ผู้เขียน หัวข้อ: "ความไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยของอารมณ์"  (อ่าน 1098 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



        ในสมัยอื่นอีก  พระสังฆปริณายกได้แสดงธรรมแก่ผู้มาชุมนุมฟัง  ด้วยข้อความดังต่อไปนี้:-
        ในพุทธศาสนาชนิดที่เป็นไปตามคัมภีร์นั้น ความแตกต่างระหว่างนิกาย "ฉับพลัน" กับ "นิกายเชื่องช้า"  มิได้มีอยู่อย่างชัดแจ้ง ความแตกต่างเท่าที่เห็นกันอยู่ก็มีแต่เพียงว่า ตามธรรมชาติที่เกิดมา  คนบางพวกรู้อะไรได้เร็วในเมื่อคนอีกบางพวกที่ทึบต่อการที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ  พวกที่สว่างไสว  ก็สามารถเห็นแจ้งสัจจธรรม  ได้ทันที ในเมื่อพวกที่อยู่ภายใต้อวิชชาจะต้องค่อยๆฝึกตัวเองต่อไป  แต่ความแตกต่างเช่นกล่าวนี้  จะไม่ปรากฏเลย  ถ้าหากว่าเรามารู้จักใจของตนเอง  และรู้แจ้งต่อสภาพแท้ของเราเอง  เพราะฉะนั้น คำว่า "เชื่องช้า" กับคำว่า "ฉับพลัน" สองคำนี้ เป็นเพียงภาพเลือนๆมากกว่าที่จะเป็นของจริง


ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย  มันเป็นจารีตในนิกายของเรา 
ในการที่จะ   ถือเอา 
"ความไม่เป็นไปตามอำนาจของวิตก"  ว่าเป็นผลที่เราจำนงหวัง   

ถือเอา  "ความไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยของอารมณ์"  ว่าเป็นมูลรากอันสำคัญ
และ   ถือเอา  "ความไม่ข้องติด" ว่าเป็นหลักหรือต้นตอ  อันเป็นประธานสำคัญ 

"ความไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยของอารมณ์" นั้น 
หมายถึงความไม่ถูกอารมณ์ดึงดูดเอาไป  ในเมื่อได้สัมผัสกันเข้ากับอารมณ์
 
"ความไม่เป็นไปตามอำนาจของวิตก" นั้น  หมายถึง
ความไม่ถูกลากเอาไป  โดยความคิดอันแตกแยกแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง 
ในขณะที่กำลังบำเพ็ญภาวนาทางจิต
 



"ความไม่ข้องติด"  นั้น หมายถึงลักษณะเฉพาะแห่ง  จิตเดิมแท้ ของเรานั่นเอง

        สิ่งทุกสิ่ง  ไม่ว่าดีหรือเลว  สวยงามหรือน่าเกลียด  ควรจัดเป็นของว่างอย่างเดียวกัน 
แม้ในขณะที่โต้เถียงและทะเลาะวิวาท  เราควรประพฤติต่อเพื่อนและต่อศัตรูของเราอย่างเดียวกัน 

และไม่มีการ   นึกถึง   การแก้เผ็ด

ในการฝึกความนึกคิดของตนเอง จงปล่อยให้อดีตเป็นอดีต 
ถ้าเราเผลอให้ความคิดของเรา  ที่เป็นอดีต  ปัจจุบัน  และอนาคต 

มาจับติดต่อกัน เป็นห่วงโซ่  แล้วก็หมายว่า   เราจับตัวเอง   ใส่กรงขัง 
ในฝ่ายตรงกันข้าม  ถ้าเราไม่ยอมให้ใจของเรา   ข้องติดอยู่  ในสิ่งใดๆ   

 เราจะลุถึง   ความหลุดพ้น  เพื่อผลอันนี้  เราจึงถือเอา
"ความไม่ข้องติด"  ว่าเป็นหลักหรือต้นตอ  อันเป็นประธานสำคัญ

         การทำตัวเราเอง  ให้เป็นอิสระ  จาการถูกดูดดึงไปตามอารมณ์ภายนอกนี้
เรียกว่า  "ความไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยของอารมณ์"  เมื่ออยู่ในฐานะ   ที่จะทำได้




ดังนั้น  สภาพธรรม(ที่มีในเรา)  ก็จะบริสุทธิ์  เพื่อผลอันนี้
เราจึง   ถือเอา  "ความไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยของอารมณ์"  ว่าเป็นมูลรากอันสำคัญ




พระสูตรเว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ แปล
- http://www.tairomdham.net/index.php/topic,298.15.html