ไปไหว้พระขอพรรับปีใหม่ ตามวัดประจำรัชกาล
-http://travel.kapook.com/view53858.html-
รัชกาลที่ 4 : วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร และเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นพระอารามหลวงของพระมหากษัตริย์ ตามโบราณราชประเพณี และทรงรับเข้าอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระกษัตริย์ทุกพระองค์สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
พระราชประสงค์อีกประการหนึ่งในการสร้างวัดนี้ขึ้น ก็เพื่ออุทิศถวายแด่พระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกายโดยเฉพาะ เนื่องจากครั้งยังทรงผนวชอยู่ ทรงเป็นหัวหน้านำพระสงฆ์ชำระข้อปฏิบัติ ก่อตั้งคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายขึ้น รวมทั้งทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างวัดธรรมยุติกนิกายขึ้นใกล้กับพระบรมมหาราชวัง เพื่อพระองค์และข้าราชบริพาร ที่ต้องการทำบุญกับวัดธรรมยุติกนิกายไม่ต้องเดินทางไปไกลนัก พระอารามนี้จึงนับเป็นพระอารามแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุติ
และเพื่อให้เหมาะสมกับเป็นที่ประดิษฐานหลักศิลา ซึ่งเป็นสีมามีจารึกคาถาบาลีและภาษาไทย โดยเป็นบทพระราชนิพนธ์ รวม 10 หลัก ปรากฏในประกาศเมื่อ พ.ศ. 2411 เรื่องประกาศให้เรียกนามวัดราชประดิษฐ์ให้ถูก อนึ่ง ในอดีตได้มีผู้เรียกวัดราชประดิษฐ์ว่า วัดราชบัณฑิต บ้าง หรือ วัดทรงประดิษฐ์ บ้าง ซึ่งไม่ถูกต้องกับที่พระราชทานนามไว้ จึงทรงกำชับว่า ให้เรียกชื่อวัดว่า "วัดราชประดิษฐ์" หรือ "วัดราชประดิษฐ์สถิตย์มหาสีมาราม" ถึงกับทรงออกประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างปฏิสังขรณ์สิ่งชำรุดทรุดโทรมทั่วทั้งพระอาราม
สิ่งสำคัญของวัด เช่น พระวิหารหลวง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นไพที ทรวดทรงทั่วไปสวยงามมาก มีมุขหน้าและหลัง ทั้งหลังประดับด้วยหินอ่อนตลอด หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีส้มอ่อน ๆ มีช่อฟ้า ใบระกา ประดับเสริมด้วยพระวิหารหลวง ทำให้เด่นประดุจตั้งตระหง่านอยู่บนฟากฟ้านภาลัย ทั้งนี้ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงที่ไม่มีพระอุโบสถ มีเฉพาะพระวิหารหลวงใช้ประกอบพิธีสังฆกรรม ดังนั้น พระวิหารหลวงจึงถือว่าเป็นพระอุโบสถของวัดด้วย, พระประธานในพระวิหารหลวง มีพระนามว่า พระพุทธสิหังคปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีหน้าตักราว 1 ศอก 6 นิ้ว ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีภายใต้ษุษบก อนึ่ง ภายหลังรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคตแล้ว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ พระบรมอัฐิ (บางส่วน) ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ บรรจุ ภายในพระพุทธอาสน์ของ "พระพุทธสิหังคปฏิมากร"
พระเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่ คือ ปาสาณเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงกลมฐานสี่เหลี่ยม ก่ออิฐถือปูน ภายนอกประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อนทั้งองค์ เป็นที่มาของคำว่า ปาสาณเจดีย์ ซึ่งหมายถึงเจดีย์หิน และด้านหน้าปาสาณเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐาน, ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระวิหารหลวง เป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียว ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโบสถ์ขนาดเล็กของกรีกโบราณ เพดานประดับด้วยดวงตราประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 บริเวณนี้เป็นเขตหวงห้ามสำหรับสตรี หรือเขตสังฆาวาส อันเป็นบริเวณที่ห้ามสตรีผ่านเข้าออก ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นบริเวณที่ตั้งกุฏิสงฆ์ มีป้ายปิดที่ประตูว่า ห้ามสตรีเพศผ่าน ด้วยเพราะธรรมยุติกนิกายนั้นเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก
และศิลาจารึก ด้านหลังพระวิหารหลวงมีซุ้มซึ่งแกะสลักด้วยหินอ่อนทั้งแผ่น ภายในซุ้มเป็นที่ประดิษฐาน ศิลาจารึก ประกาศในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2 ฉบับ
ฉบับแรกเป็นประกาศการสร้างวัดถวายพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย จารึกในปีพุทธศักราช 2407
ฉบับหลังเป็นประกาศเรื่องงานพระราชพิธีผูกพัทธสีมาวัด จารึกในปีพุทธศักราช 2408
ประกาศทั้ง 2 ฉบับ ลงพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้อความในศิลาจารึกทั้ง 2 ฉบับนั้นนับว่ามีความสำคัญ ซึ่งเป็นมหามรดกล้ำค่าที่เป็นมหาสมบัติของคณะธรรมยุติกนิกาย
สถานที่ตั้ง : ถนนสราญรมณ์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
รัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 7 : วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร พระอารามประจำรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยสร้างเลียนแบบ 2 วัดคือ วัดพระปฐมเจดีย์ กับ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 4 ทั้งนี้ รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2412 เมื่อทรงเสวยราชสมบัติได้ 1 ปี เพื่อให้เป็นวัดประจำรัชกาลตามโบราณราชประเพณี เป็นวัดธรรมยุติกนิกาย ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ทรงคำนึงถึงว่าวัดเป็นศาสนสถานที่ได้มีการสร้างขึ้นมามากแล้ว จึงทรงโปรดฯ ให้สร้างโรงเรียนวชิราวุธเป็นสถานศึกษาของกุลบุตร แทนการสร้างวัด ด้วยแนวทางพระราชดำรินี้ รัชกาลที่ 7 ก็มิได้ทรงสร้างวัด หากทรงรับพระราชทานภาระทะนุบำรุงบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามนี้แทนการสร้างวัดประจำรัชกาล
นอกจากเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 แล้ว ยังเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และ สมเด็จพระสังฆราช คือ องค์ที่ 11 และองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรก เมื่อทรงผนวชเป็นสามเณร รัชกาลที่ 5 โปรดให้ถวายเทศน์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์สักกบรรพ ประทับ ณ การเปรียญคณะนอก โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จมาประทับแรมอยู่ด้วย
สำหรับคำว่า "ราชบพิธ" หมายถึง พระราชาทรงสร้าง กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับพระอัครมเหสี พระราชเทวี และเจ้าจอมพระสนมเอกของพระองค์ ส่วนคำว่า "สถิตมหาสีมาราม" ก็คือ เป็นวัดที่ประดิษฐานเสมาขนาดใหญ่ ซึ่งตามปกติแล้วเสมาของวัดโดยทั่วไปจะอยู่ตามมุม หรือติดอยู่กับตัวพระอุโบสถ แต่เสมาของวัดนี้ตั้งอยู่บนกำแพงรอบวัดถึง 8 ด้าน จึงเป็นการขยายเขตทำสังฆกรรมของสงฆ์ให้กว้างขึ้น
บริเวณวัดนี้เดิมเป็นวังของ พระบรมวงศ์เธอกรมหลวง บดินทร ไพศาลโสภณ ทั้งนี้ วัดราชบพิธฯ เริ่มก่อสร้าง เมื่อ พ.ศ. 2412 - พ.ศ. 2413 (สมัยรัชกาลที่ 5) นิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสวรวิหารมาจำพรรษา พร้อมกับอัญเชิญพระพุทธนิรันตรายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ โดยภายในวัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และเขตสุสานหลวง
สิ่งสำคัญของวัด เช่น พระเจดีย์ ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานทักษิณประดับกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์อัดพิมพ์นูนทั้งองค์ ฐานทักษิณเจาะเป็นซุ้มคูหา 16 ซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ 14 ซุ้ม และพระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า และสมเด็จพระสังฆราช, สุสานหลวง มีอนุสาวรีย์ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างไว้เพื่อประดิษฐานพระสรีรางคารแห่งสายพระราชสกุลในพระองค์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ เป็นแม่กองจัดทำและออกแบบก่อสร้าง ต่อมาพระบรมวงศ์ฯ สร้างขึ้นในชั้นหลังบ้างโดยตกแต่งเป็นงานศิลปกรรมหลากหลาย ล้วนมีคุณค่างานศิลปกรรมทั้งสิ้นอยู่นอกกำแพงด้านทิศตะวันตก ปัจจุบันอนุสาวรีย์มีจำนวน 34 องค์ อนุสาวรีย์เหล่านี้เป็นสังเวชนียสถานเครื่องเตือนใจ ให้ได้มรณานุสติระลึกถึงความตาย และความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารได้อย่างดียิ่ง
พระประธานในพระอุโบสถ ประดิษฐานบนฐานชุกชีหินอ่อนจากประเทศอิตาลี มีพระนามว่า "พระพุทธอังคีรส" แปลว่า มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย หล่อในสมัยรัชกาลที่ 4 กะไหล่ทองคำเนื้อแปดหนัก 180 บาท เป็นทองที่ตกแต่งพระองค์รัชกาลที่ 5 แต่ยังทรงพระเยาว์ ฐานบัลลังก์กะไหล่ทองเนื้อหกหนัก 48 บาท รองรับเหนือองค์พระพุทธอังคีรส มีนพปฏลมหาเศวตฉัตรกั้น เดิมเป็นเศวตฉัตรกั้นเหนือพระโกศพระบรมศพรัชกาลที่ 5 ภายใต้ฐานบัลลังก์กะไหล่ทองบรรจุพระบรมอัฐิและพระอัฐิ 6 พระองค์ คือ รัชกาลที่ 2, รัชกาลที่ 3, รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 5, สมเด็จพระศรีสุลาลัยพระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ 3 และพระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ สมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ธิดาในรัชกาลที่ 3 (พระอภิบาลรัชกาลที่ 5 แต่ทรงพระเยาว์
พระอุโบสถ ภายนอกเป็นศิลปะประดับกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ที่งามวิจิตร เป็นเอกลักษณ์พิเศษแห่งเดียวในประเทศไทย, ตำหนักอรุณ รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นที่ประทับของ พระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสยุคที่ 1 เป็นอาคาร 3 ชั้น มีทางเชื่อมกับพระที่นั่งสีตลาภิรมย์, เกยและพลับพลาเปลื้องเครื่อง อยู่ที่กำแพงวัดด้านตะวันออกเฉียงเหนือ หน้าบันเป็นตราราชวัลลภ บานประตูหน้าต่างแกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจกสี ใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินด้วยขบวนพยุหยาดตราทางสถลมารค โดยพระราชยานหาม (ทางบก) ใช้เป็นที่ทรงแต่งพระองค์ในพลับพลาเปลื้องเครื่องนั้น
สถานที่ตั้ง : ถนนเฟื่องนคร แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
**หมายเหตุ พระอุโบสถของวัดราชบพิธฯ จะเปิดให้เข้าชมเฉพาะในวันสำคัญทางศาสนาและวันพระเท่านั้น