ผู้เขียน หัวข้อ: ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซัด คนถูกนโยบายรถคันแรกมอมเมา  (อ่าน 1202 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซัด คนถูกนโยบายรถคันแรกมอมเมา
-http://hilight.kapook.com/view/79852-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Instagram nutt_devahastin

           ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา โพสต์อินสตาแกรม ซัด คนกำลังถูกมอมเมาและหลอกลวงจากนโยบายรถคันแรก ชี้ เป็นนโยบายที่ออกบนความเชื่อผิด ๆ พร้อมแจงยิบผลเสียของนโยบายรถคันแรก

           เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในโลกไซเบอร์ได้มีผู้แชร์ข้อความภาษาอังกฤษที่ ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา นักแสดงชื่อดัง โพสต์ไว้ในอินสตาแกรมส่วนตัวแสดงความเห็นในเรื่องนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล โดยแปลเป็นไทยได้ว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว นโยบายของรัฐบาลจะมุ่งเน้นในเรื่องของคุณภาพชีวิตประชากรภายในประเทศ เช่น การศึกษา การแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งระบบการคมนาคมสาธารณะ

           แต่ในประเทศกำลังพัฒนา รัฐบาลกลับมุ่งเน้นนโยบายในเรื่องของการยกระดับคุณภาพชีวิตส่วนบุคคล และธุรกิจของตัวเอง ประชาชนยังไร้การศึกษา ถูกมอมเมาและถูกหลอกลวงกับสิ่งที่ฟังดูเหมือนจะเป็นนโยบายเพื่อประชาชน เช่น การยกเว้นภาษีให้กับรถคันแรก และก็มีเพียงประเทศกำลังพัฒนาประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่ออกนโยบายบนความเชื่อผิด ๆ นี้

           ขอพระเจ้าโปรดคุ้มครองเราทุกคนด้วย ตื่นได้แล้วประเทศไทย!!!

           ทั้งนี้ หลังจาก ณัฏฐ์ โพสต์ข้อความดังกล่าวก็ได้มีคนเข้ามากดไลค์แสดงความเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก เพราะมองว่า งบประมาณที่ใช้ในโครงการรถคันแรกนี้คือภาษีของประชาชนมูลค่าเป็นแสนล้าน ซึ่งควรจะนำไปพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและด้านอื่น ๆ มากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของณัฏฐ์ และเข้ามาแสดงความคิดเชิงต่อว่าเช่นกัน พร้อมกับตั้งคำถามว่า บ้านของนายณัฏฐ์มีรถกี่คัน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รถติดหรือไม่ แล้วผลเสียของนโยบายนี้คืออะไร เพราะนโยบายดังกล่าวทำให้ชนชั้นกลางได้รับประโยชน์ สามารถตั้งตัวได้ ทำให้นักแสดงหนุ่มตอบคำถามพร้อมแจกแจงเป็นข้อ ๆ ว่า

           1. นโยบายนี้มุ่งเน้นให้โอกาสคนชั้นกลางตั้งตัวเหรอครับ คุณเอาอะไรมาวัด? ผมถามหน่อยทำไมไม่มีการตรวจประวัติการเงินคนซื้อ รวมถึงฐานเงินเดือนให้ไปเลยล่ะ? ถ้าไม่งั้นใครที่ไม่เคยซื้อรถก็ซื้อได้สิครับ! แล้วมันจะแฟร์ตรงไหน ?

           2. ต่อเนื่องจากการที่ใครก็ได้สามารถซื้อรถได้ลดราคา ถ้าเป็นคันแรก ปี 2555 ปีนี้ปีเดียวมีรถออกมาวิ่งบนถนนกรุงเทพฯ มากขึ้นถึง 1 ล้านคันโดยประมาณ (จากสถิติยอดจอง) มากกว่าปีที่ไม่มีนโยบายนี้ถึง 4 เท่า (250,000 คัน) ผมไม่เถียงว่ามันเป็นกลไกตลาดให้อุตสาหกรรมรถยนต์โตขึ้น แต่เม็ดเงินมันไปไหนละครับ มันก็ไหลออกอยู่ดี เพราะประเทศเราไม่มีแบรนด์รถยนต์ของเราเองอยู่ดี ส่วนเม็ดเงินที่เหลือก็เข้ากระเป๋าธุรกิจส่วนประกอบรถยนต์ภายในประเทศ..ซึ่งผมจะบอกอะไรให้นะ..มากกว่า 50% นำเข้าวัตถุดิบ เงินอีกส่วนก็สะพัดในตลาดแรงงาน

           3. ในเมื่อไร้การควบคุมปริมาณรถที่ออกสู่ท้องถนนโดยไร้หลักการ...ผลคืออะไรครับ? รถติดไงครับ รถติดมหาศาลแบบทุกช่วงเวลาของวัน ผมไม่รู้คุณขับรถรึเปล่า แต่ถ้าคุณเป็นคนนึงที่นั่งรถเมล์ (ซึ่งตอนเรียนผมก็เคยนั่งมาแล้วทั้ง ครีมแดง ขาวน้ำเงิน รถร่วม รถเล็ก ปอ.) มันร้อนและทรมานขึ้นขนาดไหนครับ? ถนนในกรุงเทพมีพอให้รถวิ่งหรอครับ?? ถ้าคุณดูประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น เค้ามีกฏหมายควบคุมปริมาณรถในเมืองชัดเจนนั่นคือ "ภาษี" ครับ ภาษีในที่นี้เลือกเก็บครับ เก็บจากเฉพาะคนรวย คนที่มีเงินพอจะซื้อรถแพง ๆ หรือรถนำเข้าจ่ายหนักหน่อย ส่วนคนซื้อรถญี่ปุ่นรักชาติเสียน้อยหน่อย แต่ภาษีและข้อบังคับที่ไม่ว่าจะจนจะรวยต้องจ่ายเหมือนกัน คือภาษีที่จอดครับ และถ้าคุณอยากซื้อรถแต่ไม่มีที่จอดก็ซื้อรถไม่ได้ครับต่อให้มีเงิน

           4. ผมไม่เถียงเลยครับว่าใคร ๆ ก็อยากมีรถ เพราะอะไรครับ? เพราะอากาศบ้านเรามันร้อน มลภาวะเยอะ และที่สำคัญระบบขนส่งมวลชนมันห่วยครับ!!! ไม่นับรถไฟฟ้าและเอ็มอาร์ทีนะครับ เพราะประเทศพัฒนาแล้วเค้ามีมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงรถเมล์และรถไฟครับ คงไม่ต้องพูดมาก ถ้าคุณนั่งรถเมล์และรถไฟคุณจะรู้ว่ามันไม่มีการลงทุนพัฒนาเลย รถเก่า ซอมซ่อ ก่อมลภาวะ ควันดำ วิ่งเร็ว มารยาทในการขับ จอด เทียบป้าย เป็นไงละครับ ถ้าคุณเคยไปต่างประเทศคุณจะรู้ว่ารถเมล์บ้านเราซกมกสุดแล้วครับ มันเป็นรุ่นเก่าดึกดำบรรพ์มาก ต่างจากต่างประเทศที่เป็นแอร์หมด น่านั่งกว่าล้านเท่า ผมถามหน่อยครับ ทำไมไม่มีการลงทุนทำให้รถเมล์รถไฟน่านั่งขึ้น คนจะได้ใช้มากขึ้น จะได้มีรายได้มากขึ้นและไม่ต้องมาอ้างว่า ขาดทุนทุกปีและต้องให้รัฐอุ้ม ผมเห็นใจคนตาดำที่ยังต้องนั่งรถเมล์อยู่ครับ

           5. จริงแล้วผมเห็นด้วยกับคนที่อยากจะซื้อรถคันแรกและจะได้ลดละภาษีเพื่อตั้งตัว แต่มันต้องมีการตรวจสอบประวัติการเงินและฐานเงินเดือนอย่างจริงจังครับ จะได้เป็นประโยชน์แก่ "ผู้ได้รับ" การเว้นภาษี รวมถึง "ผู้ให้" เว้นภาษี คนมีเงินแล้วจะได้มาชุบมือเปิบกับนโยบายนี้ครับ จะว่าเลือกปฏิบัติก็ได้ เพราะคุณอย่าลืมว่าชนชั้นกลางบ้านเราไม่ได้มีเยอะนะครับ ชนชั้นรากหญ้าต่างหาก ที่มีมากที่สุด ถามว่า เค้ามีส่วนได้ส่วนเสียกับนโยบายนี้มั้ย คุณอาจจะมองว่าไม่ แต่ผมตอบเลยว่ามีเต็มๆ คุณรู้มั้ยปีนีรัฐบาลละเว้นภาษีรถ 1 ล้านคันโดยประมาณ ยังไม่รวมปีหน้านะ เป็นเงินทั้งสิ้น 1 แสนล้านบาท

           ถามว่าทำไมไม่จ่ายคืนคนซื้อรถทันทีเลย คำตอบคือรัฐบาลไม่มีเงินครับ ต้องทยอยคืน ถามต่อ แล้วในเมื่อรัฐบาลไม่มีเงิน แถมยังเป็นหนี้อยู่ จะละเว้นภาษีสิ้นเปลืองนี้ทำไมละครับ??? เงินตั้งแสนล้านเอาไปพัฒนาอะไรได้ตั้งเยอะ ส่งเด็กเรียนฟรีให้จบมัธยม 6 ชมทุกคนสิครับ ประกันสุขภาพคนจนก็ทำให้ดีขึ้นสิครับ ไปอุ้มชูชาวนา และเกษตรกร กระดูกสันหลังของชาติสิครับ จะมาละเว้นภาษีให้คนชั้นกลางกับคนรวยทำไม ในเมื่อชนชั้นล่างยังต้องนั่งจ่ายภาษีแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมราคาผลผลิตทางการเกษตรก็ยังถูกดต่ำจนไม่รู้จะต่ำยังไง!!! สรุปนโยบายนี้ไม่ได้ช่วยให้ประเทศเราเจริญขึ้นเลยครับ ถ้ามองจากข้อเสียซึ่งมีมากกว่าข้อดีแล้วหวังว่าคุณคงเข้าใจกระจ่างแจ้งมากขึ้นแล้วนะครับ ขอบคุณครับที่ถาม

           สุดท้ายนี้บ้านผมจะมีรถกี่คันไม่ใช่ประเด็นครับ เอาเป็นว่าผมเป็นประชาชนชั้นกลางคนนึง ซึ่งเสียภาษีแบบถูกต้องและผมก็ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ประชาชนคนหนึ่ง แต่ผมจะภูมิใจกว่านี้ถ้าเงินภาษีที่ผมจ่ายไปจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ให้มากกว่านี้ ผมว่าพวกเราเพิกเฉยกับปัญหาเล่านี้มานานแล้วครับ ตื่นเถิดชาวไทย มาร่วมใจกันปฏิเสธอะไรที่ไม่ถูต้องเถอะครับ เพราะเสียงของพวกเราทุกคนคืออธิปไตยของเรา ก่อนจะเลือกใครหรืออะไรซักอย่างเราต้องศึกษาข้อมูลให้ดีครับ คนดีดูแค่เปลือกไม่ได้หรอกครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)