คลายวิถีทุกข์ด้วยธรรมะ > ธรรมะเสวนา

มันเป็นเช่นนี้...

<< < (2/6) > >>

ฐิตา:


ชีวิตนี้แสนสั้น เราย่อมไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีเวลาอยู่นี้
ไปในการขบคิดใคร่ครวญเรื่องทางอภิปรัชญา
อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะอภิปรัชญาไม่อาจนำไปสู่..
.. สัจจะอันยิ่งใหญ่ได้เลย



ชีวิตของเราจะสูญเปล่าไป หากเราหลีกหนี..
.. การใช้ชีวิตตามความจริง
เมื่อไปอยู่ในโลกแห่งความคิดอันล้ำลึกแล้ว
เราก็จะเป็นเพียงวิญญาณพเนจร
หากยังวุ่นวายอยู่ด้วยความคิด
ว่ามีหรือไม่มี ชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเสีย



ให้ดูทุกข์ และความไม่มีทุกข์ ที่มีอยู่ในใจ
จึงจะเข้าถึงธรรมที่ปราศจากทุกข์ได้
ปาฏิหาริย์ที่แท้
อยู่ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ นี่เอง
ให้กิจวัตรประจำวัน
ดำเนินไปตามครรลองของมันอย่างเป็นธรรมชาติ



ชีวิตคุณมีอยู่เพียงขณะเดียว
อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ในขณะปัจจุบันเท่านั้น



เดี๋ยวนี้ คือสิ่งที่เรา เป็น มันไม่สามารถจะเป็น เป้าหมาย
หรือ ภาวะ ที่เราจะต้อง มุ่ง ไปให้ถึง
เดี๋ยวนี้ คือการกระทำ หรือ ความเคลื่อนไหว
ซึ่งปรากฏอยู่ในขณะนี้ ก่อนที่ ความคิด จะปิดบังมันไว้เสีย




พระเจ้ามีจริงหรือไม่
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่
บุญกุศลคืออะไร
จงหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ โดยเห็นว่า
เป็นเรื่องไร้สาระ
หากแต่..มุ่งในการทำตัวเอง
ให้แจ่มแจ้งในปัจจุบันขณะนั้นก็พอ




แสวงหาธรรม แล้วมุ่งเข้าหาวัดกลับติดในวัด ติดในพิธีกรรม
ความเชื่อ ความศรัทธา
เข้าหาคัมภีร์ กลับติดในตัวอักษร ถ้อยคำ ความหมาย
ปรุงแต่งไปไม่จบสิ้น
เข้าหาคุรุ กลับติดในคุรุ ยกย่องชื่นชมศรัทธา จนกลายเป็นอัตตางมงาย
ธรรมะแท้จริงอยู่ที่ไหน ? หรือธรรมะมิใช่อยู่ที่เธอ ?




นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง




เกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ของชายผู้หนึ่ง
คนเชื่อดวงบอกว่า...เขาดวงไม่ดี
คนเชื่อเรื่องผีเทวดาบอกว่า...เพราะไม่บูชาเทวดาประจำตัว
คนเชื่อกรรมบอกว่า...เป็นเวรกรรมของเขาจากชาติก่อน
แต่หมอ...บอกว่า เมาจึงขับขี่ประมาท
......สรุปแล้วความจริงอยู่ที่ความเชื่อแต่ละบุคคล....
แล้วอะไรคือมาตรฐาน"แห่งความจริง"




“ ถ้า “ นิพพานคือการพ้นกรอบ
ดังนั้น.. เธอกล้าแหกกรอบหรือไม่ ?




มีกฎธรรมชาติสูงสุดว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้อง..
..มีเหตุมีปัจจัยมาปรุงแต่งเสมอ
ถ้าอยากศึกษาพุทธศาสนาที่แท้จริง อันดับแรก
วางความเชื่อทั้งหมดลงก่อน ทำใจให้เป็นอิสระ
อันดับต่อมา ทำความเข้าใจขันธ์5 และปฎิจจสมุปบาท
ให้รู้จักต้นกำเนิดของการเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรา
อันดับสาม ทดลองปฎิบัติโดย ปล่อยวางความยึดถือว่ามีตัวตน
จนพบความเย็นสงบ
ถ้าดับทุกข์ด้วยตนเองได้แล้ว ก็มีดวงตาเห็นธรรม
ความเชื่อเรื่องกรรมจากชาติก่อนจะหายไป

ไม่มีหรอก ที่ตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง ไปเกิดใหม่
เพราะวิญญาณเกิดขึ้น เมื่อมีการกระทบของผัสสะเป็นครั้งคราว
เช่น ตากระทบรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ ปรุงเป็นตัวกูผู้เห็น
แล้วปรุงต่อ ว่าสวย หรือ น่าเกลียด ปรุงต่อไปเป็นตัณหา กูรัก...
..กูอยากได้ หรือ กูเกลียด กูอยากทำลาย
พอสิ้นสายเป็นกรรม คือการกระทำ ก็เกิดวิบากกรรม
คือรับผล จากการกระทำ เป็นอันจบ สังสารวัฎ1สาย



จากนั้น...ก็เกิดการกระทบใหม่ เกิดตัวกูใหม่ ปรุงใหม่
ไม่จบสิ้นตามผัสสะ ที่มากระทบ
หากเข้าใจ ว่ากูก็ไม่ใช่กู จิตก็ไม่ใช่จิต แค่ธาตุต่างๆตามธรรมชาติ
ทำปฎิกิริยาต่อกัน แค่ขณะต่อขณะ
ความยึดมั่นถือมั่น ความเชื่อ ความกลัว ความงมงายจะหายไป
เหตุที่พระอริยเจ้า บอกว่าชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว กิจที่ควรทำจบแล้ว
เพราะท่านเข้าใจ ปฎิจจสมุปบาทนี่แหละ.......
ตัวกู.... ไม่มี แล้วอะไรๆที่เกี่ยวเนื่องจากตัวกูจะมีได้อย่างไร
สัมมาทิฐินั้น ทำลายอวิชชา ชาติ ภพ กรรม วิบากกรรม
เจ้ากรรมนายเวร ตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคล หมด.....สาธุ สาธุ




ไม่มีใคร ไม่มีอะไร ขังเธอไว้ได้หรอก
มีแต่เธอขังตัวเธอเองเท่านั้น

ขังไว้ใน ความเชื่อ ความศรัทธา ความงมงาย
ความรู้ทางธรรมอีกมากมาย
ความกลัว ความปรารถนาทั้งหลาย แม้กระทั่ง
ความปรารถนาในนิพพาน
ที่ความรู้สึกนึกคิดของเธอปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งสิ้น





Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> Devilgirl Suratthani
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong


ฐิตา:


ธรรมกาย มิใช่ลักษณะ
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?
สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?"
สุภูติทูลตอบว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น
สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภูติ ! หากสามารถ
เห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือตถาคตซิ"

สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !
ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจ.. ในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น
ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย"


โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า
หากอาศัยรูปเห็นเรา อาศัยเสียงวอนเรา
บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม ไม่อาจเห็นตถาคตได้




อนาคต...เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย
ท่านต้องมีชีวิตอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ
....อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น....
ช่วงเวลาข้างหน้ามันจะมาด้วยตัวของมันเอง
มันก็เหมือนเด็กการเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
เราไม่ต้องวางแผนใดๆทั้งสิ้น
มันเหมือนกับแม่น้ำไหลไปลงมหาสมุทร
คนเรา..ก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เลื่อนไหลไป..และอยู่กับขณะ ต่อ ขณะ




สิ่งที่เรียกว่าตัวตนนั้น ไม่ใช่อะไร
หากมันคือเปลวไฟ ที่ถูกจุดให้เร่าร้อนด้วยไฟปรารถนา
เมื่อแรงปรารถนาหายไป เทียนก็หายไปด้วย
เปลวไฟจึงไม่มีอะไรให้เผาไหม้อีก
มันจึงหายสาบสูญไปเช่นกัน
ไม่ทิ้งร่องรอย....และหามันไม่พบ
มันยังอยู่ที่ตรงนั้นเอง เพียงแต่มันตายไปจากตัวตน สมมุติบัญญัติ
และข้อจำกัดใดๆหมด




ทำไม..ต้องรอให้อายุ 80 ปีแล้วมาบอกว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะ...
กินไอติม...เมื่ออยากกิน
กินข้าวขาหมู กะ ทองหยอด
เล่นน้ำฝน...เมื่อฝนตก
ปั่นจักรยานขึ้นภูเขาและล่องแก่ง
ให้เวลากับคน..ที่รักเรามากขึ้น
ไปเที่ยวทุกแห่ง...ที่อยากไป
ถ้า...ถ้า....ถ้า........ทำไม ไม่ทำวันนี้



ชีวิตและความตาย คล้ายปีก2ข้างของนก มันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
ชีวิต เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการตาย
ความตาย ก็มีไม่ได้ ถ้าไม่มีชีวิต



พวกมัน เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลเดียวกัน
แท้จริง..ไม่มีการเริ่มต้น แลไม่มีการสิ้นสุด
อย่ากังวล..อย่ากลัวความตาย แค่การไหลเคลื่อนแห่งเหตุปัจจัย
............จงร่ายรำและมีความสุขกับชีวิต..............


ฐิตา:



อันความคิดนั้น เป็นเพียงสภาวะแห่งธรรมชาติ ที่เกิดกันเอง
และดับกันเองอยู่แล้ว....ส่วนกระแสแห่งจิตทุกชนิดนั้น
ก็เป็นเพียงสภาวะธรรมชาติที่เกิดกันเองและดับกันเองอยู่แล้วเช่นกัน...
ดังนั้น ทั้งความคิด และจิตดวงนี้ เป็นเพียงกระแสแห่งธรรมชาติเท่านั้น
ที่ไม่สามารถมีคำว่าตัวเราเข้าไปควบคุมหรือบังคับมันได้เลย..



*จงปลดปล่อยความสำคัญในตัวเราเสียเอง ก็เพื่อไม่ให้เข้าไปก้าวก่าย
และยึดมั่นในความคิดรวมทั้งกระแสแห่งจิตมายาดวงนี้...
....และเมื่อเราได้รับความอิสระจากความผันแปรของความคิด
และของจิตมายาดวงนี้ เราก็สามารถดำริน้อมความคิดนั้น
มาใช้กับการเป็นการอยู่แบบไม่ทุกข์ และสามารน้อมใช้อารมณ์ความรู้สึก
ไปในทางที่สงบเย็นเป็นแบบอย่างแก่ผู้คนทั้งหลาย
ซึ่งท่านเหล่านี้ จะดำเนินชีวิตอยู่บนเนื้อหาของ มโนสุจริต วจีสุจริต และกายสุจริต
และทั้งหมดนี้ คือการดำรงอยู่โดยวิหารธรรม
ที่มีสุญญตารองรับอยู่แล้วตลอดเวลา..............
(จิตที่ปลงในจิต ความคิดที่ปลงในความคิด ต่างก็ว่างอยู่แล้วในตัวมันเอง)........
โดย: นิรทุกข์ รัตนจักร




ธรรมชาติเดิมแท้ .. ไม่มีการปลอบใจตัวเอง..
ไม่มีคำถามซ้ำซ้อน ..
ทุกอย่างตรงๆ ... “อิสระ”..ที่ใจรู้แจ้ง ..




เซน..นั้น มีจุดมุ่งหมายคือ
"ซาโตริ"  คือประสบการณ์ตรัสรู้
หมายถึง การตื่นอย่างสมบูรณ์ มีแนวคิด
ไปทางธรรมชาติ
ตามบทบาทที่เรียบง่ายในชีวิตประจำวัน
ดังโศลกที่ว่า
"เมื่อหิวก็กิน เมื่อง่วงก็นอน"




เต๋านั้น...แสดงหนทางอิสระ จากเหตุผล
และกฎเกณฑ์ต่างๆ
แสดงความแตกต่างที่กลมกลืนของหยินและหยาง
และการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหลของธรรมชาติ
สรรพสิ่งทุกอย่างในจักรวาลคือการเปลี่ยนแปลง
เต๋า..มองเห็นกฎเกณฑ์ทุกอย่างเป็นเรื่องน่าขำ
กฎเกณฑ์เดียวที่เขายึด...คือการดำเนินชีวิตอย่างไร้กฎเกณฑ์




การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ ..
หากไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสิ .. สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ยาก ..



Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> นิรทุกข์ รัตนจักร
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong

ฐิตา:


ความสงบในความเงียบหาใช่ความสงบที่แท้จริงไม่
เมื่อท่านสามารถทำใจให้สงบได้ "ท่ามกลางกิจกรรมต่างๆ"
นั่นจึงเป็นสภาวะสงบที่แท้จริงของธรรมชาติ
เฉกเช่นเดียวกับความสุขจากความสะดวกสบาย
ย่อมไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
หากแต่เมื่อท่านสามารถมีความสุข ท่ามกลาง..
..ความยากลำบาก
นั่นแหละคือท่านได้เข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของจิตแล้ว




แม้เพียง เศษเสี้ยว ของอัตตา ..
เธอก็  ยังเป็น  คนแปลกหน้าอยู่ดี




ดอกไม้..จะสวยงามที่สุดหากดำรงอยู่..
ตามธรรมชาติ
จงจำไว้ว่า....เมื่อใดก็ตาม...
..ที่ท่านได้  ครอบครอง  สิ่งใด
ท่านกำลัง  ทำลาย  สิ่งนั้น............
ครอบครอง.... ผู้หญิง... ท่านก็...



.....ทำลาย.....
......ความงามและจิตวิญญาน ของเธอ
ครอบครอง.. ดอกไม้..
ท่านก็ทำลาย ความเบิกบาน ของมัน
ครอบครอง ความรัก ก็เพื่อ.. เปิดทาง
ให้ความเป็น...
..เจ้าของ  ทำลายคุณค่าของมัน
..............จงให้เสรีภาพระหว่างกัน...............




เมื่อถึงครา...
บรรลุ ..
กลับไม่มีอะไร...
ให้บรรลุ ..




"วิปัสสนาญาน ทำให้เกิดการละวิจิกิจฉา
เลิกพึ่งพาสิ่งใดๆนอกจากตน"
ไม่มี อะไรที่เป็นตัวตนจริงๆ
ตามอย่างที่ดวงตาเราเห็น และจิตนึกด้วยความเข้าใจผิด...
ทุกสรรพสิ่งเป็นเกลียวเคลื่อนตัว แปรเปลี่ยนไป
ด้วยเหตุนี้เอง คนที่พอจะเข้าใจ..
..ความจริงนี้ได้บ้างอย่างเล็กน้อย
คนคนนั้นก็เริ่มที่จะคลาย... ข้อสงสัย
ใน ชีวิต ในธุรกิจ ในครอบครัวไปได้มากมายอักโข
คนคนนั้นจะเกิดอาการละวิจิกิจฉา และเห็นความสำคัญของ
สติปัญญาตนเองที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและอนาคต ของตน
...เขาจึงเลิกพึ่งพิงสิ่งใดอีกต่อไป




โลกียะ หรือ ศีลธรรม ก็ยังจำเป็น!!!!
ปุถุชนก็จำเป็นที่จะต้องยึดถือ หรือมีอะไรให้ยึดถือกันไปพลาง
ป้องกันอย่าให้ไปทำชั่ว อย่าทำให้เลวไปกว่านั้น
มิฉะนั้นเขาจะไปทำเลวไปกว่านั้นหรือทำอะไรที่ตรงกันข้ามไปหมด
แล้วโลกนี้มันก็วินาศได้เหมือนกัน
ถ้าคนมันบ้าความไม่มีตัวตนกันทั้งโลก
แล้วถือโอกาสทำตามใจตน โลกวินาศได้เหมือนกัน


Bermuda Triangle Whirlpool

ฉะนั้นเราจึงรู้จักว่าเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตานี้
เป็นเรื่องจริงแท้ ไม่ได้เป็นเรื่องสมมุติ
แต่ต้องพูดกันแต่ในหมู่ผู้ที่เห็นความจริง หรือว่าละสมมุติได้
(คำกล่าวท่านพุทธทาส หนังสือเรื่องจิตว่าง หน้าที่ 41)




ในโลกนี้...มีผู้บรรลุธรรมมากมาย แต่ผู้เป็นครูมีเพียงน้อยนิด
การบรรลุธรรมไม่ได้แปลว่าจะเป็นครูได้ด้วย
การเป็นครู แปลว่า ต้องมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ ที่จะไม่เดินบนความงดงามเพียงลำพัง
....พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า เมื่อปิติเกิดขึ้นแล้ว
จงอย่ายึดมั่นกับมัน แต่จงแบ่งปัน
สิ่งที่ควรแบ่งปันมากที่สุด คือให้ผู้อื่นรู้ว่า ไม่เหลือวิสัย ไม่ควรสิ้นหวัง
ทุกคนมีศักยภาพเหมือนกัน เพราะการบรรลุธรรมนั้น
ไม่ได้เลิศเลอ...มหัศจรรย์
แค่เพียง กลับมารู้จักธรรมชาติในตัวตนของเรา...อย่างแท้จริงนั่นเอง




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> ท่านพุทธทาส
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong

ฐิตา:



เมื่อเธอเข้าใจ แก่นแท้ ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
เธอจะเข้าใจแก่นแท้ของทุกศาสนา

สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




จิตที่หลงยึดถือ อุปาทานแห่ง..
..การเป็นตัวตนเท่านั้น...จึงจะมี"กรรม"
แค่กระแสปรุงแต่ง..
แห่งธรรมชาติตามเหตุ.. ตามปัจจัย(ปฎิจจสมุปบาท)
สร้างตัวตนไปรับทำไมว่า"กรรมของกู"

โดย: Devilgirl Suratthani




ไม่มีสิ่งใดในชีวิต
จะน่าปิติยินดียิ่งไปกว่า
การได้รู้จักตัวเอง

There is no other greater ecstasy
than to know who you are.
Osho



โดย: New Heart New World
- โลกเปลี่ยนไป เมื่อใจเปลี่ยนแปลง




อย่างย่อ....เรื่องชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า
..............................
ดูก่อน..อุทายิ ผู้ใดถึงละลึกขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่
ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง จนชั่วกัลป์
มีชื่ออย่างนี้ มีโคตร มีวรรณะ เสวยสุข ทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้
ดูก่อน..อุทายิ ผู้ใดมีจักษุเป็นทิพย์
เห็นสัตว์ทั้งหลาย จุติ บังเกิด ทราม ประณีต ทุกข์ สุข ในเบื้องหน้า
ดูก่อนอุทายิ...ขันธ์ในอดีต ยกไว้ก่อน ขันธ์ในอนาคตยกไว้ก่อน
เราจักแสดงธรรมแก่ท่านว่า
"เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้มี เพราะความเกิดสิ่งนี้ สิ่งนี้เกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ไม่มี เพราะความดับ สิ่งนี้ดับ"
เป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอที่รู้อย่างนี้ จะคิดว่า ในกาลอดีตยืดยาว เรามีไหมหนอ
เป็นอะไรหนอ แล้วเป็นอะไรต่อหนอ
เป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอที่รู้อย่างนี้ จะคิดว่า
ปัจจุบันและอนาคต เรามีไหมหนอ เป็นอะไรหนอ แล้วจะไปสู่ไหนอีกหนอ



หากรู้ ปฎิจจสมุปบาท ก็หายตาบอดกระทันหัน
ไม่มีอะไรเกิดอะไรตายมาแต่แรก
ที่วนเวียนไม่ใช่เรา หากแต่เป็นความหลง
อุปาทานที่ยึดว่า เรา จุติ กาละ เวียนว่าย
หลุดพ้นจากกรอบ..อุปาทานที่หมายมั่นนี่แล้ว
อานิสงส์คือ"อนุปาทิเสสนิพพาน

โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เข้าถึงแล้วซึ่ง อวิชชา
ถ้าเขาปรุงแต่งสังขารอันเป็นบุญ วิญญาณก็เข้าถึง
วิบากอันเป็นบุญ
ถ้าปรุงแต่งสังขารอันมิใช่บุญ วิญญาณก็เข้าถึงวิบากอัน
ไม่ใช่บุญ
ถ้าปรุงแต่งสังขารอเนญชา(สมาบัติอรูปพรหม)
วิญญาณก็เข้าถึงวิบากอเนญชา
..................
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอวิชชาละได้แล้ว
การเกิดขึ้นของวิชชา
ย่อมไม่ปรุงแต่งอภิสังขาร
อันเป็นบุญ, ไม่ใช่บุญและ อเนญชา
เมื่อไม่ปรุงแต่ง เธอย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆในโลก
ไม่สะดุ้งหวาดเสียว
เธอย่อม"ปรินิพพาน"เฉพาะตนนั่นเทียว เธอย่อมประจักษ์ว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อันเราอยู่จบแล้ว
กิจควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้.....ไม่มี!!!

โดย: Devilgirl Suratthani




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุม ธรรมดีที่น่าทำ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version