คลายวิถีทุกข์ด้วยธรรมะ > ธรรมะเสวนา
เล่าให้ฟัง-มนุษย์แท้? :PULING的主頁 [1]
ฐิตา:
Good morning
หรรษากับวันใหม่
Suraphol Kruasuwan originally shared to
สมาคม คำฅน (สนทนาประสาคำฅน):
//-โลก ถูกปกครองด้วย ยุค
1.จอมเทพ
อะไรเกิดขึ้น เทพเจ้า อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
อ๋อลืมไปจักรวาลนี้ เทพ อสูรร่วมสร้างอิๆ
2.จอมศาสดา
ทุกศาสดา สอน ละชั่ว ทำดี
พุทธเจ้าสอน
-รู้ว่าชั่วก็ละ
-รู้ว่าเป็นกุศล(ฉลาดทางเจริญ พ้นทางเสื่อม) ก็เจริญให้ยิ่ง
-รู้วิธี ล้างใจพ้นขยะปรุงแต่ง อิๆ จนพ้นอุปทานอารมณ์ทุกข์ด้วยตนเอง
-มีจิตเอื้อเฟื้อ โลก เคารพกฎ กติกา มายาท ของธรรมชาติ
3.จอมทัพ
นอกจาก ครองโลก ยังเอาวัฒนธรรม ไปส่งมอบ สังเคราะห์ เร่งการ พัฒนาการ
4.จอมขมังเวทย์
มนุษย์ เป็น
-นักล่า
-นักเก็บเกี่ยว
-นักฉกฉวยผลประโยชน์
-นักรวบรวมทรัพยากร
-นัก สร้างสรร นวัตกรรม
นวัตกรรม ที่เปลี่ยน วัตถุ พลังงาน มาบริการมนุษย์ ให้ความสะดวก สบาย
ต่อความสามารถ มีสมองที่สอง(คอมพิวเตอร์)มาต่อยอด
จนมาถึงยุค ไอที ยุคโลกกาภิวัตน์
เพราะฝีมือจอมขมังเวทย์(วิทยาศาสตร์ประยุกต์ )ทั้งสิ้นอิๆ
และนักออกแบบ ระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมด้วย
5.ยุคจอมนารี
ต่อไปนี้"จิตเอื้อเฟื้อ"(โพธิจิต) ดังมาดร รัก รักษ์ ลูกในครรภ์
จะครองโลก ต่อไป
ไม่เกี่ยวกับ นารีขี่ม้าขาว แล้ว น้ำท่วมโลก กิเลสท่วมใจนะ อิๆ
6.ยุคเติบโตแบบคู่ขนาน
มนุษย์จะแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก
อำนาจคือ การเจรจา แบ่งปันกันฉันท์มิตร
30ปีต่อไป ใครที่ไม่สนใจรัก รักษ์โลก ย่อมพบวิปโยค อย่างแสนสาหัส
ใครหันมารัก รักษ์ ตน สังคม สิ่งแวดล้อม จะ"ดีด้วยกัน" สาธุ
อย่าเชื่อ เล่าให้ฟัง
Suraphol Kruasuwan
Shared publicly - 5:41 AM
ฐิตา:
ดูแลสมอง...นะครับ
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ไม่มีใครอยากสมองกลวง ตีบ ตัน หรือสมองโดนทำลายจนร่างกายกลายเป็น "ผัก" เหี่ยวๆ บนเตียงคนไข้ แต่ตลอดชีวิตเราอาจจะไม่รู้ว่าพฤติกรรมหลายๆ อย่างของเรานั่นเองที่เป็นตัวทำลายประสิทธิภาพสมองทางอ้อม
คอลัมน์ "Health news" โดย "มินนี่"
ในนิตยสาร "VOLUME" ฉบับเม.ย.
นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสมองน่าสนใจ ลองอ่าน...
สมองมนุษย์เปราะบางอ่อนไหวต่อสิ่งกระตุ้น ทั้งที่เป็นสารเคมี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และกัมมันตภาพรังสี สิ่งเหล่านี้เสมือนไม่มีตัวตน แต่มีผลอย่างยิ่งต่อสมองทั้งความคิด อารมณ์ และความรู้สึก
โดยเฉพาะ 5 พฤติกรรมต่อไปนี้ จะทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว
1. คิดในทางไม่ถูกต้อง
คือ ทำผิดทำนองคลองธรรม ผิดจริยธรรม ผิดศีลธรรม หรือผิดกฎหมาย เช่น คดโกง ประจบประแจง เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น คอร์รัปชั่น การทำผิดประเพณีปฏิบัติของสังคม โดยที่ไม่ต้องได้รับการลงโทษ สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีหนึ่งในการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมองเรา
2. โกหกเป็นประจำ
การโกหกทำให้สมองต้องทำงานหนักกว่าปกติ จริงๆ แล้วสมองของเรายิ่งทำงานหนักก็ยิ่งดี แต่คนโกหกประจำสมองต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการพยายามจำสิ่งที่โกหกเอาไว้ นี่เป็นตัวอย่างชัดเจนของการใช้สมองทำงานหนักอย่างไม่สร้างสรรค์ และทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
3. เจ้าคิดเจ้าแค้น
คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นประจำจะมีสภาพเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นมงคล สมองจะถูกทำลายเสมือนหนึ่งถูกอาบด้วยยาพิษเป็นประจำ อะไรที่ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางไปบ้างเถอะ
4. ความเครียด ความฟุ้งซ่าน
ทำให้สมองต้องทำงานหนักอย่างผิดทาง ทำให้สมองหลั่งสารหรือขาดสารบางอย่างที่หล่อเลี้ยง จึงกระตุ้นให้เกิดอาการซึมเศร้าหรือฟุ้งซ่านอย่างหนัก อาจถึงขั้นขาดสติยั้งคิด ทำร้ายตนเอง หรือฆ่าตัวตายได้
5. ไม่ยอมคิด
ตรงกันข้ามกับคนที่คิดมากอย่างผิดทาง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างหนัก คนที่ไม่ยอมคิดอะไรเป็นพิเศษขึ้นมาเลย นอกเหนือไปจากการคิดเพื่อใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่น การกินอาหาร การทำงานตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเท่านั้น ฟังเผินๆ อาจดูคล้ายผู้บรรลุในสัจธรรมแห่งชีวิต แต่นั่นก็เป็นสาเหตุในการทำลายประสิทธิภาพของสมองอีกทางหนึ่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า "สมองฝ่อ" นั่นเอง
Suraphol Kruasuwan
การสนทนา - Jun 26, 2014
แม้จะไม่มีข้อมูลแพทย์อ้างอิง แต่ก็เป็นข้อคิดเตือนใจที่ดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อ้างอิง เอเลี่ยน บนโลก
เอเลี่ยน หรือมนุษย์กลายพันธุ์
วิธีดูแลสมองที่ดี ต้องเว้นสิ่งที่มาทำลาย
และฝึก บริหาร กาย จิต วิญญาณ ปัญญา แผ่เมตตาให้ตนและผู้อื่นประจำ
รวมทั้งใช้ชีวิตแบบ ถูกสุขลักษณะด้วย
ฐิตา:
//-วิธี จัดการกับความทุกข์อย่างเด็ดขาด
พระพุทธเจ้าแยก ความทุกข์เป็นสามสภาวะ
และใช้ปรีชาญาณจัดการ กับ ทุกข์นั้น
1.สภาวะทุกข์
ความลำบาก ไม่ใช่ความทุกข์
ดูภาพ ลำบาก แต่ทุกคนยิ้มแย้ม
ฝึกทำใจรับสภาพ
2.เวทนาทุกข์
ตราบใดที่ระบบ รับรู้ร่างกายทำงานผิดปกติ ก็รู้ถึง เวทนานั้น
ฝึกอดทน พันเท่า
3.อารมณ์ทุกข์ จิตเราชงเอง กินเอง
ก็ฝึกชงอารมณ์ฌานมากินแทน
กินแค่ปิติ สุข อุเบกขา เอกัคคัตตา ก็พอ
รัก โกรธ โลภ หลง กลัว อิจฉา บ้าอำนาจ ฉลาดโกง เป็นทาสลัทธิบ้าๆ
กินมานานแล้ว ถ้าเบื่อ โยนทิ้งเสียบ้าง
จะได้ไม่เสียเวลา กับการชื่นชม ชีวาในชีวิตนะ
(วรธัมโม สวนโมกข์)
.................................
//-ฝึกทำใจรับสภาพ
-ฝึกอดทน
-ฝึกชงอารมณ์ฌานมาเสพ แทนขยะอารมณ์แบบชาวโลกย์
ฝึกสามอย่าง เกิดมามีกำไร
เพราะชนะเพลิงอารมณ์ทุกข์เพลิงกิเลส ในชาตินี้ สาธุ
..............................
เอกัคคัตตา คือ"จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ"
จิตเห็น สมมุติสัจจะ ธรรมสัจจะ อริยสัจจะ..ปรมัตถสัจจะ
พร้อมกัน..จิตไม่หลงผิด จากความเป็นจริง ของธรรมชาติแล้ว
.............................
//-มรรคมีองค์เดียว คือสัมมาทิฐิ
-ศีลมีข้อเดียวรู้ว่าชั่วก็ละโดยเด็ดขาด
-ธรรมมีข้อเดียว รู้ว่าเป็นกุศล ก็เร่งเจริญ
-ใจมันรก ก็ทิ้งขยะปรุงแต่งออกให้ชิวๆใสๆ
-ของกล้วยๆ แต่ มีใครทำบ้างหนอ? อิๆ
..................................
ธรรมชาติมีสี่มิติเสมอ.
1.มีแย่..
2.มีดี..
3.มีเย็น...
4.มีสติปัญญาปรีชาญญาณที่ตื่น
มาเบิกบาน ขำๆกับลีลา มายา อนัตตา ของธรรมชาติ สาธุ
...............................
พระอจลนาถ "จิตพระผู้ไม่หวั่นไหว"
พระพุทธเจ้ามีคุณสมบัติจิตที่ เหนือ อบาย มนุษย์ เทวดา พรหม ห้าประการ
1.ทรงเป็นผู้ข้ามห้วงน้ำข้ามยากได้แล้ว(กาม ภพ ทิฎฐิ อวิชชา)
2.เป็นผู้อยู่เหนือภพ(กามภพ รูปภพ อรูปภพ)
3.เป็นผู้รักษาโรค(มีสุขภาพกาย จิต วิญญาณดี ไม่มีกิเลส ตัญหา อุปาทานรบกวนแล้ว)
4.เป็นผู้เปล่งแสงแห่งความสุขจากความเมตตากรุณาอันหาประมาณมิได้ แด่ทุกสรรพชีวิต
5.ทรงเปล่งแสงแห่งการรู้แจ้ง อยู่เหนือ ปรีชาญาณ ทั้งปวง
ด้วย สัมมาสติโพธิปัญญา ที่ตื่นแล้ว
.................................
จิตของพระองค์จึง เปลี่ยนจาก
1.-จิตแผลเก่า(หวั่นไหวเพราะอุปกิเลส ที่จรมา)
2.-เป็นจิตแบบสายฟ้า(พลิกจิตจากสภาพอกุศล ตกต่ำ สู่ กุศล วิมุติทันที)
3.-เป็นจิตแบบเพชรมณี..แข็งแรง มั่นคง ไม่เก็บสิ่งใดๆไว้ แม้นแต่แสงสว่าง
ดังนั้น สาธุชนจึงขนานพระนามพุทธองค์ว่า"พระอจลนาถ"
พระผู้ไม่หวั่นไหว..สาธุ "โอมมณีปัทเมฮุ้ม" เพชรมณีที่อยู่เหนือดอกบัว
จิตแท้จิตเดิมเหมือนเพชร จิตปรุงแต่งด้วยกุศล ดุจดอกบัวที่บาน สาธุ
เมื่อชีวิตเราตกต่ำ พึงนึกถึงพุทธคุณทั้งห้าของ"จิตพระผู้ไม่หวั่นไหว"
และน้อมนำมาสู่จิตเรา เทอญ สาธุ
Suraphol Kruasuwan
Shared publicly - Jun 26, 2014
เดินทางหมื่นลี้ มีก้าวแรกเสมอ(เหมาเจต๋ง)
การเดินทางที่ยิ่งใหญ่คือ
"ความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนนิสัยตนเอง"
"จักขุมา.......................มีวิสัยทัศน์ ที่เที่ยงตรง ชัดเจนไม่ลำเอียง
วิธุโร............................บริหารจัดการชีวิตและงาน อย่างโปร่งใส
นิสสยสัมปันโน.............มีนิสัยดี จนไม่ขาดผู้อุปถัมภ์"
รีบทำนะสหาย ถ้ายังหายใจอยู่
เวลา กรรม มัจจุราช ไม่เคยคอยใคร
Suraphol Kruasuwan
originally shared to สมาคม คำฅน (สนทนาประสาคำฅน):
ฐิตา:
มนุสโสสิ.....ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า?
ถ้าเป็นต้องรู้จัก ธรรมะที่ทำให้เราเป็นมนุษย์
มนุษย์ เป็นบุตรพระมนู คือภาคหนึ่งของพระนาราย์อาวตาร
เมื่อ ผ่านแม่น้ำที่แบ่งภพ ก็ลืม ว่าตนเป็นลูกมหาเทพ
ฤาษีทั้ง7 ก็ส่งสารมาสอน"ความเป็นมนุษย์"ให้
เพราะ กิน นอน สืบพันธุ์ กลัวภัย คนกับเดียรัจฉานเสมอกัน
"มนุษย์ธรรม ทำให้ คนเป็นมนุษย์"
วิชาที่สอนประกอบด้วย
1.จักรสี่
-ภาษา
-วรรณคดี
-ประเพณี
-มนุษย์ธรรม
2.มนุษย์ธรรมสี่
-คุณธรรม
-จริยะธรรม
-วัฒนธรรม
-ปรมัตถธรรม
3.อาศรมสี่
วัยเรียน ศาสตร์ ศิลป์ ทักษะ ปฏิสันฐานธรรม พันธมิตร
วัยล่า แสวงหา ชีวิตที่ดี ผลประโยชน์ ความเพลินในการเสพหรรษาธรรม
วัยละ ละจาก กาม ภพ ทิฎฐิ อวิชชา อุปทานในตัณหา
วัยหลุดพ้น จุดตะเกียงส่องทางให้ชาวโลก
4.อริยะสัจสี่
ทุกข์ ปัญหา
สมุทัย เหตุแห่งปัญหา
นิโรธ การดับสิ้นแห่งปัญหา
มรรค วิธีทางปฏิบัติ เพื่อแก้ ป้องกัน บันเทา ยอมรับผล การแก้ปัญหา
สาธุ
Suraphol Kruasuwan
สนทนาประสาคำฅน - Aug 5, 2014
//-ลำดับ คำสอน ที่พระพุทธเจ้า สอนมากที่สุดคือ
พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา คือถ้อยคำที่ กล่าวโดยลำดับ
1.ทาน....สุขจากการแบ่งปัน พัฒนาสู่จาคะ
สละ ทั้งอกุศล และกุศล เพื่อ"สิ้นอาสวะ"
มีทั้ง
-วัตถุทาน ปัจจัยดำรงชีพ ทั้งสงเคราะห์ และอุปการะ แก่ผู้ด้อยศักยภาพ กว่าตน
-ธรรมทาน ความรู้ โอกาสในการพัฒนาชีวิต
- อภัยทาน
2.ศีล......ควบคุมกิเลส
ประเภค
- ก่อนกวน
-ก่อการ
-สั่งการ
ที่เป็นสัญชาติญาณดิบ ไปทำสิ่งดีแก่ชีวิต และสหาย
3.สัคคะ...สวรรค์บนดิน คือทำหน้าที่ดีๆ(มงคล)
ดูแลสังคมด้วยธรรมาภิบาล
-เคารพกฎหมาย
-มีมโนธรรมสำนึก ที่เข้มแข็ง
-ทำงานด้วยความโปร่งใส
-ประชาชนมีส่วนร่วม
-รับผิด ชอบ ร่วมกัน
-คำนึงถึงคุณค่า ผลประโยชน์ สังคม ชาติ เหนือ ส่วนตน
โลกก็เป็นสวรรค์บนดินได้
4.กามฑีนพ..โทษของความติด
(รวม พยาบาท เบียดเบียน หดหู่ ฟุ้งซ่าน เหงา เศร้าซึม )
5.เนกขัมะ...เทคนิคฝึกให้พ้นจาก ความติด
และกุญแจไขความสุขที่มีเงื่อนไข(ได้คือสุข เสียคือทุกข์)
พบสุขจาก สงบ สงัด สันโดษธรรม หรือพบนิรามิสสุข สุขที่ไม่มีเงื่อนไข(อามิสสุข ได้คือสุข เสียคือทุกข์)
6.ปัญญา....ปัญญาในพุทธศาสนาคือ
"วิสัยทัศน์" และหลักบริหารจัดการ อย่างรอบรู้ รอบคอบ ประกอบแล้ว"ดี"
-พุทธปัญญา..ใช้สติปัญญา แทนอารมณ์
-ญาณปัญญา..ปัญญาจากความรู้ หยั่งลงในปัญหา
-ธรรมะปัญญา..ใช้ความเข้าใจ ธรรมชาติ มาพิจารณา ความพอเหมาะพอดี
-สมันตะปัญญา..ใช้ความรอบรู้ ทุกสาขาวิชา ศาสตร์ และ ศิลป์ ทักษะดีๆมาช่วยคิดตัดสินใจ
-ทิพย์ปัญญา..ความรอบคอบลึกซึ้ง เห็นผลกระทบ ทั้งสามกาล
-โลกุตตระ ปัญญา...ปัญญาที่เป็นแสงส่องใจ ยามกระทบผัสสะโลกและธรรม
ที่ทำอาสวะให้สิ้น พ้น เพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ จากการปรุงแต่งจิตตน
-โพธิปัญญา....ปัญญา ที่ปลุกจิตเอื้อเฟื้อ ให้ตื่น
ให้มาดูแล ชีวาในชีวิต ให้แสงส่องใจ ส่องโลก และให้ร่มเงา แก่ชีวิตตน สังคม โลก
...............................
//-ดังนั้นอภัยทาน จึงมีคุณค่าต่อชีวิต ที่ต้องการพัฒนา
ยกระดับ ภูมิจิต ภูมิธรรม ภูมิปัญญา สู่"ผู้ชนะ เพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ในตน"
อภัยให้ผู้อื่น......เพราะ เขามี กรรม วัฒนธรรมต่างจากเรา
อภัยให้ตนเอง...เพราะ ความผิดพลาด เป็นจุดเรี่มต้นของการพัฒนาสู่ทางดี
.............................
สาธุครับผม
//-ทุกคนเกิดมามีหน้าที่
-หน้าที่ ต่อตนเองคือ"ทำอาสวะให้สิ้น"
-หน้าที่ ต่อสังคมคือ "รักษ์ ธรรมภิบาล"
-หน้าที่ ต่อโลกคือ "ดูแลรักษา โลก ให้งดงาม ยั่งยืน นานเท่านาน"
สาธุ
Suraphol Kruasuwan
Shared publicly - Aug 5, 2014
originally shared to ชาวพุทธ (สนทนาธรรมตามกาล):
ฐิตา:
//-ชีวิต เขียนบทโดย
1.กฎ วิวัฒนาการ พัฒนาการของจักรวาล
2.ชีวิตเขียนบทโดย"การเรียนรู้" จากวัฒนธรรม มนุษย์
3.ชีวิตเขียนบท ด้วย สติปัญญาฉลาดเลือกของเราเอง
...........................
ชีวิตเรา เป็น ชีวะยนต์ ขันธุ์ห้า
เครื่องยนต์ คอมพิวเตอร์ มีชีวิต ที่มีชีวา อิๆ
..........................
//-การจะอัพเกรดชีวิต ที่มีชีวา
เช่นเดียวกับ การบริหารจัดการ คอมพิวเตอร์
-สะแกนไวรัส
-ขจัดขยะข้อมูล
-เรียบเรียงข้อมูลให้กระทัดรัด
-โล๊ะโปรแกรม ที่ล้าสมัย
-ใส่โปรแกรมใหม่ๆ ที่มีประสิทธิ์ภาพ
-แล้วก็"ฝึก" จนเกิดทักษะ อิๆ
-และ อัพเดทโปรแกรม ล้างไวรัส ขยะ จัดระเบียบข้อมูล, ตามเวลาที่ควรทำ อิๆ
...........................
//-มีหลักคิด ที่ โลกตะวันตก บอกว่า"เป็นกฎของจักรวาล"
จะถอดความ มาเล้าสู่กันฟัง"แต่อย่าเชื่อ" อิๆ
1.กฎของแม่เหล็ก
แม่เหล็ก เกิดจากการจัดระเบียบ โมเลกุลอะตอม ให้เรียงตามขั้ว เหนือใต้
จนเกิดพลังดึงดูด โลหะหลายชนิด
เหล็กธรรมดา เอากระแสไฟฟ้าหมุนรอบ ก็จะกลายเป็นแม่เหล็กได้
ชีวิต จะเป็นคนธรรมดา ไม่ธรรมดา
อยู่ที่เรา เลือกที่จะฝึกฝนตนเอง อิๆ
2.กฎของการให้และรับ
ผู้ให้คือผู้รับ ลองให้ความเอื้อเฟื้อที่ดีแก่ ตน คนรอบข้าง ระบบชีวาลัยดู อิๆ
3.กฎแห่งกรรม
ทำอย่างไร เจตนาอย่างไร รับผลอย่างนั้น
-เจตนาของบุพการี
-เจตนาของระหัสกรรมพันธุ์
-เจตนาของ สิ่งแวดล้อม
-เจตนาของเราเอง เมื่อ เปลี่ยนความคิด อารมณ์ ความอยาก อิๆ
มีผลต่อเราทั้งสิ้น ฝึกควบคุมเจตนาตนเอง เป็นศรีแก่ชีวิตอิๆ
4.กฎแห่งจิตเหนือจิต
จิตที่มีศักยภาพ เหนือกว่า ย่อม ควบคุม จิตที่อ่อนกว่า
จิตที่เป็นสากลจักรวาล เช่น กฎธรรมดาของธรรมชาติ จึงเหนือ ทุกธรรมชาติ
5.กฎ ความสั่นสะเทือนของคลื่น
ลองฝึก หายใจช้าๆ ทำสมาธิสวดมนต์ คิดทางบวก
คลื่นสมองคุณก็จะเปลี่ยนในทางให้คุณ
6.กฎของจังหวะ เวลา โอกาส
โชค วาสนา มีแรงเหวี่ยงของตนเอง
ใจไม่ฟู ประมาท เมื่อได้ ไม่ร้องไห้เมื่อสุญเสีย อิๆ
7.กฎการหมุนเวียน พลังงาน
กามรมณ์คือพลัง เปลี่ยนเป็นพลังจิตได้ ถ้าคุณรู้วิธีฝึก
เปลี่ยนเป็นพลังสติ ปัญญาฉลาดเลือกได้ เมื่อจิตคุณกลับเป็นเด็กอีกครั้งอิๆ
และพลังจาก กาย กาม จิต ปัญญา ก็จะสว่างเป็นปรีชาญาณ
กลับมาดู ร่างกายให้เยาววั์ย มีชีวิตให้มีชีวา สาธุ
8.กฎ ของคู่ ทวิลักษ์
จากแรงโน้มถ่วง กับคลื่น ดึงกันอยู่
จากเวลา และอวกากาศ
จาก กฎธรรมชาติ และมโนธรรม
สร้าง"ความรู้สึกว่า เรามีอยู่"
ลองเรียนรู้จาก"เต๋า" ดู อิๆ
ทุกสิ่ง หมุนเวียน...เกิดดับ...สมดุลย์
9.กฎของทักษะ ความอดทน พากเพียร
คนออกกำลังก็ได้กำลัง
คิดได้ ลงมือฝึก รู้ผลด้วยตนเอง อิๆ
10.กฎสัมพันธภาพ
ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับ ใครเป็นผู้สังเกตุการณ์
เหตุผลเรา กับเหตุผลผู้อื่น ขึ้นกับ
จุดยืน วิสัยทัศน์ และทฤษฎีที่ใช้
บางที่ ทำตัวเป็นคนไร้เหตุผล"รับฟังได้ทุกเรื่อง"
แต่ไม่เอามาปรุงแต่ง ดุจแสงสว่างผ่านเพชรใส
ชีวิตอาจมีชีวา ถาวร อิๆ
11.กฎปฏิกริยาลูกโซ่
จากจุดเล็กๆ มีแรงเสรีม ให้รุ่ง เจริญที่สุด มีแรงตัดรอนให้อ่อน มีแรงตัดขาดให้ดับ
เพราะสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัย ปรุงแต่งแก่กันจึงเกิดขึ้น
ดังนั้นต้อง"ไม่ประมาทให้เหตุเล็กน้อย"
12.กฏแห่งความแตกต่าง
มนุษย์เท่าเทียมในความเป็นมนุษย์
แต่ไม่เท่าเทียม ในความสามรถ โอกาส
แต่ละชั้น ของธรรมชาติ จะใช้กฎเฉพาะ ที่แต่งต่างกัน
13.กฎใหญ่ มีกฎเล็กซ่อนอยู่ อิๆ
เช่นกรรมอันหนัก หากมีการให้อภัย รับกันได้
ก็"ไม่มีกรรมค้างคาใจต่อกัน" อิๆ
14 ธรรมชาติทุกอย่าง "มันเป็นของปลอมโว้ย"(อตัมมยตา)
นี่ ปู่ลิงแถมให้
แต่การจะอยู่กับของปลอม ที่ มายา ลีลา อนัตตา สร้างขึ้น
ก็ควร เป็นคนมีมโนธรรม และศักยะภาพ ในการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ
ไม่ใช้ตนเอง เป็นวัวควาย ตั้งความหวังไล่จับอิๆ
..............................
1.ความสุขจาก เพลินในกิจ
ที่เราชอบ เราเชื่อ
2.ความสุข จากการใฝ่รู้ฝึกฝนทักษะดีๆ
3.ความสุขจากการ ฝึกหายใจช้าๆ จนเกิดสมาธิ ฌาน
4.ความสุขจากการ เฝ้าศึกษาใจตนเอง
เข้าใจ เห็นใจ ล้างใจ สร้างใจมีคุณภาพ และ"ไม่มีใจอาลัยในเหยื่อโลก"
5.ความสุขที่ไร้กุญแจ
เมื่อฝึก ล้างขยะปรุงแต่ง จิตได้แล้ว
6.ความสุขที่มีมิตรแท้
เมื่อ อภิจิต(จิตปรุงแต่ง) กับโพธิจิต(จิตเอื้อเฟื้อ ต่อทุกมิติ ธาตุ ธรรม)
เป็นเพื่อน ทำหน้าที่ ดีๆ ต่อ ตน สังคม ระบบชีวาลัย อิๆ
......................................
สาธุ
Suraphol KruasuwanOWNER
การสนทนา - Aug 7, 2014
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version