ในร่างกายของคนเรา มีทวารรับความรู้สึกอยู่หกทวาร
ทวารที่ว่าคือ หู..ตา..จมูก..ลิ้น..กายและใจ
ในทวารที่กล่าวมาจะมีปสาทรูปอยู่ในส่วนนั้น
เมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ใด ก็จะเกิดจิตขึ้น จิตในที่นี้ก็คือวิญญาณนั้นเอง
จิตสามารถเกิดในร่างกายของเราได้หกทวารหรือหกที่
ถ้าจิตเกิดที่หู...เรียกว่า โสตวิญญาณ
เกิดที่ตาเรียกว่า จักษุวิญาณ
เกิดที่จมูกเรียกว่า ฆาตวิญญาณ
เกิดที่ลิ้นเรียกว่า ชิวหาวิญญาณ
เกิดที่กายเรียกว่า กายวิญญาณ
เกิดที่ใจเรียกว่า มโนวิญญาณ
สรุปก็คือ จิตหรือวิญญาณเกิดหรืออยู่ตรง ทวารทั้งหกครับ
----------------............................
จิตไม่มีรูปร่างสัณฐาน จิตอาศัยเกิดทางทวารทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รูปและนามอิงอาศัยกัน จึงจะเกิดเป็นสภาวะธรรมขึ้นมาได้ เช่นการเห็นรูป เรียกว่าจิตเกิดทางตา
การได้ยินเสียง เรียกว่าจิตเกิดทางหู เป็นต้น----------------------------.............................
ภวังคจิต เป็นจิตที่คั่นระหว่าง......วิถีจิต
วิถีจิต คือ กระบวนการของขันธ์ห้า ตั้งแต่เกิดผัสสะที่ทวารใดทวารหนื่ง จนครบขันธ์ห้า
อธิบาย ภวังคจิต ไม่ได้ทำหน้าที่คิดหรือรู้ เพราะความคิดหรือรู้เป็นวิถีจิต
ความคิดคือผัสสะเมื่อเกิดแล้วจึงเกิดวิถีจิตกระบวนการขันธ์ เมื่อจบกระบวนการขันธ์ของ
ผัสสะตัวนี้จึงจะเกิด...ภวังคจิตภวังคจิตเกิดที่
มโนทวาร แต่ยังไม่เกิดเป็น
มโนวิญญาณ จึงไม่มีสภาพรู้อารมณ์
ภวังคจิตมีกิจแค่รักษาภพเอาไว้ เพื่อรอวิถีจิตใหม่------------------------....................................
ภวังคจิตจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภวังคจิต ภวังคะ หรือ ภะ-วัง-คะ ภว+องฺคะ แปลตามพยัญชนะว่า "
องค์ของภพ" มักใช้รวมกับจิต เป็นภวังคจิต ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า จิตมีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการสืบต่อสันตติของจิต ย่อมอาศัยการถ่ายทอดข้อมูล
จากภวังคจิตจิตดวงเดิม ไปสู่จิตดวงใหม่ ด้วยกระบวนการของการทำงานของภวังคจิต เพราะเหตุว่าภวังคจิต
เป็นเหตุให้สร้างจิตดวงใหม่ตลอดเวลาก่อนจิตดวงเก่าจะดับไป
จึงชื่อว่าเป็นเหตุแห่ง "ภพ" หรือเป็นเหตุสร้าง"ภพ"จิต ในทางศาสนาพุทธแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ 1.วิถีจิต จิตสำนึก 2.ภวังคจิต จิตใต้สำนึกภวังคจิต คือจิตใต้สำนึกในทางศาสนาพุทธหมายถึงเป็นกระบวนการทำงานแบบอัตตโนมัติของจิต จิตใต้สำนึกในความหมายของภวังคจิตนี้จึงอาจแตกต่างจากทางจิตวิทยา
ภวังคจิต มี 3 อย่าง คือภวังคบาท คือภวังคจิตที่ทรงอารมณ์เก่า อันเป็นอารมณ์ที่ได้มาจากภพหรือจิตดวงก่อน และกำลังกระทบอารมณ์ใหม่
ภวังคจลนะ คือ เป็นภวังคจิตที่ไหวตัว เพราะเหตุที่มีอารมณ์ใหม่ มากระทบ จึงน้อมไปในอารมณ์ใหม่(สร้างและถ่ายทอดข้อมูลสู่จิตดวงใหม่)
ภวังคปัจเฉทะ คือเป็นภวังคจิตที่ตัดกระแสภวังค คือ ปล่อยอารมณ์เก่า วางอารมณ์เก่า เพื่อรับอยู่กับอารมณ์ใหม่หรือจิตดวงใหม่
ภวังคจิต เป็น วิบากจิต คือ จิตใต้สำนึกส่วนลึกที่สุดของจิตเป็นที่สั่งสมอารมณ์จนกลายเป็นอุปนิสัย
ภวังคจิต จะเกิดคั่นระหว่างวิถีจิตในแต่ละวาระ ทำหน้าที่สืบต่อและดำรงภพชาติ
ภวังคจิต จะเกิดขึ้นเมื่อวิถีจิตดับ และเมื่อเกิดวิถีจิตภวังคจิตจะดับลง เมื่อวิถีจิตดับลงภวังคจิตจะเกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่มีภวังคจิต พอขาดวิถีจิต จิตจะไม่มีการสืบต่อสันตติก็เท่ากับสิ้นชีวิต
ภวังคจิต ในขณะที่เปลี่ยนภพจุติใหม่สู่ชาติใหม่ จะใช้ชื่อว่า ปฏิสนธิจิตแทน ซึ่งเป็นขณะจิตแรกของแต่ละชาติ ภวังคจิตจึงสืบต่อภพในระดับเปลี่ยนชาติด้วยภวังคจิต คือมโนทวารเป็นอายตนะที่ ๖ อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพปกติ
เมื่อยังไม่ขึ้นสู่วิถีจิตรับรู้อารมณ์ จะเป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ เมื่อรับอารมณ์คือเจตสิก จะกลายเป็นมโนวิญญาณมีพุทธพจน์ว่า “
จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา" จิตที่ประภัสสรในที่นี้
พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าหมายถึง
ภวังคจิต-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0% ... 4%E0%B8%95------------------------...................................
ภวังคจิต เป็นจิตที่เกิดที่หทยวัตถุ(มโนทวาร) ถูกต้องครับ แต่มันยังไม่เกิดมโนวิญญาณครับ
ที่ว่ายังไม่เกิดมโนวิญญาณ เป็นเพราะยังไม่มีอายตนะภายนอกหรือธ้มมารมณ์มากระทบที่ มโนทวารครับ
ส่วนปฏิสนธิจิตกับจุติจิต ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จขกทเขาถามครับ
จขกทเขาถามว่า.....จิตอยู่ตรงไหนของร่างกาย
ปฏิสนธิจิต คือจิตรู้ รูปนาม ส่วนจุติจิตคือจิตที่ละรูปนามครับ
-----------------------------.................
ลักษณะสามัญตามธรรมชาติของจิตคือ....
จิตมีลักษณะสามัญตามธรรมชาติ อยู่ ๓ ประการ คือ
๑. อนิจจลักษณะ คือ มีลักษณะที่ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ต้องเปลี่ยนแปลง (เกิด-ดับ) อยู่ตลอดเวลา
๒. ทุกขลักษณะ คือ มีลักษณะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป)
๓. อนัตตลักษณะ คือ มีลักษณะที่มิใช่ตัว มิใช่ตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใด จะบังคับให้หยุดการเกิดดับก็ไม่ได้
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของจิต เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นจะบอกว่าจิตมีที่อยู่ที่อาศัย มันจึงผิด ผู้พูดไม่รู้ถึงสามัญลักษณ์ของจิต
แม้กระทั้งภวังคจิต มโนทวารไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยของจิต เป็นเพียงเหตุปัจจัย
ให้จิตเกิด ตั้งอยู่และดับไป ในลักษณะมีจิตดวงใหม่มาสืบต่อ(สันตติ)
การมองไม่เห็นสันตติ เลยทำให้เข้าใจว่า.....จิตดวงเดิมยังคงอยู่ และคิดไปว่า
จิตดวงเดิมอาศัยอยู่ณ.ที่ตรงนั้นที่แท้แล้วจิตเกิดดับไปตั้งมากมาย ไม่มีจิตเดิมแล้ว
----------------------...................................
หทยรูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
มโนธาตุมโนวิญฺญาณธาตูนํ นิสฺสย ลกฺขณํ มีการให้มโนธาตุ และมโน- วิญญาณธาตุได้อาศัยเกิด เป็นลักษณะ
ตาสญฺเญว ธาตูนํ อธารน รสํ มีการทรงไว้ซึ่งธาตุดังกล่าว เป็นกิจ
ตทุพฺพหน ปจฺจุปฏฺฐานํ มีการรักษาไว้ซึ่งธาตุดังกล่าว เป็นผล
จตุมหาภูต ปทฏฺฐานํ มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นเหตุใกล้
หทยรูป คือ รูปที่เป็นที่ตั้งอาศัยเกิดของจิตและเจตสิก เพื่อทำกิจให้สำเร็จ เป็นกุสลหรืออกุสล สำหรับในปัญจโวการ
ภูมิแล้ว ถ้าไม่มีหทยรูปเป็นที่ตั้งอาศัยเกิด ของจิตและเจตสิกแล้ว ก็จะไม่สามารถทำงานต่าง ๆ ตลอดจนการคิดนึกเรื่องราว
ต่าง ๆ ได้เลย ฉะนั้น รูปที่เป็นเหตุให้สำเร็จการงานต่าง ๆ จึงชื่อว่า หทยรูป
สัตว์ทั้งหลายย่อมทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ โดยอาศัยรูป ดังนั้นรูปที่เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายทำสิ่ง
ที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ชื่อว่า หทยรูป--------------------------..........................
ทั้งสมองและหัวใจ เป็นที่อาศัยเกิดของจิตทั้งสองอย่าง
แต่สภาวะที่เกิดหรือจิตมันไม่เหมือนกัน
*************
[๑๐๘๖] จิต ๗ เป็นไฉน
คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญ-
*ญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ
เหล่านี้เรียกว่า จิต ๗
๑๘. ธัมมหทยวิภังค์/สัพพสังคาหิกวาร
-http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=13904&Z=13972&pagebreak=0[๗๖๗] ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน?
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต.
-http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0อยากทราบครับ ที่ว่า จิตอาศัยเกิดที่หทยรูป อยากทราบครับ
รูปที่ว่ามันเป็นรูปอะไรในรูปปรมัตถ์ครับหทยรูป เป็นรูปๆหนึ่ง ในรูป 28 ซึ่งเป็นรูปปรมัตถ์ครับ
- http://dhrammada.wordpress.com/2012/03/ ... %E0%B9%8C/-http://dhrammada.wordpress.com/2012/03/24/รูปปรมัตถ์/แล้วที่บอกว่า ภวังคจิตเกิดดับที่หทยรูป รูปที่ว่าเป็นรูปอะไรในปรมัตถ์ครับตอบ เช่นเดียวกับคำถามแรกครับ
รูปปรมัตถ์ มี 28 รูป และหนึ่งในนั้นคือ หทยรูปครับ
ที่คุณว่า รูปที่อาศัยจิตเกิดอยากทราบครับ
มันเป็นรูปอะไรในปรมัตถ์ครับตอบจากอ้างอิงนี้ครับ
อ้างคำพูด:
รูปที่เกิดจากจิต หมายถึง รูป ๑๕ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ วิการรูป ๓
วิญ-ญัติรูป ๒ สัททรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ ซึ่งเกิดจากจิตเป็นปัจจัย
-----------
อายุรูปเป็นอย่างไรครับรูปมีอายุ สั้นมาก แต่จะเอาอะไรไปวัด ในเมื่อไม่มีเครื่องมืออะไร ไปวัด
แต่ที่มีการเล่าเรียนสืบต่อๆ กันมา ก็เอาไปเทียบเคียงกับอายุจิต
อ้างคำพูด:
จิตทุกดวงจึงมีอนุขณะ ๓ ขณะ คือ
อุปาทขณะ เป็นขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่ไม่ใช่ขณะที่ดับ
ฐิติขณะ เป็นขณะที่ตั้งอยู่ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ดับ
ภังคขณะ เป็นขณะที่ดับ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่
อ้างคำพูด:
เมื่อศึกษาต่อไปเรื่องรูปก็จะรู้ว่า รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานนั้นเป็นกัมมชรูป เกิดทุกขณะของจิต คือ เกิดขณะอุปาทะของจิต เกิดขณะฐิติของจิต เกิดขณะภังคะของจิตทุกดวง เว้นไม่เกิดก่อนจุติจิต ๑๗ ขณะ ฉะนั้น รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานจึงดับหมดพร้อมกับจุติจิต ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาตินั้นทั้ง ๕ ขันธ์
รูปที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐานเป็นจิตตชรูป เกิดพร้อมกับอุปปาทขณะของจิต (เว้นปฏิสนธิจิต ๑ ดวง ทวิปัญจวิญญานจิต ๑๐ ดวง อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ดวง และจุติจิตของพระอรหันต์ ๑ ดวง)รูปที่เกิดเพราะอุตุ คือ ธาตุไฟที่เหมาะสมเป็นสมุฏฐานนั้นเป็นอุตุชรูป เกิดในฐิติขณะของอุตุชรูปซึ่งเป็นสมุฏฐานนั้นรูปที่เกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐานเป็นอาหารชรูป เกิดในฐิติขณะของโอชารูปในอาหารที่บริโภคเข้าไป เมื่อโอชารูปในอาหารนั้นซึมซาบแล้ว
รูปมีอายุ 17 ขณะจิต
หรือพูดอีกนัยหนึ่ง รูป มีอายุ (17x3) คือ 51 อนุขณะจิต
44212.จิต นั้นอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกายhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=44212