ผู้เขียน หัวข้อ: เบื้องหน้า เบื้องหลังของอาหารจานเนื้อ  (อ่าน 2117 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ terryh

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 21
  • พลังกัลยาณมิตร 15
    • ดูรายละเอียด
อ่านแล้ว
ยังจะกินกันลงอีกหรือ  ??? ....
 
 




ขณะที่มนุษย์อย่างพวกเรา
กินกันอิ่ม หลับสบาย
แต่อีกแง่หนึ่ง
ความโศกเศร้าทรมานที่โรงฆ่าสัตว์
พูดแล้วอยากร้องไห้....
 


คำบอกเล่า จากนักข่าว...


ก้าวแรกที่เดินเข้าสู่อาคารหลังนั้น
ความรู้สึกแรกเห็น ก็คิดว่า
มันกว้างขวางดี
ผมเข้าไปทางประตูหน้า
ตรงกลางเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่
ทางด้านซ้ายมือหลายห้องเป็นที่ฆ่าหมู
ทางด้านขวาไว้ฆ่าแพะ
ทางขวามือเยื้องไปหน่อย
คือที่ฆ่าวัว
ตอนกลางวันจะฆ่าวัว
ตอนกลางคืนก็ฆ่าควาย
แล้วหมูหละ ? ก็เหมือนกัน
ฆ่าตอนกลางคืน
ตอนที่ผมเพิ่งมาถึง
 พอดีมีรถบรรทุกขนหมูส่งเข้ามา
เสียงร้องครวญในขณะที่มันกำลังโดนฉุดกระชากลากเข้าเล้า
ฟังแล้วบาดเข้าไปถึงใจ...
พอดีวันนั้นอากาศก็ครึ้มๆ
ยิ่งเพิ่มความหดหู่ใจให้กับผมเป็นยิ่งนัก...


ผมมองไปทางด้านขวามือ
บนพื้นเต็มไปด้วยหัวแพะนองเลือด
และเครื่องในที่เพิ่งชำแหละออกมา
กลิ่นคาวเลือดที่โชยมา
ทำให้แทบอยากอ๊วก
ผมเดินวนไปมาใกล้ๆ กับบ่อน้ำ
ยืนทื่ออยู่ซักพักหนึ่ง
สุดท้ายก็ดึงความกล้าหาญออกมา
เดินไปทางโถงฆ่าแพะ
ก็พอดีเห็นเลือดแพะที่วางเป็นถังๆ
ที่ยังมีกลิ่นไออุ่นโชยมา
ศพไร้หัวของแพะแต่ละตัว
วางกองอยู่บนเลือดที่นองพื้น
 ยังมีแพะไร้หัวอีกหลายตัว
ที่ถูกแขวนแล้วถูกแร่หนัง
แขวนอยู่บนราวเหล็ก

เดินผ่านเส้นทางเล็กๆ
ที่เต็มไปด้วยหัวแพะและเครื่องใน
ผมเดินไปทางโถงฆ่าวัว
ภายในนั้นมีคนฆ่าวัวอยู่ 20-30
คน
แต่ละคนมีมีดยาวเป็นฟุตอยู่ในมือกันทั้งนั้น
ขาทั้งคู่ยืนอยู่บนสายเลือดที่นองเต็มพื้น
มีบางคนกำลังแร่หนังวัวอยู่
บางคนกำลังกรีดหน้าอกวัว
บ้างก็ชำแหละเครื่องใน
หรือไม่ก็ใช้เลื่อยกำลังเลื่อยซี่โครงวัวอยู่
 บางคนกำลังเงื้องขวานที่อยู่ในมือ
หวังจะฟันคอวัวให้ขาด !
ผมมองเข้าไปด้านใน
เห็นยังมีวัวอีกสามตัว
ที่มีน้ำตานองหน้า
ยังไม่ถูกเชือด ยืนทื่อๆ
อยู่กับที่
มองดูพวกพ้องตัวเองที่กองอยู่บนเลือด
และหนึ่งในนั้น ...
ขาของมันสั่นไม่หยุด ...
เหมือนกับหมดแรงแม้แต่จะพยุงตัวให้ยืน
ความรู้สึกและอารมณ์อันแสนสลดใจและหมองมัวนั้น
... ตั้งแต่เกิดมา
 ผมก็เพิ่งเคยได้เห็น ...

หลังจากนั้นไม่นาน
ก็มีอีกคนนึงเดินเข้ามา
ลากวัวตัวหนึ่งให้ไปยืนตรงกลางลานกว้าง
มือเชือดสองสามคนจับหัววัวให้เชิดขึ้น
อีกคนนึงถือค้อนยืนอยู่ข้างหลัง
แล้วฟาดลงไปเต็มแรง ... “โป้ง !!”
ดังกังวาล ...
วัวตัวนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที
อีกคนนึงก็ถือมีดด้ามยาวเดินเข้ามา
จ้วงเข้าไปทางคอหอย
ดันลึกเข้าไปถึงหัวใจ
 ใช้แรงหมุนด้ามมีดให้หมุนวนอยู่สองสามรอบแล้วดึงออกมา
เลือดแดงๆ
ก็กระฉูดออกมาทันที
มือเชือดก็รีบเอาถังมารองเลือดวัวที่ไหลออกมาไม่หยุด
เวลานี้
ขาทั้งสี่ข้างของวัวตัวนั้น
ก็ยังชักกระตุกไม่หยุด
ตาทั้งสองเหลือกโพลน
ปากยังคงส่งเสียงครวญไม่หยุด
... ผมดูมาถึงตรงนี้
แทบจะน้ำตาร่วง
แม้แต่จะหายใจก็ยังรู้สึกลำบาก
 
 

มือเชือดอีกคนหนึ่งไม่รีรอที่จะเฉือนหน้าอกวัว
ทั้งลำไส้ ทั้งกระเพาะ ...
ต่างก็ทะลักออกมากองอยู่กับพื้น
เลื่อยไร้วิญญาณ
ยังคงเชือดเฉือนร่างที่ยังคงชักกระตุกอยู่อย่างไร้เยื่อใย
เริ่มจากเครื่องใน
ต่อมาก็หัว แล้วก็ขา ...
ร่างของมันโดนหั่นท่อนต่อหน้าต่อตาผม
เวลานี้ ก็มีวัวอีกตัวหนึ่ง
ที่โดนลากเข้ามาด้วยน้ำตานองหน้า
...
 ผมไม่สามารถระงับอารมณ์ภายในใจได้อีกต่อไปแล้ว
วิ่งผลุนผลันออกไปจากที่นั่น
แม้หางตาก็ไม่เหลียวมามองอีกเลย
...

เรื่องนี้มันก็ผ่านไปนานแล้ว
แต่ภาพที่เต็มไปด้วยความเหิว้ยมโหดนั้น
ยังคงติดตาผมมาตลอด
ผมคิดอยู่เสมอว่า
วัฒนธรรมของมนุษย์นั้น
ก่อรากจากอะไร
ทำไมพวกเราถึงมีการกระทำที่แสนอำมหิต
ไร้ความกรุณา
กับเพื่อนร่วมโลกที่ไร้แรงขัดขืน
ได้ถึงขนาดนั้น
มนุษย์ที่ยกย่องตนเองว่าประเสริฐ
ควรจะภูมิใจ .. หรือ ละอายใจ?



จากหนังสือ :
ความหมายที่แท้จริงของการกินเจ
持齋的真義
"หากท่านยังมีซักเศษเสี้ยวของจิตเมตตากรุณา
..
ก็โปรดหยุดที่จะหาข้ออ้างในการกินเนื้อสัตว์
.. ให้ตัวเอง"







จะกินเนื้อวัว
จำเป็นต้องอำมหิตขนาดนั้นหรือ?

ทั่วทั้งโลก
มีคนจำนวนไม่น้อย
ที่กินเนื้อวัว
แต่คงไม่มีที่ใด
ที่จะใช้วิธีเหี้ยมโหดมากระทำต่อวัวได้เท่ากับไต้หวัน
การกระทำนั้นๆ รวมด้วย :

1. ใช้ห่วงเหล็กหนาๆ
คล้องไว้ที่จมูกวัว –
เพื่อที่จะสะดวกต่อการฉุดลาก
และการกรอกน้ำใส่ปาก
เมื่อรถบรรทุกวัวมาถึง
ก็จะใช้ห่วงเหล็กนั้นคล้องจมูก
แล้วฉุดดึงไม่เพียงแค่เพิ่มความตื่นตระหนกหวาดกลัว
ยังเพิ่มความเจ็บปวดด้วยแผลที่จมูก
มีทั้งเลือดไหล
มีทั้งน้ำหนอง

2. เทวัวเหมือนเทผัก
บังคับให้วัวกระโดดลงจากรถ –
อุปกรณ์ในการขนส่งขึ้นลงจากรถบรรทุกนั้น
ไม่เหมาะสมต่อการเคลื่อนตัวของสัตว์เลยซักนิด
แต่ใช้อุปกรณ์และวิธีเทข้าวของจากรถ
มาเทวัวแต่ละตัวบนรถ
บวกกับสถานที่ที่ๆ
ไม่มีที่ทางจะขนส่งวัวอย่างถูกมาตรฐาน
เมื่อเวลาที่จะถ่ายเทวัวจากรถ
มักจะไม่สนใจความตื่นตระหนกหวาดกลัวของวัวที่อาจจะมีต่อทางลาด
 คนงานนั้นเพียงแค่ใช้ทุกวิธี
(ผลัก ดึง ฉุด ตี)
ที่จะบังคับให้วัวลงจากกระบะหลังรถที่สูงพอๆ
กับครึ่งตัวคน
บางที่ยังใจดำถึงขนาดไม่ยอมลงแรง
ใช้วิธีผูกเชือกวัวไว้กับตอไม้
แล้วขับรถออกไป
ปล่อยให้วัวที่อยู่บนรถเหล่านั้นตกลงจากรถเอง
ทำให้ขาหัก ..
ก่อนที่จะถูกประหาร
ก็ถูกทารุณก่อนเสียแล้ว

3. เชือกที่ผูกสั้นเกินไป
ทำให้วัวไม่สามารถย่อตัวลงนอนพักผ่อน
ได้แต่ยืนเป็นเวลาหลาววันติดกัน
– วัวต่างๆ
เมื่อถูกขนส่งมายังโรงฆ่า
โดยส่วนมากจะไม่ได้ถูกฆ่าในวันนั้นเลย
จะต้องปล่อยทิ้งไว้หลายวัน
แต่เนื่องจากไม่มีสถานที่มาตรฐาน
วัวถูกเจาะจมูก ผูกเชือก
แล้วจำต้องยืนเบียดเสียดกันตัวต่อตัวทับๆ
กันไป โดนผูกไว้บนราว
ไม่สามารถวางตัวลงนอนได้
 เชือกที่ใช้นั้นสั้นมาก (10-20cm)
วัวแต่ละตัวก็ต้องเชิดหัวขึ้นตลอดเวลา
บางตัวก็คอยจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเชือกผูกจมูก
ทำให้เลือดไหลไม่หยุด
บางตัวก็ได้แต่รอการตายที่จะมาเยือน
อย่างสิ้นหวัง

4. ไม่ได้กินอะไรเป็นเวลา 3-4 วัน

คนฆ่าวัวขังวัวไว้เป็นเวลาหลายวัน
ไม่ให้อาหาร หรือแม้แต่น้ำ
ก็ไม่ให้กิน แม้แต่นมวัว
ที่ไม่สามารถให้นมได้แล้ว
เนื้อหนังก็ยังมีราคา

5. ไม่ได้ให้น้ำกินธรรมดา
แต่ใช้วิธีกรอกปาก –
เวลาปกติไม่ให้อาหารหรือน้ำกิน
แต่อีกทางนึง
ภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลาเชือด
คนฆ่าวัวจะใช้ท่อเหล็ก
ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2cm ยาว
240cm ยัดเข้าใส่ปากวัว
ทะลุยาวไปถึงกระเพาะ .. ทุกๆ
ครั้งในการกรอกน้ำ
ก็จะใช้เวลานานประมาณ 10-15 นาที
วันละ 3-4 ครั้ง
เนื่องจากว่าการย่อยอาหารของวัวนั้นช้ามาก
เมื่อวัวถูกกรอกน้ำ
 ก็จะอาเจียนออกมา
จากเดิมที่ตื่นตระหนก
หรือป่วยอยู่แล้ว
ถึงกับโดนกรอกจนตายคาที่ก็มี
แต่สำหรับคนฆ่าวัวนั้น
เรื่องอย่างนี้กลับดูเหมือนไม่มีอะไร
ยังคงกรอกปากต่อไป
แล้วค่อยจัดการเชือดในยามกลางคืน

6. ใช้ขวานฟันคอคร่าชีวิ
บางตัวยังต้องถูกทุบหัวด้วยค้อน
5-6 ครั้ง – อันที่จริง
การเชือดฆ่าสัตว์ทั้งหลาย
ควรที่จะใช้วิธีที่เร็วที่สุด
ที่จะทำให้สัตว์นั้นๆ
สิ้นสติ
แล้วค่อยเชือดลำคอปล่อยเลือด
แต่โรงฆ่าวัวบางที่
กลับใช้ค้อนทุบหัววัว
ให้ล้มลง
แล้วค่อยเชือดคอปล่อยเลือด
สำหรับคนที่มีประสบการณ์มากพอ
 ก็อาจจะทุบเพียงครั้งเดียวก็ทำให้วัวหมดสติไปได้
แต่เนื่องจากว่าแรงคนไม่เท่ากัน
หรืออาจจะเป็นมือเชือดนายใหม่
หรืออาจจะเป็นเพราะวัวตื่นตระหนกแล้วส่ายตัวไปมา
ส่วนมากไม่สามารถทำให้สิ้นสติได้ด้วยการทุบหัวเพียงครั้งเดียว
บางครั้งต้องทุบ 5-6 ครั้ง
จึงจะฆ่าวัวตัวนั้นได้
ในขณะที่วัวกำลังถูกทุบหัวครั้งต่อครั้ง
ก็ยังคงดิ้นรนยืนหยัด
 ไม่ยอมที่จะล้มลงไปสู่หนทางแห่งความตายง่ายๆ

7.
ถูกเชือดคอปล่อยเลือดทั้งเป็นๆ
– ถ้าหากเป็นผู้มีประสบการณ์
ก็สามารถทำให้วัวสิ้นสติได้ด้วยการทุบหัวเพียงครั้งเดียว
แต่อันที่จริงแล้ว
ถึงแม้ว่าวัวจะถูกทุบหัวล้มลง
ก็ใช่ว่าจะหมดสติไปจนหมด
ยังคงมีความรู้สึก
(ดูได้จากเปลือกตา
และการหายใจอย่างมีจังหวะ)
ในเวลานี้มือเชือดก็จะใช้มีดแทงเข้าไปที่คอหอย
ความเจ็บปวดที่วัวได้รับ
 คงจะไม่ต้องบอกกัน

8. มองดูเพื่อนพ้องถูกฆ่า –
เมื่อมือเชือดตีวัวสิ้นสติ
แทงคอหอยปล่อยเลือด
แล้วชำแหละกันบนพื้น ณ ที่ๆ
นั้นเลย
นอกจากจะไม่อนามัยแล้ว
ยังทำให้วัวที่ยังคงถูกผูกไว้ข้างๆ
ได้เห็นชัดๆ
เต็มตาทุกกระบวนการ
เมื่อถึงคิวของตน
ก็จะพยายามดิ้นรนหลีกหนี

นอกเหนือจากนี้แล้ว
เนื้อวัวทั้งหลาย
ที่ถูกวางขายตามตลาด
เรามิอาจรู้ได้เลย
ว่าจะเป็นวัวที่ป่วยตาย
มีเชื้อโรคหรือไม่
เพราะพ่อค้าจะไม่แยแสกับปัญหาเหล่านี้





ทุกชีวิตบนโลกนี้
ก็มีชีวิตจิตญาณ
ไม่ใช่แค่วัวหรือแพะ
ที่จะรู้จักเจ็บปวด
อย่างเช่นการฆ่าปลา
ถึงแม้จะควักตับไตไส้พุงมันออกมาแล้ว
จับมันโยนลงน้ำ
มันก็ยังคงว่ายไปว่ายมา
ถึงแม้จะตัดหัวมันขาดออกจากลำตัว
แล้วหั่นเป็นท่อนๆ
มันก็ยังคงกระตุกอยู่อย่างนั้น
เวลาที่ปรุงปลาไหลอยู่นั้น
เมื่อจับมันโยนลงในหม้อน้ำเดือดๆ
เสียงที่มันพยายามดิ้นรน
 เสียงฝาหม้อที่เปิดๆ ปิดๆ
ด้วยแรงดิ้น
ช่างเป็นเสียงที่น่าเวทนายิ่งนัก
เวลาที่นึ่งปู
จัดการจับขามันผูกไว้แล้วจับนึ่ง
มันอยากตาย ก็ตายไม่ได้
มันอยากหนี ก็หนีไม่พ้น
ได้แต่พยายามดิ้นรนอยู่ภายในกระทะอย่างหวาดผวา
ที่สุดของความเจ็บปวด
ที่สุดของความอาคาต
มันเป็นเช่นนี้เอง




ลองดูคนทั่วไปที่ใช้มีดสับคีบปูเป็นสองท่อนทั้งเป็นๆ
คีบนั้นก็ยังคงคีบมีดเล่มนั้นไว้แน่นไม่ปล่อย
ความอาคาตแค้นพยาบาทมีให้เห็นชัดเจนยิ่ง
บางคนเห็นการฆ่ากบ
ถึงแม้ว่าหัวมันจะโดนสับออกมาแล้ว
ร่างของมันยังคงตะเกียกตะกาย
ขาของมันยังคงขวนขวายไปหาส่วนที่ๆ
ควรจะมีหัวอยู่ !
แต่พยายามเท่าไร
ก็ไม่มีอะไรให้จับต้องแล้ว
เมื่อกบถูกถลกหนัง
 ทั้งตัวของมันก็ยังคงขยับอยู่
อีกทั้งรูปร่างนั้นเหมือนคนยิ่งนัก
แล้วจะใจดำกินได้ลงได้อย่างไร
บางคนชอบกินกุ้งเต้น
เมื่อเขาแกะเปลือกกุ้งออกทั้งเป็นๆ
แล้วจับใส่ปากขบเคี้ยว
กล้ามเนื้อของมันก็ยังคงกระตุกอยู่



คงเคยได้ยินอาหารจานหนึ่ง
ที่มีชื่อว่า ปลาสองแผ่นดิน
วิธีปรุงก็คือ
พ่อครัวจะใช้ผ้าซับน้ำ
ห่อหัวปลาเอาไว้
แล้วนำปลาตัวนั้นไปทอดแค่ช่วงลำตัวในน้ำมันร้อนๆ
แล้วราดด้วยน้ำปรุงรสที่หางปลา
เสร็จสรรพจึงยกขึ้นโต๊ะ
เมื่อพนักงานทำการแกะผ้าผืนนั้นออก
ก็จะเห็นปากปลาที่ยังพะงาบๆ
ตาปลาที่ยังเกลือกกลิ้ง
บรรดาพ่อค้าต่างก็ใช้วิธีนี้
 ให้ผู้รับประทานได้เห็นว่า
ปลาเป็นๆ สดๆ คนเหล่านั้น
ต่างก็แย่งกันคีบ แย่งกันกิน
แต่ไม่เคยรู้เลยว่า
ความอาคาตพยาบาทที่หนักที่สุด
อยู่ที่นี่เอง



ยังมีเมนูอีกจานนึง
ใช้ลูกหนูที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน
เมื่อจับมันขึ้นมา
มันก็จะร้อง “จี๊ดดด”
หนึ่งเสียง
เมื่อราดตัวมันด้วยเครื่องปรุงรส
มันก็จะร้องอีกเสียง
เมื่อจับมันใส่ปากขบเคี้ยว
มันก็จะร้องอีกเสียง
ด้วยน้ำเสียงแห่งความเจ็บปวด
เมื่อมันไหลผ่านหลอดอาหาร
ลงไปถึงกระเพาะอาหาร
มันก็ยังคงดิ้นไปดิ้นมา
 คนที่กินก็ยังคงหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มไปกับรสชาติของ
“อาหารสวรรค์บนดิน”
ชีวิตน้อยๆ
นี้ก็ตายอย่างไร้ค่า



อาหารเลื่องชื่ออีกอย่างนึงคือ
เป็ดย่าง
เป็ดเหล่านั้นจะถูกขังอยู่ในกรง
ด้านล่างจะจุดไฟเอาไว้
เป็ดเหล่านั้นยืนอยู่ในกรงที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ก็จะวิ่งวุ่นไปรอบๆ กรง
เมื่อวิ่งไปวิ่งมา
ก็เริ่มร้อน เริ่มกระหายน้ำ
มันก็จะไปดื่มกินน้ำปรุงรสที่เทอยู่รอบด้าน
ยิ่งกินก็ยิ่งกระหาย
ยิ่งกระหายก็ยิ่งกิน
 ก็กินจนกระทั่งทั่วทั้งตัวมันเต็มไปด้วยน้ำปรุงรส
สุดท้ายก็ถูกทรมานจนตาย
ส่วนบรรดาลูกค้า
เขาก็สนใจกันเพียงว่า
เป็ดย่างจานนั้นอร่อยหรือไม่
แต่จะไม่สนใจว่ามันปรุงมาด้วยวิธีใด?



การกินสมองลิงเป็นๆ
ที่ได้ยินกันมา
คือการจับลิงที่ยังกระโดดโลดเต้นอยู่
มัดไว้ใต้โต๊ะที่สั่งทำเป็นพิเศษ
ให้หัวมันโผล่ขึ้นมาตรงรูกลางโต๊ะ
บรรดานักกินก็จะนั่งคุยกันไปพลางอย่างเริงร่า
รอลิ้มรสชาดอาหารจานเด็ด
หลังจากนั้น
พนักงานก็จะถือเลื่อยและค้อนเดินมา
ด้วยประสบการณ์
ด้วยอารมณ์ทีท่างามสง่า
เลื่อยหัวกระโหลกของลิงตัวนั้นออก
 ลิงตัวน้อยที่น่าสงสารก็ได้แต่นั่งตัวสั่นดิ้นรน
แต่นักกินผู้มีราศีทั้งหลายต่างก็ไม่สนใจ
รอจนเวลาที่พนักงานใช้ค้อนเคาะกระโหลกสมองออกมา
สมองสดๆ
ก็วางอยู่ให้เห็นตรงหน้า
แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้
บรรดานักกินที่อดใจรอกันแทบไม่ไหว
ก็จะเริ่มใช้อุปกรณ์การกินที่ทำพิเศษ
ต่างตักต่างกิน
ควักสมองลิงออกมาทีละช้อนๆ ..
เสียงหัวเราะ
 เสียงชมเชยรสชาด มีมาไม่หยุด
ภายในแฝงไว้ซึ่งเสียงแห่งความทรมานของลิงตัวนั้น
ทนรับความเจ็บปวดที่อำมหิตที่สุด
ลูกตาเหลือกโพลน
ทั้งตัวดิ้นรน
แม้แต่โต๊ะยังขยับเขยื้อน
คดีอาจชญากรรมที่โหดร้ายที่สุด
ก็เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารนี่เอง
...

ฟังมาถึงตรงนี้
ทุกท่านคงจะคิดเช่นเดียวกันว่า
คนเหล่านั้น
ช่างโหดร้ายอำมหิตนัก
เขาไม่ควรจะเหิว้ยมโหดกันอย่างนั้น
แต่ลองนึกทบทวนกันซักนิด
การกระทำของคนอื่น
จะต่างไปจากคนเหล่านี้ซักเท่าไรเชียว
.. ข้อแตกต่างคงมีแค่
คนเหล่านั้นกินทั้งเป็น
แต่คนกลุ่มอื่นทั่วๆ ไปนั้น
ให้มือเชือดฆ่าให้เสร็จสรรพจากโรงฆ่าสัตว์
ก็เป็นการทรมานไก่เป็ดปลา ..
 เช่นกัน คว้านท้องควักไส้
ถลกหนังดึงเส้น
เชือดตับเฉือนปอด
หัวหางต่างกาย
ปล่อยเลือดสูบไข
หั่นท่อนห่อกล่อง
เขาเหล่านั้นก็แค่เดินเข้าตลาดอย่างอารมณ์ดี
เลือกดูกล่องที่มันไม่มีคราบเลือด
ไม่เหลือลมหายใจ
ไม่อาจลุกมาเดินได้
เลือกซื้อเนื้อชั้นเยี่ยมกลบบ้าน
จากนั้นก็จัดการหั่นชิ้นปรุงรส
ทั้งทอดทั้งนึ่ง สุดท้าย
 สัตว์ทั้งหลายที่ผ่านแดนประหารอันโหดร้าย
ละจากคมมีดขอบกระทะ
มาถึงโต๊ะอาหาร ส่วนเราๆ
ท่านๆ
บรรดาพ่อแม่พี่น้องแก่เยาว์
ที่ไร้สมองนึกคิด
ต่างก็ชื่นชมอาหารมื้อนี้
ที่พระเจ้าประทานมาให้
ชีวิตน้อยๆ เหล่านั้
ที่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเราเลย
ก็ต้องมาตายไปอย่างไร้ค่า
เป็นอาหารให้คนกิน
ถูกฝังอยู่ในกระเพาะของคน
แค้นอย่างไร
ก็ยากจะเรียกร้อง
 การกระทำอย่างนี้
จะต่างจากการกลืนถลกหนังทั้งเป็นตรงไหน?
สิ่งที่ต่างกัน ก็เพียงแค่ ..
ลงมือทำเอง หรือ จ้างเขาทำ ..



เคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งในสมัยก่อน
ว่า ครั้งหนึ่ง
เขากำลังต้มปลาไหล
เมื่อต้มเสร็จ เขาเปิดฝาหม้อ
ก็ต้องตกใจ
เมื่อเห็นว่าปลาไหลตัวนั้น
ทั้งหัวและหาง
ก็โดนต้มสุกแล้ว
แต่ส่วนลำตัวนั้น
คดงอออกมานอกหม้อ
ท่าทีการตายที่น่าพิสวง
เขาถึงคว้านท้องมันออกมาดู
จึงได้พบว่า
ทั้งท้องของมันเต็มไปด้วย
ไข่ปลา
ที่แท้ปลาไหลตัวนั้นต้องการปกป้องลูกๆ
 ของมัน
ยอมให้หัวและหางโดนต้ม
ก็ไม่ยอมให้ลูกๆ เป็นอะไรไป



พวกเราต่างก็รู้ว่า
การเอาขอไปเกี่ยวปลานั้น
โหดร้าย
การถอนเขาของวัวกระทิง
งาของช้างพลาย ให้มันค่อยๆ
ตายไปเองนั้น
เป็นการกระทำที่โหดร้าย
และก็รู้ว่า
การกินเนื้อสัตว์ป่า
ก็เป็นการกระทำที่ไม่ควร
แต่ทำไมพวกเราไม่นึกกันบ้าง
ว่า
การกินเนื้อไก่เป็ดปลาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
ก็เป็นการกระทำอันไรมโนธรรมเช่นกัน
องค์การอนุรักษ์สัตว์ป่าทั่วโลก
 ต่างก็รู้ว่าควรปกป้องอนุรักษ์ปลาวาฬ
ปลาโลมา
และสัตว์ใกล้สูญพันธ์ทุกชนิด
อีกทั้งจัดทำการสื่อข่าวต่างๆ
ใช้ประโยคที่ดุเดือดที่สุด
มาต่อว่าการกระทำทารุณสัตว์ทั้งหลาย
แต่สิ่งที่เข้าใจยากก็คือ
เมื่อเขาเหล่านั้นเดินเข้าร้านอาหาร
ทั้งโต๊ะก็ยังคงวางเต็มไปด้วยปลาเป็ดไก่
เมื่อเขาใช้มีดใช้ส้อมในมือ
เฉือนเนื้อที่วางอยู่ในจานบนโต๊ะ
 ใช้สองมือฉีกเนื้อปีกไก่
หรือน่องเป็ด มากิน
ทำไมถึงไม่รู้สึกว่า
การกระทำอย่างนี้ก็เหี้ยมโหด?

อย่าตัดสินใจกินเจ
เพียงเพราะว่ามันมีผลประโยชน์



หากว่าคนๆ หนึ่ง คิดจะกินเจ
เพียงเพราะว่ามันมีผลประโยชน์ต่อร่างกาย
นั่นก็นับว่าเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการ
เอาใจเขามาสู่ใจเรา
ลองคิดในมุมมองของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ใช้จิตใจแห่งเมตตามาตรึกตรอง
ว่า มนุษย์ สมควรหรือไม่
ที่จะกินปลากินเนื้อต่อไป
ลองมองดูเวลาที่คนกินเนื้อกินปลา
เรากำลังสร้างความทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
 ให้กับเพื่อนร่วมโลกที่น่ารักเหล่านั้น
หลายต่อหลายคน
กินเนื้อสัตว์มานานหลายสิบปี
บางที่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
นั่นเป็นเพราะว่า ทุกๆ
ครั้งที่มีการ “พบปะ”
กับสัตว์เหล่านั้น
ล้วนอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งนั้น
รู้แต่เพียงว่า
อาหารจานนั้นกำลังโชยกลิ่นหอมหวลชวนชิม
แต่ไม่ค่อยจะไปนึกถึงว่า
อาหารจานนั้น ได้มาอย่างไร



ในฟาร์มสัตว์
เรามักจะเห็นลูกวัวน่ารักที่เชื่องนักหนา
และก็ยังได้เห็นภาพที่เจ้าของฟาร์มอยู่ร่วมกับลูกวัวเหล่านั้นอย่างอบอุ่น
แต่ท่านอย่าได้หลงเชื่อภาพที่ท่านได้เห็น
เพราะว่า
เมื่อวัวน้อยเหล่านั้นเติบใหญ่แล้ว
เจ้าของก็จะขายมันให้กับพ่อค้า
ให้เขาฆ่าอย่างเลือดเย็น
เมื่อลูกวัวคลอดออกมาแล้ว
ก็จะถูกส่งไปยังสถานที่เหมาะกับการเลี้ยงดู



ในร้านอาหารหรูหราหลายแห่ง
มีเมนูจานหนึ่งที่ลือชื่อ
ใช้เนื้อวัวปรุงรส
แม้ว่าราคามันก็สูงไม่น้อยก็ตาม
อาหารจานนี้ใช้วิธีปรุงรสอย่างพิเศษ
เมื่อลูกวัวคลอดออกมาแล้ว
ก็จะถูกส่งไปยังกรงขัง
ที่แคบเล็กพอดีตัว
ทำให้มันไม่สามารถขยับไปไหนได้
เพื่อที่จะให้เนื้อวัวนั้นอ่อนนุ่ม
หลังจากนั้นก็จะฉีดยาต่างๆ
รวมไปถึงยาต้านทาน
ให้ลูกวัวโตไว
 เพราะฉะนั้น
ไม่เพียงแค่ทำให้เนื้อวัวอ่อนนุ่ม
ยังทำให้มีน้ำเนื้อหอมหวาน
เพราะว่าชั้นบนจะเป็นไขมันเสียส่วนใหญ่
สีสันจึงเป็นสีอ่อน
พ่อค้าก็บอกกับผู้บริโภคว่า
เนื้อวัวสีนี้มีผลดีกับร่างกายคนเรายิ่งนัก
ฉะนั้นผู้บริโภคจึงยอมที่จะจ่ายเงินราคาสูงเพื่อที่จะได้ลิ้มรส
นับว่าเป็นการกระทำที่อำมหิต
และโง่เง่ายิ่งนัก



พูดถึงหมูและไก่
ก็ล้วนมีชีวิตครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นทั้งนั้น
พวกเราต่างก็รู้
ว่าทั้งไก่และหมู
ก็ล้วนเป็นสัตว์ที่น่ารัก
อันที่จริงหมูอาจจะฉลาดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก
ในสมัยที่ยังทำฟาร์มทำนากันอยู่
หมูล้วนเติบโตมาจากฟาร์มกว้างใหญ่
อยู่อย่างอิสระเสรี
มองดูแม่หมูและลูกหมูคลุกตัวอยู่ในโคลน
แม่ไก่พาลูกไก่จิกหาอาหารตามพื้น
 ช่างเป็นภาพแห่งความอบอุ่นของครอบครัวยิ่งนัก
พวกเขาเหล่านั้นนับว่าเป็นเพื่อนที่ใกล้ตัวมนุษย์ที่สุด
แต่ขณะนี้เขาเหล่านั้นกลับถูกจับมาฆ่าแกงด้วยวิธีอันทารุณต่างๆ
กลายเป็นอาหารแต่ละจานบนโต๊ะ
ลงไปอยู่ในกระเพาะคน



พวกเราต่างก็เคยเห็น
ไม่ว่าจะในหนังสือ
หรือในโทรทัศน์
ว่าให้ถนอมรักษาชีวิตสัตว์
ควรจะมีเมตตารักต่อสัตว์
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ
ความรักและเมตตานี้
ไม่อาจค้นพบได้ในตัวสัตว์เหล่านั้น
สำหรับเจ้าของฟาร์ม
ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะได้กำไรให้มากที่สุด
เขาจะใช้พื้นที่ที่น้อยที่สุด
จับสัตว์ขังเข้าไปให้ได้มากที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้
 สัตว์เหล่านั้นก็ไม่สามารถมีชีวิตครอบครัวที่ดีได้อีก
แม้แต่การจะขยับตัวในกรงไก่
ก็ยากนักหนา
แต่มันยังคงใช้ขาปีนป่ายเกาะกรงอยู่ตลอดอย่างธรรมชาติของไก่
คุ้ยเขี่ยและจิกกันไปจิกกันมา
ฉะนั้น
ผู้เลี้ยงจึงตัดปัญหาด้วยการตัดส่วนหนึ่งของขาไก่
เพื่อที่จะลดโอกาสที่ไก่จะได้รับบาดแผลและเชื้อโรคจากการจิกระหว่างกัน
 ซึ่งจะทำให้ลดกำไรที่จะได้รับ



เป็ดบางตัวนั้นมีชะตาชีวิตที่ทุกข์ทรมานยิ่งนัก
ขาทั้งคู่จะถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยตะปู
ไม่สามารถขยับไปไหนได้
บวกกับยาต่างๆ
ที่ฉีดเข้าไปเพื่อให้มันเจริญเติบโตไวกว่าปกติ
อย่างนี้จึงทำให้เนื้อนุ่มหอมหวาน
เป็ดเหล่านี้
ไม่เคยได้ลิ้มรสชีวิตการอยู่กันอย่างครอบครัว
ทั้งชีวิตไม่รู้จัก
“การเดิน” ถูกฉีดยา
ฉีดวัคซีน ฮอร์โมน
และยาต้านทานต่างๆ
 อย่างไม่มีหยุด
ก่อนที่จะถูกส่งไปยังโรงฆ่าสัตว์
ทั้งชีวิตก็ถูกคนฉีดยาพิษเข้าร่างกาย
ถูกทรมานอย่างทารุณ
แม้แต่โอกาสที่จะสูดดมอากาศบริสุทธิ์ก็ยังไม่มี
สัตว์เหล่านี้เติบโตขึ้นทุกวัน
เมื่อโตได้ที่แล้ว
ก็คือเวลาที่ชีวิตมันจะจบลง
พวกมันจะถูกป้อนอาหารมื้อสุดท้าย
เพื่อที่จะเพิ่มน้ำหนักตัวว
จากนั้นก็ทำการชั่งน้ำหนัก
 รอจนเวลาที่เจ้าของของมันนับเงินในมือเสร็จ
ก็ถูกหามขึ้นรถไปทีละตัวๆ ...
ในเวลานี้
มันก็จะเริ่มรับรู้ถึงความตายที่กำลังจะมาเยือน
แต่ก็ไม่มีใครที่จะเห็นใจมันเลยซักคน
รถบรรทุกวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วบนท้องถนน
ในไม่ช้า
พวกมันก็จะถูกส่งไปยังที่สุดท้ายของชีวิต
-- โรงฆ่าสัตว์



บางทีเขาอาจจะบอกคุณว่า
สัตว์เหล่านั้นเป็นสัตว์ของการค้าขาย
เกิดมาให้คนกิน
ฤๅการฆ่าสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์เป็นการกระทำอันเหี้ยมโหด
แต่การฆ่าสัตว์ของการค้าขายนั้นไม่เหี้ยมโหด?
ความเจ็บปวดของเขาที่ได้รับ
ไม่เหมือนกันหรือ?
พูดเช่นนี้ผ่อนผันกันไปได้หรือ?
หรือจพูดว่า
การฆ่าสัตว์ที่มีจำนวนน้อย
คือการกระทำอันโหดร้าย
 การฆ่าแกงสัตว์จำนวนมากมากิน
จะไม่เป็นการกระทำอันโหดร้ายงั้นหรือ?
เป็นเช่นนั้นหรือ
มันคือหลักการอะไร? หรือว่า
ความรักและเมตตาที่มนุษย์จะมีให้สรรพสัตว์
ต้องดูที่จำนวนของมันว่ามากหรือน้อย
? ....





ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: เบื้องหน้า เบื้องหลังของอาหารจานเนื้อ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 05, 2011, 10:10:42 pm »
^^ ขอบคุณครับ  อนุโมทนาครับผม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ terryh

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 21
  • พลังกัลยาณมิตร 15
    • ดูรายละเอียด
Re: เบื้องหน้า เบื้องหลังของอาหารจานเนื้อ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 21, 2013, 10:46:07 pm »
ข้อเท็จจริง เบื้องหน้า เบื้องหลังมื้ออาหารจานอร่อยของ หลาย ๆ คน

แฉ อาหารจานเนื้อ ที่มา ที่ไป 

chooseveg (Chamath www.elankaweb.com )