แสงธรรมนำใจ > หยาดฝนแห่งธรรม

ทาน ศีล ภาวนา

<< < (5/9) > >>

sithiphong:
อภัยทาน มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร ?
-http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=479.0-


 ฉะนั้น  ทุกครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชีวิตใครหรือแม้แต่เกิด กับเราเอง  และเราเองไม่สามารถจะวิเคราะห์ได้ด้วยปัญญาธรรมดา  ขอให้ลองมองผ่านกฎเกณฑ์แห่งกรรมดูบ้าง  ก็จะช่วยให้จิตใจของเราโปร่งเบาขึ้นมาได้

 การคิดถึงกฎแห่งกรรม หาใช่การคิดแบบทอดธุระ หรือโยนบาป  โดยไม่คิดจะแก้ปัญหาไม่  การคิดเรื่องกฎแห่งกรรม  เป็นหลักการสัญข้อหนึ่งในการแก้ปัญหาทางใจตามหลักพระพุทธศาสนา  หลักธรรม เป็นกฎเกณฑ์ที่ให้ผลได้แยบยลทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก  ที่สลัดไม่ออก  ที่ไม่มีทางจะหลบลี้หนีได้  เป็นสิ่งที่เราต้องแบกรับด้วยชีวิต  เราต้องพิจารณาความจริงย้อนหลัง  และยอมรับเหตุการณ์นั้นให้ได้

 สิ่งหนึ่งที่ควรคิดคือ  เรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกรรมในอดีตที่เราไม่ได้ทำให้เป็น  “อโหสิกรรม”  คือไม่ยอมให้อภัยในภพชาติที่แล้ว  และวันนี้สิ่งที่เกิดกับเรา  จึงเป็นสิ่งสมควร  สมเหตุสมผล
 วิธีแก้คือ  เราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นให้ได้  หากคิดได้เช่นี้  ก็จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้

 ความทุกข์ส่วนใหญ่  มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้  ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก  มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลง  แต่เปลี่ยนไม่ได้  หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง  แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

 ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆ หนึ่ง  เป็นสิ่งที่ทำยากหรือง่าย  คำตอบคือ ทำง่าย  หากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ

 ขอให้เราฝึกเสมอๆ ว่า  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับเรา  ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน  ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์  ขอให้เราทำทุกครั้ง  ทำทุกวินาที  ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญ  เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

 เมื่อเราสร้าง  “อภัยทาน”  ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้ว  เราจะรู้สึกว่า  การให้อภัยแก่ใครนั้น  เป็นเรื่องง่ายดาย  เป็นเรื่องธรรมดาๆ  คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ

 ขอให้เราทราบไว้ว่า  เมื่อเราหัดสร้าง  “อภัยทาน”  เป็นปกติแล้ว  เศษกรรมต่างๆ  แทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ  ก็จะถูกสลัดออก  คือตามไปไม่ได้  เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไป  หากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออก  เพราะเราให้อภัยเสียแล้ว

 เมื่อเราให้อภัยเสียแล้ว  ใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้  แรงพยาบาทของเขา  ก็จะหมดโอกาสติดตามเรา  เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง  เนื่องจากเราได้ “อโหสิ”  เสียแล้ว

 จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย  มาฝึกปฏิบัติ  “อภัยทาน”  และ  “อโหสิกรรม”  ตั้งแต่บัดนี้กันเถิด  เพื่อยุติสนิมในใจ  คือความอาฆาตพยาบาท  เพื่อยุติแรงส่งของกรรมที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อนข้ามภพข้ามชาติ

 พึง หลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อน  แล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆ  ดังนี้
  สัพเพ  สัตตา    สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
  อเวรา  โหนตุ    จงเป็นสุขๆ เถิด  อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
  อัพยาปัชฌา  โหรตุ   จงเป็นสุขๆ เถิด  อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน
ซึ่งกันและกันเลย
  อนี ฆา  โหนตุ    จงเป็นสุขๆ เถิด  อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
  สุขี  อัตตานัง  ปริหรันตุ   จงเป็นผู้มีสุข  รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น
เทอญ

ตายไม่มี
 “สัตว์ทุกชนิดกลัวตาย  เพราะคิดว่าความตายเป็นภัยร้ายแรงของชีวิต  ผวาว่าความตายใครๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้  เกิดความสิ้นหวังท้อแท้ว่าความตายไม่อาจรักษาด้วยการเยียวยาใดๆ  แต่ความจริงแล้วความตายนี้แลคือทิพยโอสถชนิดเลิศ  ที่ธรรมชาติใช้รักษาโรคร้ายทุกชนิดของธาตุขันธ์  ความตายจึงมิใช่สิ่งที่น่ากลัวเพราะความตายเป็นทิพยโอสถของชีวิต”

 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณามรณสติเพื่อบรรเทาความมัว เมาในชีวิต  ในเวลา  ในความประมาท  ก็เพราะต้องการให้คนมีสติตื่นตัว  ให้รู้ว่า ความตายอยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้น  เรารู้วันเวลาเกิดได้  แต่เวลาตายเราไม่รู้  และไม่มีทางจะรู้ด้วยหากไม่เจริญมรณสติเป็นประจำ

 การเจริญมรณสติ  คือนึกถึงความตายบ่อยๆ  อย่างนี้  จะสอนใจให้กล้าเผชิญความจริงได้ไม่ยาก
 เมื่อพิจารณาความจริงอีกขั้นหนึ่ง  เหนือจากสมมติสัจจะคือ  พิจารณาให้เห็นความจริงตามหลักธรรมชาติ  มองทุกอย่างให้เห็นเป็น อนัตตา  ปราศจากตัวตนที่ควรเข้าไปยึดมั่น  อย่างที่ตรัสแสดงใน  อนัตตลักขณสูตร  เราก็จะเข้าใจได้ว่า  ความตายไม่มี  และไม่มีอะไรตาย  สิ่งที่เราเรียกว่าตายเป็นแต่เพียงการปรับตัว  และเปลี่ยนสภาพของธาตุ  ๔ คือ  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  กับวิญญาณของธาตุเท่านั้น
 
ตามธรรมดาของร่างกายเป็นทุกข์และอยู่ได้ยาก  ต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา  เราเห็นกันทุกคน  แต่มีน้อยที่ใส่ใจ

 ขอให้พิจารณาง่ายๆ  ดังนี้  จากเล็กสุดในท้องแม่  เลือดก้อนหนึ่งค่อยเจริญเติบโตมาเป็นตัวคน  เมื่อโตมากก็จำต้องออกมาอยู่นอกท้องแม่  มิฉะนั้นจะเกิดปัญหา  เราสมมติเรียกว่า “เกิด”  แท้จริงการเกิดก็คือวิธีเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ทนได้ยากอย่างหนึ่งของธรรมชาติ นั่นเอง  จากนั้นก็เป็นก้อนเลือดมีชีวิต  นอนแบเบาะ  หัดกิน  หัดพูด  หัดคลาน  หัดรับสัมผัสจากโลกใบใหญ่นอกครรภ์แม่  การพึ่งตัวเองมีมากขึ้นตามลำดับ

 เขาต้องกินเอง  ดื่มเอง  หัดเดินเอง  และการที่ได้คิดเอง  ทำเองนี่แล  เป็นความปรารถนาสุดยอดของชีวิต

 ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ได้รับอิสรภาพตามลำดับ  เป็นอิสระทั้งกายและใจตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องวิมุติ  ความหลุดพ้น  แท้จริงแล้วก็คืออิสรภาพนั่นเอง  เพราะหลุดพ้นจากบ่วงจึงเป็นอิสระแล้ว  อะไรคือบ่วงคล้องชีวิต

 ต่อมาเมื่อโตขึ้นอีกหน่อย  เขาก็หัดเดินเอง  วิ่งเอง  วินาทีแรกที่เขาเกินเองได้โดยที่ไม่มีคุณแม่คอยประคอง  เป็นวินาทีแห่งความสุข  เมื่อเขายืนด้วยลำแข้งของตนเองได้เป็นอิสระไม่เป็นภาระของใคร  เป็นตัวของตัวเองแล้ว  ความภูมิใจจะเกิดขึ้นทันที

 เขาจะรู้สึกมั่นใจในชีวิต  แต่ก็มั่นใจเพราะมีคุณพ่อคุณแม่ยืนเคียงข้าง  เพราะภายในจิตลึกๆ  ก็ยังต้องการที่พึ่งอยู่  ใจยังต้องมีที่พักพิงที่มั่นคง  นั่นคือที่พึ่งอันอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่

 วัยเด็กนี้เอง  เป็นวันที่หนูน้อยต้องได้รับการอบรมบ่มเพาะปลูกฝังจริต  นิสัย  ใจคอ  เรียนรู้ดีชั่ว  ควรมิควร  เรียนรู้ ถูกกับผิด  จากคุณพ่อคุณแม่  ก่อนที่จะออกไปสู่โลกกว้าง  ทางไกล

 การเรียนรู้ถูกกับผิดนั้น  เรียนได้จากทุกสถานที่  เพราะเป็นขาวกับดำชัดเจน  และมีกฎเกณฑ์ตายตัว  ส่วนการจะรู้ว่าอะไร ควรไม่ควร นั้นยาก  ต้องใช้ใจต่อใจ  ใช้จิตสำนึกแทนตัวอักษร  ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นจะให้เราได้ดีกว่าใครๆ  ในข้อนี้

 บางครั้งสิ่งที่ว่าถูกต้องนั่นเองกลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ  ไม่ควรพูด  ไม่ควรคิด  เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้  คนที่จะกล้าบอกเรา  ก็มีแต่คนที่รักเราจริงๆ  เท่านั้น  แล้วใครเล่าจะรักเราบริสุทธิ์  มีความเมตตาอาทร  และอ่อนโยนเท่ากับพ่อแม่

 โตมาหน่อย  เราก็ต้องเรียนรู้โลกกว้าง  มีการศึกษา  มีงานทำ  มีครอบครัว  แล้วชีวิตใหม่ต้วน้อยก็ถือกำเนิดมาดูโลกกับเราอีก  เจ้าหนูน้อยก็เป็นอย่างที่เราเคยเป็น  เขาเริ่มต้นชีวิตอย่างที่เราเคยเริ่มต้นมา  วันผ่านไป  วัยก็ตามมา  แต่สิ่งที่ผ่านมามิใช่เพียงกาลเวลาที่ผ่านไป  ทุกอย่างได้จารึกปรัชญาชีวิตเอาไว้ให้เราได้รำลึกถึงทุกเหตุการณ์ณ์เสมอ  แม้ความจำจะลืมบางอย่างไปแต่ใจยังจดจำ

 ขณะที่ลูกเจริญไปข้างหน้า  ความชราตามหาเรา  วัยเราเจริญลง  วัยลูกเจริญขึ้น  ก็มาถึงช่วงวัยแก่เฒ่า  เราอาจคิดว่าตัวเองแก่  เพราะเห็นหน้าตาเหี่ยวย่น  ผมหงอก  ฟันหลุด  เจ็บปวด  ป่วยไข้ไม่สบาย  เรี่ยวแรงหมด  นั่งโอย  แม้นอนก็ยังโอย  เราคิดว่านี่คือวัยชรา

 ความเป็นจริงเราชรามาตั้งแต่เกิด  ชรามาเยือนเราตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  แต่เราไม่คิดกันเท่านั้นเอง
 คำว่า “วัย” ที่เราพูดว่าเจริญวัย  แท้จริงก็คือเจริญความเสื่อมเพราะคำว่า  “วัย”  แปลว่า “เสื่อมสินไป”  เราแก่ตั้งแต่เกิด  เรามิได้แก่เฉพาะวันนี้เท่านั้น

 และแล้วก็มาถึงบั้นปลายของชีวิต  เราเรียกว่า “ตาย”  ความจริงตายไม่มี  ตายเป็นเพียงคำสมมติเรียกชื่อ  “ทิพยโอสถ”  ที่สามารถรักษาโรคร้ายทุกชนิด

 ที่เราสมมติเรียกว่าตายนั้น  เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ขันธ์ ๕  ปรับความสมดุลเท่านั้นเอง
 ความสมดุลของธาตุ ๔   ขันธ์ ๕  คือการดำรงอยู่อย่างเป็นสุขของชีวิต  ถ้าธาตุ ๔  ขันธ์ ๕  ขาดความสมดุล  ชีวิตก็เป็นทุกข์เพราะความเจ็บ  ก็คือความไม่สมดุลของธาตุทั้ง ๔  ขันธ์ ๕

เมื่อเจ็บมาก  ก็แสดงว่า  ธาตุตัวใดตัวหนึ่งทำงานบกพร่อง  เช่น  อาหารไม่ย่อยเราก็เป็นทุกข์  แสดงว่าธาตุไฟไม่ทำงาน  ธาตุดินมีปัญหา  ระบบเลือดแย่  แสดงว่าธาตุน้ำเดินไม่สะดวก  เป็นต้น
 เมื่อธาตุทั้ง ๔  ทำงานไม่ได้  หรือทำงานไม่คล่องตัว  ตัวชีวิตก็รวนเร  ทรงตัวอยู่ไม่ได้  ก็จำเป็นต้องปรับสภาพเพื่อให้อยู่ได้  วิธีปรับสภาพอาจจะด้วยวิธีใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย  มีเยียวยา  หรือผ่าตัด  สุดแท้แต่ความเหมาะสม

 ในโลกแห่งเทคโนโลยี  มนุษย์เราช่างอาจหาญพากเพียรต่อสู้เอาชนะความตายด้วยวิธีการต่างๆ  แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้  เพราะเป็นการพยายามที่ฝืนระบบธรรมชาติ  หากไม่ฝืนธรรมชาติ  วินาทีธาตุขันธ์แยกจากกัน  ก็จะเป็นความสงบสุขมากกว่านี้  เพราะไม่ได้ถูกบีบบังคับ

 ความจริง  คนเราเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ควรจะปล่อยให้ธรรมชาติเยียวยาดีกว่า  มิใช่ยอมให้เทคโนโลยีมาก้าวก่ายจนเกินไป  ชีวิตมาจากธรรมชาติ  ก็จำเป็นต้องใช้ธรรมชาติเยียวยา  มิใช่เทคโนโลยีจนนาทีสุดท้าย

 ธรรมชาติคือหมอที่ดีที่สุดของชีวิต  เมื่อธาตุ ๔  จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองขั้นสุดท้าย  ขอยืนยันว่า  มิใช่เทคโนโลยี  มิใช่เครื่องมือทางวัตถุ  ต้องเป็นธรรมชาติ  มนุษย์เราควรปล่อยให้ตัวชีวิตเป็นอิสระก่อนสิ้นลมจะดีกว่า  เพื่อให้ธาตุ ๔  ขันธ์ ๕  ปรับสภาพเข้าหากันให้ลงตัว  ให้จบลงอย่างเป็นสุข
 ธรรมชาติไม่เคยทำลายใคร  ไม่เคนก่อทุกข์ให้ใคร  การฝึกต่างหากที่เป็นการก่อทุกข์  ขอให้มั่นใจในระบบการทำงานของธรรมชาติเพราะตัวตนของเรามาจากธรรมชาติ

 เพราะฉะนั้น  ความตายไม่มี  มีแต่เพียงการปรับเปลี่ยนสภาวะของธาตุขันธ์เท่านั้น  เหมือนกับตะวันออกตะวันตกไม่มี  มีเพียงการเคลื่อนไหว  หมุนตัว (วัฏฏะ)  ของลูกโลก  เมื่อมองจากจุดที่อยู่เหนือโลก  (โลกุตระ)  หรือนอกโลกเรา  คือมองจากความเป็นจริงมิใช่มองจากสิ่งที่เราเห็นด้วยตา  เช่น  มุมมองจากยานอวกาศ  เราก็จะเห็นเพียงลูกโลกดวงกลมๆ  ไม่มีที่ใดบอกว่าตะวันออกด้านนี้ตะวันตกด้านโน้น  ทุกอย่างเป็นวงโคจรการทำงานตามธรรมชาติในระบบสุริยจักรวาล

 เมื่อมองจากสภาวะที่เป็นจริงของชีวิตในมุมที่เป็นจริง  เกิดแก่เจ็บตายก็เป็นการทำงานตามระบบธรรมชาติเท่านั้น  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  จึงเป็นเพียงวงจรการเดินทาง (สังสารวัฏ)  ของชีวิต  เหมือนเราเห็นพระอาทิตย์ขึ้น  แล้วก็เดินทางไปสู่การอัสดง  นั่นเป็นการมองตามที่ตาเห็นเท่านั้น

 เมื่อเราไม่เห็นดวงอาทิตย์  เราคิดว่าอาทิตย์ตกดิน  แต่ความจริงมิใช่ดวงอาทิตย์ตกดิน  และก็มิใช่ว่าไม่มีดวงอาทิตย์  วินาทีที่หายไปจากสายตาเรานั่นเอง  ดวงอาทิตย์ก็ไปปรากฏแก่สายตาของคนอีกผากหนึ่งของมุมโลก

 อีกมิติหนึ่งของชีวิตก็เช่นกัน  เมื่อธาตุ ๔  ขันธ์ ๕  แยกกันตามธรรมชาติเราร้องไห้เสียใจ  เพราะมองว่าเป็นการตาย  มองเห็นเหมือนอาทิตย์อัสดง  แต่อาจจะมีมิติหนึ่งที่กำลังหัวเราะดีใจรับชีวิตใหม่เหมือนกับคนอีกฟากหนึ่ง กำลังรอให้พระอาทิตย์อุทัยแสงในมุมของตน

 นี่คือสิ่งที่พิจารณาตามความจริง  ทั้งระบบสุริยจักรวาลและระบบของชีวิต  ซึ่งชีวิตเองเป็นเพียงเศษธุลีของ สุริยจักรวาลเท่านั้น

 มนุษย์เกิดมาสู่โลก  นึกว่าโลกนี้เป็นของเรา  เราเป็นเจ้าของจึงยึดยื้อฉุดแย่งแบ่งปันกันเป็นเจ้าของ  ความยึดมั่นครอบครองจึงเกิดขึ้น  เพราะมนุษย์ยึดติด  กำโลกไว้แน่นนี่เอง  เขาจึงเป็นทุกข์  เป็นทุกข์เนื่องจากไม่เคยสมหวังในสิ่งใดจริงๆ  พอกำสิ่งนี้ไว้ได้  อย่างอื่นก็หลุดมือ  ต้องคว้าหาใหม่ตลอดเวลา  เมื่อได้มาก็ดูเหมือนดีใจ  แต่พอเสียไปก็เป็นทุกข์

 ความจริงแล้ว  ไม่มีอะไรเลยจริงๆ  ที่เข้าไปยึดถือแล้วไม่ทำให้เราเจ็บตัว  แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ  น้อยๆ ก็ตามท่านจึงสอนให้อยู่ในโลกนี้อย่างบางเบา  สัมผัสสมบัติของโลกแต่เพียงแผ่วเบา  อย่าหอบหิ้ว  แบกหาม  กอดกำ  เหนี่ยวรั้ง  คือ  เมื่อทำชีวิตบนโลกให้บางเบา  แล้วเราจะพอหาความสุขในชีวิตได้บ้าง  แต่ถ้าพิจารณาความจริงของชีวิตและของโลก  ต้องให้หนักแน่น  ทำแผ่วเบาไม่ได้

 แปลว่า  ถึงจุดหนึ่ง  ต้องไม่คิดแบกหามยึดมั่นมาก  เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ  แม้สิ่งที่เรามีกรรมสิทธิ์วันนี้  สุดท้ายก็มิใช่ของเรา  สิ่งที่เรารักที่สุดก็ไม่อาจอยู่กับเราได้  เพราะสุดท้ายปลายทางเราต้องจากสิ่งนั้นไป  ทิ้งทุกอย่างไว้ให้คนข้างหลังดูแล ชีวิตเป็นของน้อยอย่างนี้

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 24, 2010, 04:02:52 PM โดย nathaponson »

sithiphong:
อภัยทาน มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร ?
-http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=479.0-

มีเรื่องเล่าว่า  เหล่าเทพบุตรเทพธิดากำลังเก็บดอกไม้บนสรวงสวรรค์  เทพธิดาตนหนึ่งลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลดี  มีสามี  มีลูก  มีทรัพย์สมบัติมาก  ทำบุญทำทาน  รักษาศีล  เจริญสมาธิปัญญาในพระพุทธศาสนา  ทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินมาก  เมื่ออายุได้ ๙๐ กว่า  ก็สิ้นอายุ  เธอไปเกิดเป็นเทพธิดาอีกครั้ง  หัวหน้าเทพเมื่อเห็นเธอจึงถามว่า  เมื่อเช้านี้เธอหายไปไหน

 เธอก็เล่าให้ฟังว่า  เธอไปเกิดในมนุษย์โลก  มีครอบครัวแสวงหาสมบัติ  เกลือกกลั้ว  เกลื่อนกล่นอยู่กับการมี  การเป็น  มีสามี  มีลูก  มีเกียรติ  มียศ  มีเพื่อนฝูง  มีบริวาร  เลี้ยงลูกจนเติบโต  มีหลาน  มีเหลนไม่น้อย  และเธอก็มีอายุยืนถึง  ๙๐ ปี  ด้วยอานิสงส์บุญเมื่อตายลงจึงมาเกิดที่นี่อีก

 เทพบุตรฟังแล้วถึงกับตะลึงว่า  ชีวิต ๙๐ ปีในโลกมนุษย์นั้นเป็นเพียงชั่วเวลาเช้าถึงเที่ยงของเทวโลกเท่านั้นหรือ

 บาง ท่านอาจไม่เข้าใจ  แต่เมื่อมองดูภพภูมิต่างมิติระหว่างมนุษย์เรากับสัตว์เดรัจฉานก็น่าจะเห็น ได้ชัด  สัตว์บางตัวมีอายุเพียง ๗ วัน  ๑๕ วัน  ๑ เดือน  เขาก็เต็มที่แล้ว  ขณะที่เรามีอายุขัย ๘๐ หรื ๙๐ ปี  หรือสัตว์เดรัจฉานบางชนิดก็มีอายุมากกว่าเราหลายเท่า  เช่น  เต่า  ช้าง  เป็นต้น

 การเรียนรู้ชีวิต  ต้องมองให้เห็นความจริงทั้งในภพกว้างและมุมแคบ  เพื่อคลายความติดยึดอันรุนแรง  ที่ท่านเรียกว่า  "อุปทาน”  ตัวติดยึดนี่เอง  คือจุดกำเนิดแห่งทุกข์ทั้งปวง

 เราอยู่ในโลกยุคเทคโนโลยี  โลกทั้งโลกอยู่ในกำมือเราก็จริงแต่ไม่อาจกำทุกสิ่งไว้ในอำนาจ  ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

 การมองชีวิตตามหลักสัจธรรม  ตามธรรมชาติ  แก้ทุกข์ได้ยิ่งคราที่ใจได้ทุกข์ถึงที่สุดเราต้องกล้าหาญ  มองให้เห็นความจริง  กล้าเผชิญรากแก้วความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจ)  นี้ให้ได้  เพราะความจริงทำให้คนฉุกคิดได้  ความจริงตามธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใคร  หรือทำลายใคร  ท่านจึงบอกว่าประเสริฐ  สิ่งที่ทำให้คนลุ่มหลงต่างหากที่ประทุษร้ายคน

 ความตายไม่มี  มีเพียงการปรับสภาพของธาตุขันธ์
 เมื่อปรับเปลี่ยนได้ที่  ซ่อมแซมจุดบกพร่องได้แล้ว  ก็มารวมตัวกันใหม่  เราก็สมมติว่า “เกิด”  เมื่อเกิดแล้วโต  แก่เฒ่า  และทำงานหนัก  เมื่อชำรุดทรุดโทรมก็จำเป็นต้องซ่อม  หากซ่อมไม่ไหวก็แยกส่วน  ซึ่งเราสมมติเรียกว่า  “ตาย"” และก็วนเวียนกันอยู่เช่นนี้  เกิด-ตาย  เกิด-ตาย  เป็นวังวนแห่งสังสารวัฏ  ชีวิตมีเท่านี้จริงๆ

“ความตายไม่มี  มีแต่การปรับเปลี่ยนเพื่อความสมดุลของธรรมชาติเท่านั้น”
 คำนี้สำคัญ  ที่เราควรใคร่ครวญพิจารณาทุกเช้า  หลังตื่นนอน  ก่อนออกจากบ้าน  แม้ในที่ทำงาน
 ขณะที่ย่ำเท้าเปล่าลงบนยอดหญ้า  ก่อนจะลงมือทำอะไรทั้งหมดในวันนั้น  ให้พิจารณาความจริงตรงนี้ก่อน  ให้รุ่งอรุณของแต่ละวันเป็นรุ่งอรุณที่สดใส  เป็นรุ่งอรุณที่งดงามกับชิต

 ขณะที่พระอาทิตย์ทอแสงส่องโลก  ปัญญาต้องทอแสงส่องใจ
 การปรับเปลี่ยนชีวิตต้องการวิถีธรรมชาติ  มิใช่เทคโนโลยี  หมอที่ดีที่สุดที่จะปรับความสมดุลของธาตุ ๔  ขันธ์ ๕ คือธรรมชาติ

การเข้าใจระบบการทำงานของธรรมชาติ  ต้องเท้าเปล่าสัมผัสดิน  ต้องทำใจให้อยู่เหนืออารมณ์  มองโลกตามความเป็นจริง  เมื่อเข้าใจธรรมชาติ  ก็จะเข้าใจสัจธรรม  และการกล้าเผชิญความจริงของชีวิตเท่านั้น  ที่จะช่วยรักษาเยียวยาคราวที่ทุกข์สัมผัสใจ

 โอกาสตรงนี้  ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน  ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะหรือฐานะใด  เพียงแต่ใครจะเริ่มต้นเรียนรู้ก่อนใครเท่านั้นเอง
...
ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือ  อภัยทาน  รักบริสุทธิ์  โดย ปิยโสภณ  วัดพระราม ๙  กาญจนาภิเษก
http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=131

sithiphong:
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต
ปัญจมวรรค ทานสูตร
-http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=278-

               อรรถกถาทานสูตร               
               ในทานสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ทานํ ได้แก่ สิ่งที่พึงให้. อีกอย่างหนึ่ง เจตนาพร้อมด้วยวัตถุ ชื่อว่าทาน. บทว่า ทาน นี้ เป็นชื่อของการบริจาคสมบัติ. บทว่า อามิสทานํ ความว่า ปัจจัย ๔ ชื่อว่าอามิสทานด้วยสามารถแห่งความเป็นของที่จะต้องให้.

               อธิบายว่า ปัจจัย ๔ เหล่านั้น ท่านเรียกว่าอามิส เพราะเป็นเครื่องจับต้องด้วยกิเลสมีตัณหาเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง เจตนาเป็นเครื่องบริจาคปัจจัย ๔ เหล่านั้น ชื่อว่าอามิสทาน.

               บทว่า ธมฺมทานํ ความว่า บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ เมื่อ (แสดง) จำแนกกุศลกรรมบถ และอกุศลกรรมบถออกไปว่า
               ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล
               ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ
               ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ตำหนิ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
               ธรรมเหล่านี้สมาทานให้บริบูรณ์แล้วย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งไร้ประโยชน์ เพื่อทุกข์ ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดังนี้
               กระทำกรรมและผลของกรรมให้ปรากฏ ดุจชี้ให้เห็นโลกนี้และโลกหน้า โดยประจักษ์แสดงธรรม ให้เลิกละอกุศลธรรม ให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย นี้ชื่อว่าธรรมทาน

               ส่วนบุคคลบางพวกชี้แจงสัจจะทั้งหลายให้แจ้งชัดว่า
                         ธรรมเหล่านี้เป็นอภิญไญยธรรม
                         ธรรมเหล่านี้เป็นปริญไญยธรรม
                         ธรรมเหล่านี้เป็นปหาตัพพธรรม
                         ธรรมเหล่านี้เป็นสัจฉิกาตัพพธรรม
                         ธรรมเหล่านี้เป็นภาเวตัพพธรรม ดังนี้

               แสดงธรรมอันเป็นข้อปฏิบัติ เพื่อบรรลุอมตธรรม นี้ชื่อว่าธรรมทานขั้นสุดยอด.
               บทว่า เอตทคฺคํ ตัดบทเป็น เอตํ อคฺคํ แปลว่า (ธรรมทานนี้เป็นเลิศ).
               บทว่า ยทิทํ ความว่า บรรดาทานสองอย่างเหล่านี้ ธรรมทานที่กล่าวแล้วนี้นั้น เป็นเลิศคือประเสริฐสุด ได้แก่สูงสุด.
               อธิบายว่า บุคคลจะหลุดพ้นจากอนัตถะทั้งปวง คือก้าวล่วงทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นได้ ก็เพราะอาศัยธรรมทานอันเป็นอุบายเครื่องยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน ก็ธรรมทานที่เป็นโลกิยะ เป็นเหตุแห่งทานทุกอย่าง คือเป็นรากเง่าของสมบัติทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                                   การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง
                         รสแห่งพระธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
                         ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
                         ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง ดังนี้.๑-
____________________________
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๔

               ในอธิการนี้ อภัยทานพึงทราบว่า ทรงสงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทานนั่นเอง. การไม่บริโภคปัจจัยทั้งหลายเสียเอง แต่ปัจจัย ๔ อันตนพึงบริโภคแล้วแจกจ่ายแก่คนเหล่าอื่น โดยมีความประสงค์จะเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป ชื่อว่า อามิสฺสํวิภาโค (แจกจ่ายอามิส). ความเป็นผู้ไม่มีความขวนขวายน้อย แสดงอ้างธรรมที่ตนรู้แล้ว คือบรรลุแล้วแก่คนเหล่าอื่น โดยมีความประสงค์จะเผื่อแผ่ธรรมแก่คนทั่วไป ชื่อว่า ธมฺมสํวิภาโค (แจกจ่ายธรรม).
               การอนุเคราะห์ การสงเคราะห์คนเหล่าอื่นด้วยปัจจัย ๔ และด้วยสังคหวัตถุ ๔ ชื่อว่า อามิสานุคฺคโห (อนุเคราะห์ด้วยอามิส). การอนุเคราะห์ การสงเคราะห์คนเหล่าอื่นด้วยธรรม โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ชื่อว่า ธมฺมานุคฺคโห (อนุเคราะห์ด้วยธรรม).
               คำที่เหลือมีนัยกล่าวแล้วทั้งนั้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
               บทว่า ยมาหุ ทานํ ปรมํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายตรัส ทานใดว่าเยี่ยม คือสูงสุด โดยความที่จิต (เจตนา) เขต (ปฏิคาหก) และไทยธรรมเป็นของโอฬาร หรือโดยยังโภคสมบัติเป็นต้นให้บริบูรณ์ คือยังโภคสมบัติเป็นต้นให้เผล็ดผล.
               อีกอย่างหนึ่ง ตรัสว่าเยี่ยม เพราะย่ำยีคือกำจัดธรรมที่เป็นปฏิปักษ์อื่นๆ มีโลภะและมัจฉริยะเสียได้.
               บทว่า อนุตฺตรํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายตรัสทานใด ชื่อว่าเว้นจากทานอื่นที่ยอดเยี่ยมกว่า และให้สำเร็จความยิ่งใหญ่ เพราะยังเจตนาสมบัติเป็นต้นให้เป็นไปดียิ่ง และเพราะความเป็นทานมีผลเลิศ โดยความเป็นยอดทาน.
               แม้ในบทว่า ยํ สํวิภาค นี้พึงนำเอาบททั้งสองว่า ปรมํ อนุตฺตรํ มาเชื่อมประกอบเข้าด้วย.
               บทว่า อวณฺณยิ ความว่า ประกาศแล้ว คือสรรเสริญแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า๒-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทายกเมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะทั้ง ๕ แก่ปฏิคาหกทั้งหลาย ดังนี้ และโดยนัยมีอาทิว่า๓-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลของการจำแนกทานอย่างนี้ ดังนี้.
____________________________
๒- องฺ. ปญฺจก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๗
๓- ขุ. อิติ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๐๔

               ก็เพื่อจะทรงแสดงทานและวิธีที่การจำแนกทานว่า (มีผล) อย่างยิ่ง คือยอดเยี่ยมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า อคฺคมฺหิ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อคฺคมฺหิ ความว่า ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในพระอริยสงฆ์ผู้ประเสริฐที่สุด คือเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม เพราะประกอบไปด้วยคุณพิเศษมีศีลเป็นต้น.
               บทว่า ปสนฺนจิตฺโต ความว่า ยังจิตให้เลื่อมใส คือกำหนดด้วยความเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม และความเชื่อในพระรัตนตรัย.
               อธิบายว่า ทานคือการให้ไทยธรรมแม้น้อย ย่อมมีอานุภาพมาก คือสว่างโชติช่วง แผ่ไพศาลไปได้มาก เพราะความถึงพร้อมด้วยจิต (เจตนาสัมปทา) และเพราะความถึงพร้อมด้วยเขต (ปฏิคาหก).
               สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า
                                   เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักษิณาทาน (ที่บำเพ็ญ)
                         ในพระตถาคตเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสาวก
                         ของพระองค์ ชื่อว่ามีผลน้อย ย่อมไม่มี ดังนี้.๔-
____________________________
๔- ขุ. วิมาน. เล่ม ๒๖/ข้อ ๔๗

               บทว่า วิญฺญู ได้แก่ ผู้มีปัญญา.
               บทว่า ปชานํ ความว่า รู้ชัดซึ่งผลของทานและอานิสงส์ของทานโดยชอบทีเดียว.
               บทว่า โก น ยเชถ กาเล ความว่า ใครเล่าจะไม่ให้ทานในกาลเวลาที่สมควร.
               อธิบายว่า ทานย่อมสำเร็จ (เกิดมีพร้อม) เฉพาะในเวลาที่ประจวบกับเหตุ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ ศรัทธา ๑ ไทยธรรม ๑ ปฏิคาหก ๑ ไม่ใช่เกิดมีได้โดยประการอื่น.
               อีกอย่างหนึ่ง จะให้ (ทาน) แก่ปฏิคาหกทั้งหลายได้ ในกาลอันควร (เท่านั้น)
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการจำแนกและอนุเคราะห์ด้วยอามิสทาน ด้วยพระคาถาที่หนึ่งอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงการจำแนกและการอนุเคราะห์ด้วยธรรมทาน จึงตรัสพระคาถาที่สองว่า เย เจว ภาสนฺติ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุภยํ ความว่า คนทั้ง ๒ ฝ่าย คือผู้แสดง (และ) ผู้ฟัง (ผู้รับ) ที่ท่านกล่าวไว้แล้วว่า ภาสนฺติ สุณนฺติ (ย่อมกล่าว ย่อมฟัง) ดังนี้.
               ก็ในบทว่า อุภยํ นั้น มีความย่อดังต่อไปนี้
               คนเหล่าใดมีจิตเลื่อมใสแล้วในศาสนา คือพระสัทธรรมของพระสุคต คือพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งอยู่ในธรรมที่เป็นประธาน คือวิมุตตายตนะย่อมแสดงด้วย ย่อมฟังด้วยประโยชน์ กล่าวคือธรรมทาน การแจกจ่ายธรรม และการอนุเคราะห์ด้วยธรรมของผู้แสดงและปฏิคาหกเหล่านั้น ชื่อว่ายอดเยี่ยม เพราะยังปรมัตถประโยชน์ให้สำเร็จ ชื่อว่าย่อมบริสุทธิ์ เพราะหมดจดจากมลทินที่ทำความเศร้าหมองทุกอย่างมีความเศร้าหมองเพราะตัณหาเป็นต้น
               ถามว่า ของคนเช่นไร?
               ตอบว่า ของคนผู้ไม่ประมาทในคำสอนของพระสุคต ก็คนเหล่าใดไม่ประมาทในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือในโอวาทที่ทรงพร่ำสอนที่พระองค์ทรงประกาศแล้วโดยสังเขปอย่างนี้ว่า๕-
                         การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑
                         การยังกุศลให้ถึงพร้อม ๑
                         การยังจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๑
                         นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
____________________________
๕- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๕๔   ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๔

               ดังนี้ แล้วยังสิกขา ๓ มีอธิสีลสิกขาเป็นต้นให้ถึงพร้อมโดยเคารพ ประโยชน์ย่อมบริสุทธิ์แก่คนเหล่านั้น ย่อมยังคนเหล่านั้นให้ผ่องแผ้วเกินเปรียบ ด้วยอรหัตผลวิสุทธิฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาทานสูตรที่ ๙               
               ---------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ปัญจมวรรค ทานสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 277อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 278อ่านอรรถกถา 25 / 279อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=6453&Z=6470

.

sithiphong:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
-http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=5079&Z=5126-


ปุญญาภิสันทสูตร

             [๑๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๘ ประการนี้ นำความสุข
มาให้ ให้อารมณ์เลิศ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อสิ่งที่น่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ห้วงบุญ
ห้วงกุศล ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึง
พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๑ นำความสุขมาให้ ให้
อารมณ์เลิศ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อสิ่งที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ฯ

             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ
นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๒ ฯลฯ

             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ นี้
เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๓ ฯลฯ

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทาน ๕ ประการนี้ เป็นมหาทาน อันบัณฑิตพึงรู้ว่า
เป็นเลิศ มีมานาน เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย
ไม่เคยกระจัดกระจาย อันบัณฑิตไม่รังเกียจอยู่ จักไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์
ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด ทาน ๕ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกใน
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่
เบียดเบียน แก่สัตว์หาประมาณมิได้ ครั้นให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความ
ไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้แล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความไม่มีภัย
ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียน หาประมาณมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็น
ทานประการที่ ๑ ที่เป็นมหาทาน บัณฑิตพึงรู้ว่าเป็นเลิศ มีมานาน เป็นเชื้อสาย
แห่งพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย ไม่เคยกระจัดกระจาย อันบัณฑิต
ไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นห้วง
บุญห้วงกุศลประการที่ ๔ ฯลฯ

             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละอทินนาทาน งดเว้นจากอทินนาทาน ฯลฯ
นี้เป็นทานประการที่ ๒ ฯลฯ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๕ ฯลฯ

             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละกาเมสุมิจฉาจาร งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ฯลฯ นี้เป็นทานประการที่ ๓ ฯลฯ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๖ ฯลฯ

             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละมุสาวาท งดเว้นจากมุสาวาท ฯลฯ นี้
เป็นทานประการที่ ๔ ฯลฯ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๗ ฯลฯ

             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความประมาท ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ
สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทแล้ว ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความ
ไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้ ครั้นให้ความไม่มีภัย ความ
ไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้แล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่ง
ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนหาประมาณมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นทานประการที่ ๕ ที่เป็นมหาทาน บัณฑิตพึงรู้ว่าเป็นเลิศ มีมานาน เป็น
เชื้อสายแห่งพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย ไม่เคยกระจัดกระจาย
อันบัณฑิตไม่รังเกียจ จักไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๘ นำสุขมาให้ ให้อารมณ์
อันเลิศ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ห้วงบุญห้วงกุศล ๘ ประการนี้แล นำสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นผล
เป็นไปเพื่อสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ฯ
จบสูตรที่ ๙

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๕๐๗๙ - ๕๑๒๖. หน้าที่ ๒๑๙ - ๒๒๑. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=5079&Z=5126&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=129             
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ http://84000.org/tipitaka/read/?
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๓ http://84000.org/tipitaka/read/?index_23

.

sithiphong:
 ๗๔.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓
-http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/show.php?id=74-

จริยาปิฎก
๑. การบำเพ็ญทานบารมี
๑. อกิตติจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของอกิตติดาบส
           [๑]  ในสี่อสงไขยแสนกัป  ความประพฤติอันใดในระหว่างนี้   ความประพฤติทั้งหมดนั้น เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ   เราจักเว้นความประพฤติในภพน้อยใหญ่ในกัปล่วงแล้วเสีย    จักบอกความประพฤติในกัปนี้  จงฟังเรา  ในกาลใด  เราเป็นดาบส  ชื่ออกิตติ  เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่อันว่างเปล่า    สงัดเงียบ   ปราศจากเสียงอื้ออึง   ในกาลนั้น   ด้วยเดชแห่งการประพฤติตบะของเรา   สมเด็จอัมรินทร์ผู้ครองไตรทิพย์ทรงร้อนพระทัย        ทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา  เราได้เห็นอินทพราหมณ์มาขึ้นอยู่ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา     จึงเอาใบหมากเม่าที่เรานำมาแต่ป่า   อันไม่มีน้ำมัน    ทั้งไม่เค็มให้หมด      พร้อมกับภาชนะ.
             ครั้นได้ให้หมากเม่าแก่อินทพราหมณ์นั้นแล้ว เราจึงคว่ำภาชนะ    ละการแสวงหารบทมากเม่าใหม่    เข้าไปยังบรรณศาลา     แม้ในวันที่  ๒   แม้ในวันที่  ๓  อินทพราหมณ์ก็เข้ามายังสำนักของเรา   เราไม่หวั่นไหว  ไม่อาลัยในชีวิต  ได้ให้หมดสิ้นเช่นวันก่อนเหมือนกัน    ในสรีระของเราไม่มีความหมองศรีเพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัย  เรายังวันนั้น ๆ      ให้น้อมล่วงไปด้วย     ปีติ    สุข   และความยินดี   ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคลผู้ประเสริฐ      แม้เดือนหนึ่งสองเดือนเราก็ไม่หวั่นไหว     ไม่ท้อแท้ใจพึงทานอันอุดม  เมื่อให้ทานแก่  อินทพราหมณ์นั้น      เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้   เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น     จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้.
                           จบอกิตติจริยาที่  ๑

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version