจะปีนป่ายขึ้นมาได้
บทที่สอง …
ฉันเดินไปบนถนนเหมือนกัน ที่ฟุตบาทมีหลุมลึก
ฉันทำเป็นมองไม่เห็น แต่ก็ตกลงไปจนได้
ฉันแทบจะไม่เชื่อตัวเองว่า ฉันจะตกลงไปในที่มีลักษณะเดิมได้
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของฉัน
แล้วก็ต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยถึงจะปีนขึ้นมาได้
บทที่สาม ...
ฉันเดินไปในถนนที่มีลักษณะเดียวกันอีก
บทฟุตบาทมีหลุมลึกเช่นเดียวกัน
ฉันก็มองเห็นหลุมลึกนั้น แต่ฉันก็ตกลงไปจนได้
มันเหมือนกับเป็นธรรมเนียมเสียแล้ว
ฉันลืมตาขึ้นมาดู ฉันรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน
นั่นเป็นความผิดของฉัน ฉันจึงรีบปีนขึ้นมา
บทเรียนที่สี่ …
ฉันเดินไปบนถนนที่เหมือนกัน
บนฟุตบาทมีหลุมลึกหลุมหนึ่ง
ฉันเดินอ้อมผ่านหลุมนั้น
บทเรียนที่ห้า ...
ฉันเดินไปที่ถนนอีกสายหนึ่ง
ฉันนึกเอาเองว่าเดินไปบนความอิสรเสรี
แต่เมื่อพบกับความเคยชินเดิมๆ
ฉันก็กลายเป็นทาสของมันอีก
แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้น แต่การรู้สำนึกจะทำให้ค่อยๆเกิดความรู้ตัวขึ้นมาได้
เมื่อเราสังเกตเห็นว่าตัวเองยังถลำลึกลงไปตามความเคยชินเดิมๆ
ก็จะคิดอยากจะกระโดดออกมาจากหลุมนั้น
แน่นอน บางทีเราอาจจะยังตกลงไปได้อีก
แต่เมื่อตั้งสติได้ ปล่อยเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
เราก็จะกระโดดออกมาได้ ทำให้มีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ฐิตา:
๖๖. สองมือกำจนแน่น จะกำได้สักเท่าไหร่
มีอุบาสกท่านหนึ่งมาปรับทุกข์กับพระอาจารย์ว่า ภรรยาของตัวเองเป็น
คนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ไม่ว่าเรื่องอะไร หล่อนจะไม่ยอมจ่ายแม้แต่
สตางค์แดงเดียว ขอให้พระอาจารย์ช่วยไปที่บ้านชี้ทางสว่างให้แก่หล่อน
เพื่อให้หล่อนได้รู้จักทำบุญทำทาน และทำสิ่งที่เป็นกุศลบ้าง
พระอาจารย์เลยไปที่บ้านของอุบาสกท่านนั้น ภรรยาของเขาออกมาต้อนรับ
แล้วก็เห็นได้ว่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวจริงๆ เพราะแม้แต่น้ำชา
ยังไม่นำมาต้อนรับ
พระอาจารย์จึงกำมือขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วถามว่า สีกา ถ้าหากมือของข้าเป็นอย่างนี้
ทุกวันเจ้ารู้สึกว่าเป็นอย่างไร?”
“ถ้าหากเป็นอย่างนั้นทุกวันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาด”
และพระอาจารย์ก็แบมืออก แล้วถามว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันจะเป็นอย่างไร?”
“อย่างนี้ก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดเช่นกัน”
“สีกา เจ้าพูดไม่ผิด มือหากกำตลอดเวลา หรือแบตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่ผิด
แปลก ด้วยเหตุและผลเดียวกัน ในด้านทรัพย์สินเงินทอง หากรู้จักแต่จะเอา
ไม่รู้จักทำบุญทำทานบ้าง เป็นเรื่องผิดแปลก หรือรู้จักแต่บริจาค ไม่รู้จักเก็บ
สะสมก็เป็นเรื่องผิดแปลก เงินต้องมีการไหลเวียน มีการไหลเข้าไหลออก
เมื่อตวงเข้ามาก็ต้องให้มีออก
ภรรยาของอุบาสกท่านนั้นฟังแล้ว ก็เข้าใจ และรู้ถึงหลักการของการจัดการ
ทรัพย์สินเงินทอง
ฐิตา:
๖๗. ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?
หญิงคนหนึ่งมีนิสัยแปลกประหลาด เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้หล่อน
โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ หล่อนเองก็รู้ซึ้งถึงนิสัยของตัวเองดี แต่ก็ไม่สามารถ
ควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธได้
มีเพื่อนแนะนำหล่อนว่า “วัดที่อยู่ใกล้ๆนี้มีพระบรรลุธรรมขั้นสูงอยู่ท่านหนึ่ง
เจ้าทำไมไม่ไปเล่าสิ่งที่เจ้าเป็นให้ท่านฟัง และจะได้ขอคำชี้แนะจากท่าน”
หญิงคนนั้นจึงไปหาพระท่านนั้น เพื่อจะลองให้ท่านชี้แนะดู
เมื่อพบกับพระท่านนั้น หญิงคนนั้นจึงเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยกิริยาท่าที
นอบน้อมและจริงใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการชี้แนะอย่างดี พระรูปนั้น
ก็ตั้งใจฟังหล่อนพูดจนจบ เมื่อพูดจบแล้วจึงให้หล่อนไปที่ห้องหนึ่ง
แล้วขังหล่อนไว้ในนั้น ไม่พูดกล่าวอะไรแล้วเดินจากไป
หญิงคนนั้นคิดว่าถูกขังอยู่ในห้องนั้นแล้วจะได้ยินคำชี้แนะจากท่าน ไม่คิดว่า
ท่านไม่พูดอะไรสักคำ ซ้ำยังขังไว้ในห้องที่มืดและเย็นชื้นอีก หญิงนั้นโกรธจน
ใช้เท้ากระแทกพื้นแล้วส่งเสียงด่าออกมาดังลั่น ไม่ว่าหล่อนจะด่าว่าอย่างไร
พระรูปนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร หญิงคนนั้นด่าจนทนไม่ไหว จึงร้องวิงวอนขอความ
ช่วยเหลือ แต่พระรูปก็ไม่สนใจจะฟังอีก ยังคงปล่อยให้หล่อนแสดงอารมณ์ต่อไป
ผ่านไปอีกนาน เสียงในห้องนั้นเงียบลง พระรูปนั้นถามว่า “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?”
หญิงนั้นตอบว่า ข้าโกรธแต่ตัวเอง ที่ไปเชื่อคนอื่นที่แนะนำให้มาหาท่าน”
“ท่านไม่ให้อภัยแม้แต่ตัวเอง แล้วเจ้าจะอภัยให้คนอื่นได้อย่างไร?” พระนั้นตอบ
ผ่านไปสักพัก พระรูปนั้นถามอีกว่า “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่โกรธแล้ว” หญิงนั้นตอบ
“ทำไมถึงไม่โกรธแล้ว?”
“ข้าโกรธแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่ว่าจะโกรธอย่างไรก็ถูกท่านขังอยู่ใน
ห้องมืดนี้อยู่ดี” หญิงนั้นตอบ
“เจ้าเป็นอย่างนี้ยิ่งน่ากลัวกว่า เพราะเจ้ากดข่มความโกรธของตัวเองไว้
เมื่อระเบิดออกมาเมื่อไหร่กลับจะยิ่งรุนแรงกว่าเก่า” พูดจบพระท่านนั้น
ก็เดินจากไปอีก
เมื่อกลับมาถามอีกเป็นครั้งที่สาม หญิงนั้นตอบว่า “ข้าไม่โกรธแล้ว เพราะ
ท่านไม่ควรค่าที่จะให้ข้าโกรธ”
“รากเหง้าแห่งความโกรธของเจ้ายังคงอยู่ เจ้ายังไม่ได้หลุดพ้นไปจากวังวน
แห่งความโกรธ”
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง หญิงคนนั้นถามขึ้นว่า “พระอาจารย์ บอกข้าพเจ้า
หน่อยได้ไหมว่า ความโกรธคืออะไร?”
พระอาจารย์ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก แต่มองไปเหมือนกับพระอาจารย์ไม่ตั้งใจ
ที่จะเทน้ำชาลงไปที่พื้น หญิงคนนั้นจึงเข้าใจแล้วว่า ที่แท้ถ้าตัวเองไม่โกรธ
โกรธนั้นจะมาจากไหน จิตใจสว่างโร่ด้วยความรู้และเข้าใจ หากไม่มีสิ่งใดเลย
ตัวโกรธไหนเลยจะมี
ฐิตา:
๖๘. ชีวิตอยู่ที่ไหน?
ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เซนพูดกับอุบาสกท่านหนึ่งว่า “เหล่าพุทธะทั้งหลาย
มักจะพูดถึงความมีในความไม่มี หาสิ่งที่มีความหมายในชีวิตจากความ
ว่างเปล่าในสิ่งที่ไม่มีความหมายอะไร จนที่สุดได้รับความหลุดพ้น
สรรพสิ่งในโลกล้วนถูกผูกมัดจากความกังวลและเป็นทุกข์ เพราะเหตุนี้
หากอยากจะแสวงหาจิตวิญญาณที่ไม่ตายในอนาคตจากชีวิตที่มีความ
หมายในตอนนี้ จึงเหมือนกับควานหาพระจันทร์ในน้ำ แค่เพียงให้จิต
จิตตนเองปราศจากสิ่งทั้งปวง ก็จะไม่เกิดความหลงผิด”
“ทำอย่างไรถึงจะให้จิตปราศจากทุกสิ่ง”อุบาสกนั้นถาม
“ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลความถูกหรือความผิด ผลได้หรือผลเสีย
ก็ไม่ต้องไปคิด หรือไปเอาเรื่องเอาราวกับสิ่งต่างๆ”
“หากไม่คิด จะรู้ได้อย่างไรว่าจิตอยู่ที่ไหน”
“ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรให้คิดไปแต่ในทางที่เป็นกุศล
ไม่ไปในทางที่เป็นอกุศล หมั่นใช้จิตพิจารณาสิ่งต่างๆ
เจ้าก็จะพบความผสมผสานระหว่างจิตกับชีวิต” พระอาจารย์ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นคนตายแล้ว จิตอยู่ที่ไหน?” อุบาสกนั้นถาม
“ไม่รู้จักเกิด แล้วจะรู้จักตายได้อย่างไร?”
“ตอนนี้ข้าพเจ้าหาชีวิตของตัวเองได้แล้ว” อุบาสกนั้นกล่าว
“ชีวิตของเจ้าอยู่ที่ไหน?”พระอาจารย์ถาม
อุบาสกนั้นอึกอักตอบไม่ถูก พระอาจารย์เลยใช้มือขยุ้มไปที่อกของ
อุบาสกนั้น แล้วพูดว่า “ก็อยู่ตรงนี้นั้นแหละ แล้วยังจะคิดไปถึงไหนอีก”
“ข้าพเจ้าทราบแล้ว ข้าพเจ้าทราบแล้ว”
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version