..การพิจารณานี้เป็นการที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้น
ตามหลักความเป็นจริง
ที่รู้เห็นมันเรียบร้อยแล้วถอยเข้ามาๆ จิตก็ปล่อยตัวเข้ามา
แล้วความหนักทั้งหลายด้วยอุปาทานมันก็เบาลงๆ ..
"เหมือนแห เมื่อเรากางออกไปแล้วมองไปที่ไหนก็ไม่เห็นจุดที่จะจับได้
ต้องจับจอมแหดึงขึ้นมา แล้วตีนแหจะหดย่นเข้ามาๆ
แล้วก็มาเป็นกองแห อันนี้กระแสของจิตมันเหมือนตีนแหนั่นแหละ
กระจายออกไป เอาพุทโธๆ ซึ่งเป็นเหมือนจอมแห
หรือคำบริกรรมใดก็ตามนี้เป็นเหมือนจอมแห ให้จับตรงนี้ให้ดี
สติอยู่จุดนี้ให้ดีแล้ว แล้วตีนแหคือกระแสของจิต
จะค่อยหดย่นเข้ามาๆ ก็มาเป็นกองแหคือจุดผู้รู้เด่นอยู่ตรงนั้น
จำให้ดีนะ นี่เบื้องต้นในการฝึกทรมานจิตใจของเรา
เมื่อตั้งหลายครั้งหลายหนเข้าไป จุดนี้ก็จะเด่นขึ้น จุดที่ว่ากองแหๆ นี่
พอเด่นขึ้นแล้วจะเป็นความสว่างไสว ความสงบร่มเย็น
จะอยู่ในนั้นหมดเลย แล้วกระจายออกไป แน่นหนามั่นคงเข้าๆ
จากนั้นท่านก็สอนปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ แยกเขาแยกเรา
แยกสัตว์แยกบุคคล ภูเขาภูเรา แยกออกไปมันเป็นอะไรต่ออะไร
เพราะจิตมันยึดถือได้หมดเลย ไม่ว่าอะไรยึดได้ทั้งนั้น
การพิจารณานี้เป็นการที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นตามหลัก
ความเป็นจริงที่รู้เห็นมันเรียบร้อยแล้วถอยเข้ามาๆ จิตก็ปล่อยตัวเข้ามา
แล้วความหนักทั้งหลายด้วยอุปาทานมันก็เบาลงๆ "
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๒
www.luangta.com
Kajitsai Sakuljittajarern ได้แชร์รูปภาพของ
มูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชน หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพจ
8/6/57กิเลสเป็นสิ่งสมมุติ..ที่เกิดขึ้นได้-ดับได้
เพราะฉะนั้นจึงชําระได้ มีมากขึ้นได้
ทําให้ลดลงได้.. ทําให้หมดสิ้นไปก็ได้
เพราะเป็นเรื่องของสมมุติ
แตจิตล้วน ๆ ซึ่งเป็นธรรมชาติ..
ที่เรียกว่า “จิตตวิมุตติ” แล้ว
ย่อมพ้นวิสัยแห่งกิเลสทั้งมวล
อันเป็นสมมุติจะเอื้อมเข้าถึงและทําลายได้
ถ้ายังไม่บริสุทธิ์มันก็เป็นสมมุติ
เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลาย
เพราะสิ่งสมมุตินั้นแทรกตัวอยู่ในจิต
เมื่อแก้นี้ออกจนหมดแล้ว
ธรรมชาติที่เป็นวิมุตตินี่แล
เป็นธรรมชาติที่กิเลสใด ๆ
จะทําอะไรต่อไปไม่ได้อีก
เพราะพ้นวิสัยแล้ว แล้วอะไรฉิบหาย ?
ทุกข์ก็ดับไปเพราะสมุทัยดับ
นิโรธความดับทุกข์ก็ดับไป
มรรคเครื่องประหารสมุทัย ก็ดับไป
สัจธรรมทั้งสี่ดับไปด้วยกันทั้งนั้น คือ ทุกข์ก็ดับ
สมุทัยก็ดับ มรรคก็ดับ นิโรธก็ดับ แน่ะ ! ฟังซิ
@หลวงตามหาบัว
F/B>>> :Jeng Dhammajaree..เพราะใจเป็น อฐานะ ที่สิ่งเหล่านี้จะซึมซาบได้แล้ว..
เมื่อได้หลุดพ้นจาก สมมุติ โดยประการท้ังปวง
ถึงข้้น วิมุตติ เต็มหัวใจแล้ว
พ้นแล้วจาก วิสัยของสมมุติท้ังหลาย ที่จะเอื้อมถึง
จิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้นจึงไม่มีคำว่า "ไตรลักษณ์"
ไม่มีคำว่า "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา"
ทุกข์ เวทนาทั้งหลายจึงเข้าไม่ถึง เพราะอันนี้เป็นสมมุติ
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา เหล่านี้
ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นสมมุติทั้งน้้น จิตนั่นเป็นจิตวิมุตติเข้ากันได้ยังไง
เข้าไม่ได้ รู้เอง อ๋อ เป็นอย่างนี้
เวทนาในจิตของพระอรหันต์ไม่มีก็รู้เอง ก็มีแต่ในธาตุในขันธ์
เจ็บน้ันปวดนี้ก็รู้ แต่ไม่สามารถเข้าไปซึมซาบถึงใจได้ เพราะใจ
เป็นอฐานะที่สิ่งเหล่านี้จะซึมซาบได้แล้ว
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
กัณฑ์เทศน์ "ธรรมสถิตที่ใจ"
Kajitsai Sakuljittajarern ได้แชร์รูปภาพของ Sutunya Sundarasardula