ผู้เขียน หัวข้อ: ที่จบของพ่อ ผู้เคยเกลียดชังพระสงฆ์  (อ่าน 1263 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


                   

ที่จบของพ่อ ผู้เคยเกลียดชังพระสงฆ์
เรื่องเล่าจากวัดหนองป่าพง

พ่อของผมเป็นชาวจีนโพ้นทะเล จีนแคะ นั่งสำเภาจากซัวเถาหลบหนีความจน ที่มีมากมาย เหนือความมั่งคั่ง ในแผ่นดินเกิด สมัยนั้น สมัยคนจีนอพยพสู่ประเทศไทยเป็นว่าเล่น ความจนยัดเงินติดกระเป๋าของพ่อเพียงเพื่อให้พ้นอดตาย ระหว่างเดินทางข้ามทะเล แต่ยัดความเด็ดเดี่ยวใส่จนเต็มหัวใจหนุ่มทรนง และเติมเชื้อความหวังอันเรืองรองสำหรับแผ่นดินใหม่ แผ่นดินไทย อย่างเต็มเปี่ยม รางวัลที่ความยากจนข้นแค้นให้กับคนมีเสื่อผืนหมอนใบ คือความแข็งแกร่งทั้งกายและใจ เป็นอาวุธเล่มเดียวที่แหลมคมของหนุ่มจีนยากจนเช่นพ่อจะมีไว้สู้ชีวิต แผ่นดินไทยได้ฟื้นกำลังให้กับพ่อด้วยข้าวล้วน ๆ โดยไม่มีเผือกหรือมันผสม น้ำตาพ่อปริ่ม เมื่อรับกระแสอันอบอุ่นในอู่ข้าวอู่น้ำแห่งนี้ และไหลพรากทันที ที่ภาพคนข้างหลังในเมืองจีนกำลังขุดเผือกมันมาประหยัดข้าว พ่อแม่พี่น้องและภรรยากำลังล้างหัวมัน เคล้าข้าวสาร หุงกิน เป็นภาพที่ลบออกไม่ได้ และเป็นเหตุแห่งกระแสน้ำตาสายนั้น แต่เมื่อปั่นกระแสน้ำตาขาดหาย ด้วยมือหยาบกร้าน สำเร็จแล้วมือเดียวนั้นไ ม่เคยยกขึ้นมาป้ายน้ำตาพ่ออีกเลยจนตลอดชีวิต มันเป็นมือที่กอดกำงานทุกอย่างโดยไม่พรั่นเพื่อเงินและชีวิตที่ดีขึ้น ไม่พิรี้พิไรกับความหลังอันแสนเข็ญ ไม่อุทธรณ์ต่อฟ้าดินขอปรานีมาผ่อนปรน ความเหน็ดเหนื่อยอันสาหัส ไม่ตัดพ้อหรือเกี่ยงงอน ในผลรับที่ดูคุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของคนพลัดถิ่น

ด้วยพรหมลิขิตหรืออะไรก็สุดแต่จะเรียน ได้กำหนดชีวิตของพ่อให้มีวิถีกลมกลืนอยู่ได้ในเมืองไทย และแม้บุพเพสันนิวาสสัญชาติจีน จะพลัดพ่อจากภรรยาในเมืองจีน จนไกลสุดทะเลคั่น แต่บุพเพสันนิวาสสัญชาติไทยยังเอาธุระไม่วาง แม่ในวัยสาวสะพรั่ง แม่ผู้เป็นหญิงสาวชาวบ้านนาป่าเขาแห่งเมืองนครนายก ซึ่งยายได้ฝึกอาชีพตัดกล้วยบนเขาชะโงกลงมาขาย และสอนบทบาทแม่เรือน ด้วยการตักน้ำบ่อทรายริมคลองบ้านนามาใส่ตุ่ม และด้วยคุณสมบัติง่าย ๆ อย่างนี้ บุพเพสันนิวาสได้ส่งมอบแม่ให้กับพ่ออย่างเหมาะที่สุด โดยไม่ต้องเสี่ยงจับ สลาก ชีวิตครอบครัวของหนุ่มจีนสาวไทย จึงยั่งยืนมาถึงวันแก่เฒ่าทั้งคู่ พร้อมกับลูกชายหญิงเต็มบ้านเต็มเรือน หนุ่มจีนสาวไทยคู่นี้ได้ลงเรือลำเดียวกันอย่างแท้จริง ไม่ได้ลงเรือโตยอุปมาอุปมัย

พ่อซื้อเรือสำปั้น 16 เหล็ก 1 ลำ ขนาดของซี่เหล็ก 16 ซี่ บอกขนาดน้อง ๆ เรือเอี้ยมจุ๊นได้อย่างชัดเจน ความใหญ่โตของมัน ให้ดูที่ใบเรือสำหรับกางแล่นลม มันเป็นเรือใบฉบับกระเป๋าใน บางโอกาส ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว พ่อได้เรือใหม่และเปิดอาชีพใหม่ คือ เป็นพ่อค้า ขายใบยาสูบ ล่องเรือทั่วไปตลอดทั้งฉะเชิงเทรา, นครนายก, ปราจีนบุรี, ปทุมธานี,กรุงเทพฯ นครชัยศรี และนครปฐม พื้นที่ทั้งหมดนี้มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงถึงกันอย่างน่าพิศวง มีเรือเป็นร้านค้าเคลื่อนที่และเป็นบ้านอันแสนอบอุ่น ของพ่อแม่และลูกที่ เพิ่งเกิดใหม่บนเรือนั้น คนสองเชื้อชาติสองประเพณี มาอยู่ด้วยกันก็ดูจะเกิดปัญหาอยู่บ้าง พ่อแวะศาลเจ้าเพื่อทำบุญเป็นบางโอกาส แม่ขึ้นตลิ่งวัดริมน้ำบ้าง เพื่อใส่บาตรอย่างที่เคยประพฤติมาตลอดในบ้านเกิด มันเป็นปัญหาที่คนทั้งสองอธิบายให้แก่กันไม่ถนัด แต่พ่อไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวจอมเผด็จการ บุญในแบบไทย ๆ ของแม่จึงไม่เคยถูกพ่อห้ามทำ ถึงกระนั้นวันที่พ่อเป็นจอมเผด็จการก็มาถึง

ไม่อาจระบุสถานที่เกิดเหตุได้ชัดเจน แต่เรื่องนี้เกิดบนเรือของพ่อ พระสงฆ์รูปหนึ่งลงเรือมาซื้อใบยาสูบ ขณะที่ลูกจ้างคนเดียว ที่มีบนเรือของพ่อสาละวนหยิบใบยาให้ พระสงฆ์รูปนั้นแอบฉวยเอามีดพับของพ่อ ใส่ซ่อนในย่ามพ่อเห็นและปราดจากท้าย เรือมาจับแขนพระสงฆ์องค์นั้นไว้ ล้วงลงไปในย่าม ควานหยิบเอมีดพับออกมาถือด้วยอาการโกรธสุดระงับ พระสงฆ์หัวขโมยหน้าเสีย เสียงพ่อด่าและตะโกนขับไล่ลั่นไปทั้งคุ้งน้ำ ชาวเรือลำอื่น ๆ แย้มหน้าออกมาดูสลอน ทุกคนเห็นเหมือนกันไปหมดว่า จีนหนุ่มคนหนึ่งกำลังด่าพระขี้ขโมยซึ่งกำลังหนีขึ้นฝั่งจีวรปลิว ตั้งแต่นั้น แม่หมดโอกาสทำบุญในพระพุทธศาสนาอย่างเปิดเผย

สิ่งที่พ่อเกลียดที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต คือ ความคดโกง พ่อรักความซื่อสัตย์สุจริตและประพฤติสุจริตอยู่จนตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าเป็นพ่อจึงดั้นเมฆสรรเสริญ แต่พ่อของผมควรแก่การสรรเสริญอย่างแท้จริง ข้อนี้ไม่มีใครซาบซึ้งใจดีเท่าลูก ๆ ของพ่อทุกคน ความซื่อสัตย์สุจริตของพ่อแสดงตัวอย่างชัดเจน เมื่อหลังสงครามอินโดจีน ซึ่งขณะนั้นพ่ออยู่เมืองอุบลราชธานี แล้วพ่อไม่ฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยทั้งที่สามารถทำได้ เหมือนเพื่อน ๆ ของพ่อหลายคน ซึ่งในวันนี้เป็นเศรษฐีมั่งคั่งประจำเมือง โอกาสของพ่อมีมากมาย แต่พ่อมึงมันผ่านไปเสียเฉย ๆ ครั้นลูกขยับตัว พ่อห้ามทันที

“อย่านะ นั่นไม่ใช่วิธีหากินของคนดี เป็นคนมั่งคั่งด้วยวิธีของคนชั่ว อาจง่ายกว่าเป็นคนมั่งมีอย่างวิธีของคนดี แค่นี้เราก็อยู่ได้ เรายืดอกเดินไปที่ไหนก็ได้ไม่ลำบากใจ ราศีของคนดี เดินไปทางไหนก็มีคนต้อนรับ ผีสางเทวดาก็ช่วยระวังรักษาคุ้มภัย ถอยกลับมาอย่าไปสนใจมันอีก”

ดังนั้นสันดานอย่างนี้ สิ่งที่พ่อเกลียดอีกอย่างหนึ่ง จึงเป็นพระสงฆ์และรวมไปถึงพระสงฆ์ทั้งโลก เห็นพระบิณฑบาต พ่อจะสอนลูกเล็ก ๆ ว่าให้ขอทานดีกว่า เห็นคนกราบไหว้พระ พ่อจะสอนลูก ๆ ว่ากราบขอทานดีกว่า เพราะว่าพระสงฆ์เป็นพวกหัวขโมย เป็นคนขี้ฉ้อ เป็นคนเลวที่อาศัยผ้าเหลืองหากินอย่างแสนจะขี้เกียจ กระดูกดำของพ่อมีแต่ความเกลียดชังพระสงฆ์ สงครามอินโดจีนหรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิด ญี่ปุ่นเดินทัพเข้าไทยทุกรูปแบบ เป็นพ่อค้ายาเร่ เป็นช่างถ่ายรูปจรดล เป็นสารพัดจะเป็น อย่างที่พรางตาคนไทยได้ และเมื่อถึงวันที่ทุกคราบถูกสลัดออกไป ซามูไรยาวเฟื้อยก็อยู่ในมือพวกเขา เครื่องแบบทหารญี่ปุ่นถูกสวมแทนอย่างอหังการ

ทหารญี่ปุ่นเหล่านี้คือคนต่างด้าวทั้งนั้น พวกเขาซ่อนตัวมาอย่างแยบยล จนถึงวันที่เผยตัวออกมาให้คนไทยขนลุกขนพอง ภาพพจน์ของคนต่างด้าวช่างน่ากลัวเสียจริง ต้องไล่คนต่างด้าวออกไปให้พ้นแผ่นดินไทย พ่อเป็นคนต่างด้าวที่ไม่ถูกเว้นในสงครามไล่คนต่างด้วย พ่อทิ้งเรือหนีภัยขึ้นบก ที่หมายไม่มีแน่ชัดแต่ทิศทางที่พ่อเลือกมุ่งไป คือ ทิศอีสาน อยู่บ้านแฮก เมืองขอนแก่น ระยะหนึ่ง เตลิดขึ้นหนองคาย และล่องโขงมาขึ้นฝั่งเมืองอุบลฯ ลงหลักปักฐานที่นี่อย่างปลอดภัย พ่อมีเพื่อนอยู่ที่อุบลฯ มาก ญาติพี่น้องที่มาอยู่แน่นหนาก่อนหน้าก็เยอะ จีนแคะด้วยกันทั้งนั้น สมาคมจีนแคะที่นี่จึงใหญ่พอตัว ซึ่งเดี๋ยวนี้คือสมาคมฮากกา ที่มีสถานทีทำการเป็นตึกใหญ่

สังคมคนจีนที่นี่มีความอบอุ่นมากพอ จะทำให้ลืมบ้านเกิดที่กวางจิวและชัวเถา และลืมทุกข์จากสงคราม ตกเย็นคนจีนรุ่นใหญ่จะนัดหมายกัน มาพบที่ริมถนนที่นาน ๆ รถจะผ่านสักคัน แล้วเล่นซอเป่าปี่ตีขิม จิบน้ำชาคุยกันอย่าออกรส กิจกรรมของสมาคมคนจีนเมืองอุบลฯ มีพ่อร่วมด้วยทุกประการทั้งชีวิตและวิญญาณที่พ่อมี ลูกของพ่อเกิดที่เมืองอุบลหลายคน รวมทั้งผม เมื่อเกิดแล้วก็หาได้สัมผัสพระพุทธศาสนาไม่ พระพุทธศาสนาของลูก ๆ มีอยู่ในโรงเรียนในข้อสอบ ที่จะต้องตอบให้ถูกเพื่อการสอบได้ พระพุทธศาสนาของครอบครัวผมไม่ได้อยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง นั่นเป็นผลที่เกิดจากความเกลียดชังพระสงฆ์ของพ่อ จะเป็นด้วยกรรมที่เป็นบุญมาแต่ปางใดไม่ทราบ ลูกสาวคนแรกของพ่อ หรือพี่สาวคนโตของผม เกิดฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาอย่างหมดหัวใจได้อย่างไรไม่รู้ แอบเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่นกระเตาะ โดยที่พ่อไหวตัวไม่ทัน เมื่อความแตกพ่อก็ห้ามเธอไม่ไหวเสียแล้ว อาจเป็นด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง พ่อจึงวางเฉยไม่ห้ามปราม และคงหวังจะเอาเหตุผลมาใช้เพื่อชนะ แทนการใช้อำนาจที่พ่อมีอย่างเหลือเฟือกับลูก

การแสดงเหตุผลเพื่อชี้ให้เห็นความเลวของพระสงฆ์ของพ่อ กับการชี้แจงให้เห็นความดีของพระสงฆ์ของพี่สาวของผม ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ยังไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด แต่พี่สาวของผมก็ได้สิทธิที่จะเข้าวัด ที่เธอรักและศรัทธาอย่างเปิดเผยยิ่งขึ้น แม้พ่อจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วย พ่อไม่ใช้อำนาจห้ามพี่สาวเข้าวัด แต่ใช้อำนาจเด็ดขาด ห้ามไม่ให้นำสิ่งของเงินทองไปถวายพระ หรือแม้กระทั่งใส่บาตรยามเช้าที่หน้าบ้าน ข้อนี้ไม่มีใครกล้าประพฤติต่อหน้าต่อตาพ่อ แต่กล้าพอจะให้ลับตาพ่อเสียก่อน แม่จึงพลอยได้โอกาส เริ่มต้นกันใหม่ เริ่มเข้าวัดอีกครั้ง หลังจากที่เกือบจะลืมวัดไปแล้วทั้งชีวิต พี่สาวของผม คือ ใบเบิกทางของแม่และพลอยฉุดดึงน้อง ๆ ให้รู้จักพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับเธอบ้าง ในสมัยผมเกิด จึงได้สัมผัสพระพุทธศาสนาตั้งแต่เล็ก ดูเหมือนจะเริ่มต้นรู้จักกราบพระครูวุฒิกรพิศาล หรือหลวงพ่อทุย ธมฺมทินโน เจ้าอาวาสวัดวารินทรารามเป็นครั้งแรก ต่อไปก็หลวงพ่อบุญมี ฉนฺโท วัดดอนกลาง และหลวงพ่อบุญมี โชติปาโล วัดคอนสาย ซึ่งเดี๋ยวนี้คือ วัดสระประสานสุข ต่อมาก็เป็นท่านพระครูพุธ ฐานิโย หรือพระภาวนาพิศาลเถร สมัยนั้นเป็นเจ้าอาวาสป่าแสนสำราญ พระสงฆ์เหล่านี้คือครูบาอาจารย์ที่พี่สาวเคารพศรัทธาอย่างแท้จริง

ส่วนหลวงพ่อชา สุภทฺโท ผมไม่ทราบชัดว่า พี่สาวของผมรู้จักไปกราบท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ ชื่อของหลวงพ่อชาเข้ามาสู่เมมโมรี่ของครอบครัวผม เป็นครั้งแรก ในสมัยที่พ่อกำลังย่ำแย่ในธุรกิจ พ่อประสบภาวะวิบัติขาดทุนอย่างย่อยยับ ในกิจการค้าของป่าและพืชผลเกษตร ดูเหมือนจะเป็นระหว่าง 2504-2506 ผมกำลังเรียนชั้นประถมต้นในโรงเรียนสงเคราะห์ศึกษา ผมยังไม่อยู่ในฐานะจะซึมซับ อาการภายนอกภายในที่บอบช้ำของพ่อได้อย่างซาบซึ้ง ตรึงใจ แต่บอกได้ว่าพ่อทรุดทั้งกายและใจอย่างเต็มที่ ถ้าพี่สาวของผมเป็นนักมวย ผมจะขอตำแหน่งให้เธอเป็น ยอดมวยเอกคนหนึ่งที่รู้จักหาจังหวะ และโอกาสพิชิตคู่ต่อสู้ได้อย่างเหมาะเจาะที่สุด เธอบอกกับพ่อว่า

“ไปหาหลวงพ่อชาเถอะพ่อ”
“ทำไมจะต้องไป” พ่อว่า
“หลวงพ่อชาบอกเลขแม่น คนอื่นรวยไปหลายคนแล้ว พ่อไปเถอะบางทีจะได้เลยมาแก็สถานการณ์ได้” เธอหลอก

พ่อพยักหน้าอย่างหมดท่า แม้ไม่เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อชามาก่อนก็ตาม คนที่กำลังร่วงติดดินมีความหวังได้แค่นี้ พี่สาวแอบไปกราบหลวงพ่อล่วงหน้า เล่าเรื่องของพ่อถวายท่านทุกอย่าง หัวใจของเรื่อง คือ พ่อเกลียดพระสงฆ์ แต่พี่สาวของผมอยากให้พ่อคลายความเกลียดนั้นออกไป วัดหนองป่าพงปีสองพันห้าร้อยกว่า มีสภาพเป็นเพียงสำนักสงฆ์ อยู่ไกลออกไปจากหมู่บ้านของผู้คน มีความยากลำบากแสนสาหัส ในการเดินทางไปที่นั่น ไม่มีถนน แต่มีทางเกวียนเปลี่ยวลัดเลาะไปตามท้องนาป่าละเมาะ หน้าฝนจะไม่มีรถใด ๆ ไปถึงสำนักสงฆ์แห่งนี้ได้เลย เว้นแต่รถจี๊บกำลังสูงรถบรรทุกขนาดใหญ่ แต่ถึงงั้นหลายครั้งรถต้องติดหล่มนานเป็นชั่วโมง จึงจะผ่านไปได้แต่ละช่วง ถ้าไม่ใช่ด้วยศรัทธาที่แท้จริง หรือด้วยความหวังจะได้รับในสิ่งที่ปรารถนา จี๊บใหญ่เชพโรเล็ทของพ่อจะต้องเลี้ยวกลับ สำนักสงฆ์หนองป่าพงสมัยนั้น มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาประมาณ 14 รูป สามเณร 1 รูป ปะขาว 3 คน ชี 19 คน ทุกชีวิตพำนักอยู่ใน กุฏิไม้หลังเล็กจิ๋วขนาดนอนสองคนคับ ดังนั้นกุฏิแต่ละหลังจึงมีผู้อาศัยดามลำพังคนเดียว และเป็นเช่นนี้มาจนปัจจุบัน

พี่สาวของผมแนะนำพ่อให้หลวงพ่อชารู้จัก และเปิดโอกาสให้พ่อได้สนทนากับหลวงพ่อชา ตามลำพัง ด้วยการถอยหนีออกจนไกล เกินกว่าจะได้ยินถ้อยคำสนทนา นั่นเป็นวิธีการที่ฉลาดและเพื่อรักษาเหลี่ยมของพ่อเอาไว้ ไม่ให้เสียแก่ลูกสาว เสียงจักจั่นเรไรร้องระงมทั้งบริเวณป่ามืด ที่พระสงฆ์หมู่นี้เข้าเข้ามาอาศัยบำเพ็ญธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าสิ้นสรรพสำเนียงของแมลงกลางคืนเหล่านี้แล้ว จะมีเพียงความเงียบสงัดที่สุด เท่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะได้รู้จัก เงาจันทร์หรุบหรู่อยู่บนฟ้าไกล ดาวดาษดื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ ในศาลาโรงฉันเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทั้งที่ฉันอาหาร รับแขกชาวบ้าน ประชุมสงฆ์ ประกอบกิจสงฆ์ตามพระวินัย มีพ่อกับหลวงพ่อชาสนทนากัน กลางไฟเทียน

ขณะนั้นหลวงพ่อชาอายุได้ 43 ปี 23 พรรษา พ่ออายุ 59 ปี เป็นคนแก่ธรรมและคนแก่โลก สองคนสนทนากันในเรื่องที่ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งบัดนี้ พ่อกลับบ้านคืนนั้นโดยไม่ได้เลขสำหรับแทงหวย แต่ดูเหมือนว่า พ่อจะได้สิ่งที่ใครๆ ก็ประเมินค่าไม่ถูกกลับบ้านแทน พ่อไม่เล่าให้ใครฟังว่า ได้คุยกับหลวงพ่อชาอย่างไร คุยเรื่องอะไรและไม่มีใครกล้าถาม คงมีแต่ความเงียบตลอดเวลาที่นั่งรถข้ามท้องนาและปลักตมกลับบ้าน พี่สาวของผมคาดหมายอะไรไม่ได้ เธอจะต้องใช้เวลาสำหรับลุ้นจิตใจของพ่ออีกหลายวัน หลังจากพ่อได้พบหลวงพ่อชาครั้งแรก ด้วยเล่ห์ของลูกสาวคนโต มีความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่โตเกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ความทุกข์ที่แม่และลูกทุกคน เห็นมันอยู่ที่พ่ออย่างหนัก กลับหายไป ไม่มีรอยทุกข์เหลืออยู่ในสีหน้าแววตานั้นอีก คงมีแต่ความสงบเยือกเย็น ที่ลูกและแม่เห็นแล้วพลอยอบอุ่นไปได้อย่างบอกไม่ถูก

มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทันที หลังจากที่พ่อกลับจากวัดหนองป่าพง คนที่รับรสแห่งความดีใจมากที่สุด คือ พี่สาวของผม หลวงพ่อชา ได้บอกกับเธอในวันหนึ่งว่า เถ้าแก่ (หมายถึงพ่อ) มีความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาดีมาก เป็นความรู้เดิมที่มีมาแต่ครั้งอยู่เมืองจีน เถ้าแก่รู้เรื่องพระจีนเป็นอย่างดี
นั่นเป็นเรื่องที่พวกเราเพิ่งรู้เหมือนกัน คนที่เกลียดพระสงฆ์เป็นบ้าเป็นหลังอย่างนั้น ใครจะไปหมายได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องของพระสงฆ์เป็นอย่างดี บางทีอาจเพราะรู้มากนี่เองจึงเกลียดได้มากเท่า ๆ กับที่รู้จัก ต่อไปความมหัศจรรย์ฉบับครอบครัวก็อุบัติขึ้น พ่อเอ่ยปากชวนพี่สาวของผมไปวัดหนองป่าพง เธอได้ชัยชนะเด็ดขาดในวินาทีนั้นเอง

การเดินทางไปสำนักสงฆ์หนองป่าพงหรือวัดหนองป่าพง มีอุปสรรคอยู่ที่ความยากลำบากของทางเกวียนสู่วัด เป็นความลำบากที่ให้กับผู้เดินทางไปที่นั่นได้ตลอดปี โดยเฉพาะฤดูฝนจะลำบากเป็นพิเศษ สมัยปีสองพันห้าร้อยกว่า ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงสำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างน้อย ๆ สองชั่วโมงและอาจถึงสามชั่วโมงในฤดูฝน นั่นเป็นความจริงเมื่อสามสิบปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ใช้เวลาสำหรับไปที่นั่นเพียงไม่เกิน 15 นาที จากบ้านของเรา อุปสรรคใด ๆ ก็คือเรื่องกระจ้อยร่อยสำหรับพ่อไปแล้ว หลายครั้งที่พ่อค้างที่วัดกับหลวงพ่อชา และเริ่มนำอาหารไปถวายที่วัดบ่อยขึ้น รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ของพระสงฆ์ที่นี่ หากจำเป็นต้องอาศัยพ่อหรือรถบรรทุกของพ่อ สามารถเรียกใช้ได้ตามต้องการ รูปถ่ายของหลวงพ่อชา ถูกนำขึ้นวางบนหิ้งบูชา เป็นกุญแจเปิดประตูพระพุทธศาสนา ให้บ้านหลังนี้ในทันที พ่อเลิกไหว้ผี เลิกไหว้เจ้า และเลิกไหว้พระจันทร์ เลิกมงคลตื่นข่าว แต่รับเอาพระรัตนตรัยเข้าไว้เต็มหัวใจแห่งศรัทธาแทน ขณะนั้นพ่อเป็นคนจีนนอกรีตไปแล้วอย่างเงียบเชียบ



ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ที่จบของพ่อ ผู้เคยเกลียดชังพระสงฆ์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:56:42 pm »



ความศรัทธาของพ่อ ที่มีต่อหลวงพ่อชาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในคราวหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็น งานรับกฐินจากทางไกลของสำนักพุทธเจดีย์ ตำบลหนองไฮ อำเภอวารินชำราบ สำนักสาขาที่ 4 ของวัดหนองปาพง พ่อนำรถบรรทุกเชฟโรเล็ท รับหลวงพ่อชาจากวัดหนองป่าพงไปที่นั่น ตำบลหนองไฮ สมัยนั้น ถนน คือ ลูกรังแดงฉานตลอดระยะทางหลายสิบกิโลเมตร มันเป็นถนนคลุกฝุ่นอย่างแท้จริง ซึ่งพ่อเคยเดินทางไปซื้อสินค้าเกษตร แถบนั้นบ่อย ๆ รสของฝุ่นถนนที่แสนคุ้นนั้น พ่อซึมซับได้อย่างออกรสที่สุด หลังเสร็จธุระทอดกฐินสำนักพุทธเจดีย์ และนำส่งหลวงพ่อชากลับถึงวัดหนองป่าพงเรียบร้อยแล้ว พ่อเอะอะกับทุกคนในครอบครัวเมื่อกลับถึงบ้านว่า

“หลวงพ่อชาอีเป็นเซียนแล้ว ไม่มีใครในรถของเราเปื้อนฝุ่นแม้แต่คนเดียว”

อาจกล่าวได้ว่าพ่อเป็นคนจีนในยุคแรกของสำนักสงฆ์หนองป่าพง ที่หลวงพ่อเมตตาเป็นพิเศษ ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา เป็คุณสมบัติที่สะท้อนผลมาถึงทุกคนในครอบครัว ความเมตตาของหลวงพ่อ แผ่กว้างออกมาสู่ครอบครัวของเราอย่างทั่วถึง ไม่มีใครเลยที่หลวงพ่อไม่รู้จัก หลวงพ่อได้กลายเป็นประดุจพ่ออีกคนหนึ่งของบ้านเรา

ต่อมาพี่สาวคนโตได้แต่งงานแยกครัวออกไป แต่ไม่มีปัญหาสำหรับพ่อในเรื่องวัด พ่อยังคงดำเนินศรัทธาของพ่อไปตามปกติ และเมื่อพี่สาวคนที่สามหันหน้าเข้าสู่วัดอย่างจริงจังอีกคนหนึ่ง พระพุทธศาสนาก็ไม่มีวันแยกออกจากครอบครัวของเราอีกต่อไป อาจเป็นด้วยเหตุมีมาแต่เดิม คือ ทุกคนเคยถูกห้ามไม่ให้มีสัมพันธ์กับพระสงฆ์มา ก่อน พระพุทธศาสนาจึงคลุมเครืออยู่บ้างสำหรับลูก ๆ บางคน แม้พี่สาวคนที่สามซึ่งเริ่มต้นเข้าสู่การปฏิบัติธรรมสมัยแรก ๆ ก็เปี่ยมด้วยวิจิกิจฉาอย่างช่วยไม่ได้ มีคำถามเกิดขึ้นว่า ธรรมะมีดีอย่างไรปฏิบัติแล้วจะได้อะไร บุญจากการถวายทานแะรักษาศีลภาวนาเกิด ผลแบบไหน คนเรามีกรรมเป็นของ ๆ ตนจริงหรือ และแม้แต่หลวงพ่อชาเองวิเศษจริงหรือ? ข้อสงสัยลามปามไปถึงผู้เป็นประธานสงฆ์แห่งสำนักหนองป่าพง ที่พี่สาวคนที่สาม เข้าไปปฏิบัติธรรมทุกวันพระ ข้อสงสัยนี้ทุก ๆ คนสามารถมีได้เป็นได้ขอเพียงให้สงสัยเท่านั้น วันสิ้นสงสัยในหลวงพ่อชาได้มาถึง หลวงพ่อตอบคำถามด้วยฤทธิ์

เรื่องมีอยู่ว่า หลวงพ่อจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยกิจนิมนต์ประการหนึ่ง ข่าวนี้มีมาถึงพี่สาวซึ่งนั่งเย็บผ้าเป็นกิจวัตรตรงหน้าบ้าน พี่สาวของผมเป็นห่วงว่า หลวงพ่อและพระที่จะเดินทาง โดยรถด่วนเที่ยวเช้าตรู่ จะมีอาหารหรือไม่ บางทีจะมีผู้ไม่เข้าใจทำถวาย แต่จะทำให้หลวงพ่อและพระสงฆ์ที่ติดตาม รับอาหารไม่ได้ เพราะเหตุว่าท่านเคร่งในพระวินัย หากถวายผิดแล้ว พระทั้งหมดต้องอดอาหารแน่ เธอจึงสั่งไว้กับทุกคนที่รู้จักว่า หากหลวงพ่อมีกำหนดจะเดินทางโดยรถขบวนไหน วันใดแน่ชัดแล้วให้บอกเธอล่วงหน้าด้วย เพื่อจะได้เตรียมอาหารสำหรับถวายท่านบนรถไฟ

เช้าตรู่ของวันหนึ่ง มีรถบรรทุกพระสงฆ์แล่นผ่านหน้าบ้านเราอย่างช้า ๆ หลวงพ่ออยู่ในนั้นด้วย พี่สาวของผมตกใจ นั่นหลวงพ่อกำลังจะไปกรุงเทพฯ แล้ว แต่ไม่มีใครมาบอกเรื่องนี้ จะจัดเตรียมอาหารอย่างไรได้ทัน ดูไปที่นาฬิกาข้างฝาเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถจะออกจากสถานีวารินฯ เป็นอันหมดทางจะจัดทำ และนำอาหารไปถวายหลวงพ่อและพระสงฆ์ได้ เสียงหวูดรถไฟกังวานมาให้ได้ยินถนัด เนื่องจากบ้านของเราอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเกินไป ตามความเข้าใจของเธอ รถไฟที่หลวงพ่ออาศัยเดินทางไปกรุงเทพฯได้ออกสถานีไปแล้ว

ครู่ต่อมา... ปรากฏมีแถวพระสงฆ์ของสำนักวัดหนองป่าพง จาริกออกบิณฑบาตย้อนกลับมาผ่านหน้าบ้านอีกครั้ง เป็นหมู่พระสงฆ์ที่ไปส่งหลวงพ่อที่สถานีรถไฟ เมื่อส่งแล้วก็ถือโอกาสบิณฑบาตกลับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน พี่สาวของผม ได้แต่มองดูพระสงฆ์เดินแถว ผ่านหน้าบ้านไปไม่สามารถจะใส่บาตรได้ทัน พระสงฆ์พรรษามากอยู่หัวแถว เรียงลำดับลงมาหาพรรษาน้อยด้วยระบบอาวุโส ผ่านกลับไปทีละองค์ จนกระทั่งถึงปลายแถว ซึ่งเป็นสามเณรองค์น้อย แต่หมดสามเณร แล้วสิ่งไม่คาดหมายก็เกิดขึ้น หลวงพ่อชาอุ้มบาตรเดินต่อจากสามเณร และมีพระสงฆ์เดินตามอีกสามรูป หลวงพ่อไม่ได้ไปกรงเทพฯ หรอกรึ ? เวลานั้นพี่สาวของผมยังคิดไม่ออก ในสิ่งที่เธอได้เห็นและ ไม่ฉุกใจคิดว่า ทำไมหลวงพ่อเดินต่อท้ายสามเณร ต่อมาอีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมงพี่เขยซึ่งเป็นนายสถานีรถไฟ ได้มาถึงภายหลังจากได้เวลาออกเวรแล้ว

“หลวงพ่อไปกรุงเทพ” พี่เขยรายงานกับน้องภรรยา
“ไปยังไง” พี่ของผมเถียง “หลวงพ่อเพิ่งบิณฑบาตผ่านไปเมื่อกี้นี้เอง ”
“หลวงพ่อไปกรุงเทพฯ จริง ๆ เฮียเพิ่งไปส่งมาเดี๋ยวนี้” พี่เขยว่า “มีพระตามไปด้วยสามองค์”

พี่สาวของผมได้แต่งง ในที่สุดก็ขนลุกซู่ สิ้นสงสัยในหลวงพ่ออย่างทันที สิ้นสงสัยตลอดกาล ตั้งแต่นั้นมาเธอโหมปฏิบัติธรรมอย่างหนัก ถ้าหากเป็นผู้ชายเธอคงบวชไปแล้วอย่างแน่นอน บทบาทของพ่อของผม ที่เคยขัดขวางลูกสาวกับพระพุทธศาสนา ตวัดกลับมาเป็นสนับสนุนการปฏิบัติของเธอ อย่างเท่าที่พ่อจะทำให้ได้ ตลอดระหว่างเข้าพรรษา ลูกคนที่สามของพ่อถือศีลอุโบสถ พ่อให้สิทธิพิเศษอย่างเงียบ ๆ ด้วยน้ำอัดลมทีละสองสามลัง สำหรับเธอได้ดื่มเวลาบ่ายและค่ำ น้ำอัดลมสมัยนั้นเป็นเครื่องดื่มพิเศษที่ใคร ๆ นึกอยากจะดื่มก็ดื่มไม่ได้ แม้แต่พ่อเอ็งจะดื่มก็ต่อเมื่อโอกาสพิเศษอย่างเช่น ไปดูหนัง ลูก ๆ ก็จะได้กินของแปลกลิ้น ไปดูงิ้วลูก ๆ ก็จะได้กินดื่มอะไรก็ได้ตามปรารถนา แต่เวลาปกติจะถูกตี ! ผลจากการปฏิบัติและการสนับสนุนของพ่อ ทำให้พี่สาวคนที่สาม เลือกจะอยู่เป็นโสดจนตลอดชีวิต แม้มีผู้ชายที่แสนดีมาสู่ขอ พ่อไม่บังคับขืนใจ ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนจีน ที่จะยอมให้ลูกสาวไร้คู่ แต่กับพ่อไม่เป็นเรื่องอึดอัดขัดข้องอย่างไรเลย นี่คือคนจีนนอกรีตที่เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว

ปัจจุบันพี่สาวคนนี้เป็นหญิงโสดอายุเกือบห้าสิบปีและอยู่ที่อเมริกาและยังรักษาศีลภาวนาอย่างที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด ปลายปี 2511 พ่อป่วยหนักด้วยโรคถุงน้ำดีอักเสบ ถึงหามเข้าโรงพยาบาล หลวงพ่อชาทราบข่าวนี้ได้อย่างไรไม่ทราบและได้ส่งโยมวัดนำ “พระเกษ” มาให้พ่อถึงห้อง พักรักษาตัวในโรงพยาบาล พระเกษคือตะกั่วหุ้มเส้นเกษา และผงพุทธคุณ มีรูปร่างต่าง ๆ กันไป แล้วแต่มือผู้หุ้มบางอันคล้ายหัวลูกปืน บางอันคล้ายกรวยแหลม บางอันแท่งกลมหน้าตัด วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อก็เดินทางมาเยี่ยมพ่อ ด้วยตัวท่านเอง สร้างความปีติให้แก่พ่อและลูก ๆ อย่างประมาณไม่ได้ พ่อถึงกับมีอาการตาแดง ๆ ทำทีจะร้องไห้

“หายแล้วไปอยู่วัดอาตมานะ ไปถือศีลปฏิบัติธรรม เราแก่เฒ่าแล้ว ภาระการงานก็มอบหมายให้ลูกเต้าเสียเถอะ ลูก ๆ ก็โต ๆ กันจนพอจะทำแทนเถ้าแก่ได้หรอก เอาตัวเอาใจของเราให้สบายนะ”

ไม่กี่วันต่อมาพ่อก็หายป่วย หลวงพ่อชาซึ่งบางทีอาจจะมีกิจนิมนต์ในตัวเมืองพอดี ได้ไปเยี่ยมพ่อ และรับพ่อขึ้นรถกลับมาส่งถึงบ้านของเรา

“ไปอยู่วัดนะ” หลวงพ่อชากำชับ แต่พ่อก็ไม่ไป พ่อห่วงใยในกิจการค้า จนทอดทิ้งธุระไม่ได้ และเริ่มป่วยด้วยโรคเดิมอีกตอนต้น ปี 2513 จนถึงปลายปีเดียวกัน พ่อต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง

หลวงพ่อก็มีเมตตามาเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง และได้สนทนากันนานเป็นพิเศษ ไม่กี่วันต่อมาพ่อได้กลับออกจากโรงพยาบาล เป็นครั้งที่สอง คราวนี้นอนซมอยู่กับที่นอนในบ้าน หมดสภาพที่เคยแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง ความได้เจ็บโหมร่างกายพ่อ จนดูกระปลกกระเปลี้ยที่สุด เท่าที่จะเคยได้เห็น แต่จิตใจของพ่อดูเป็นตรงกันข้าม ไม่มีความวิตกกังวล ไม่มีความอ่อนแอ ไม่สะดุ้งกลัว แม้จะได้ฝันถึงแม่เมืองจีน นุ่งชุดดำมาหา อาจเพราะพ่อได้เรียนรู้เรื่องความตาย มามากพอควรจากหลวงพ่อชา



อธุวํ ชีวิตํ - ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
ธุวํ มรณํ - ความตายเป็นของยั่งยืน
อวสฺ สํ มยา มริตพฺพํ - เราจะต้องตายแน่แท้
อปฺปมาทรตา โหถ - ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาทเถิด

“เมื่อพ่อตาย” พ่อสั่งกับแม่และพี่สาว “ศพของพ่อหากว่าทางสมาคมจีนแคะ จะรับธุระจัดพิธีให้ก็ปล่อยเขา แต่ไม่ต้องเอาไปฝัง ให้เผาเสียหมดเรื่องหมดราวไป เผาที่วัดหลวงพ่อนั่นแหละ” ในที่สุดเช้าตรู่วันหนึ่งของกลางเดือนตุลาคม ปี 2513 พ่อถูกหามเข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน ตั้งแต่ผมไม่ตื่น เมื่อตื่นแล้วก็ได้เห็นรถบรรทุก นำศพพ่อกลับมาถึงบ้านพอดี เป็นเช้าตรู่ที่แย่ที่สุดในชีวิตของผม เป็นการตื่นรับอรุณที่ไม่สดชื่นเหมือนเคย

ศพพ่อจัดพิธีบำเพ็ญกุศลที่บ้าน คนจีนเพื่อนพ่อและญาติพี่น้องทางไกลฝ่ายจีน ร่วมมือร่วมใจกันดูแลงานศพเป็นอย่างดี แต่ไม่มีกงเต็ก เพราะนั่นไม่ใช่ความประสงค์ของพ่อ พิธีศพจึงเป็นอย่างจีนครึ่งไทยครึ่ง เหมือนสายเลือดลูกครึ่งจีนไทยโนตัวของพวกลูก ๆ หลวงพ่อชาเมตตาต่อศพพ่อ เหมือนครั้งพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านนำพระสงฆ์มาสวด ด้วยตัวท่านเองไม่น้อยกว่าสองคืน คืนอื่น ๆ ลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อ จะนำพระสงฆ์มาแทน หลวงพ่อได้บอกพวกเรา เหมือนรู้ความปรารถนาของพ่อเป็นอย่างดี “เสร็จงานแล้วให้เอาเถ้าแก่ไปวัดเรานะ” ไม่เพียงเมตตาจากหลวงพ่อเท่านั้นที่มีให้ พระอาจารย์เที่ยง โชติธมฺโม ศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อ และเป็นเจ้าอาวาส วัดอรัญวาสี สาขาวัดหนองป่าพงที่ 1 ก็มีเมตตาแก่พ่อเช่นเดียวกัน

คืนที่พระอาจารย์เที่ยงได้มาที่บ้านงานศพ ในฐานะประธานสงฆ์นำสวด พระอาจารย์เที่ยงลงจากรถ โดยไม่ทันขึ้นสู่อาสนะที่จัดเตรียมไว้ ท่านเดินตรงมาที่โลงศพพ่อ สั่งให้ลูกชายพ่อเปิดฝาโลงขึ้น ล้วงฝามือลงไปลูบใบหน้าพ่ออย่างแผ่วเบา ท่านพึมพำอะไรไม่ทราบในลำคอด้วยสำเนียงปรานีผมยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ฟังไม่ถนัด แต่สัมผัสอย่างนั้นหากพ่อยังมีชีวิตอยู่ จะรู้ว่ามันเป็นสัมผัสแห่งรัก และ เมตตาของผู้ทรงศีลอย่างแท้จริง ทำให้ผมได้เห็น และเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เมตตาพ่ออย่างเท่าที่จะมีให้ได้ และมันทำให้ผมน้ำตาคลอ วันสุดท้ายของงานศพ รถบรรทุกศพของพ่อไม่ได้เลี้ยวซ้ายไปสุสานคนจีน แต่เลี้ยวขวาไปสู่วัดหนองป่าพง คนจีนหลายคน ดูจะมีอาการงุนงง แม้แต่ลุงซึ่งเดินทางมา ร่วมงานศพจากกรุงเทพฯ ยังพูดอะไรไม่ออก เป็นขบวนศพอย่างศพคนจีน แต่มุ่งเข้าวัดป่าแบบไทย

สมัยนั้นสำหรับอำเภอเล็ก ๆของจังหวัดอุบลฯ งานศพคนจีนที่ลงเอยด้วยการเผา จะต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก จีนคนยากเท่านั้น ที่จะต้องเดินทางสู่เชิงตะกอนหลายคนแสดงความประหลาดใจ ที่พ่อจะถูกเผา บางคนบอกว่าวิญญาณพ่อจะไม่ได้ไปสวรรค์ ลูกหลานบ้านนี้ทำอุตริ อย่างไรก็ตามศพพ่อก็ได้เดินทาง ไปถึงวัดเวลาบ่ายแก่ ๆ หลวงพ่อนั่งเป็นประธาน รับศพอยู่ในศาลาใหญ่ ท่านมีบัญชาให้ทุกคน ทั้งที่เป็นชาวบ้านปฏิบัติธรรม และคนที่มาพร้อมกับศพพ่อ ให้ไปเก็บไม้ฟืนมาคนละท่อน และนำไปวางไว้ในที่ซึ่งท่านกำหนด ตรงชายป่าช้าท้ายวัด ได้ไม้อย่างเหลือเฟือ สำหรับทำเชิงตะกอนอย่างง่าย ๆ ตามธรรมชาติ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะว่า วัดหนองป่าพงยังไม่มีเมรุเผาศพอย่างถาวร เมรุที่ทำขึ้นนี้ จึงเผาได้เพียงครั้งเดียว ศพเดียวเท่านั้น

ตะวันลับฟ้าจนมืดไปทั้งแผ่นฟ้า ไฟถูกจุดขึ้น หลวงพ่อนั่งดูอยู่อย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยพระสงฆ์อีกหมู่หนึ่ง ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อ ซึ่งผมไม่อาจอ่านความรู้สึกจากสายตาของหลวงพ่อ ที่มองมาสู่เด็กอย่างผมได้ถนัด แต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมานั้น ผมสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่ที่สุด ไฟลามเลียศพทีละน้อย โลงไม้หายไป ร่างกายพ่อชัดเจนขึ้นทุกขณะ ถึงเวลาที่หลวงพ่อจะได้โบกมือไล่ทุกคน ให้กลับบ้าน บางทีภาพต่อจากนี้ไปอาจไม่เหมาะสม สำหรับผู้เป็นภรรยาและลูกของพ่อจะได้เห็น

หลวงพ่อสั่งให้ทุกคน กลับมาที่นี่ใหม่ตอนรุ่งเช้าเพื่อเก็บกระดูก และทุกคนได้กลับออกมาจากที่นั่น โดยที่หลวงพ่อไม่ได้ลุกไป จากที่นั่งข้างกองไฟนั้น ผมเห็นว่าท่านนั่งมองไปที่กองไฟอย่างสงบ แม้อยู่ในระยะไกลสุดตา กระดูกพ่อถูกเก็บในตอนเช้า หลวงพ่อไม่อนุญาตให้ใครนำกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียวกลับบ้าน ให้เอาไว้ที่วัดทั้งหมด ทุกวันนี้กระดูกพ่อยังอยู่ที่นั่น คิดถึงพ่อเมื่อไหร่ ไปกราบได้เมื่อนั้น คงต้องบอกว่าพ่อ คือ คนจีนคนแรก ที่ถูกเผาในวัดหนองป่าพง ในวัดของพระสงฆ์องค์แรก และองค์เดียวที่พ่อเคารพรัก อย่างแท้จริง นี่คือที่จบของพ่อ ผู้เคยเกลียดชังพระสงฆ์ เข้ากระดูกดำ


-http://www.facebook.com/pages/สาขาวัดหนองป่าพง/182989118504002