คลายวิถีทุกข์ด้วยธรรมะ > ธรรมะเสวนา
มันเป็นเช่นนี้...
ฐิตา:
มีแต่การกระทำ..แต่ไม่มีผู้กระทำ
สภาวะนี้ใช้ภาษาสมมุติว่า"การเจริญวิมุตติ"
เป็นสภาวะที่ไร้การปรุงแต่งทั้งปวง(ไร้ผู้กระทำ)
จึงยุติวงจรปฎิจจสมุปบาท(การเวียนว่ายตายเกิด)
หมดสิ้นกฎเกณฑ์อิทัปปัจจยตา(ปัจจัยแห่งการสืบเนื่องเหตุและผล)
...สภาวะนี้ จิตจะเฉยๆ ไม่เจริญสมาธิ ไม่เจริญปัญญา ไม่เจริญอุเบกขา
ไม่มีการจดจ่อ ไม่ตามดูตามรู้กำหนดอะไร
จิตจะว่างจากการเปลี่ยนแปลง
ว่างจากทุกๆการปรุงแต่งที่เกิดจาก"เรา"อย่างสิ้นเชิง
จิตจึงพ้นไปจากสมมุติบัญญัติใดๆ
แต่จะรู้แบบปรมัตถ์ คือรู้ๆๆๆๆไปเรื่อยๆอย่างอธิบายไม่ได้
...นี่ไม่ใช่การควบคุมจิต ไม่ดับ ไม่ข่ม ไม่หยุด
ไม่พิจารณาทำความเข้าใจอะไรทั้งสิ้น
ไม่ว่าท่านจะปฎิบัติอะไรมามากมาย ก็มาจบที่สภาวะนี้
......ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เคยสอนธรรมนี้
ให้ชายผู้หนึ่งที่มีภูมิธรรมสูงชื่อว่า"พระพาหิยะ"
.......เห็นสักว่าเห็น...
.......ได้ยินสักว่าได้ยิน...
.......รู้ก็สักว่ารู้....
.....รู้แจ้งก็สักว่ารู้แจ้ง......
สักแต่ว่า หมายถึงไม่มีตัวตนไปปรุงต่อ
"เมื่อเธอไม่มี โลกนี้ โลกหน้า ระหว่าง2โลกไม่มี"
โดย: Devilgirl Suratthani
ธรรมะ...มีอยู่รอบตัว
คุรุ...อยู่ในทุกสรรพสิ่ง
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
อะไรหรือ...ที่ดี เลว เสมอ???
มานะ ได้แก่ การเปรียบเทียบ ซึ่งไม่ใช่ตามความเป็นจริง เช่น
ตนดีกว่าเขา เขาเลวกว่าตน
ตนเลวกว่าเขา เขาดีกว่าตน
ตนกับเขา เสมอกัน
แต่จริงๆแล้ว ทุกรูปทุกนาม ไม่มีใครดี,เลว หรือแม้กระทั่งเสมอกัน
ทุกบุคคลตัวตน เขา, เรา ที่มองเห็น ล้วนเป็นเพียงเปลือก
ที่เกิดจากเหตุที่ทำไว้ เป็นเปลือกที่ใช้อาศัยชั่วคราว
ตามเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่ และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่ เปลือกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะหยุดสร้างเหตุของการเกิด
เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง ของเรื่องเหตุการกระทำและผลที่ได้รับ
เป็นเหตุให้เกิดการให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่า
สิ่งนั้นเลวบ้าง สิ่งนั้นดีบ้าง สิ่งนั้นเสมอตนบ้าง
...................................................
ทั้งๆทุกรูปทุกนามล้วนไม่มีความแตกต่างกัน
ล้วนเป็นเพียงรูปนามที่เสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย
โดย: Devilgirl Suratthani
ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีทั้งหนทางและผู้เดินทาง
ดังนั้นทุกหนทางล้วนลวงเธอ
... มีเพียงความรู้สึกตัว ณ ขณะนี้ ๆ นี่เอง
สิ่งอื่นใดนอกจากนี้ คือความคิดที่ลวงเธอ.....
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
อิสรภาพคือการทำหน้าที่ หน้าที่ของความเป็นมนุษย์
มนุษย์ที่เบิกบานในทุกการกระทำ
โดยที่ภายในว่างเปล่า
ปราศจากชื่อ ปราศจากผู้กระทำ และการกระทำ
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
อิสรภาพ คือกระแสแห่งชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุด
มันไม่มีจุดเริ่มต้นจึงไม่มีจุดจบ
มันรายล้อมอยู่รอบตัวเธอ มันอยู่ในตัวเธอ
มันและเธอคือสิ่งเดียวกัน
เมื่อเธอพ้นไปจากทวิภาวะใด ๆ ของความคิด
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
บุคคลที่ยังมิว่างเว้นจากความนึกคิดไปได้ ..
เธอผู้นั้นมิควรเป็นศัตรูผู้ใดเลย ..
และเธอควรจักได้รับความเมตตาเป็นที่สุด ในที่สุด ....
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
ฐิตา:
การให้อภัย หากทำได้ จิตก็เป็น อิสระ
หากให้อภัยไม่ได้ ก็ต้องผูกติดกันต่อไปอีก
แต่...ถ้าเห็นสัจจะ คือความเป็นอนัตตาแล้ว
...ยังมี ใคร ให้ต้องอภัยอีกหรือ?
โดย: Devilgirl Suratthani
เมื่อหิว...เจ้าจงกิน
เมื่อง่วง...เจ้าจงนอน
เมื่อคิดจร...เจ้าจงไป
เมื่ออยู่ที่ใด เจ้า"แค่รู้"อยู่
เหล่านี้คือธรรมสูงสุด
อาจดูเรียบง่าย แต่มันคือความจริง
...........................
แค่รู้ ปัจจุบันไม่ปรุงแต่ง
ไม่ติดอดีต..ไม่หวังอนาคต
ว่าง..จะทำให้"วาง"
วาง..ก็ตัดห่วงอวิชชา
โดย: Devilgirl Suratthani
ชีวิตมีอยู่แท้จริงหรือ?
หากมีอยู่จริงทำไมคนเราต้องตาย
แล้วชีวิตเมื่อวานหายไปไหน
ชีวิตของวันนี้มาจากไหน
ความชราที่จู่โจมมาใครเลยจะห้ามไดั นี่หรือ
“ชีวิตที่เป็นของเรา” ...
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
แท้ที่จริง...เรานั้นไม่เคยมี
อดีต..ก็แค่ขันธ์5 เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย และดับแล้ว
อนาคต..ก็ขันธ์5ที่จะเกิดหรือไม่.ก็เพราะเหตุปัจจัย
ปัจจุบัน..เรามีไหม ก็แค่ขันธ์5
ที่ปรุงแต่งเป็นครั้งๆเกิดแล้วดับเหมือนกัน
...พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า เมื่อเข้าใจข้อนี้ ความสงสัยที่ว่า
เราทำกรรมอะไรหนอ เคยเกิดเป็นอะไรหนอ
แล้วจะไปเกิดเป็นอะไรหนอ
ย่อมไม่มีอย่างเด็ดขาด......
สงสัย..ว่าที่พบนี่ คู่แท้เปล่าหนอ ทำอย่างไรจึงจะพบคู่แท้
ขนาดตัวเรายังไม่แท้เลย คู่เรามันจะแท้ได้อย่างไร
...โดยความเป็นจริงแล้ว กรรมมันไม่มีตัวตนอะไร
ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนเป็นตัวตน
กรรมเกิดแล้ว..มันก็ดับแล้ว ผลจะเกิดหรือไม่
มันก็ตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน
จะแสดงผลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย....
เพียงเรารู้ว่าผิด แล้วหยุด สำรวมระวังในโอกาสต่อไป
...นี่เป็นวิธีแก้กรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง....
โดย: Devilgirl Suratthani
ฐิตา:
กล่าวได้ว่า...เมื่อเข้าถึงสัจจะ
มันไม่มี "อะไร" ในจิต
ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้เลย
..........................
คนเราสร้างความคิดปรุงแต่งขึ้นมา
แล้วจองจำตนเอง อยูกับสิ่งที่ปรุงแต่งนั้น
ผู้ที่มองทะลุ กำแพงความคิด
จึงจะหลุดพ้น จากคุกแห่งสังสารวัฎนั้น
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
สิ่งที่มิเคยมีอยู่ในโลก มนุษย์ก็ช่างติไปถึง ...
ลมเอยพัดแรงไป
อาทิตย์เอยร้อนเกินไป ฝนเอยตกหนักไป ....
แม้แต่ธรรมชาติเอง หัวใจมนุษย์ก็ยังไม่มีความพอดีให้ ...
เป็นเพราะเหตุใดกัน ......
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
ผู้ที่รู้ความจริง ย่อมไม่เถียงใคร...
เพราะเค้าเเจ้งชัดในความเป็นจริง ..
ที่อยู่เหนือทั้งการแบ่งแยกและไม่แบ่งแยก ..
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
โลกว่าง .. ก้อนหินว่าง .. ที่นั่งว่าง .. มือว่าง ..
ใจว่าง ..... แต่เซนไม่ว่าง ....
เพราะเซนคือ ..
ขณะแห่ง ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ตลอดสาย ...
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
"สพฺพรติง ธมฺมรติ ชินาติ"
"ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง"
โดย: รักดนตรี ควบคู่ไปกับธรรม
ความหมายของ “ธรรม” คือ “หยุด”
.......... หากยังหยุดไม่ได้ธรรมก็ยังแสดงตัวอยู่ ..
และเมื่อหยุดได้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเข้าถึงอีกต่อไป ..
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
จริงๆแล้ว เราไม่สามารถควบคุมจิตของเราได้เลย
เพราะจิตมันเป็นอนัตตา
มีความจริงข้อที่ว่า"เรา"มิใช่ผู้ก่อ กุศล และ อกุศลจิตเหล่านั้น
ดังนั้น ปัญญาที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ต้องมาก่อน
การชนะกิเลสจึงจะตามมา
ถ้าคุณยังหงุดหงิดเพราะ มองเห็นว่า
จิตยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่
คุณจะไม่มีวันเข้าใจธรรมชาติ ของกิเลสอย่างชัดเจนได้เลย
เพราะความหงุดหงิดจะบดบังทั้งหมด
....เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นมันโดยไม่มี ความสำนึกผิด
แอบแฝงอยู่
และไม่มีความคิดที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง
คุณก็จะเข้าใจ... ธรรมชาติของมัน
และมันจะไม่มีอำนาจเหนือคุณอีกต่อไป เพราะคุณรู้จักมัน
อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
....แล้วคุณจะเป็นเช่นข้าพเจ้า มึงอยากคิดอะไรคิดไปเลย"กูขำอ่ะ"
โดย: Devilgirl Suratthani
Credit by >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ
ฐิตา:
ทุกศาสนา คือศาสนาเดียวกัน ทุกชีวิต คือเพื่อนร่วมทุกข์
***************
พระเจ้า คือ ผู้สร้างและผู้ทำลาย...
พระเจ้ามีองค์เดียว เราเรียกว่า...
ธรรมชาติสรรค์สร้าง...
ทุกชีวิต คือ พระเจ้า เมื่อสรรค์สร้างด้านดี
ทุกชีวิต คือ พระเจ้า เมื่อมุ่งสร้างด้านชั่ว
ทุกชีวิต จะเข้าสู่ดินแดนของพระเจ้า เมื่อดีก็ไม่เอาชั่วก็ไม่เอา
แท้จริงแล้วทุกชีวิตที่เวียนว่าย คือ..
พระเจ้าผู้กำหนดความเป็นมาเป็นไปของโลกนี้นั่นเอง
**********************
การยึดติดความสมบูรณ์นั้น เป็นอาการของโรคประสาทชนิดหนึ่ง
สรรพสิ่งล้วนเป็นอย่างที่เป็นอยู่
ไม่มีดี ไม่มีเลว
ต้นไม้บางต้นสูง บางต้นต่ำ
บางคนมีศีลธรรม บางคนไม่มี
บางคนกำลังสวดมนต์ และบางคนกำลังลักขโมย
แท้จริง ... มันคือวิถีทาง อิงอาศัยของทุกสรรพสิ่ง
อย่าจองจำ ตนเอง ไว้กับสมมุติบัญญัติที่สร้างขึ้นจากมายา
อย่าตัดสิน ...
เพียงแค่เข้าใจและยอมรับก็พอ !!!
*****************************
ศูนย์ คือ สมดุล สมบูรณภาพ ของสรรพสิ่ง
องค์พุทธะนำสัจธรรมแห่งธรรมชาติมาบอกกล่าว
หากท่านหลงเกินศูนย์ เป็นหนึ่งหรือมากกว่าสิบ
ก็ย้อนกลับเสีย สู่สมดุลภาพ
หากท่านยังติดลบหนึ่งหรือมากกว่าลบสิบ
ก็ศึกษาเสียให้กระจ่าง สู่สมดุลภาพ
อิสระภาพดังเดิม เป็นเช่นนั้น อยู่อย่างนั้น กัลปาวสาน...!!!
ขอบคุณ...คุณ Krabi TourGuide
*************************
พระพุทธะ มิได้ตรัสรู้อะไร ที่เธอรู้ ที่จำไว้
คือความลวง ...
สัจจะธรรมอันโชติช่วง มันพ้นไปจาก ...
ความคิด ความรู้ ผู้รู้ และความจำ
*******************************
ทะเลมิเคยปราศจากคลื่น เช่นเดียวกับความคิดไม่มีวันหยุด
“อาศัยคลื่นเข้าใจทะเล อาศัยความคิด เข้าใจสิ่งที่พ้นไปจากความคิด”
... เธอกำลังคิดอยู่ในทุกขณะ กำลังให้ค่าความหมายอยู่ในทุกขณะ รู้หรือไม่ ?
ดังนั้นจงตระหนักรู้
****************************
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
Credit by >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ
ฐิตา:
ทุกค่ำคืน คนๆหนึ่งมีพุทธะอยู่ในอ้อมแขนขณะนอนหลับ
ทุกเช้าตรู่เมื่อลืมตาตื่น พุทธะก็ยังอยู่กับคนๆนั้น
ไม่ว่าลุกยืน นั่งลง หรือสนทนา ทั้งสองอยู่ที่เดียวกัน
และไม่เคยแยกจากกันสักขณะจิต
จงอย่ามองพุทธะนอกตัวเลย
พระพุทธะนั้น พำนักอยู่ในตัวท่านเองนั่นแหละ
.......ภาษิต เซน.....
ภายในตัวท่านคือการบรรจบกันระหว่างโลกกับนิพพาน
ระหว่างสิ่งที่จับต้องได้กับสิ่งที่จับต้องมิได้
ท่านเป็นทั้งจุดบรรจบ และเป็นทั้งจุดตัด
ท่านคือจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับธรรม
แต่แท้ที่จริง...มันคือจุดเดียวกัน
ไม่ต้องหนีโลก และไม่ต้องแบ่งแยกธรรม
แต่จงทำหน้าที่แห่งตน ที่มีต่อทุกรูป ทุกนาม
"ให้สมบูรณ์ที่สุด"
*******************
เราปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพุทธะที่มีชีวิต ไม่ใช่เป็นพุทธะที่ตายแล้ว
กลายเป็น ทองไม้ดินหรือหิน แล้วจะเป็นพุทธะอย่างไร
ไม่สามารถฉุดช่วยผู้คน แล้วจะมีประโยชน์อะไร
....................ท่านเว่ยหล่าง...................
ไม่จำเป็นต้องไปดับความคิด ไม่มีความคิดแล้วจะไปทำอะไรได้
หากไม่มีความคิดก็เหมือนกับก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
เหมือนกับเวลาที่เราแสดงธรรมหรือฟังธรรมต้องใช้ความคิดร่วมด้วย
แม้มีความคิดแต่ไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์นั้น ก็เหมือนกับไม่มีความคิด
ส่วนต้นโพธิ์นั้นแสดงถึงจิตเดิมแท้ของพุทธะ
ไม่เพิ่มไม่ลด ไม่เกิดไม่ดับ
แม้จะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะแล้ว ก็ไม่ได้เพิ่มอะไรแม้แต่นิดเดียว
แล้วจะมีอะไรเติบโตได้อย่างไร
***************************
โดย: Devilgirl Suratthani
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version