ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ณ พระพุทธรัตนสถาน พระราชดำริ ร.๙
ฐิตา:
ช่องที่ 6 เหตุการณ์ในรัชกาลที่ 8
พุทธศักราช 2488 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดี และ สมเด็จพระอนุชาธิราช ได้เสด็จนิวัตพระนครสู่ประเทศไทย ด้วยเครื่องบินเป็นพระราชพาหนะ
เมื่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พระพุทธรัตนสถานชำรุดเสียหายที่ผนังด้านเหนือจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรนำระเบิดมาทิ้งที่บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี ระเบิดบางส่วนตกลงในพระบรมมหาราชวัง บริเวณด้านเหนือพระพุทธรัตนสถานยังมิได้บูรณะตราบจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนคร สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงชี้ร่องรอยชำรุดทอดพระเนตรเพื่อเตรียมการบูรณะซ่อมแซมให้สมบูรณ์ดังเดิม
สืบเนื่องจากเหตุการณ์สงครามโลก เป็นผลกระทบทางการเมืองทำให้ชาวไทยและชาวจีนกระทบกระทั่งกัน มีการลอบทำร้ายถึงชีวิต และเริ่มรุนแรงขยายออกไปอย่างกว้างขวาง วันที่ 3 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชาวจีนที่สำเพ็งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สามารถคลี่คลายปัญหา สลายความบาดหมางสิ้นไป และสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันตราบจนปัจจุบัน
ภาพตอนบน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดี รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระอนุชาธิราช และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ขณะดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เสด็จนิวัตพระนครเมื่อพุทธศักราช 2488 เสด็จฯมาถึงพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง
ภาพตอนกลาง มุขหลังชั้นบนพระที่นั่งบรมพิมาน เป็นห้องพระบรรทม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันขณะนั้น สามารถทอดพระเนตรเห็นพระอุโบสถพระพุทธรัตนสถานด้านทิศเหนือพังทลาย สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงชี้ส่วนที่ชำรุด เพื่อเตรียมซ่อมบูรณะให้สมบูรณ์
ภาพตอนล่าง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดี และสมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรชาวจีนบริเวณสำเพ็ง เพื่อคลี่คลายปัญหากระทบกระทั่งทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์ยุติราบรื่น สร้างความกลมเกลียวให้บังเกิดขึ้นระหว่างชาวไทยและชาวจีนอย่างมั่นคงตราบจนถึงปัจจุบัน
ย่านที่พำนักอาศัยของชาวจีนคงนิยมนับถือผู้นำ คือเจียงไคเช็ค จึงมีธงประจำชาติจีนประดับคู่กับธงไตรรงค์ได้ปรากฏว่า เป็นที่ปีติยินดีแก่ชาวจีนทั้งหลายอย่างยิ่ง ทุกเคหสถานร้านค้าต่างแต่งตั้งโต๊ะเครื่องสักการะบูชา และออกมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทใกล้ชิดเนืองแน่น ด้วยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์เสด็จฯเยี่ยมสำเพ็ง
ฐิตา:
ช่องที่ 7 เหตุการณ์ในรัชกาลที่ 9
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จดำรงสิริราชสมบัติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493
ในรัชสมัยนี้ทรงฟื้นฟูราชประเพณีที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่ยกเลิกมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 7 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกร ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมในพุทธศักราช 2503
ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญตามโบราณราชประเพณี เมื่อมีช้างเผือกมาสู่พระบารมี
ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนานานาประการ สิ่งสำคัญ คือการฟื้นฟูกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคเพื่อนำผ้าพระกฐินถวาย ณ วัดอรุณราชวราราม อันแสดงแสนยานุภาพของกองทัพโบราณ เป็นราชประเพณีที่ทำให้ชาวโลกชื่นชมในวัฒนธรรมอันดีงามของชาวไทย
นอกจากนั้น เมื่อมีการจัดพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี พุทธศักราช 2525 ทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า การพระราชพิธีทั้งปวงเสริมสร้างความสวัสดิมงคลแก่บ้านเมืองและประชาชนทั้งสิ้น เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ควรแก่การบันทึกไว้ในพระพุทธรัตนสถาน
ภาพตอนบน ในรัชกาลที่ 9 ได้มีการสร้างเรือพระราชพิธีประจำรัชกาลขึ้นระวาง เรียกว่า "เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9" เป็นเรือขนาด 50 ฝีพาย ได้เข้ากระบวนพยุหยาตราทางชลมารคเพื่อนำผ้าพระกฐินทอดถวาย ณ พระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พุทธศักราช 2535
ภาพตอนกลาง พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ "พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ" เป็นช้างเผือกที่เสด็จมาสู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพุทธศักราช 2502
วันที่ 6 เมษายน 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ พระมณฑปยอดนพปฎลเศวตฉัตร มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง
ภาพตอนล่าง พุทธศักราช 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รื้อฟื้นการพระราชพิธีที่เสริมสร้างสวัสดิมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหารของบ้านเมือง ด้วยชาวไทยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งได้เลิกร้างไปตั้งแต่ปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อบำรุงขวัญเกษตรกรไทยเช่นโบราณราชประเพณี
การพระราชพิธีจัด ณ มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง เป็นที่ชื่นชมโสมนัสแก่เกษตรกรไทยทั่วประเทศ ได้สืบสานต่อมาตราบถึงปัจจุบัน เป็นงานที่นอกจากจะสร้างขวัญแก่เกษตรแล้ว ยังเป็นเครื่องยืนยันความเป็นชาติที่รุ่งเรืองทางวัฒนธรรมที่ชาวต่างชาตินิยมมาชมกันกว้างขวาง
ฐิตา:
ช่องที่ 8 เหตุการณ์ในรัชกาลที่ 9
เมื่อพุทธศักราช 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช ครั้งนั้นมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนโดยเสด็จออกสีหบัญชรที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ การทรงพระผนวชได้เสด็จฯ ณ พระอุโบสถพระพุทธรัตนสถานตามโบราณราชประเพณีครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พุทธศักราช 2506 เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา 3 รอบ ได้ประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา รัฐบาลได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดการพระราชพิธี โดยจัดพระราชพิธีเสด็จเลียบพระนครด้วยกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค
พุทธศักราช 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงช่วยเหลือราษฎรด้วยโครงการ "ทฤษฎีใหม่" ให้มีแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอ โดยรักษาแหล่งน้ำธรรมชาติ ขุดสระกักเก็บน้ำฝน ให้ความรู้ในการใช้น้ำกับดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยทำเกษตรแบบผสมผสาน หรือไร่นาสวนผสม
พุทธศักราช 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงสิริราชสมบัติครบ 50 ปี รัฐบาลได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดงานน้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกรับการถวายพระพรชัยมงคลจากข้าราชการทุกหมู่เหล่า และประชาชน ณ พระที่นั่งกาญจนาภิเษก มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง
พุทธศักราช 2540 และต่อมาอีกหลายปี ประเทศไทยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขปัญหาของประชาชนทั่วประเทศด้วยการพระราชทานแนวคิดเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" ให้ประชาชนยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต เพื่อความอยู่รอดและมีศานติสุข
ภาพตอนบน โครงการพระราชดำริ เรื่องทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพียงและการเสด็จออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคลในมหามงคลทรงดำรงสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พระที่นั่งกาญจนาภิเษก มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎรในชนบท โดยเฉพาะโครงการตามพระราชดำริทฤษฎีใหม่ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร รู้จักใช้น้ำและดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงกล่าวถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในนามผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์ ในการเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งกาญจนาภิเษก มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง วันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2539
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เมื่อดำรงพระยศหม่อมเจ้าสิริวัณณวรี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ภาพตอนกลาง วันที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชศรัทธาทรงผนวชตามโบราณราชประเพณี
เมื่อทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว เสด็จฯ ไปทรงประกอบพิธีทัฬหีกรรม ณ พระอุโบสถพระพุทธรัตนสถานอีกครั้ง หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช มัคนายกวัดบวรนิเวศวิหาร นำเสด็จฯ เข้าสู่พระอุโบสถพระพุทธรัตนสถาน
ภาพตอนล่าง พุทธศักราช 2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 3 รอบ มีพระราชพิธีสำคัญ คือ เสด็จเลียบพระนครตามโบราณราชประเพณีด้วยกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค วันที่ 7 ธันวาคม เป็นพระราชพิธียิ่งใหญ่ที่สุด ประกอบด้วย กระบวนพระราชอิสริยยศ ที่พระมหากษัตริย์ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ประทับเหนือพระที่นั่งราชยานพุดตานทอง เสด็จพระราชดำเนินจากพระบรมมหาราชวัง ไปทรงสักการบูชาพระรัตนตรัย ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร นับจากนั้นมามิได้จัดอีกเลย
-http://www.vcharkarn.com/vcafe/56712
ฐิตา:
การอนุรักษ์พระพุทธรัตนสถาน เขตพระราชฐานชั้นกลาง พระบรมหาราชวัง
การอนุรักษ์พระพุทธรัตนสถาน พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม เขตพระราชฐานชั้นกลาง พระบรมหาราชวัง (พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๗) พระพุทธรัตนสถาน หรือ พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม คือพระอุโบสถพระพุทธนิเวศน์แห่งพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ซึ่งเรียกโดยย่อว่าพระพุทธบุษยรัตน์
ตั้งอยู่ในสวนศิวาลัย เขตพระราชฐานชั้นกลาง พระบรมมหาราชวัง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สถาปนาบริเวณสวนศิวาลัยเป็นเขตพุทธาวาส จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างพระพุทธรัตนสถานเพื่อเป็นพระวิหารสำหรับประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตน์ และใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศลของฝ่ายใน โดยมีความสำคัญรองลงมาจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระพุทธรัตนสถานใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญต่างๆมาโดยตลอดจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
พระพุทธรัตนสถานเริ่มมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ ในปี พ.ศ.๒๔๙๒ และเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ แต่ทั้งนี้เนื่องจากผนังด้านทิศเหนือระหว่างช่องพระบัญชร ๔ ช่องเสียหายไปมาก ดังนั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๔ สำนักพระราชวังจึงมอบหมายให้กรมศิลปากรดำเนินการเขียนภาพให้เต็ม โดยให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็นหลัก ซึ่งในครั้งนั้น ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี รับหน้าที่เป็นแม่กองในการดำเนินการเขียนภาพ ตลอดจนจัดหาช่างเขียนและกำหนดวางองค์ประกอบเรื่องทั้งหมด โดยจัดให้เขียนเป็นภาพพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๘-๒๔๙๙ และสิ้นสุดเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงผนวช รวมเป็นภาพ ๘ ช่องเต็มพื้นที่ผนัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “ จิตรกรรมฝาผนังในพระพุทธรัตนสถานนั้น เนื้อเรื่องมิได้เกี่ยวข้องกับพระพุทธรัตนสถาน ซึ่งคติช่างไทยแต่โบราณจะกำหนดภาพเขียนให้มีความสัมพันธ์กับประวัติและความสำคัญของอาคาร แนวศิลปกรรมและการใช้สีขัดแย้งกับภาพจิตรกรรมตอนบนที่เขียนเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ อันเป็นการเขียนภาพแบบไทยประเพณี สมควรรักษาแนวคิดของช่างโบราณ” หากมีการปรับเปลี่ยนงานจิตรกรรมฝาผนังส่วนนี้ให้สอดคล้องกลมกลืนกับภาพตอนบน ก็จะเป็นการถูกต้อง ถือเป็นการเชิดชูงานศิลปกรรมของภูมิปัญญาบรรพชน ดังนั้นในวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๒ นายนิคม มุสิกะคามะ อธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้นจึงได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อรับพระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับแนวทางการเขียนภาพโดยมีสาระสำคัญคือ “ขอให้รักษาลักษณะศิลปะอย่างกระบวนการช่างแต่โบราณ ยึดความถูกต้องตามข้อมูลที่เป็นจริง และไม่ควรสร้างสิ่งผิดให้ปรากฏ”
พระพุทธรัตนสถาน เป็นอาคารชั้นเดียว ยกพื้นสูง แบ่งเป็น ๓ ระดับ หลังคาทรงไทย มีมุขลดทั้งทางด้านทิศตะวันออก และด้านทิศตะวันตก หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเคลือบสี ผนังประดับด้วยหินอ่อนสีเทา การบูรณะพระอุโบสถระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๗ – ๒๕๔๗ ประกอบไปด้วย การซ่อมแซมโครงสร้างหลังคา และการเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคา การขัดล้างทำความสะอาดหินอ่อนที่ผนัง เสา ราวระเบียง พื้นบันได การซ่อมหินอ่อนในส่วนที่ชำรุดทั้งหมด และการปรับปรุงลานหินแกรนิตด้านหน้าพระอุโบสถ
การอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง กรมศิลปากรได้รับสนองพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการดำเนินการอนุรักษ์และเขียนภาพจิตรกรรมบนพื้นผนังระหว่างช่องพระบัญชรทั้ง ๘ ผนัง ภายในพระอุโบสถพระพุทธรัตนสถานนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นต้นมา สำหรับแนวทางการเขียนภาพนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวพระราชดำริให้ยึดความสำคัญของพระพุทธรัตนสถานเป็นหัวใจของการกำหนดภาพ และในขั้นตอนของการร่างแบบนั้น ทรงเน้นในเรื่องความถูกต้องในรายละเอียดของภาพ และได้ทรงแก้ไขภาพร่างอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยและได้พัฒนามาเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์นั้น เป็นภาพที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระอุโบสถพระพุทธรัตนสถานและพระราชกรณียกิจในพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถพระพุทธรัตนสถานที่ได้เขียนขึ้นตามแนวพระราดำริ เป็นภาพขนาดกว้าง ๔ ฟุต สูง ๘ ฟุต มีลักษณะเป็นรูปแบบการแสดงออกในมุมสูง เทคนิคการเขียนสีเป็นแบบจิตรกรรมไทยประเพณี ผสมผานไปกับการกำหนดน้ำหนักอ่อนแก่ แสงและเงา พร้อมทั้งการเขียนรูปทรงของบุคคลตามลักษณะที่เป็นธรรมชาติ และถูกต้องตามหลักกายวิภาค ภาพสถาปัตยกรรมเขียนรายละเอียดตามลักษณะที่เป็นจริง แต่ใช้หลักทัศนียภาพแบบประเพณีของจิตรกรรมไทย ฉะนั้น จึงเป็นงานจิตรกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัวเป็นจิตรกรรมไทยแนวประเพณียุครัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๙ การเขียนภาพในขั้นตอนสุดท้ายนั้นใช้เวลาเพียง ๑ ปี คือ เริ่มต้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๖ และเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๗
ที่มาภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง ๘ ช่อง และข้อมูล การอนุรักษ์พระพุทธรัตนสถาน เขตพระราชฐานชั้นกลาง
นำมาจาก..- http://www.artbangkok.com/?p=6907
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version