ใน หนังสือวิปัสสนาทีปฎีกา, อุปกิเลส ๑๐ ๑.
โอภาส ได้แก่ วิปัสสโนภาส เห็นแสงสว่างมากมายเต็มไปหมด บางคนเห็นห้องที่ตนนั่งอยู่สว่างไสวไปทั้งห้อง หรือสถานที่ที่ตนบำเพ็ญวิปัสสนาอยู่สว่างไสวไปทั่วบริเวณ บางทีเห็นแสงสว่างไปจนสุดสายตา ถ้าโยคีมีมนสิการไม่ดีก็จะเข้าใจผิดคิดไปว่าตนได้สำเร็จแล้ว คือบรรลุมรรค,ผลญาณแล้ว เกิดความยินดีชอบใจเป็นหนักหนา แล้วก็เลยนึกถึงบุญบารมีของตนเองว่า ตนเป็นคนมีวาสนาบารมีสูง จึงได้ประสบพบเห็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญไม่อาจเห็นได้ ถ้าเรียกสั้นๆคือ ใจสว่างที่เกิดขึ้นเพราะวิปัสสนา
๒.
ญาณ ได้แก่ วิปัสสนาญาณ เกิดปัญญาในการบำเพ็ญวิปัสสนา
กำหนดรูป,นาม ได้คล่องแคล่วว่องไวอย่างประหลาด ผิดกว่าแต่ก่อนซึ่งเคยกำหนดด้วยความยากลำบาก แม้จะอุตสาหะระมัดระวังก็ยังพลั้งเผลอบ่อยๆต้องตั้งใจอย่างเคร่งครัด แต่บัดนี้การกำหนดดูคล่องแคล่วว่องไวไปหมด ที่เคยทำไม่ได้ก็ทำได้อย่างสะดวกสบาย ระยะนี้ถ้ามนสิการไม่ดีก็จะเข้าใจผิดนึกไปเองว่า ตนคงสำเร็จแล้ว เพราะสามารถกำหนดได้สะดวกยิ่งนัก ถ้าเป็นอย่างนี้อาจารย์จะให้กัมมัฏฐานเพิ่มสักเท่าไหร่ก็ไม่กลัว อาจารย์ของตนตอนปฏิบัติจะกำหนดได้ดีเหมือนอย่างนี้หรือไม่หนอ คงไม่ได้แน่ๆ บางรายก็เกิดสงสัย อาจารย์จะให้กัมมัฏฐานผิดเสียแล้ว เพราะดูง่ายเกินไป ถ้าตนได้เป็นอาจารย์เมื่อไร จะต้องคิดตั้งบทกัมมัฏฐานให้แนบเนียนกว่านี้ เพราะอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ง่ายเกินไป มีการดูถูกอาจารย์อย่างรุนแรง เพราะเกิดปัญญามากมายเสียเหลือเกิน เรียกสั้นๆคือ ปัญญาที่เกิดขึ้นเพราะวิปัสสนา
๓.
ปีติ ได้แก่ วิปัสสนาปีติ รู้สึกเยือกเย็นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก บางทีเกิดซาบซ่าไปทั้งตัว บางทีทำให้ตัวเบาลอยก็ได้ คือเกิดความรู้สึกตัวลอยขึ้นคืบหนึ่งบ้าง บางทีลอยไปไกลๆก็มี
ปีติมี ๕ ประการ คือ
๑. ขุททกาปีติ
๒. ขณิกาปีติ
๓. โอกกันติกาปีติ
๔. อุพเภงคาปีติ
๕. ผรณาปีติ
ปีติทั้ง ๕ ประการนี้ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอน ถ้าโยคีมนสิการไม่ดีก็ทำให้สำคัญผิด เช่นเดียวกับวิปัสสนูปกิเลสข้อต้นๆเพราะเป็นปีติที่ไม่เคยพบพานมาก่อนเลยในชีวิต เรียกสั้นๆคือ ความอิ่มใจที่เกิดขึ้นเพราะเจริญวิปัสสนา
๔.
ปัสสัทธิ ได้แก่ วิปัสสนาปัสสัทธิ เกิดความสงบทั้งกายและใจ รู้สึกเย็นไปทั้งร่าง ตัวเบา ไม่หนัก ไม่แข็งกระด้าง อ่อนสลวย ทุกขเวทนาไม่มีเลย แม้ใจก็เช่นเดียวกัน เป็นจิตสงบ จิตเบา จิตอ่อน และจิตตรง เป็นความสงบอย่างยิ่ง เสวยความยินดีอย่างที่มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่เคยพบ มีสาธกพยานว่า
สูญฺญาคารํ ปวิฏฺฐสฺส สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน อมานุสี รตี โหติ สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโต ยโต สมฺมสติ ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ ลภเต ปีติปามุชฺชํ
อมตํ ตํ วิชานตํ.ภิกษุผู้เข้าไปอยู่เรือนว่าง เห็นแจ้งธรรมด้วยดี ย่อมประสบความยินดีที่มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่อาจพบได้ ขณะที่ถึงอุทยัพพยญาณย่อมพบความปีติปราโมทย์ ฉะนั้นเป็นอมฤตสำหรับผู้ใดได้เห็นแจ้งอยู่ เรียกสั้นๆ คือ ความสงบทั้งร่างกายและจิตใจอันเกิดขึ้นเพราะวิปัสสนา ๕.
สุข ได้แก่ วิปัสสนา
สุข คือ สุขที่เกิดขึ้นในวิปัสสนา สุขชนิดนี้เป็นสุขที่ละเอียดประณีตเป็นอย่างยิ่ง ซึมซาบไปตลอดทั่วร่างกายอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เป็นสุขท่วมท้นหัวใจ ไม่สามารถที่จะบรรยายให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นสุขที่มีรสล้ำลึกแปลกประหลาด เป็นสุขที่ประเสริฐกว่าความสุขธรรมดาที่มนุษย์พบเห็น สรุปว่า บรรดาความสุขทั้งหลายแล้ว อะไรจะมาสุขเท่าวิปัสสนาสุขไม่มี ฉะนั้น ถ้ามนาสิการไม่ดีก็จะทำให้โยคีเข้าใจผิดดังกล่าวมาแล้ว เรียกสั้นๆ คือ สุขอันละเอียดสุขุม มีรสล้ำลึก ซาบซ่าน อันเกิดขึ้นเพราะวิปัสสนา
๖.
อธิโมกข ได้แก่
ศรัทธา คือเกิดศรัทธาขึ้นมามากมาย เป็นศรัทธาที่มีกำลังมาก เพราะจิตและเจตสิกผ่องใสเป็นอย่างยิ่งด้วยอำนาจศรัทธากล้า พาให้นึกคิดไปใหญ่โต เช่น คิดถึงคนทั้งหลายอยากให้เขาได้เข้ากัมมัฏฐานอย่างตนบ้าง เป็นต้นคนที่รักใคร่ชอบ บิดา มารดา อุปัชฌาอาจารย์ อันศรัทธาชนิดนี้มีความรุนแรงมาก ขนาดที่ว่าแม้ท่านผู้มีพระคุณเหล่านั้นได้ตายไปแล้ว ตนก็แทบจะไปขนกระดูกท่านเหล่านั้นมาปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานเหมือนตนบ้างทีเดียว เมื่อนึกใกล้เข้ามาถึงอาจารย์ผู้ให้กัมมัฏฐานแก่ตนในปัจจุบัน ก็เกิดว่าตนได้พบเห็นธรรมะได้รับความสุขอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะได้อาจารย์ช่วยแนะนำสั่งสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แต่บัดนี้เชื่อจริงๆ ถ้าทำกุศลใดๆในภายหน้า ก็จะทำเฉพาะกุศลที่เกี่ยวกับวิปัสสนานี้ เพราะได้เห็นคุณค่าของการปฏิบัติ ถ้าโยคีผู้นั้นเป็นบรรพชิตก็เกิดคิดวางแผนการณ์สร้างมโนภาพว่า เมื่อตนสำเร็จออกจากกัมมัฏฐานไป จะต้องไปหาที่ที่เหมาะตั้งสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานขึ้น แล้วตั้งตัวเองเป็นอาจารย์สั่งสอนให้คนทั้งหลายได้รู้จักพระศาสนาที่ถูกต้อง ว่าประโยชน์ที่แท้จริงคือการวิปัสสนานี้เอง คนทั้งหลายยังโง่มากที่ไม่รู้จักปฏิบัติอย่างที่ตนกำลังทำอยู่นี้ เป็นที่น่าสงสาร ฉะนั้น จะต้องช่วยเขาไม่ให้หลงผิด จะได้พ้นทุกข์ เมื่อ
คิดเพลิดเพลินไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้า โยคีนั้นก็เลยลืม
มูลกัมมัฏฐานคือ
การตั้งสติกำหนด ทำให้กัมมัฏฐานรั่ว คือบกพร่อง อันที่จริงความศรัทธะที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นของดีเพราะเป็นศรัทธาที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งคนธรรมดาจะเกิดศรัทธาขนาดนี้ไม่ได้ แต่ที่จะเป็นวิปัสสนูปกิเลสก็เพราะว่า เมื่อจิตเพลิดเพลินไปด้วยศรัทธา ก็ทำให้ละเลยมูลกัมมัฏฐาน คือการตั้งสติกำหนด ทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติวิปัสสนา และเมื่อมนสิการไม่ดี มีตัณหา,มานะ,ทิฏฐิเข้ามาประสมด้วย ก็จะทำให้
การบำเพ็ญซัดส่ายยิ่งขึ้น ไม่ก้าวหน้าไปเท่าที่ควร เรียกสั้นๆคือ ศรัทธาอันมีกำลังแก่กล้า ซึ่งเกิดขึ้นเพราะวิปัสสนา
๗.
ปัคคหะ ได้แก่
วิริยะ เกิดขยันขึ้นอย่างผิดปกติ พยายามในการปฏิบัติวิปัสสนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ก่อนแม้อาจารย์จะคอยตักเตือนให้พยายามทำความเพียร ก็รู้สึกว่ายาก เหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย จนเกือบจะตายอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้จะเหมือนกับตน อาจารย์ก็คอยจู้จี้เคี่ยงเข็ญตลอดเวลา แต่บัดนี้ ความคิดเช่นนี้หายไปสิ้น เกิดความขยันขึ้นเป็นพิเศษ จนทำให้ตัวเองแปลกใจว่า เหตุใดตนจึงได้มีวิริยะมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการปฏิบัติเช่นนี้ และเมื่อมนสิการไม่ดี ก็จะเข้าใจตนเองผิดไปว่า ได้มรรค,ผล,นิพพานแล้ว จึงเป็นวิปัสสนูปกิเลส เรียกสั้นๆคือ วิริยะ คือความเพียรอย่างแรงกล้า อันเกิดขึ้นเพราะอำนาจวิปัสสนา
๘.
อุปัฏฐาน ได้แก่
สติ เกิดมีสติดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้การกำหนดได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เคยกำหนดได้ยากหรือต้องขืนใจกำหนด มาบัดนี้กำหนดได้อย่างคล่องแคล่ว จนตัวเองแปลกใจว่า สติช่างดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทุกขณะทุกอริยบถกำหนดได้ทั้งนั้น เพราะสติตั้งมั่นไม่โยก ไม่คลอน ไม่หวั่นไหว ไม่เผลอ ซึ่งแต่ก่อนมาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย ถ้ามนสิการไม่ดี ก็จะเกิดสงสัยตนผิดไปว่า ทำไมตนมีสติดีขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาแต่ก่อน หรืออาจจะพบธรรมวิเศษแล้วก็ได้ เรียกสั้นๆคือ สติอันยอดยิ่ง ว่องไว ซึ่งเกิดขึ้นเพราะอำนาจวิปัสสนา
๙.
อุเปกขา ได้แก่ วิปัสสนูเปกขา เกิดความวางเฉยในสังขารอารมณ์ทั้งปวง ไม่ยินดียินร้ายต่อทุกสิ่งเหมือนคนไม่มีกิเลส ไม่สะดุ้งสะเทือนต่ออารมณ์ทุกชนิด เป็นอุเปกขาที่มีกำลังแรงกล้า แม้จะมีอารมณ์ใดมากระทบก็ไม่หวั่นไหว วางเฉยเสียได้ทุกประการ จนตนเองก็แปลกใจในภาวะที่เปลี่ยนแปรไปเช่นนี้เป็นยิ่งนัก
ถ้ามนสิการไม่ดี ก็ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะวางเฉยได้ ไม่ยินดียินร้ายอะไรเลย ความหมดกิเลสได้มรรค,ผล,นิพพานเป็นอย่างนี้เองหนอ นี้เนื่องจากมี
ทิฏฐิเข้ามาแทรก และยังคิดต่อไปอีกว่า ตนมีบุญวาสนามาก ปฏิบัติไม่นานเท่าใดก็ได้มรรค,ผลง่ายๆ ไม่มีใครจะเหมือนตน นี้เนื่องจากว่า
มานะเข้ามาแทรก และยังคิดต่อไปอีกว่าตนสบายแล้ว ไม่ต้องยินดียินร้ายอะไรทั้งหมดอีกต่อไป ถึงออกจากกัมมัฏฐานแล้ว ก็จะอยู่ในโลกนี้อย่างสงบไม่ต้องรัก ไม่ต้องชัง ไม่ต้องดีใจ เสียใจให้วุ่นวาย เหมือนคนทั้งหลายที่กำลังเป็นกันอยู่ นี้เรียกว่า
ตัณหาเข้าแทรก รวมความว่า อุเปกขานี้แท้จริงเป็นของดี แต่ถ้ามนสิการไม่ดี มีตัณหา,มานะ,ทิฏฐิเข้ามาแทรก ก็จะกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลสไปเลย เรียกสั้นๆคือ มีความวางเฉยในสังขารและอารมณ์ทั้งปวง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา ๑๐.
นิกันติ ได้แก่ วิปัสสนานิกันติ คือ
ความใคร่ ความต้องการ ยินดี ติดใจ ชอบใจในคุณพิเศษทั้ง ๙ ประการ คือ ตั้งแต่ โอภาส จนถึง อุเปกขา ความสำคัญของวิปัสสนูปกิเลส ข้อนี้ จะได้อธิบายในบทหน้า เรียกสั้นๆคือ ความพอใจ ความต้องการ ความยินดี ความติดใจ ความชอบใจ ในคุณวิเศษทั้ง ๙ ประการและอารมณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจ วิปัสสนา
วิปัสสนูปกิเลสทั้ง ๑๐ ประการนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้แก่โยคีผู้ปฏิบัติทุกคน เมื่อบรรลุถึง อุทยัพพยญาณอย่างอ่อน ฉะนั้น พอถึงระยะนี้ วิปัสสนาจารย์พึงคอยตักเตือนให้สติ อย่าให้โยคีหลงผิดอยู่ในวิปัสสนูปกิเลสเป็นอันขาด ควรดุก็ต้องดุ ควรว่าก็ต้องว่า อย่าได้เกรงใจเลย ต้องมุ่งประโยชน์เบื้องหน้าของโยคีเป็นสำคัญ
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ วิปัสสนูปกิเลส
บางข้อ มีสภาวะคล้ายๆกับ โคตรภูญาณ,มรรคญาณ,ผลญาณ ความคล้ายๆกันเป็นเหตุทำให้เข้าใจผิด จะได้กล่าวถึงในข้างหน้าเมื่อถึงสภาวะจริงๆของญาณนั้นๆ มิใช่แต่โยคีจะเข้าใจผิด แม้แต่อาจารย์เองก็อาจเข้าใจผิดไปด้วย คือ เมื่อโยคีเล่าให้ฟังถึงสภาวะที่เกิดขึ้นกับตน ซึ่งคล้ายสภาวะของ โคตรภูญาณ,มรรคญาณ,ผลญาณเป็นอย่างยิ่ง อาจารย์มิได้พิจรณาให้ดี ไม่รอบคอบ ยินดีว่า ศิษย์ของตนได้บรรลุถึงผลสูงสุดของการปฏิบัติแล้ว จึงตัดสินใจให้โยคีบุคคลนั้นเลิกปฏิบัติ โดยไม่คำนึงถึงว่าระยะที่แล้วลูกศิษย์ของตนได้ผ่านญาณอะไรมาบ้างแล้ว และจะต้องผ่านญาณใดอีกต่อไปอีก ไม่ได้สอบสวนผลลำดับญาณให้ถูกต้อง ด่วนตัดสินง่ายๆเช่นนี้เป็นอันตรายแก่โยคีผู้ปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการดับมรรคดับผลโดยตรงทีเดียว ฉะนั้น วิปัสสนาจารย์พึงระวังวิปัสสนูปกิเลสนี้ให้มาก เพราะเคยทำให้ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์พากันกอดคอตกลงไปในห้วงเหวแห่งความเข้าใจผิดมามากต่อมากแล้ว รวมความว่า ญาณที่ ๔ คือ อุทยัพพยญาณนี้ มี วิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ โยคีมากคนก็พูดมากอย่าง
ตามอาการต่างๆของวิปัสสนูปกิเลสนั้น แต่ข้อสำคัญต้องให้ได้
ลักษณะ คือ รูป,นามเกิดดับเร็วๆก็เป็นอันใช่ อุทยัพพยญาณ อย่างแน่นอน
จากหนังสือ
วิปัสสนาทีปนีฏีกา รจนาโดย หลวงพ่อภัททันตระ อาสภมหาเถระ อัคคหกัมมัฏฐาน ธัมมาจริยะ วิธีแก้การติดในอุปกิเลสและกิเลสทั้งปวง มีแต่การ
เจริญสติ เท่านั้น
ที่จะทำให้
เข้าใจและเข้าถึง ตลอดจนรู้ในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น
by walailoo/
Walailoo's Blog:http://walailoo2010.wordpress.com/category/อุปกิเลส-๑๐/