ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
รวม เตือนภัย "ปัญหาพระภิกษุ" เอ๊ย ไม่ใช่ ต้องเป็น "พระภิกษุที่มีปัญหา"
sithiphong:
พระท่านให้ใช้ปัญญา‘ศรัทธาสงฆ์’‘สมณสารูป’สำคัญ!
วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/223/213528-
อาจเพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้คนเข้าถึงและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้มากมายหลายทาง กรณีบุคคล แฝงตัวห่มผ้าเหลืองแล้วทำให้ภาพลักษณ์พระภิกษุสงฆ์ต้องเสื่อมเสีย รวมถึงกรณี ผู้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์มีพฤติกรรมเป็นที่กังขาของพุทธศาสนิกชนโดยรวม จึงมีปรากฏออกมาสู่สังคมมากขึ้นกว่าในอดีต
การมีกรณีแบบนี้ปรากฏออกมาสู่สังคมมาก ๆ ในมุมหนึ่งมีการมองว่าเป็นผลลบต่อพระพุทธศาสนา แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีการมองว่านี่ก็เป็นผลบวกได้ เพราะเป็นการช่วยกันเป็นหูเป็นตาเป็นปากเป็นเสียงให้พระพุทธศาสนา
เป็นผลบวกได้หากมีการจัดการให้ถูกให้ควร
และชาวพุทธตระหนักถึงความถูกความควร...
ทั้งนี้ กับกรณีครึกโครมเกี่ยวกับพฤติกรรมพระภิกษุสงฆ์ที่มีออกมาสู่สังคม ทำไม? อย่างไรแน่? นั่นก็คงต้องว่ากันไปตามกระบวนการ และก็ย่อมจะสุดแท้แต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม กับประเด็น ’ความถูกความควรของพฤติกรรมผู้ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์“ ในภาพรวมนั้น ชาวพุทธยุคปัจจุบันยิ่งควรตระหนัก
“ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากยุคเกษตรกรรมมาเป็นยุคอุตสาหกรรม ก็ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนกับวัดมากขึ้น ทำให้มีพระปลอมบวช หรือพระที่ไม่มีความรู้ เข้ามาสร้างความเสื่อมเสียได้ง่าย ที่สำคัญยังมีกลุ่มผู้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ มองเห็นช่องทาง โดยดึงเอาความศรัทธามาแปรเป็นทุน”...พระสงฆ์นักเผยแผ่หลักธรรมบางรูปเคยสะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ไว้ ซึ่งนับว่าควรพิจารณา เพราะประเด็นปัญหาในเรื่องนี้แม้จะเป็นเพียงบางจุดบางส่วนในวงการพระพุทธศาสนา-วงการพระสงฆ์ในไทย แต่บางจุดบางส่วนนี่ก็เป็นเหตุให้เกิดความ ’มัวหมอง“ ต่อพระพุทธศาสนา และยังอาจมีการ ’หลอกลวง“ ชาวพุทธ
อันสืบเนื่องกรณีครึกโครมเกี่ยวกับพฤติกรรมพระภิกษุสงฆ์ พระผู้ใหญ่บางรูปในมหาเถรสมาคม ระบุไว้บางช่วงบางตอนว่า...พระวินัยได้กำหนดให้พระหรือวัดอยู่ในความพอดีพอเพียง พระสงฆ์และวัดต้องยึดพระธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง ดำรงตนสำรวมอยู่ในสมณสารูป ซึ่งกับคำว่า “สมณสารูป” นั้น จากข้อมูลบทความในเว็บไซต์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุไว้ว่า... หมายถึง ที่สมควรแก่พระ, กิริยามารยาทที่สมควรแก่สมณะ ขณะที่มงคลที่ 29 ในมงคลชีวิต 38 ข้อ หรือมงคล 38 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ก็มีเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะของสมณะ หรือการดำรงตนของพระภิกษุสงฆ์ให้เหมาะสมกับสมณสารูป
โดยสังเขป-โดยสรุปคือ...สงบกาย สำรวม ไม่มีกิริยาร้าย เช่น แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น พกอาวุธ วิวาท เป็นต้น, สงบวาจา มีวาจาเป็นธรรม ไม่ปากร้าย ไม่ว่าร้าย ไม่ยุยง เป็นต้น, สงบใจ มีจิตใจที่นึกถึงธรรมเป็นสำคัญ มีจิตใจที่สงบจากบาปกรรม มีจิตใจที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา เป็นต้น ...นี่จึงถือว่าเหมาะสมกับสมณสารูป
หรือในบางเว็บไซต์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็ระบุถึง “สมณสารูป” ไว้ประมาณว่า...หมายถึง การประพฤติปฏิบัติ กิริยามารยาทที่เหมาะสมของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้มีระเบียบวินัย มีมารยาทในเรื่องต่าง ๆ ที่เรียบร้อยงดงาม โดยสมณสารูปนี้ ถือเป็นพระวินัยหมวดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
พระสงฆ์ที่ด้อยสมณสารูปก็เสมือนด้อยวินัยสงฆ์
ถ้าไม่มีสมณสารูปเสียเลยนี่ก็คงจะไม่ต้องพูดถึง!!
ทั้งนี้ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุที่โลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนอดีตกาล-พุทธกาล สำหรับพระภิกษุสงฆ์ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถปรับ “วัตรปฏิบัติ” ตามหน้าที่-ตามวินัยสงฆ์ ซึ่งในทางสงฆ์เองก็ดูจะมีการอนุโลมไม่น้อยเลย โดยในที่นี้ก็รวมถึงการมีการใช้ ทรัพย์สินต่าง ๆ สิ่งของต่าง ๆ เครื่องใช้ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการมีการใช้ก็ยังต้องตั้งอยู่บน ’ความเหมาะสม-ความถูกความควร“ กับสถานะพระสงฆ์
กับเรื่องสิ่งของเครื่องใช้นี้ ทางพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งก็เคยระบุไว้ว่า...“ของแบบนี้มันเหมือนกับเหรียญ 2 ด้าน ที่ออกนอกลู่นอกทางตามนิสัยเดิมก็มี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและความรับผิดชอบของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งหนทางแก้ไขที่ทำได้คือทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวังดูแล อย่าให้เกิดสิ่งไม่ดีไม่งามขึ้น”
และกับประเด็น ’ช่วยกันเฝ้าระวังดูแลพระภิกษุสงฆ์“ ก็น่าจะต้องหมายรวมถึงเฝ้าระวังดูแลโดย ส่งเสริม สนับสนุน ’พระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ“ เพื่อให้มีกำลังกายกำลังใจในการสืบสานพระพุทธศาสนา พร้อม ๆ ไปกับเฝ้าระวังดูแล เป็นหูเป็นตาเป็นปากเป็นเสียงเพื่อให้มีการจัดการกับผู้ที่แฝงในผ้าเหลืองเพื่อทำสิ่งไม่ดีหรือแสวงหาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง โดยกับกลุ่มหลังนี่ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในแวดวงสงฆ์เอง มีการใช้คำเรียกว่า ’พระปลอมบวช“ ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้คน ให้กับสังคม และการจะรู้ว่าใช่-ไม่ใช่ พระจริง-พระปลอม ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไรนักสำหรับชาวพุทธทั่วไป
การดูแลเรื่องนี้...ก็ต้องทั้งพระสงฆ์และฆราวาส
ในส่วนฆราวาส...สำคัญที่ ’ศรัทธาและปัญญา“
พระท่านว่า...’ศรัทธาและปัญญาต้องไปคู่กัน“.
sithiphong:
หลวงปู่พุทธะอิสระ แฉเณรคำไม่ได้เป็นพระ
-http://news.sanook.com/1193944/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87/-
(25 มิ.ย.) หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย แฉเณรคำที่กำลังตกเป็นข่าวครึกโครมกรณีนั่งเครื่องบิน หิ้วกระเป๋าหลุยส์ นอกจากนี้ได้มีการต่อโทรศัพท์และเปิดสปีกเกอร์สนทนากับหญิงสาวนักธุรกิจรายหนึ่งที่บอกว่าเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์และพาพระชื่อดังไปเที่ยวฝรั่งเศส ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าวด้วย
ทั้งนี้ นักธุรกิจท่านนี้รับว่าเคยบริจาคทรัพย์จำนวนมากให้กับเณรคำ มีการนิมนต์ไปที่บ้านและไปเที่ยวต่างประเทศ และมีการจ่ายเช็คเงินสดค่าเครื่องบินลำเล็กมูลค่า 17 ล้านบาท นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าการซื้อเครื่องบินลำใหญ่มีการเจรจาดูโปชัวร์ โดยบอกว่าเณรคำเอามาให้ดูมีมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท
โดยนักธุรกิจหญิงรายนี้บอกว่า เณรคำ อ้างว่าจะใช้เป็นพาหนะแต่ถ้าไม่ได้เดินทางไปไหนจะได้ให้คนอื่นเช่า นอกจากนี้ครอบครัวยังเคยเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศสร่วมคณะกับเณรคำ โดยลูกสาวเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์วิตตองถวายให้เอง เนื่องจากเณรคำอยากได้จริง ๆ และนักธุรกิจท่านนี้บอกว่าเคยอยากจะยกมรดกให้ผ่านพินัยกรรมอีกด้วย
หลวงปู่พุทธะอิสระได้พูดคุยกับนักธุรกิจรายนี้ผ่านทางโทรศัพท์โดยบอกว่า ในเมื่อเขาเรียกเราว่าแม่และเมื่อแม่รู้ว่าลูกกำลังหลอกลวงก็ต้องทำให้ถูกต้อง
หลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุว่าเณรคำลวงโลกที่สำคัญลูกศิษย์ของเณรคำยังให้ร้ายคนที่เรียกว่าแม่อีกด้วย โดยบอกว่านักธุรกิจหญิงคนนี้เป็นคนเก็บเงินทั้งหมด และที่บอกว่าเป็นคนจัดคิวสาว ๆ ให้นั้นความจริงแล้วเป็นเพียงการจัดคิวนิมนต์เท่านั้น
นอกจากนี้ หลวงปู่พุทธะอิสระ ยังพูดถึงดอกเตอร์ท่านหนึ่งที่อยากให้ออกมาขอโทษพระรัตนตรัยที่ได้สร้างโจรมาเป็นอรหันต์ ทรัพย์สินที่ได้มาแทนที่จะเอาช่วยเหลือบริจาคต่อกลับเอาไปใช้ส่วนตัว อย่าไปช่วยเหลือขอให้ย้อนกลับไปดูว่าเมื่อก่อนเณรคำมีอะไร ที่นายังต้องเช่าเขาทำเดี๋ยวนี้กลายเป็นมีเครื่องบิน บ้านหรู วันนี้ไม่ต้องตรวจสอบแล้วเพราะไม่มีอะไรจะให้ตรวจสอบที่เขาไม่สร้างวัดเพราะไม่อยากให้มีการตรวจสอบ บวชจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ใครเป็นพระอุปัชฌาไม่มีใครรู้เลย
ขอบคุณข้อมูลจากเรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3
http://news.sanook.com/1193944/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87/
.
sithiphong:
เณรคำรวยรักปริศนา !? กับพ่อยกแม่ยกผู้ศรัทธาและร่ำรวย
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 29 มิถุนายน 2556 06:00 น.
-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078918-
ภาพสีกากับพระดังที่กำลังถูกขยายความอย่างหนัก เพราะไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งคน หากแต่มีถึง 2 คนด้วยกัน
บ้านหลังมหึมาที่ว่ากันว่า หลวงปู่เณรคำซื้อให้หญิงสาว เพียงแต่มีปัญหาเลิกรากันไปทำให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ แต่คณะลูกศิษย์และพ่อของผู้หญิงอ้างว่าเป็นน้องชายของหลวงปู่เณรคำ
คณะลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ (ซ้าย) ดร.สุขุม วงประสิทธิ (ขวา)นายภัทรเดช โสพรรณพานิชกุล หรือเสี่ยก้าวหน้า
นายดำรงชัย ปานจุ้ย
นายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.แดงสุรินทร์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ยังคงรักษาระดับความฉาวโฉ่เอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาทีเดียวสำหรับ ข่าว “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” หรือพระวิรพล ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากเปิดหน้าม่านด้วยความหรูหราระดับเซเลบริตี้นั่งเครื่องบินเจ็ต เฮลิคอปเตอร์ พร้อมสะพายกระเป๋าหลุยส์วิต ตองไปรับกิจนิมนต์
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นของความฉาวโฉ่ที่สำคัญของหลวงปู่เณรคำพุ่งเป้าไปที่ 4 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
หนึ่ง-ผู้หญิง
สอง-ที่ดินสร้างวัดป่าขันติธรรม
สาม-การสร้างพระแก้วมรกตจำลองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรและสำนักพระราชวัง
และสี่-กลุ่มลูกศิษย์ที่ออกโรงมาปกป้องอย่างสุดชีวิตจนสังคมกระหายใคร่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน
เริ่มจากประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดคือ ผู้หญิง เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็น พระดังร่ำรวยอู้ฟู่รายล่าสุดในยุคนี้แล้ว “พระวิรพล สุขผล” หรือ “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมยังกำลังถูกจัดขึ้นชั้นทำเนียบพระรวยรักปริศนา ? ของเมืองไทยอีกรูปหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่ากรณีนี้ตกเป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์ในโลกอินเตอร์เน็ตไล่เลี่ยกับเครื่องบินเจ็ตและกระเป๋าหลุยส์วิตตอง เพียงแต่ข้อมูลยังไม่ได้รับการขยายความมากนักว่า ภาพผู้หญิงที่นอนข้างๆ พระ ซึ่งกลุ่มลูกศิษย์อ้างว่าถูกตัดต่อภาพนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จากนั้นในเวลาต่อมาก็มีการเปิดเผยเรื่องราวของหญิงสาวอีกรายหนึ่ง และว่ากันว่าเป็นต้นเหตุให้ปรากฏภาพฉาวออกมา
ทั้งนี้ เมื่อไล่เลียงจากข่าวบนสื่อทุกแขนงในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ามีสีกามาข้องเกี่ยวแล้วอย่างน้อย 2 นาง รายแรกถูกเปิดเผยออกมาจากโลกออนไลน์ ในรูปภาพนิ่งบุคคลหน้าตาคล้ายพระชื่อดังนอนอยู่กับสีกา ซึ่งเป็นภาพที่บังเอิญไปตรงเรื่องราวอันเป็นที่โจษจันของชาวบ้านหนองพะแนง คุ้ง 10 โนนม่วง ต.รุ่งระวี อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดป่าขันติธรรมมานานนับ 10 ปีแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ
เสียงลือเสียงเล่าอ้างและเสียงโจษจันของชาวบ้านมีอยู่ว่า มีพระหนุ่มขับรถเบนซ์คันหรูกระจกติดฟิล์มดำมืดแวะเวียนมาหาสาวน้อย ชื่ออักษรย่อ “พ” ถึงในบ้านอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในยามค่ำคืนดึกดื่นที่ผู้คนส่วนใหญ่นอน หลับใหลหลังเหน็ดเหนื่อยจากการงานในไร่นา
การคบหาไปมาหาสู่กันระหว่างพระหนุ่มกับสาวน้อยปริศนา นามอักษรย่อ “พ” ดังกล่าว เป็นที่รับรู้และอยู่ในสายตาของพ่อและครอบครัวมาโดยตลอด โดยพระหนุ่มได้เริ่มมาติดพันตั้งแต่สาวน้อยเรียนอยู่ ม. 4
ในขณะนั้นพระหนุ่มที่เพิ่งมาเปิดที่พักสงฆ์เจอฤทธิ์ของกามเทพที่แผลงศรทั้งๆ ที่อยู่ในผ้าเหลืองกับสาว “พ” และได้นำเอาเงินจำนวน 20,000 บาท พร้อมสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท มาหมั้นเอาไว้ จากนั้นได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแบบลับๆ พร้อมซื้อรถยนต์มิตซูบิชิ สีแดงกลางเก่ากลางใหม่ให้ขับไปโรงเรียน
และเมื่อความรักของคู่ผัวตัวเมียข้าวใหม่ปลามันถึงขนาดพระหนุ่มก็ทุ่มเงินสร้างบ้านให้ 1 หลัง มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท แต่ยังสร้างไม่เสร็จตามที่เป็นข่าวอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้
โดยล่าสุดกลุ่มลูกศิษย์ต้องยกก๊วนลงพื้นที่บุกไปเคลียร์กับพ่อเจ้าตัวถึงบ้าน ก่อนจะออกมาแถกับสื่อมวลชนว่า เรือนหอดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับพระดัง แต่เป็นน้องชายพระดังที่หน้าตาคล้ายกันมาก เคยบวชเป็นพระในช่วงเวลาสั้นๆ และมาจีบลูกสาวบ้านนี้ ทว่า อยู่ไม่นานก็เลิกรากันไป
ส่วนเบื้องหลังภาพพระดังนอนอยู่กับสีกาว่อนเน็ตจนกลายเป็นข่าวฉาว นั้น เล่าลือกันว่า เกิดจากสาวน้อยเริ่มไม่มั่นใจหลังพยายามเรียกร้องให้สึกออกมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาอย่างเปิดเผยหลายต่อหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธโดยอ้างว่าขออยู่เพื่อหาเงินไปก่อน อีกทั้งรับรู้ว่าพระหนุ่มมีกิ๊กอยู่หลายคน เที่ยวไปหยอดไข่ไว้หลายแห่ง จึงตัดสินใจนำรูปภาพโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วก่อนที่สื่อจะนำมาขยายความ ซึ่งเป็นภาพถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ ในคืนอันเร่าร้อนหลังพระดังร่วมวงดวดเมรัยยี่ห้อ รีเจนซี่ ที่หิ้วขึ้นรถเบนซ์มาหาที่บ้าน 3 ขวด จนหมดเกลี้ยงและเมาได้ที่
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจโพสต์ภาพฉาวดังกล่าว “พ” ได้ยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้ายให้พระหนุ่มสึกออกมาอยู่ร่วมกันแต่พระหนุ่มไม่ยอม จึงยื่นข้อเสนอขอเงิน 30 ล้านบาท เพื่อนำเอามาสร้างบ้านให้เสร็จและใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่อไป แต่ถูกปฏิเสธอีก จึงเป็นที่มาของรูปภาพในเฟซบุ๊กฉาว โดยใช้ชื่อว่า “แด่สาธุชน” และมีการนำภาพไปถ่ายเอกสาร เขียนข้อความว่า “นี่หรือ พระที่พวกคุณเคารพนับถือ” ไปโปรยหน้าบ้านพระหนุ่มที่บ้านเกิด จังหวัดอุบลราชธานีด้วย
จากนั้น พระหนุ่มได้มาขอเคลียร์ โดยจ่ายเงินให้ 5 ล้านบาท แลกกับการให้ลบรูปภาพออกจากเฟซบุ๊ก และเลิกแล้วต่อกัน ซึ่งปัจจุบัน “พ” ได้แต่งงานไปอยู่กับสามีใหม่ที่จังหวัดทางภาคเหนือ เหลือเพียงผู้เป็นพ่อกับภรรยาใหม่ของพ่อเฝ้าดูแลบ้านอยู่ที่บ้านโนนม่วง
สำหรับสาวสวยรายที่ 2 เพิ่งถูกเปิดโปงออกมาตีแผ่หราบนหน้าสื่อเป็นรายล่าสุด โดย นายทองวรรณ จิตโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ระบุว่า เมื่อประมาณปี 2551 ป้าของนายกอบต. ได้เข้าไปถวายสำรับพระรูปหนึ่งที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ปรากฏว่าได้เจอสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดนอนเดินออกมาจากห้องของพระหนุ่มรูปหนึ่ง ซึ่งป้าของนายกอบต.รู้จักผู้หญิงคนดังกล่าวดีว่า ชื่ออักษรย่อ “ม” อายุ 25 ปี เป็นสาวสวยมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากสำนักสงฆ์อื้อฉาว และเรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มชาวบ้านใกล้สำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างกว้างขวาง
ที่สำคัญ สาวสวยคนดังกล่าวยังไม่ได้แต่งงาน แต่มีลูกชาย 1 คน ปัจจุบันเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (ป.2) โรงเรียนระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่ง และสาวสวยคนนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วราวติดจรวด ทั้งที่ไม่ได้มีอาชีพการงานอะไร แต่กลับมีเงินสดซื้อที่ดิน 7 ไร่ ใกล้กับสำนักสงฆ์และมีบ้านขนาดใหญ่มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาทในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ
แต่ไม่ต้องแปลกใจอะไรถึงสาเหตุความรวย เพราะสืบไปสืบมาก็ได้ความว่าเนื่องจากพระหนุ่มได้พา “ม” ไปอยู่กรุงเทพฯ จึงซื้อบ้านจัดสรรหรูหราราคา 15 ล้านบาทดังกล่าวให้อยู่กับลูก พร้อมรถยนต์เก๋งฮอนด้า แอคคอร์ด 1 คัน ไว้ใช้งาน และส่งเสียเดือนละ 50,000 บาท
เรื่องราวโจษจันเหล่านี้ ได้กลายเป็นตำนานรักปริศนาที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดแจ้งว่าเกี่ยวข้องกับหลวงปู่คนดังหรือไม่ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็อาจไม่เป็นธรรมนัก ยกเว้นเสียแต่ว่าถูกจับได้คาหนังคาเขาและมีภาพถ่ายเป็นประจักษ์พยานมากกว่านี้
ขณะที่ประเด็นเรื่องที่ดินก็วุ่นวายและฉาวโฉ่ไม่แพ้กัน เนื่องจากยายลอน มนัส อายุ 68 ปี ผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของที่ดินวัดป่าขันติธรรมออกมาเรียกร้องให้ก่อตั้งวัดป่าขันติธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งจะไม่ให้หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เข้ามาบริหารวัดอีก เพราะบริจาคที่ดินให้สร้างวัด แต่หลวงปู่เณรคำไม่ได้ดำเนินการก่อตั้งวัดแต่อย่างใด จนกระทั่งใบอนุญาตจากกรมการศาสนาหมดอายุลง
ส่วนที่กลุ่มลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ โดยนายภาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสของหลวงปู่เณรคำ ชี้แจงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนางทองมี วุฒิยาสาร ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเป็นผู้บริจาคให้หลวงปู่เณรคำ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ตามเอกสารการสร้างวัดป่าขันติธรรมและคลิปวิดีโอที่ปรากฏบนยูทิวบ์เรื่องความเป็นมาของวัดป่าขันติธรรมนั้น ยายลอนประกาศและยืนยันชัดเจนว่า ความจริงก็คือ นางทองมี ถวายที่ดิน จำนวน 9 ไร่ เพื่อให้ตั้งวัด และตอนนั้นนางทองมีป่วยจึงได้เรียกตนเองเข้าไปคุยด้วย บอกว่า จะคุยเรื่องดี ๆ ให้ฟัง โดยบอกว่า ให้ทำการเรื่องที่ดินตั้งวัดแทนนางทองมี ที่มอบที่ดิน จำนวน 9 ไร่ ให้เป็นวัดให้ได้
“นางทองมี บอกว่า ไม่สบาย คงจะอยู่ไม่ถึงตอนมอบถวายหรอกนะ ให้แม่ใหญ่ ทำการแทนด้วย จากนั้น นางทองมีจึงได้นำเอาชื่อของชั้นไปใส่กับชื่อของนางทองมี ในหลักฐานที่ดิน พอดีนางทองมีตาย จึงเหลือชั้นเพียงคนเดียว ชั้นจึงจะทำวัดป่าขันติธรรมให้เป็นวัดให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคที่ดิน”นางลอนอธิบาย
จากนั้นอีกไม่กี่วันยายลอนก็งัดเอกสารเป็นสำเนาโฉนดที่ดิน 5 แปลง ที่เป็นชื่อของตัวเอง มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวได้ตรวจพิสูจน์ว่า ตนเองเป็นเจ้าของที่ดินตั้งวัดป่าขันติธรรมอย่างแท้จริง พร้อมเดินทางไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอำเภอกันทรารมย์ เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดป่าขันติธรรมให้ใหม่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกให้ได้ เพราะตามกฎหมายต้องรอให้ถึง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้ยื่นคำร้องขอ และจะนำเอาไปประกอบหลักฐานในการขออนุญาตสร้างวัดป่าขันติธรรมต่อไป
ซ้ำร้ายสำนักสงฆ์สาขาของหลวงปู่เณรคำหลายต่อหลายแห่งยังเป็นการรสร้างโดยบุกรุกป่าสงวน เช่น สำนักสงฆ์ซำติกา อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนสำนักสงฆ์ตาเสก ตำบลบังดอง จังหวัดศรีสะเกษ หรือสำนักสงฆ์สาขาที่ 89 บนยอดเขาอำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลกเป็นที่ ส.ปก.4-01 เป็นต้น
ด้านกรณีการสร้างพระแก้วมรกตจำลองนั้น ชัดเจนว่าวัดป่าขันติธรรมแบะหลวงปู่เณรคำไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง โดยนายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ระบุว่า พระพุทธมณีมหารัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปสำคัญ 1 ใน 61 รายการ ที่มีระเบียบว่าการจำลองจะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากร และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักพระราชวัง แต่จากการตรวจสอบไปยังทะเบียนของสำนักช่างสิบหมู่ ทราบว่าวัดป่าขันติธรรมไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตเข้ามา ขณะเดียวกันสำนักพระราชวังยังหารือมายังกรมศิลปากรว่าให้ช่วยดูแลการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ เพราะปัจจุบันมีผู้นำไปจัดสร้างโดยไม่ได้ผ่านการอนุญาตมากขึ้น
เช่นเดียวกับ น.ส.มาลีภรณ์ คุ้มเกษม หัวหน้ากลุ่มนิติการ กรมศิลปากร ที่ให้ข้อมูลเสริมว่า การจำลองพระพุทธรูปสำคัญมีระเบียบกระทรวงศึกษา ธิการ พ.ศ.2520 ตามมติครม.ในขณะนั้น กำหนดไว้ว่าการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ 61 รายการ เช่น พระแก้วมรกต จะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากร เพื่อกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ส่วนระเบียบดังกล่าวนั้นไม่มีข้อกำหนดโทษ เนื่องจากไม่ได้เป็นข้อกำหนดในพ.ร.บ.
กระนั้นก็ดี นอกจากทั้งสามเรื่องข้างต้นแล้วคำถามที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ใครเป็นโยมอุปัฏฐากหรือพ่อยกแม่ยก หรือลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่เณรคำกันบ้าง ซึ่งเชื่อว่าในจำนวนนี้บริจาคทั้งเงินและข้าวของเครื่องใช้อันหรูหราฟุ่มเฟือยให้หลวงปู่เณรคำทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
แน่นอน กลุ่มลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เณรคำมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น กลุ่มลูกศิษย์ที่ออกมาแถลงข่าวปกป้องหลวงปู่สุดกำลัง กลุ่มนี้ประกอบไปด้วย เสี่ยก้าวหน้า-นายภัทรเดชและนางกุลระวี โสพรรณพานิชกุล สองผัวเมียแห่ง บริษัท ก้าวหน้าอิเลคทริค แอนด์ บิสสิเนส จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในย่านพุทธมณฑลสาย 5 อำเภออ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร และมีกิจการในเหลือหลายบริษัทด้วยกัน โดยประกอบกิจการรับซ่อมแซมเครื่องจักร หรือผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า เช่น ซ่อมมอเตอร์ไฟฟ้า
นายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.แดงสุรินทร์ นายดำรงชัย ปานจุ้ย นายกสมาคมวิชาชีพผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทย เจ้าของร้านทองดำรงชัย 9 ในตลาดศูนย์การค้าบางใหญ่ซิตี้
นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม อดีตผู้สมัครอิสระผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายสุขุมเป็นอดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในฐานะกลุ่มคนรักประชาธิปไตยสนามหลวง เคยเรียกร้องให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภา คืนอำนาจสู่ประชาชน เมื่อปี พ.ศ. 2553 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้แยกตัวออกมาเหตุเพราะถือว่าตัวเองเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่รักสถาบันฯ
นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ http://www.luangpunenkham.com/ ก็ได้ภาพและชื่อของบรรดาลูกศิษย์ที่นิมนต์หลวงปู่เณรคำไปร่วมงานอีกจำนวนไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่น ดร.ธำมรงค์ ประกอบบุญ อดีตอธิบดีกรมประมง และอดีตรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางธัชสุมนต์ สุทธิสาร พ.ต.อ.ดร.เดชชาติ-นางดาราธร วัฒนพนม นางดรุณี เกษศิลป์ พลตำรวจตรีสุรพล ทองประเสริฐ นางสุนันทา ลีเลิศพันธ์เจ้าของยาสีฟันดอกบัวคู่ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสถานีวิทยุเสียงธรรมดอกบัวคู่
ในจำนวนนี้จากการเช็กข้อมูลวงในทำให้ทราบว่า หลายคนยังคงเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่เณรคำอย่างเหนียวแน่น ขณะที่อีกหลายคนได้ถอนตัวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวด้วยว่า มีนายตำรวจระดับสูงในตำแหน่งรองผู้บัญชาการเป็นลูกศิษย์เอก ทำให้คณะของของหลวงปู่เณรคำมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยคุ้มกันถึง 5 คน
นอกจากนั้นยังมีเสียงร่ำลืออีกด้วยว่า มีพระรูปหนึ่งเอ่ยปากขอยืมเงินสีกาเจ้าของธุรกิจใหญ่ระดับประเทศจำนวนถึง 20 ล้านบาท กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่นำเงินที่ยืมไปมาคืนแม้กระทั่งถูกทวงถามมาแล้วหลายครั้งหลายครา ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยดำเนินมาด้วยดีในอดีตสะบั้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย ได้ต่อโทรศัพท์และเปิดเสียงสนทนากับหญิงสาวนักธุรกิจรายหนึ่งที่บอกว่าเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์และพาพระชื่อดังไปเที่ยวฝรั่งเศส โดยนักธุรกิจรับว่าเคยบริจาคทรัพย์จำนวนมากให้กับหลวงปู่เณรคำ มีการนิมนต์ไปที่บ้านและไปเที่ยวต่างประเทศ และมีการจ่ายเช็คเงินสดค่าเครื่องบินลำเล็กมูลค่า 17 ล้านบาท นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าการซื้อเครื่องบินลำใหญ่มีการเจรจาดูโบชัวร์ โดยบอกว่าหลวงปู่เณรคำเอามาให้ดูมีมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท
โดยนักธุรกิจหญิงรายนี้บอกว่า หลวงปู่เณรคำอ้างว่าจะใช้เป็นพาหนะแต่ถ้าไม่ได้เดินทางไปไหนจะได้ให้คนอื่นเช่า นอกจากนี้ครอบครัวยังเคยเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศสร่วมคณะกับหลวงปู่เณรคำ โดยลูกสาวเป็นคนซื้อกระเป๋าหลุยส์วิตตองถวายให้เอง เนื่องจากหลวงปู่เณรคำอยากได้จริงๆ และนักธุรกิจรายนี้บอกว่าเคยอยากจะยกมรดกให้ผ่านพินัยกรรมอีกด้วย
แต่ที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กันก็คือกรณีที่มีการนำคลิปวิดีโอเทศนาของหลวงปู่เณรคำมาตรวจสอบและพบว่า มีหลายครั้งที่หลวงปู่เณรคำมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรม ทั้งการอ้างว่าในอดีตชาติเคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หรือการอ้างว่าเป็นเพื่อนกับพระอินทร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีคลิปที่หลวงปู่เณรคำโฆษณาขายเครื่องฟอกอากาศออกมาอีกต่างหาก
ขณะที่ตัวหลวงปู่เณรคำเองก็ยังคงเงียบและปล่อยให้ลูกศิษย์ออกมาแถลงข่าวตอบโต้รายวัน แถมกำหนดการเดินทางกลับจากฝรั่งเศสก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด พร้อมแต่งตั้งให้พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ หรือหลวงพ่อปานขาว เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณราม ประเทศฝรั่งเศสเป็นรักษาการประธานที่พักสงฆ์ป่าขันติธรรม
แต่ดูเหมือนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลวงปู่เณรคำจะใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา เนื่องเพราะถูกบีบหนักเข้ามาทุกที เนื่องเพราะทางคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษได้มีคำสั่งให้หลวงปู่เณรคำปฏิบัติตามคำสั่ง 3 ข้อคือ
1.ให้พระวิรพล แจ้งให้จังหวัดทราบวันที่จะเดินทางกลับมาให้การสอบสวนชัดเจนแน่นอน ให้แจ้งสังกัดของตนเองว่า สังกัดวัดใด ให้เจ้าคณะจังหวัดทราบแน่ชัด ให้พระวิรพล กลับมาให้การสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตนเองให้เร็วที่สุด โดยไม่เกินวันที่ 30 มิ.ย.56
2.ให้พระวิรพล สั่งให้ศิษย์ฆราวาสงดการโต้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องพระธรรมวินัยสงฆ์ ซึ่งมิใช่วิสัยของฆราวาส จะเป็นเหตุทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนในหลักธรรมวินัย
3.ให้พระวิรพล สั่งให้ศิษย์นำข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไปมอบให้เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต เพื่อจะประมวลข้อมูลในการสอบหาข้อเท็จจริง ให้เกิดความกระจ่างต่อพุทธศาสนิกชนให้ทราบต่อไป
งานนี้ จับยามสามตาดูแล้ว ถ้าหลวงปู่เณรคำคิดสะระตะแล้วกลับมาได้ไม่คุ้มเสีย ดีไม่ดี อาจต้องระเห่เร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศยาวก็เป็นได้
sithiphong:
ดอกบัวคู่ โต้ข่าว ซื้อเครื่องบินเจ็ท-รถหรู ถวายหลวงปู่เณรคำ
-http://www.kapook.com/-
-http://hilight.kapook.com/view/87899-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ CiNNtv3 สมาชิกเว็บไวต์ยูทูบดอทคอม
ลูกชายเจ้าของดอกบัวคู่ ยัน แม่ไม่เคยซื้อเครื่องบินเจ็ท-เฮลิคอปเตอร์-รถหรู ถวายหลวงปู่เณรคำ ปัดหาผู้หญิงให้ ย้ำ ไม่เคยยุ่งกับเงินบริจาค
จากกรณีที่มีข่าวว่า นางสุนันทา ลีเลิศพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ดอกบัวคู่ เจ้าของผลิตภัณฑ์ตราดอกบัวคู่ ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ และเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่เณรคำ เป็นผู้ถวายเครื่องบินเจ็ท เฮลิคอปเตอร์ และรถหรู ให้กับหลวงปู่เณรคำ จนนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมนั้น
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 นายปิติ ลีเลิศพันธุ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทดอกบัวคู่ ลูกชายนางสุนันทา ลีเลิศพันธุ์ ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงเรื่องนี้แล้ว โดยยืนยันว่า นางสุนันทา มารดา ไม่เคยซื้อเครื่องบินเจ็ท เฮลิคอปเตอร์ หรือรถหรูให้กับหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก อย่างแน่นอน มีแต่ทางพี่สาวที่เคยซื้อรองเท้าหลุยส์ วิตตอง ให้กับหลวงปู่เณรคำและพระภิกษุที่เดินทางไปฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน มารดาก็ไม่เคยทำพินัยกรรมว่าจะยกทรัพย์สินของดอกบัวคู่ให้กับหลวงปู่เณรคำด้วย รวมทั้งยังไม่เคยจัดหาผู้หญิงให้กับหลวงปู่เณรคำตามที่มีข่าวออกมา
นายปิติ กล่าวต่อว่า เมื่อหลายปีก่อนตั้งแต่เริ่มศรัทธาหลวงปู่เณรคำ ทางบริษัทได้เคยบริจาคเงินให้ไปเกือบ 10 ล้านบาท แต่เพิ่งจะห่างออกมาในช่วง 2 ปีหลัง พร้อมยืนยันว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเงินบริจาคที่หลวงปู่เคยมาบรรยายที่ดอกบัวคู่ เพราะทุกครั้งที่หลวงปู่มาบรรยาย ทางบริษัทจะแยกตู้บริจาคเป็นประเภทชัดเจน เมื่อบรรยายธรรมเสร็จก็จะประกาศจำนวนเงินบริจาคที่ได้มาให้ญาติโยมทราบ หลังจากนั้นทางวัดก็จะมาเก็บเงินไปเอง
อย่างไรก็ตาม นายปิติ ระบุว่าหลังจากนี้จะไม่ออกมาให้ตอบโต้ข่าวใด ๆ อีกแล้ว เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย และเสื่อมเสียต่อพุทธศาสนา
หลวงปู่พุทธะอิสระ พูดถึง หลวงปู่เณรคำ
หลวงปู่พุทธะอิสระ พูดถึง หลวงปู่เณรคำ
คลิป หลวงปู่พุทธะอิสระ พูดถึง หลวงปู่เณรคำ เครดิต คุณ CiNNtv3
-http://www.youtube.com/watch?v=Rk6-4aqucPM&feature=player_embedded-
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ประชาชาติธุรกิจ
สำนักข่าวไทย
tnnthailand.com
http://hilight.kapook.com/view/87899
.
sithiphong:
แกนนำศิษย์ "เณรคำ" ม.สันติภาพโลกเจอแฉ ไม่ใช่สถาบันศึกษาไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มิถุนายน 2556 16:35 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000079135-
นายสุขุม วงประสิทธิ ศิษย์เอก "เณรคำ" ประกาศเป็น ด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
ลากไส้กันยาว! จาก "เณรคำ" ยันลูกศิษย์ สกอ.แฉ "ดร.สุขุม" จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก แกนนำลูกศิษย์ป้องหลวงปู่เหินฟ้าปารีสไม่กลับไทย ไม่ได้เป็นสถาบันอุดมศึกษาในไทย ไม่มีสิทธิให้ปริญญา เล็งตรวจสอบดำเนินการกับสถาบัน ด้าน ผอ.สำนักพุทธฯ ส่งหนังสือเวียนเตือนเจ้าคณะภาค ระวังถูกเรียกเก็บเงินแลกปริญญาให้พระ
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีสังคมเกิดข้อสงสัยและตรวจสอบกลุ่มลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำที่ออกมาปกป้อง ภายหลังหลวงปู่เณรคำถูกสังคมตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะนายสุขุม วงศ์ประสิทธิ์ แกนนำลูกศิษย์ ที่ประกาศตนเป็นด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ซึ่งอาจเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้าข่ายยังไม่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า พศ.ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนให้ตรวจสอบมหาวิทยาลัยดังกล่าว เพราะอาจมีพฤติกรรมเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนและพระสงฆ์ เนื่องจากมีการเรียกรับเงินประชาชนและพระสงฆ์เข้ารับปริญญาและตำแหน่งทางวิชาการประมาณ 15,000 - 300,000 บาท
"ผมทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แล้วว่าขอให้ตรวจสอบมหาวิทยาลัยดังกล่าว ว่าได้มีการขอนุญาตจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และเมื่อเร็วๆนี้ สกอ.ก็ได้ทำหนังสือตอบกลับมาแล้วว่า มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา จึงไม่มีอำนาจให้ปริญญาบัตรแก่บุคคลใด" ผอ.สำนักพุทธฯ กล่าว
นายนพรัตน์ กล่าวอีกว่า ในหนังสือตอบกลับยังระบุอีกว่า การใช้คำว่ามหาวิทยาลัยโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าผิดกฎหมาย ดังนั้น การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก อาจเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาได้ แต่พฤติกรรมของสถาบันดังกล่าว ตนยังไม่อยากระบุว่าเป็นการหลอกลวง ต้องดูว่าได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งที่ต่างประเทศหรือไม่ หากจดทะเบียนถูกต้อง การให้ปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์ก็ไม่ขัดต่อกฎหมาย และที่ผ่านมาก็มีพระสงฆ์มีชื่อเสียงหลายรูปเข้ารับปริญญากิตติมศักดิ์กับมหาวิทยาลัยดังกล่าว
นายนพรัตน์ กล่าวด้วยว่า ขณนี้ตนได้ทำหนังสือเวียนไปยังเจ้าคณะภาค เพื่อแจ้งถึงสถานภาพของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกว่าไม่ได้อยู่ในกำกับของ ศธ. ดังนั้นหากมีการติดต่อมาขอเรียกรับเงิน เพื่อแลกกับปริญญากิตติมศักดิ์ก็ขอเป็นดุลพินิจของแต่ละบุคคล
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกไม่ได้อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย หากมีการนำชื่อของมหาวิทยาลัยมาโฆษณาให้ทุกคนหลงเชื่อแล้วจ่ายเงิน เพื่อให้ได้ปริญญาถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน หากผู้ใดนำตำแหน่งทางวิชาที่ได้รับจากสถาบันนี้มาใช้หาประโยชน์ใส่ตัว เช่น ด็อกเตอร์หรือปริญญาเอกถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าถูกจับได้จะไม่มีใครเชื่อถือหรือเสื่อมศรัทธาคนที่นำไปใช้เอง เรื่องนี้ สกอ.กำลังตรวจสอบ เพื่อดำเนินการกับสถาบันแห่งนี้ต่อไป
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version