แชร์ประสบการณ์ตรง! จากเงินเดือน 10,000 เป็น 100,000 ภายใน 8 ปี
-http://hilight.kapook.com/view/85832-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ Bluebird at Bonneville~* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
"งานดี ๆ รายได้สูง ๆ มีจริงหรือ?"
"ทำงานมานานจนเบื่อ เปลี่ยนงานใหม่ดีไหม หรือจะเรียนต่อปริญญาโทดี?"
"งานหนักมาก จะลาออกจากที่เดิมดีหรือเปล่า?"
"ทำอย่างไรจึงจะได้เงินเดือนสูง ๆ ?"
"ลาออกจากงาน แล้วไปทำธุรกิจส่วนตัวเองดีไหมนะ?"
...คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของมนุษย์เงินเดือนหลายต่อหลายคน เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกคนก็ย่อมหวังที่จะได้ทำงานที่สบาย ได้เงินเดือนสูง ๆ กันทั้งนั้น แต่กว่าจะก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ย่อมต้องเดินผ่านอุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างทางไม่ใช่น้อย และหลายคนก็เผชิญกับปัญหามากมายจนคิดไม่ตกว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไรดี?
ใครที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า จะตัดสินใจเลือกอนาคตการทำงานของตัวเองได้อย่างไร ลองอ่านคำแนะนำดี ๆ ที่เป็นประโยชน์จาก คุณ Bluebird at Bonneville~* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งได้เขียนเรื่องราวเล่าประสบการณ์การทำงานของตัวเองให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน
เชื่อไหมว่า จากคนที่ไม่ได้เรียนเก่งมาก ไม่ได้จบด้วยเกรดสวย เริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือนสตาร์ทเพียงแค่ 10,000 บาท แต่การสั่งสมประสบการณ์ เข้าใจตัวเอง และรู้ว่าควรจะต้องปรับปรุงและพัฒนาตัวเองอย่างไร ก็สามารถทำให้ คุณ Bluebird at Bonneville~* ก้าวขึ้นไปถึงระดับผู้บริหาร ภายใน 8 ปีเท่านั้น และรับเงินเดือนหลักแสน เธอทำได้อย่างไร? ลองไปฟังประสบการณ์ตรงกันค่ะ
= จากเงินเดือน 10,000 เป็น 100,000 = โดย คุณ Bluebird at Bonneville~* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เงินเดือน 100,000 อาจจะไม่มากสำหรับบางท่านที่เงินเดือน 3-4 แสน เจ้าของกิจการ หรือลงทุนในหุ้นนะคะ : ) แต่ว่าสำหรับเราก็ถือเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่สำคัญ ทั้งหมดนี้เราใช้เวลาทำงานประมาณ 8 ปี ด้วยโปรไฟล์ปกติ จบ ม.รัฐ เกรดนิยม (ไม่ใช่เกียรตินิยม) คือ 2.XX เท่านั้น
เป็นความตั้งใจมานานตั้งแต่เงินเดือนไม่กี่หมื่น จะมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่น ๆ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน หรือคนที่กำลังท้อกับการทำงานค่ะ
อาจจะมีหลายตอน ตามแต่เวลาจะอำนวยและความนิยมของผู้อ่าน อิอิ ถ้าใครมีคำถามหรืออยากให้เพิ่มเติมตรงไหนเป็นพิเศษก็บอกได้นะคะ
:: เริ่มหางาน ::
เอาละสิ .. ตอนจบปริญญาตรีเทียบกับเพื่อนในกลุ่ม เราเกรดน้อย (เกือบ) สุด เพื่อน ๆ เกียรตินิยมกันเป็นแถว ตอนนั้นเราตั้งเป้าว่าเอาบริษัทขนาดกลาง -> ใหญ่ ละกัน
บริษัทแรกเป็นโรงงานผลิตสินค้าที่มีชื่อพอควร เจ้าของคนไทย ตอนสัมภาษณ์เกรดเทอมสุดท้ายยังไม่ออก พี่ผู้จัดการมองหน้าแล้วถามว่า แน่ใจว่าจะจบใช่ไหมครับ?
.. แน่ใจค่ะ.. ทำหน้ามั่นใจสุดชีวิต (จริง ๆ พอโดนถามเริ่มเสียความมั่นใจ)
เริ่มต้นที่ 10,000 บาท ทำงาน 6 วัน เราก็ลังเล เพราะเพื่อน ๆ เริ่มที่ 13,000 บ้าง 22,000 บ้าง แต่สุดท้ายก็คิดว่า ลองดู เพราะโปรไฟล์บริษัทก็ไม่ถึงกับแย่มาก
ทำไปได้สัก 2 เดือนก็เริ่มรู้แล้วว่าไม่เหมาะ เพราะงานน้อยมาก.. ไม่ค่อยจะมีอะไรทำ วัฒนธรรมองค์กรชิลเกิน ยิ่งตอนนั้นเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง ทำไปได้ไม่ถึงปีเลย ทำยังไงดี...
หางานใหม่?
เรียนต่อ?
เราเชื่อว่าน้อง ๆ ที่พึ่งทำงานใหม่ ๆ หลายคนต้องเคยผ่านความคิดอยากหนีไปเรียนต่อ แบบนี้มาบ้าง
สิ่งที่จะต้องหาคำตอบคือ "เรียนต่อ" เพื่ออะไร
เปลี่ยนสายงาน
หาความรู้เพิ่ม
หาคอนเนคชั่น
ใคร ๆ ก็เรียนกัน?
ขี้เกียจทำงานแล้ว -_-"
สำหรับเราได้คำตอบว่า ต้องการเปลี่ยนสายงาน..
ถ้ายังหาคำตอบที่ดีไม่ได้ แนะนำว่าอย่าพึ่งเรียน
:: เรียนต่อโท ::
มหาวิทยาลัยไหนดี .. ถ้าเป็นไปได้ก็ยังแนะนำให้เลือกสถาบันระดับต้น ๆ ไหน ๆ จะเสียเงินอีกหลายแสนแล้ว นอกจากได้ความรู้ ก็ถือว่าสร้างโปรไฟล์และคอนเนคชั่นไปด้วย ไม่ได้บ้าสถาบันแต่อย่างใด แต่ในโลกความจริง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นใบเบิกทางระดับหนึ่ง
แนะนำให้ทำงานไปอย่างน้อยสัก 1- 2 ปี ค่อยเรียนไปพร้อมกับทำงาน เพราะเราเรียนภาคปกติ รู้สึกว่าไม่ได้ประโยชน์เท่าภาคพิเศษ นอกจากความชิลกว่าในการเรียน 555
การเรียนภาคพิเศษคุณจะเหนื่อยมาก ๆ แต่สำหรับเราคิดว่าคุ้มค่า
สุดท้ายพอจบมา เราก็เปลี่ยนสายงานได้ตามตั้งใจ เงินเดือนขยับมาที่ 2x,xxx
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ปีกว่า
..................................
:: อยากมีธุรกิจของตัวเอง ::
ทำงานมาไม่กี่เดือน ก็เริ่มเบื่อ (อีกแล้ว)
ต้องยอมรับว่าช่วงอายุ 20 กว่า ๆ เป็นช่วงแสวงหาประกอบกับอาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ หลาย ๆ อุตสาหกรรมจะมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว เช่น FMCG, Garment, Bank บริษัทที่เราเข้าไป คนค่อนข้างแรง เรารู้สึกกดดันมาก ถ้าเป็นสมัยนี้คงทนได้ ความต้านทานสูง 555
ก็เหมือนกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป พอเบื่องานก็ชักอยากจะทำธุรกิจของตัวเอง เราก็เหมือนกัน คิดเอาง่าย ๆ ว่าเรียนมาด้านบริหาร คงพอทำอะไรได้ คุยกะเพื่อนแป๊บ ๆ เพื่อนก็เบื่องานเหมือนกัน ตกลงจะทำ catering กัน
ด้วยความไม่มีประสบการณ์ไม่ได้วางแผน เรากะเพื่อนลาออกจากงานเลย (เราทำได้แค่ปีนึง) ผลปรากฏว่า เจ๊งตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
ว่างงานอยู่ 3 เดือน
.. อันนี้ฝากถึงคนที่คิดจะลาออกจากงานมาทำธุรกิจเอง การวางแผนและประเมินสถานการณ์ สำคัญมาก
:: ตกงาน ::
กลายเป็นคนตกงาน.. ช่วงนี้ส่งอีเมลสมัครงานเป็นร้อย ๆ เว็บสมัครงานที่ดีที่สุดสำหรับเรา (จนถึงตอนนี้) คือ jobsdb.com
Resume เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
เดือนแรกยังชิล ๆ แต่ตกงานเดือนที่ 3 ชักเครียด
:: สัมภาษณ์ยังไงให้ได้งาน ::
Resume เขียนให้ดี ยาวพอประมาณ เราว่า 1-2 หน้าก็พอ
บุคลิกสำคัญมาก ๆ พอ ๆ กับความสามารถของคุณ แต่งตัวให้เรียบร้อยพอประมาณ แต่ต้องดูมั่นใจ พูดจาให้เป็นมิตรแต่ชัดเจน ไปให้ตรงเวลา เตรียมตัวไปให้ดี เดี๋ยวนี้ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีเยอะแยะ
ประสบการณ์ส่วนตัว ทั้งเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์ เคมีที่ตรงกันของเรากับเจ้านายสำคัญมาก ๆ ถ้าเรารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ดูขัด ๆ ระหว่างเรากับเจ้านายตั้งแต่แรก บางทีก็จะปฏิเสธงานนั้นไป
ถ้าอยากรู้ว่าองค์กรมีปัญหาด้านไหนก็พยายามสังเกตจากคำถามของคนสัมภาษณ์ เช่น ถ้าเจอปัญหาเรื่องคน จะรับมือยังไง เจ้านายปัจจุบันเป็นยังไง
งานเลือกเรา แต่เราก็มีสิทธิ์เลือกงานเช่นกัน
สุดท้ายโชคดีได้งานใหม่ ใกล้บ้าน เป็นบริษัทต่างชาติ แถมเป็นระดับ senior เงินเดือน 25,xxx
:: ผลงานดี เพื่อนร่วมงานรัก เจ้านายชอบ ::
3 อย่างนี้จะช่วยผลักดันความก้าวหน้าได้อย่างมาก
ยังไงที่เรียกว่าผลงานดี?
บางคนรู้สึกว่าชั้นก็ทำงานมาตั้งเยอะ กลับดึก ๆ ดื่น ๆ ทำไมไม่โตสักที ให้ลองดูว่า งานที่คุณทำ ทำอยู่แบบไหน เป็นงานที่มีความสำคัญหลักกับองค์กรหรือเปล่า ที่ทำงานหนักเพราะระบบไม่ดี แล้วเราช่วยปรับปรุงได้ไหม คุณสามารถพัฒนางานที่ทำอยู่ให้ดีขึ้นได้ยังไง
อีกแบบนึง คำว่าทำงานเช้าชามเย็นชามไม่ได้เห็นในระบบราชการอย่างเดียว ในองค์กรเอกชนก็จะเห็นคนประเภทนี้ คือ ทำตามหน้าที่เท่านั้น เวลาว่างเล่นเน็ต เข้าเฟซบุ๊ก ถ้ามีโปรเจคท์พิเศษ ต้องทำอะไรเพิ่ม จะบ่นเป็นคนแรก ๆ โดยยังไม่ได้ฟังเหตุผลด้วยซ้ำ
ถ้าคุณอยากจะผลงานโดดเด่น ก็ต้องทำงานให้มืออาชีพ พัฒนาอยู่เสมอ ไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง มีโปรเจคท์อะไรใหม่ ๆ ถือว่าเป็นโอกาส
สิ่งที่คิดว่าหลาย ๆ คนมักจะเป็น คือ
ไม่ถาม ไม่พูดในห้องประชุม
อีโก้สูง
ชอบดราม่า ใช้อารมณ์
มองภาพรวมไม่ออก
คิดว่าต่างชาติเก่งกว่าเราเสมอ
ซึ่งเป็นจุดที่ควรจะปรับปรุง
ถ้าทำมาทั้งหมดนี้แล้วยังไม่เห็นความก้าวหน้า สุดท้ายต้องเปลี่ยนองค์กร คิดไว้เสมอว่าบริษัทมีให้เราเลือกอีกเป็นพัน เป็นหมื่น
ถ้าเราเป็นนักเทนนิส ถนัดคอร์ทหญ้า แต่มัวแต่ไปแข่งในคอร์ทดิน ยังไงก็แพ้ สู้ไปหาคอร์ทที่เหมาะกับเราดีกว่า
ลำดับต่อมา คือ เพื่อนร่วมงานรัก ...
เรื่องนี้เป็นศาสตร์และศิลป์ แต่ที่เราพอจะสรุปออกมาได้คือ
มีมนุษยสัมพันธ์ดีพอสมควร
ให้เกียรติคนทุกระดับ เราทักทายทุกคน ตั้งแต่พี่แม่บ้านยันประธานบริษัท เชื่อไหมว่าการพูดสวัสดี ทำให้บรรยากาศดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อย่าเข้าพวกกับใครเป็นพิเศษ คุยได้กับทุกคน
การบ่นใคร ทำได้แต่พองาม เลี่ยงได้เป็นดี ประเภทด่าแบบดุเดือด ทำได้ เพราะเราก็คนธรรมดา มีอารมณ์เป็นปกติ
แต่... ควรไปด่าให้ครอบครัว แฟน เพื่อนที่ไม่ได้อยู่ในองค์กรฟัง
Facebook!! ถ้ายังคิดว่าเป็นคนธรรมดาซึ่งต้องการที่ระบายในบางครั้ง กรุณาอย่า add facebook เพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็ต้องระวังมาก ๆ ตั้ง private, group ให้ดี เพราะมันสามารถทำให้ชีวิตการทำงานของคุณยุ่งยากขึ้นอีกหลายเลเวล
อย่าสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น
เวลาทำงานเป็นทีม ให้เครดิตคนอื่นตลอด
ไปสังสรรค์ หรือร่วมกิจกรรมบ้าง
การเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน ถึงดูแล้วจะไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรง เพราะบางคนอาจจะเชื่อว่า ชั้นก็เจ๋งอยู่แล้ว เจ้านายก็ดัน ไม่เห็นต้องแคร์ แต่เชื่อเถอะว่าข้อนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณในหลาย ๆ ด้าน เช่น
ผ่อนหนัก ให้เป็นเบา เวลามีความผิดพลาด ความขัดแย้ง
เป็นคนแรก ๆ ที่ใคร ๆ ก็นึกถึงเวลามีโปรเจคท์พิเศษ
ได้ข้อมูลแบบอินไซด์ ช่วยให้งานรวดเร็วขึ้นอีกเยอะ
ลำดับสุดท้าย ซึ่งสำคัญมาก คือ เจ้านายชอบ!
เมื่อตอนเป็นเด็กน้อย เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อนี้เท่าไหร่ คิดว่าถ้าทำงานดี เจ้านายก็ต้องชอบเอง ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เสมอไป
เราสามารถทำให้เจ้านายชอบ โดยการทำงานได้ ทั้งนี้ต้องสร้างสมดุลด้วย อย่าเอาใจมากเกินจนโดนคนอื่นหาว่าประจบประแจง
มีรายละเอียดปลีกย่อยเพิ่มอีกนิดหน่อย
ลำดับแรกคุณต้องเข้าใจสไตล์ หรือนิสัยของเจ้านายคุณก่อน เอาง่าย ๆ เลย คุณรู้ไหมว่าเจ้านายคุณเป็นยังไง
ชอบให้ลูกน้องถาม หรือไม่ชอบ?
อยากให้ลูกน้องลุยเอง หรือไม่ชอบและมองว่าข้ามหัว?
ชอบฟังพรีเซ็นต์สั้น ๆ หรือชอบฟังรายละเอียด?
เรื่องพวกนี้คุณต้องสังเกตและปรับสไตล์การทำงานให้เข้ากับเจ้านาย
แต่ส่วนมากลูกน้องที่เจ้านายชอบเหมือน ๆ กัน คือ
ความกระตือรือร้น ดูแลตัวเองได้ บางที่อาจจะดูเหมือนกันไม่สอนงาน แต่ลูกน้องก็ต้องถาม หรือหาทางเรียนรู้ทางใดทางหนึ่ง
มีความยืดหยุ่น คือ ทำงานได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันและบริหารได้ดี
ควบคุมอารมณ์ได้ดี ไม่มีประโยชน์ที่จะไปขึ้นเสียงแข่งกับนาย แย้งได้ แต่ต้องทำแบบนุ่มนวลหน่อย
แจ้งปัญหาได้ทันเวลา พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข เพราะเจ้านายต้องคิดร้อยแปดพันเรื่อง เป็นลูกน้องจะหวังให้เจ้านายเข้าใจในทุกรายละเอียดของงานในทีม เป็นไปไม่ได้แน่นอน..
ลูกน้องต้องแจ้งปัญหา สรุปรายละเอียด เสนอทางเลือก พร้อมบอกข้อดีข้อเสียของแต่ละข้อ เพื่อให้เจ้านายตัดสินใจ อันนี้ต้องทำให้ติดเป็นนิสัย ไม่ใช่เจอปัญหาก็เงียบไว้ หรือบอกแค่ปัญหาแล้วให้เจ้านายไปคิดต่อ
ถ้าคุณบรรลุ 3 อย่างนี้ได้ :: ผลงานดี เพื่อนร่วมงานรัก เจ้านายชอบ :: โอกาสดี ๆ ก็จะตามเข้ามาเอง
บริษัทนี้เราทำได้สักพัก เจ้านายเกิดจะไม่อยู่ เลยดันเราขึ้นแทนเค้า เป็นจังหวะที่ดีด้วยส่วนหนึ่ง ก็ได้ขึ้นเป็นระดับ manager เงินเดือนไม่ได้เยอะมาก แต่เทียบกับอายุ 25- 26 ก็ถือว่าไม่เลว แล้วก็อยากได้โปรไฟล์ด้วย
เราก็เลยรับข้อเสนอที่ 35,xxx บาท
แต่ความหนักและยากของงานก็ตามมาพร้อมเงินเดือน ตอนนั้นเหนื่อยมาก
:: ความรู้อยู่รอบตัว ::
ไม่มีคนสอนงาน? ถามค่ะ
ไม่มีคนให้ถาม? หาในอินเทอร์เน็ตค่ะ
ไม่มีในอินเทอร์เน็ต? เช็กเอกสารเก่าค่ะ ^_^
คือ คุณต้องดิ้นรนทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งเงินเดือนสูง ๆ เค้าจ้างมาก็หวังจะให้ทำงานได้เลย (ถ้าเป็นไปได้) อย่ารอให้งานมาหาหรือคนมาสอนถึงที่ค่ะ
เวลาทำงานนอกจากเนื้องานแล้ว สังเกตสิ่งอื่น ๆ รอบตัวไว้เป็นข้อมูลด้วย เช่น วิธีการทำงานของ MD สไตล์การพรีเซ็นต์ของ CEO หรือวิธีที่เจ้านายเจรจากับแผนกอื่น เรื่องพวกนี้เป็นความรู้อีกแบบนึงที่จะเป็นประโยชน์กับคุณในอนาคตค่ะ
:: โอกาสไม่ได้มาในรูปของตัวเงินอย่างเดียว ::
ถึงหัวกระทู้จะพูดถึงเรื่องเงินเป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้วโอกาสไม่ได้มาในรูปของเงินอย่างเดียวค่ะ เวลาพิจารณารับโอกาสไว้ ใช่ว่าจะวัดด้วยตัวเงินเท่านั้น แต่มีทั้งเรื่องของความท้าทาย เรื่องของการสร้างโปรไฟล์
ตรงนี้ต้องพิจารณาประกอบกันไปนะคะ
:: คุม Project กันเถอะ ::
พอเป็น manager กะเค้าได้ไม่ถึงครึ่งปี ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ เดินเข้าไปคุยกับ GM บอกว่าไม่ไหวแล้วอยากจะออก เพราะคนก็หาไม่ได้ งานเยอะมาก ๆ เคยกลับบ้านแบบตอนเช้า เพราะต้องส่งงานลูกค้า
พอมาทบทวนดู คือ ตอนนั้นเรายังไม่มีประสบการณ์ ถึงมีทีม แต่เราบริหารเวลาไม่ค่อยดี แถมยังประเมินเวลาการทำงานต่ำกว่าความเป็นจริงตลอด กระจายงานไม่ดี ทำให้เราเหนื่อยมาก ตอนหลังก็พยายามปรับปรุงเรื่องนี้
GM บอกว่าเอางี้ อย่าพึ่งออก หยุดพักไปก่อนเลย เดือนนึงพอไหม เดี๋ยวทางนี้หาคนทำให้ แล้วอยากไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า พอดีมีโปรเจคท์ใหม่เข้ามาอันนึง สนใจไหม ถ้าสนใจเดี๋ยวจะให้ไปทำ ไปฟอร์มทีมเองเลย
เราดูแล้วก็สนใจ ก็เลยรับโอกาสไว้
ลุยโปรเจคท์ได้ประมาณปีครึ่ง คือ ตั้งแต่เริ่มต้นจนมากลาง ๆ เฟส เน้นการวางแผนที่ดี แล้วก็ปรับปรุงข้อด้อยของเราที่พูดถึงไว้ข้างต้น ตอนนั้นเราไม่ได้คิดถึงเงินเดือนเท่าไหร่ เงินก็ปรับเรื่อย ๆ ตามปี คิดแต่เรื่องความสำเร็จของโปรเจคท์มากกว่า
วันนึง GM ก็เรียกไปคุยบอกว่า คิดว่าถึงเวลาที่เราควรจะได้รับสิ่งตอบแทนจากการทำโปรเจคท์นี้ ก็บอกว่า เพิ่มเงินเดือนจาก 35,xxx ให้เป็น 5x,xxx นะ
โอ้.... ปลาบปลื้ม
:: ลูกน้องที่รัก ::
ทั้งหมดทั้งปวง เราจะประสบความสำเร็จในฐานะ manager ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีลูกน้องดี ๆ ทีมที่ดี เหมือนกับที่คุณต้องรู้สไตล์เจ้านาย คุณก็ต้องรู้สไตล์ลูกน้องด้วยเช่นกัน ใช้คนให้ถูกงาน ยังคงใช้ได้เสมอ
แต่สิ่งที่คุณเพิ่มเติมให้ลูกน้องได้ คือ การ coach, train เพื่อดึงศักยภาพของเค้าให้ออกมาได้มากที่สุด ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็อาจจะต้องหาทางออกให้โดยให้ไปทำทีมอื่นที่เชื่อว่าจะเหมาะกับเขามากกว่า
เราชอบให้ลูกน้องโต ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ต้องผ่านเราทั้งหมด เพื่อให้มีโอกาสดี ๆ ในอนาคต
เราไม่เคยดราม่าใส่ลูกน้อง ถ้าจะชมก็ชมต่อหน้าทั้งทีม ถ้าจะตำหนิก็ไปว่ากันสองคน ว่าแล้วจบ ไม่มีการขุดคุ้ย กระแนะกระแหน
เวลาลูกน้องอยากจะออก เราเป็นคนให้คำแนะนำด้วยซ้ำว่าจะเลือกงานยังไง เพราะนั่นคืออนาคตที่ดีกว่าของเขา ทุกวันนี้ลูกน้องเก่า ๆ ก็ยังอยากให้ไปสังสรรค์ด้วยเสมอ ๆ
:: ถึงเวลาโตไปอีกก้าว ::
หลังจากทำงานโปรเจคท์มาจนจบเฟสแรกกับบริษัทนี้ ประมาณ 3 ปีกว่า ถึงเป็นบริษัทที่เรารักมาก ๆ แต่ก็เริ่มมองว่าน่าจะถึงเวลาที่ต้องก้าวขึ้นไปอีก คราวนี้ก็มองบริษัทที่ใหญ่ขึ้นไปอีก อยู่ในวงการเดิม แต่รายละเอียดงานต่างไปจากเดิมค่อนข้างมาก ซึ่งก็มองว่าเป็นข้อดีในการที่จะเพิ่มความรู้ให้กว้างขึ้นไปอีก
มาถึงตรงนี้เราคิดว่าหลัก ๆ คนทำงานบริษัทจะโตไปได้ 2 ทาง คือ
Specialist ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น สอบบัญชี นักกฎหมาย หรือโปรแกรมเมอร์
ผู้บริหาร
ซึ่งเราจะต้องวางแผนว่าจะไปทางไหน สำหรับเราคือขอขึ้นไปทางผู้บริหาร ดังนั้น ความรู้แบบกว้างในวงการเป็นเรื่องสำคัญ
ก็ตัดสินใจไปที่ใหม่เพื่อวัตถุประสงค์นี้ ด้วยข้อเสนอที่ 7x,xxx
:: ทักษะการพรีเซ็นต์ และ ภาษาอังกฤษ ::
2 ทักษะนี้สำคัญมากกก ถ้าคุณอยู่ในระดับบริหาร
จริง ๆ ภาษาอังกฤษสำคัญกับทุกระดับ แต่จะยิ่งเพิ่มความสำคัญขึ้นไปอีกหลายเลเวล ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้องค์กรใหญ่ ๆ มีหลายชาติ หลายภาษา ภาษาอังกฤษยังไงก็จำเป็นต้องใช้ เพราะถึงคุณจะเป็นคนมีความสามารถขนาดไหน แต่ถ้าไม่สามารถสื่อสารออกไปได้ดี คุณจะพลาดโอกาสดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น พอมาถึงระดับนี้ นอกจากทำงานดี เจ้านายชอบ เพื่อนร่วมงานและลูกน้องรัก คุณจำเป็นต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในระดับที่ดีมาก และมีทักษะการพรีเซ็นต์ในระดับที่ดี
เราเองแรก ๆ ก็สั่น ๆ ต้องพูดต่อหน้าคน 50 คน แต่บ่อย ๆ เข้าก็เริ่มชิน ก็ยังตื่นเต้นนิดหน่อย แนะนำว่าต้องฝึกบ่อย ๆ มีโอกาสก็ออกไปพูด
เคยไปเข้าคอร์สกับต่างชาติทั้งคลาสเลย แล้วก็พบสัจธรรมว่า การที่ต้องออกไปพรีเซ็นต์ต่อหน้าคนมาก ๆ ไม่ใช่แค่คนไทยที่กลัว ทั้งฝรั่ง ทั้งเอเชียชาติอื่น ก็กลัวไม่แพ้กัน 555
ทำงานมาได้ปีกว่า ๆ เจ้านายก็โปรโมทแล้วก็เพิ่มเงินเดือนให้เป็น 8x,xxx
:: Recruitment, Head hunter ::
ในช่วงเงินเดือนระดับนี้ Recruitment, Head hunter เข้ามามีบทบาทมาก เราฝากโปรไฟล์ไว้หลายที่ เลือกที่เป็นระดับท็อป ๆ จะช่วยให้มีโอกาสเข้ามาเยอะ และ agency เหล่านี้จะช่วยต่อรองเงินเดือนให้เราได้ค่อนข้างดี
ถึงคุณอาจจะยังไม่ได้อยากเปลี่ยนงานช่วงนี้ แต่การฝากโปรไฟล์ไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ในไทย ส่วนมากคนหางานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เอเย่นต์อยู่แล้ว
ช่วงนี้เอเย่นต์ก็เอางานมาเสนอให้เลือกอยู่เป็นระยะ ๆ จนเจองานที่ถูกใจในที่ใหม่ ประกอบกับโปรเจคท์ปัจจุบันกำลังจะเสร็จพอดี รวมประสบการณ์ทำงานทั้งหมด ตั้งแต่บริษัทแรกจนถึงปัจจุบันประมาณ 8 ปี สุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายงานด้วยข้อเสนอที่ 1xx,xxx
มีบางอย่างที่เราไม่ได้พูดไว้อย่างชัดเจนตอนแรก แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือ
ทัศนคติ
เวลามีคนมาพูดเรื่องเงินเดือนสูง ๆ คุณมีความคิดแบบไหนขึ้นมาก่อน
ไม่จริงหรอก เว่อร์
รายได้ไม่สำคัญเท่ากับเงินเก็บ จริงหรือ?
เขาทำได้อย่างไร
อย่างแรกคุณต้องมีความเชื่อก่อน ว่าเราก็สามารถทำได้
ถึงตรงนี้เราก็ต้องขอบคุณหลาย ๆ ท่านในพันทิปที่ประสบความสำเร็จมาก่อน และก็นำประสบการณ์มาแบ่งปัน บางท่านเราถามเพิ่มเติมไปหลังไมค์ก็อธิบายอย่างเต็มที่ ซึ่งเราเอามาปรับใช้กับการทำงานอยู่เสมอ ^_^
การวางแผน
ชีวิตก็เหมือนการรบ คุณต้องรู้จักวางแผน รู้จักภูมิประเทศพื้นที่ รบยังไงถึงจะได้เปรียบ ต้องหาอาวุธอะไรมาใช้ เพื่อให้ชนะ
การทำงานคุณก็ต้องรู้จักวางแผน ทบทวนเป้าหมายระยะสั้น ระยะยาวอยู่เสมอ รู้ว่าองค์กรเป็นยังไง เจ้านาย ลูกน้องเป็นยังไง เพิ่มเติมทักษะตัวเองตรงจุดไหนเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้น
ถ้ารู้ว่ารบไม่ชนะ บางทีก็ต้องยอมถอยทัพ การทนทำงานที่เดิมหลาย ๆ ปี โดยไม่มีอะไรดีขึ้น สุดท้ายเราก็คงจะแพ้ ดังนั้นการตัดสินใจที่ทันเวลา มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ความสนุกกับการทำงาน และ Work-life balance
ขออนุญาตเพิ่มเติมไปตอนจบนิดนึงนะคะ กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาให้มุ่งแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว แต่ถ้าอ่านจากเนื้อหาจะเห็นว่า การทำงานต้องสนุกไปกับงานด้วย แล้วโอกาสดี ๆ จะตามมา
อีกอันนึงที่สำคัญมาก คือ อันนี้เป็นชีวิตด้านเดียวของเรานะคะ ^_^ จริง ๆ แล้วยังมีสังคมด้านอื่น อย่างครอบครัว เพื่อน ๆ งานอดิเรก ซึ่งต้องบริหารเวลาให้ดีเช่นกันค่ะ
...........................................
เป็นครั้งแรกที่เขียนกระทู้ยาวขนาดนี้
หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ
ขอบคุณค่ะ