ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
รวม เตือนภัย "ปัญหาพระภิกษุ" เอ๊ย ไม่ใช่ ต้องเป็น "พระภิกษุที่มีปัญหา"
sithiphong:
หลวงปู่เณรคํา เสี่ยงเจอโทษหนัก หากมีสัมพันธ์เด็กต่ำกว่า 15 ปีจริง
-http://hilight.kapook.com/view/88230-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก luangpunenkham.com
ปอท. เผย ภาพเณรคำกับผู้หญิงเป็นการตัดต่อหรือไม่ รู้ผลชัด 8 กรกฎาคมนี้ ด้านสาวอ้างเป็นภรรยาหลวงปู่เณรคำ แฉ พระดังตามจีบตั้งแต่เรียนอยู่ ม.2 พาไปมีเซ็กส์ด้วยหลายครั้ง DSI เร่งสอบ จ่อเจอโทษหนัก หากมีสัมพันธ์กับเด็กอายุไม่ถึง 15 ปี
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2556 พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม กล่าวความคืบหน้าคดี พระวิรพล สุขผล หรือ พระเณรคำ ฉัตติโก ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม ว่าตอนนี้ก็เร่งตรวจสอบในหลายประเด็นทั้งเรื่องการเงิน ทรัพย์สินต่าง ๆ เรื่องรูปภาพที่ถ่ายคู่กับหญิงสาวที่ลูกศิษย์นำมาให้ตรวจสอบ และในประเด็นเรื่องชู้สาว ส่วนข้อมูลการเงินที่ได้จะเพิ่มเติมจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. หรือไม่ และจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้หรือไม่นั้น ต้องรอสรุปผลในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม คดีนี้ไม่เกรงว่าในการทำงานจะทับซ้อนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพราะถือเป็นคดีฉ้อโกงธรรมดา
ด้าน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กล่าวถึงการตรวจสอบรูปภาพพระเณรคำกับหญิงสาวที่เผยแพร่ในสังคมออนไลน์ ว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่มีการส่งต่อกันมา ไม่ใช่ภาพต้นฉบับ จึงต้องขอเวลาในการตรวจสอบหาที่มา ประมาณ 1 สัปดาห์คาดว่าจะทราบผล โดยจะติดตามความคืบหน้าในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ หากพบว่าเป็นภาพจริงไม่ได้ตัดต่อ ผู้ที่โพสต์จะไม่เข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งพระเณรคำจะต้องมาแจ้งความเอง หรือมอบอำนาจผู้อื่นมาแจ้งความ
ทั้งนี้ ในประเด็นเรื่องที่มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาระบุว่าพระเณรคำเป็นพ่อของลูกนั้น ทาง พระครูวัชระสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าศรีสำราญ และเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์พระเณรคำ ระบุว่า หากทั้ง 2 คน เป็นลูกเมียของพระวิรพลจริง ก็ถือว่า ขณะนี้ พระเณรคำ ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแล้ว ซึ่งในส่วนของพระธรรมวินัย ก็จะต้องดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงกันต่อไป ทั้งพยานหลักฐาน เจตนา และการถึงที่สุดแห่งกรรม
ส่วนที่มีข่าวมาว่า พระเณรคำ มีการส่งเสียค่าเลี้ยงดูมาก่อนแล้วนั้น ก็จะต้องสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน และการที่บรรดาลูกศิษย์ของพระวิรพลออกมาแจ้งให้ตรวจสอบรูปที่พระวิรพลนอนกับผู้หญิงนั้น หากรูปภาพเป็นภาพจริง ไม่มีการตัดต่อ จะนำพระวิรพลมาสึกต่อมหาเถรสมาคมนั้น ทั้งนี้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นการดีที่จะได้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ทำให้สังคมหายจากความแคลงใจ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดก็จะต้องว่ากันไปตามพระธรรมวินัยอยู่แล้ว
ด้าน นายวีระ ดาวสี นักวิชาการศาสนาชำนาญการ ระบุว่า หากตรวจสอบพบว่าพระเณรคำมีลูกเมียแล้วจริง จะต้องพ้นจากความเป็นพระ เพราะเป็นความผิดร้ายแรง โดยจะรายงานข้อมูลและหลักฐานต่อที่ประชุมคณะกรรมการสอบอธิกรณ์พระเณรคำต่อไป พร้อมกับตรวจสอบสาขาที่พักสงฆ์สันติธรรม จังหวัดศรีสะเกษ ทั้ง 11 สาขาด้วยว่าปัจจุบันยังมีพระสงฆ์อยู่หรือไม่
ขณะเดียวกัน ในช่วงบ่ายวันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เดินทางไปพบ นางสาวเอ (นามสมมติ) ที่จังหวัดศรีสะเกษ หลังออกมาอ้างว่าเป็นภรรยาของหลวงปู่เณรคำ
โดยนางสาวเอ ยืนยันว่า ตนเองเคยมีสัมพันธ์กับพระเณรคำตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ม.2 เพราะเคยไปทำบุญแล้วได้รู้จักกัน ก่อนที่พระเณรคำจะตามจีบ จากนั้นก็แอบคบหากันจนมีเพศสัมพันธ์กับพระชื่อดังบนรถ และยังมีความสัมพันธ์กันอีกหลายครั้ง
นางสาวเอ เล่าให้ฟังด้วยว่า ทุกครั้งที่พระเณรคำมาหาและพาไปมีเพศสัมพันธ์ด้วยที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ก็จะให้เงินตนครั้งละ 1,000-1,500 บาท เมื่อทราบว่าตนตั้งครรภ์แล้วก็ยังมาเช่าบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานีให้อยู่ จนกระทั่งคลอดลูก
ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จากข้อมูลที่พบเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ที่เคยมีการเผยแพร่ภาพพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งเครื่องบินเจ็ท ใช้ข้าวของแบรนด์เนม ดูจะเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว เพราะหากพระเณรคำมีพฤติกรรมพัวพันกับเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปีจริง จะถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่มีโทษร้ายแรงจำคุกถึง 20 ปี
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก Thai PBS NEWS , INN , คมชัดลึก
.
อาชญากรรม : ข่าวทั่วไป
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2556
กก.วัดใต้ฯมีมติให้ขับ'เณรคำ'พ้นวัดแล้ว
ด่วน!กก.วัดใต้ฯมีมติให้ขับ'หลวงปู่เณรคำ'ออกจากวัดแล้ว 'หลวงปู่เณรคำ'ลั่นไม่กลับไทยหากยังไม่ได้รับความยุติธรรม ด้าน'ดีเอสไอ'ลงพื้นที่สอบสาวอ้างเป็นเมีย'เณรคำ'
6 ก.ค.56 พระราชธรรมโกศล(สวัสดิ์) เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ในเบื้องต้นคณะกรรมการของวัดใต้ฯได้สอบประวัติความเป็นมาของหลวงปู่เณรคำ โดยสรุปว่า ได้บวช มีอุปัฌาย์จริง เข้ามาขอสังกัดวัดใต้ฯจริง และย้ายไปสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรมตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งเรื่องการขับออกจากวัดนั้น คณะกรรมการ เห็นว่า ควรขับออกจากวัด เนื่องจากเห็นว่า ไม่อยู่ที่วัดเป็นหลักแหล่ง พระเณรจะอยู่ที่วัดใดก็ตามไปแล้ว จะต้องบอกลาไปได้เพียง 7 วันถึง 1 เดือน เว้นแต่เจ็บป่วย โดยหลวงปู่เณรคำไปตลอดไม่ได้อยู่ในโอวาทและไม่มา ขาดการติดต่อ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนี้ ก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ โดยจะส่งผลสรุปมาให้ คณะกรรมการชุดใหญ่ที่ตนเป็นประธานได้พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งในเบื้องต้นก็อาจจะยืนยันตามความเห็นของคณะกรรมการแต่ก็จะดูว่า หากขับควรจะขับออกวันไหนภายในกี่วัน โดยคาดว่า จะดำเนินการเสร็จและประกาศได้ไม่เกินวันที่ 9 ก.ค.นี้
ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ตนได้รับทราบในเบื้องต้นเกี่ยวกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการที่ พระราชธรรมโกศล(สวัสดิ์) เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีตั้งขึ้น เกี่ยวกับ การขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อว่า ที่ประชุมเห็นว่า ให้ขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ โดยคณะกรรมการกำลังสรุปผล เพื่อส่งให้คณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีพระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พิจารณาอีกครั้งว่า จะกำหนดระยะเวลาให้ขับออกจากวัดภายในวันไหน ซึ่งในส่วนของพศ.เห็นว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสม หากคณะกรรมการพิจารณาว่า ควรขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัด เนื่องจากทุกฝ่ายได้ให้โอกาสหลวงปู่เณรคำเข้ามาชี้แจงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ยอมมาให้ข้อมูลแต่อย่างใด จากนี้ไปก็เป็นกระบวนการของเจ้าคณะปกครอง และกระบวนการทางกฎหมายบ้านเมืองต่อไป
"หลวงปู่เณรคำ"ลั่นไม่กลับไทยหากยังไม่ได้รับความยุติธรรม
นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนถึงสมเด็จพระวันรัต ในฐานะรักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตและกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อขอให้ความเป็นธรรมแก่ พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ แต่จากการสอบถามคณะสงฆ์ภายในวัดพบว่า สมเด็จพระวันรัตไม่ได้จำวัดอยู่ในช่วงเวลานี้ ขณะที่พระเทพสารวาที ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ยังคงติดภารกิจ ทำให้นายสุขุมยังไม่สามารถยื่นหนังสือร้องเรียนได้
นายสุขุม กล่าวว่า เครือข่ายบ้านวิมุตติธรรมอยากร้องเรียนถึงสมเด็จพระสังฆราช และมหาเถรสมาคม(มส.) ให้พิจารณากระบวนการยุติธรรมของฝ่ายสงฆ์อย่างมีธรรมะ และเมตตาธรรม รวมถึงขอให้ทบทวนคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ายธรรมยุต เพราะเดิมทีมีคำสั่งให้เวลาหลวงปู่เณรคำ เข้าชี้แจงต่อคณะสงฆ์ภายในวันที่ 31 ก.ค.2556 แต่กลับเลื่อนระยะเวลาเข้ามาเหลือเพียงวันที่ 7 ก.ค.นี้ หากไม่เข้ามาชี้แจงก็จะขับไล่ออกจากสังกัด ซึ่งมีผลให้สึกภายใน 3 วัน ซึ่งพวกตนมองว่าไม่ยุติธรรมต่อหลวงปู่เณรคำ ที่สำคัญยังไม่เปิดโอกาสให้หลวงปู่เณรคำส่งตัวแทน อาทิ นักกฎหมาย ทนาย หรือลูกศิษย์เข้าชี้แจงแทนแต่อย่างใด
"กระบวนการยุติธรรมของฝ่ายสงฆ์นี้เป็นการตัดสินเพียงฝ่ายเดียว ไม่เปิดโอกาสให้ท่านได้มีตัวแทนเข้าอธิบาย เนื่องจากท่านยังติดกิจนิมนต์อยู่ที่ฝรั่งเศส ถือเป็นการละเมิดสิทธิของท่าน และไม่สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทย เป็นไปในลักษณะเผด็จการ เพราะไม่ปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ทำให้เป็นที่อับอายของชาวต่างประเทศที่เฝ้าจับตามองข่าวอยู่ในขณะนี้" นายสุขุม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการหารือกับหลวงปู่เณรคำหรือไม่ ว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อใด นายสุขุม กล่าวว่า ขณะนี้หลวงปู่เณรคำยังคงติดกิจนิมนต์อยู่ที่ฝรั่งเศส และจะยังไม่เดินทางกลับประเทศไทยจนกว่าจะได้รับความยุติธรรมจากขบวนการยุติธรรมเสียก่อน อย่างการพิจารณาความผิดก็ควรรอผลการพิสูจน์ภาพถ่ายที่มีกล่าวอ้างว่าเป็นภาพหลับนอนร่วมกับสีกาของหลวงปู่เณรคำเสียก่อน ซึ่งตนได้ไปยื่นที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้วเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าจะรู้ผลได้ภายใน 7 วัน หากผลออกมาว่าเป็นหลวงปู่เณรคำก็จะขออโหสิกรรมให้ แต่หากไม่ใช่ก็จะเดินหน้าปกป้องผ้าเหลืองของหลวงปู่เณรคำต่อไป เพราะสำหรับเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรมแล้ว หลวงปู่เณรคำยังไม่ผิด จะไม่ให้ใครมาปลดผ้าเหลืองของท่านออกได้
นายสุขุม กล่าวต่ออีกว่า ส่วนกรณีเรื่องที่มีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นภรรยาออกมาแฉว่ามีลูกด้วยกันนั้น ก็ขอให้มีการพิสูจน์ดีเอ็นเอกันทั้งสองฝ่ายแล้วจึงควรมีคำตัดสิน ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงอยากให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ตนจะไปยื่นเรื่องถึงศูนย์ช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย เนติบัณฑิต เพื่อให้ส่งผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพระวินัยสงฆ์มาช่วยเหลือหลวงปู่เณรคำด้วย เพราะถือว่าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
DSIลุยสอบสาวอ้างเป็นเมีย"หลวงปู่เณรคำ"
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ( ดีเอสไอ)ลงพื้นที่สอบปากคำนางสาวเอ ( นามสมติ) อายุ 26 ปี ภูมิลำเนา จ.ศรีสะเกษ ที่อ้างมีความสัมพันธ์กับพระวิรพล ฉตฺติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ จนมีทายาทด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อสอบพยานที่รู้เห็นเกี่ยวกับพฤติการณ์ของพระวิรพล โดยจะมีการหาพยานแวดล้อม สืบพยาน เพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย เพื่อความเป็นธรรม นอกจากนี้จะสอบปากคำอดีตลูกศิษย์พระวิรพล เพื่อหาเส้นทางการเงิน และหาหลักฐานอื่นๆ เพื่อดำเนินคดี
ขยายผลคดี"ม.สันติภาพโลก"ถึงมูลนิธิศรัทธา เร่งเช็คเส้นทางเงิน
พ.ต.ท.ศักกพล สุขปาน หัวหน้าสำนักสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนคดีการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาสันติภาพโลกว่า จากการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง 3 รายวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ประกอบด้วย นายเรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์ ผู้ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกในประเทศไทย นางประไพจิตร สว่างเนตร นายทะเบียนที่อ้างว่า เป็นผู้แทนประงานกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกที่ประเทศปากิสถาน และนายสมัย เหมันต์ ผู้ดูแลระบบเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เบื้่องต้นพยานทั้งหมดให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยยอมรับว่า การมอบปริญญาเป็นการอุปโลกน์ขึ้น และไม่ได้มีการระบุให้ผู้รับปริญญาทราบว่าปริญญาบัตรดังกล่าวไม่สามารถนำไปรับรองวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้นได้ ทำให้เกิดปัญหาว่าบางรายนำใบปริญญาไปขอปรับวุฒิการศึกษา หรือนำไปเป็นเอกสารประกอบการลงสมัครรับเลือกตั้งต่าง ๆ นอกจากนี้ นายสมัยได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเบื้องหลังและที่มาที่ไปการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ดีเอสไอจึงกันตัวไว้เป็นพยาน และประสานให้สำนักคุ้มครองพยานเข้าไปดูแลความปลอดภัยแล้ว
พ.ต.ท.ศักกพล กล่าวต่อว่า ในสัปดาห์หน้าจะทยอยเรียกบุคคลที่ได้รับใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยดังกล่าวเข้าให้ปากคำ เบื้องต้นทราบว่ามีจำนวนกว่า 1,200 คน โดยจะเรียกกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียงก่อน จากนั้นในวันที่ 15 ก.ค. นี้ ตนจะนำพนักงานสอบสวนลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อสอบปากคำพยานจำนวนกว่า 10 ปาก เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ขณะเดียวกันจะเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับนายสวัสดิ์ บันเทิงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ตัวการใหญ่ในการจัดตั้งและดำเนินการมหาวิทยาลัย ซึ่งล่าสุดยังไม่ติดต่อเข้าพบกับพนักงานสอบสวน สำหรับนายสุขุม วงษ์ประสิทธิ์ ลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ ที่อ้างได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยดังกล่าวและนำไปอ้างในการลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม.นั้นได้ประสานข้อมูลกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)แล้ว พบว่ามีการนำปริญญาบัตรไปใช้อ้างจริง จึงเตรียมแจ้งความดำเนินคดีฐานใช้เอกสารปลอมลงสมัครลงเลือกตั้ง
"มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกมีการก่อตั้งขึ้น 3 สาขา โดยสาขาที่ 3 อยู่ระหว่างดำเนินการขอจัดตั้ง ส่วนสาขา 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่จ.ขอนแก่น และมีนายเรวัตร์ เป็นผู้จัดตั้งพนักงานสอบสวนพบว่ามีการเปิดเป็นมูลนิธิศรัทธา โดยอ้างว่าเป็นมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคมและผู้ยากไร้ ดังนั้นดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินเกี่ยวกับการรับบริจาคทั้งหมดว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาคดีด้วย" พ.ต.ท.ศักกพล กล่าว
"ธาริต" ชี้ "หลวงปู่เณรคำ" ส่อโดนโทษหนัก สัมพันธ์ชู้สาวกับเด็กหญิงอายุไม่ถึง 15 ปี
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนกรณีที่มีการร้องเรียนหลวงปู่เณรคำฉ้อโกงประชาชนว่า ขณะนี้การสืบสวนหาข้อมูลมีความคืบหน้าไปมากโดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการเสพเมถุน ซึ่งในวันนี้ชุดสืบสวนนำโดย พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษไปสอบปากคำหญิงสาวรายหนึ่งที่อ้างว่า มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลวงปู่เณรคำ ตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งถือเป็นความผิดอาญาร้ายแรงฐานกระทำชำเราผู้เยาว์ เบื้องต้นได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้วและจะเตรียมส่งตัวหญิงรายนี้เข้าสู่การคุ้มครองพยานเพื่อให้การดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ประเด็นการตรวจสอบหลวงปู่เณรคำมีหลายประเด็นทั้งเรื่องการฉ้อโกง การอวดอุตริ และการเสพเมถุน แต่กรณีการเสพเมถุนขณะนี้ค่อนข้างมีความชัดเจนที่สุดและคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ช่วงปลายเดือนก.ค.นี้จะเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมเพื่อรับเป็นคดีพิเศษ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของศาสนาและความเชื่อถือของประชาชน ทั้งนี้หลังรับเป็นคดีพิเศษดีเอสไอจะมีอำนาจในการสอบสวนได้ครอบคลุมทุกเรื่องรวมถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงินและจะรับมอบสำนวนการสอบสวนจากกองบังคับการกองปราบปรามด้วย ที่สำคัญการขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องจำเป็นต้องให้มีมติรับเป็นคดีพิเศษก่อน
“ ก่อนหน้านี้ที่มีการเผยแพร่ภาพพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทั้งการใช้ของหรูหรา การขึ้นเครื่องบินเจ็ต ขณะนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปแล้วเมื่อเทียบกับผลการสืบสวนขณะนี้ที่พบข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมพัวพันเชิงชู้สาว โดยเฉพาะเกิดขึ้นกับเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่มีโทษร้ายแรงจำคุกถึง 20 ปี” อธิบดีดีเอสไอ กล่าว
-http://www.komchadluek.net/detail/20130706/162783/DSI%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3.html#.Udi2l20h-AJ-
http://www.komchadluek.net/detail/20130706/162783/DSI%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3.html#.Udi2l20h-AJ
sithiphong:
DSI สอบเมีย “ไอ้คำ” แฉมีสัมพันธ์ครั้งแรกบนรถ ตั้งท้อง ม.3 คลอดที่อุบลฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กรกฎาคม 2556 21:01 น.
-http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082516-
จนท. ดีเอสไอ บุกสอบข้อเท็จจริง กับ น.ส. ญ ที่ออกมาเปิดเผยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระฉาวชื่อดัง จนมีลูกชายด้วยกัน 1 คน ที่บ้านหนองนาเวียง ต.น้ำเกลี้ยง อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ วันนี้ ( 6 ก.ค.)
ศรีสะเกษ - ดีเอสไอสอบลูกเมีย “ไอ้คำ” เผยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันครั้งแรกบนรถ ขณะเรียนอยู่ ม.2 และหลังร่วมหลับนอนให้เงินครั้งละ 1,000-1,500 บาท จนกระทั่งตั้งท้องช่วงใกล้เรียนจบ ม.3 ระบุเคยส่งเสียเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท ผ่านลูกศิษย์ที่เป็น ตร.ทางหลวง แต่หายไปนานแล้ว ล่าสุด ได้แค่ 2,000 บาท
เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (6 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 30/1 ม.7 บ้านหนองนาเวียง ต.น้ำเกลี้ยง อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีฉ้อโกงเงินบริจาคของพระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ได้เดินทางมาพบกับ น.ส.ญ ที่ออกมาเปิดเผยว่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระฉาวชื่อดัง
น.ส.ญ ได้ให้การต่อ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว หัวหน้าคณะทำงานการสอบสวนในเรื่องนี้ว่า รู้จักกับพระชื่อดังในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในเขต อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากยายพาไปทำบุญกับพระชื่อดัง ต่อมา พระชื่อดังได้ตามจีบตน และบอกว่าหากยอมเป็นแฟนด้วยจะซื้อสิ่งของมีค่าที่อยากได้ให้หมด ตนหลงเชื่อ และได้นัดหมายกับพระชื่อดังให้มาพบเพื่อไปเที่ยวด้วยกัน ซึ่งพระชื่อดังจะขับรถมารับตนนอกหมู่บ้าน โดยพระชื่อดังจะสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ สวมหมวก และใส่แว่นตา โดยครั้งแรกมีเพศสัมพันธ์ลึกซึ้งกันบนรถ ซึ่งพระชื่อดังได้ให้เงินจำนวนหนึ่งไว้ซื้อของใช้
จากนั้นก็มีความสัมพันธ์กันเรื่อยมา ส่วนมากแล้วจะเป็นที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในเขต อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และที่บริเวณกุฏิสงฆ์ในป่าช้าบ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ โดยทุกครั้งที่มาพบและหลับนอนด้วยกัน พระชื่อดังจะให้เงินครั้งละ 1,000-1,500 บาท จนกระทั่งตนตั้งท้องเมื่อช่วงใกล้จบ ม.3 พระชื่อดังจึงได้พาไปเช่าบ้านอยู่ที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และได้คลอดลูกที่โรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งในเขต อ.เมือง จ.อุบลราชธานี โดยใช้ชื่อญาติของตนคนหนึ่งเป็นพ่อของเด็ก
น.ส.ญ ให้การต่อว่า ตนออกมาเรียกร้องต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้เพื่อต้องการให้พระชื่อดังออกมาแสดงความรับผิดชอบส่งเสียเลี้ยงดูลูกชายกับตนด้วย เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ ได้ส่งเสียเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท มานานแล้วโดยผ่านลูกศิษย์ของพระชื่อดังที่เป็นนายตำรวจทางหลวงคนหนึ่ง แต่ช่วงหลังไม่ได้โอนเงินมาให้ ล่าสุด ลูกศิษย์ของพระชื่อดังให้เงินตนมาเพียง 2,000 บาทเท่านั้น ซึ่งตนพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าลูกชายของตนเป็นลูกของพระชื่อดังแน่นอน
ทางด้าน พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ กล่าวว่า ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก น.ส.ญ ซึ่งจะได้นำตัว น.ส.ญ ไปชี้จุดสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ตที่เคยไปร่วมหลับนอนกัน กุฏิพระสงฆ์ รวมทั้งบ้านที่เคยอยู่ และสถานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อประกอบหลักฐานในการสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป
จากนั้น คณะของดีเอสไอได้นำตัว น.ส.ญ พร้อมสามี และลูกทั้ง 2 คน เดินทางไปที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในเขต อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เพื่อชี้จุดห้องพักที่มีการร่วมหลับนอนกัน
---------------------------------------------------------
“กัปตันปิยะ” ชวนตะลึง “เณรคำ” โชว์รวย คุยมีเรือยอชต์-เงินฝากแบงก์นอกเพียบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2556 01:47 น.
-http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082568-
อดีตนักบิน “ปิยะ ตรีกาลนนท์” เปิดใจ หาเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวสนอง “เณรคำ” ก่อนถอนตัวออกห่าง ชี้พฤติกรรมสุดจำอวด คุยโวมีรถหรู เรือยอชต์ ตะลึงเปิดย่ามโชว์เงินดอลลาร์ปึกละร้อยเต็มย่าม ภูมิใจนำเสนอสมุดเช็ค บอกมีเงินฝากในอเมริกาเพียบ ธนาคารทำให้เป็นพิเศษ เซ็นได้หลักสิบล้านดอลลาร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในแวดวงโซเชียลเน็ตเวิร์กมีการแชร์ข้อความต่อจาก Seksan Prrueksawan ซึ่งอ้างเป็นข้อความที่กัปตัน ปิยะ ตรีกาลนนท์ อดีตนักบิน และครูการบินบริษัท ไทย แอร์เอเชีย จำกัด โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยใช้หัวข้อว่า “ข้อเท็จจริง เณรคำ” ตามข้อความดังนี้
“...สิ่งที่ผมจะบรรยายต่อจากนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ผม กัปตันปิยะ ตรีกาลนนท์ ประสบเองกับ เณรคำ ซึ่งตัดสินใจอยู่นานว่าจะเขียนลงเฟซบุ๊กดีมั้ย เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องของเรา แต่หลายครั้งคนไทยมักจะคิดแบบผม คือไม่ใช่เรื่องของเรา ก็เลยปล่อยให้ใครหลายๆ คน ที่ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง “ลอยนวล”
เณรคำ เฉียดเข้ามาในชีวิตผม เมื่อประมาณสามปีได้แล้วครับ ตอนนั้นมีรุ่นพี่ที่เคารพกัน แนะนำให้ผมเข้าไปพบ เพราะเณรคำอยากใช้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ ผมก็ทำหน้าที่จัดหาเครื่องบินเจ็ทแบบ 7 ที่นั่งจากแหล่งต่างๆ ให้ท่านอยู่หลายเที่ยว ซึ่งปกติจะเป็นเส้นทางเดิมๆ คือ กรุงเทพฯ อุบลฯ ไป-กลับ โดยปกติจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายก่อนเดินทาง ซึ่งก็ได้รับค่าบริการเป็น “เงินสดๆ” เสมอ (กรุงเทพฯ-อุบลฯ ไป-กลับ ประมาณ 3 แสนบาท) แต่มาพักหลัง คนของเณรคำให้ผมนั่งเครื่องไปกับพระด้วย เพื่อสอบถามเรื่องการมี เครื่องบินเจ็ทไว้ใช้เองส่วนตัว ผมก็ให้คำแนะนำไป ในเรื่องของราคา เช่นถ้าเป็นลำใหม่ป้ายแดง เป็นแบบ 7 ที่นั่งแบบนี้ก็ต้องมีประมาณ 500-700 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นมือสอง ก็เริ่มต้นที่ 100 กว่าล้าน เณรคำคุยกับผมหลายครั้ง ซึ่งถ้าไม่เป็นบนเครื่อง ก็จะเป็นที่โรงพยาบาลกรุงเทพ
ซึ่งตอนหลังถึงเข้าใจได้ว่า ทำไมต้องโรงพยาบาลกรุงเทพ เพราะ “พระ” เวลามากรุงเทพฯ จะจำวัดตามโรงแรมไม่ได้ เณรคำเลยเปิดโรงพยาบาลนอนจะสะดวกกว่า ผมยืนยันว่าสะดวกกว่าวัดมากจริงๆ ครับ เพราะเณรคำเล่นปิดทั้งชั้น ทุกครั้งที่ผมไปพบจริงๆ ผมว่าคนที่โรงพยาบาลกรุงเทพคงมีเรื่องเมาท์มากกว่าผมเยอะ เพราะการปิดชั้นวีไอพีคงไม่ธรรมดา สังเกตจากพยาบาลที่นั่นจะให้การเคารพเณรคำเป็นพิเศษจริงๆ
ส่วนเรื่องเวลาจะมาจะไปของเณรคำที่ผมเห็นกับตาตัวเอง มักจะมีรถที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่พอสมควร ที่แน่ๆ คือ เณรคำนั่ง Maybach ซึ่งราคาถ้าเสียภาษีถูกต้องก็ต้องมี 50 ล้านบาทแน่นอน (ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่ใช้โรลส์รอยซ์ ถูกกว่าอีก) และจะมีรถที่เณรคำบอกผมว่าเป็นรถสำรองอีก 2 คันเสมอ คือ Benz S500 และ BMW X6 ทั้ง 3 คันเป็นป้ายแดงหมด (หลังๆ ผมสงสัยเอาเองว่ารถคงจดทะเบียนไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นประเภทสีเทาๆ) เรื่องการพูดจาของเณรคำ จะเป็นอะไรที่เวลาพูดกับผม ผมประหลาดใจในเกือบทุกเรื่องเช่น เณรคำบอกว่าเรื่องรถที่เห็นยังน้อย ปกติอยู่ที่วัด มีมินิสองคัน คันนึงเปิดประทุน เอาไว้ขับเล่นในวัด และให้คนขับเอาเงินไปเข้าธนาคาร มีเรือยอชท์อีกต่างหาก
ที่ประหลาดสุดๆ คือของในย่ามเณรคำ เพราะผมเป็นคนถือขึ้นเครื่อง “มันหนักมาก” เคยถามเณรคำว่าทำไมหนักจังท่าน เณรคำรีบยกมาที่ตักและเปิดโชว์ผมทันที ผมเห็นกับตาตัวเองจึงเชื่อ เพราะในนั้นมีเงินสดที่เป็นเงินดอลลาร์ ปึกละ 100 ใบอยู่เต็มย่าม และ แต่ละใบเป็นธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์อีกต่างหาก ยังไม่พอ เณรคำบอกว่าที่หนักไม่ใช่เงิน เป็นทองคำแท่งที่ก้นย่ามมากกว่า อันนี้ผมเห็นไม่ชัด ไม่กล้าพูด เพราะทุกสื่งที่ผมพูด “ต้องเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น” เผื่อเณรคำจะมาฟ้องผมทีหลัง หรือสรยุทธเอาไปออกอากาศ
ยังไม่หมดครับ เณรคำคุยเรื่องซื้อเครื่องบินว่า เราอยากได้ใหม่ๆ เรามีเช็คของแบงค์ใน อเมริกา ว่าแล้วก็หยิบสมุดเช็คขึ้นมาอวด 2 เล่ม เล่มแรกอธิบายให้ผมฟังว่าเล่มนี้เซ็นวงเงินน้อยๆ คนอเมริกันใช้กันเยอะ แต่เล่มที่ 2 นี่สิ เณรคำภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเล่มนี้เซ็นได้เป็นหลัก 10 ล้านดอลลาร์ได้เลย แถมพิมพ์ชื่อเณรคำที่เช็คทุกใบด้วย บอกว่าธนาคารในอเมริกาทำพิเศษให้ เพราะเรามีเงินฝากอยู่ที่นั่นเยอะมาก
และแล้ว เรื่องเครื่องบินก็ต้องมาสะดุดเพราะผมเอง เณรคำเลือกเครื่องอยู่หลายรุ่น และดูเหมือนจะเลือกที่ถูกใจได้แล้ว แต่ให้ผมรับปากว่าต้องไปรับเครื่องจากอเมริกาด้วยกัน เพราะอยากจะท่องเที่ยวตอนขากลับด้วย เพราะเครื่องต้องแวะเติมน้ำมันประมาณ 4-5 จุดกว่าจะถึงไทย เณรคำบอกว่าดี วางแผนมาเลยว่าจะแวะที่ไหนดี แถมยังมีให้แวะนอกเส้นทางด้วยเพราะไม่เคยไป และอยากไป ประเด็นที่เณรคำจะกลับกับเครื่องนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ผมตัดสินใจหยุดการจัดหาเครื่องให้พระคนนี้ เพราะ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายของผมจริงๆ ตั้งแต่รู้จักเณรคำก็เจอเรื่องแปลกๆ มาเยอะ แต่จะให้อุ้มย่ามหนักๆ และผ่านตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4-5 ประเทศแทนเณรคำ กัปตัน ปิยะ รับไม่ได้ครับ เกิดมีอะไรผิดกฎหมาย ผมติดคุกที่เมืองนอกหัวโต ไม่ได้กลับมาใช้เงินค่าคอมมิชชันเครื่องบินแน่ ผมเลยปฏิเสธเขาไปด้วยเหตุผลที่ผมไม่พร้อม และจากนั้นผมก็เริ่มห่างจากเณรคำ
ประเด็นที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ ผมสงสัยมานานแล้วว่าพระอะไรมีตังค์เยอะแยะขนาดนี้ ดังก็ไม่ดังนะ เพราะถามใครก็ไม่มีใครรู้จักเลย วันนี้คงต้องมาช่วยกันตามหาความจริงกันต่อครับ สุดท้ายสิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดคือ “ผมไม่เคยทำบุญกับเณรคำเลยแม้แต่บาทเดียวครับ” เพราะรับไม่ได้ตั้งแต่แรกพบครับ
ป.ล. คนที่ใส่เสื้อสีขาวนั่นหละครับ ปิยะ เพื่อนผม คนดีศรีอยุธยา หรืออยุธยาไม่สิ้นคนดี ดั่งที่โบราณท่านว่าไว้ คริ คริ”
ลิงก์ข่าวน่าสนใจ ติดตามเพิ่มเติมนานาสาระเกี่ยวกับ “เณรคำ” www.alittlebuddha.com
---------------------------------------------------------
sithiphong:
“หลวงปู่พุทธะอิสระ” ยื่นฟ้อง “เณรคำ” แต่งกายเลียนแบบสงฆ์-ฉ้อโกงประชาชน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 5 กรกฎาคม 2556 15:12 น.
-http://mgr.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082045-
“หลวงปู่พุทธะอิสระ” พร้อมลูกศิษย์กว่า 100 คนและทนายความยื่นฟ้องศาลอาญา เอาผิด “เณรคำ” แต่งกายเลียนแบบสงฆ์และฉ้อโกงประชาชน ลั่นหวังเจ้าคณะปกครองสงฆ์ฟันเอาผิด “เณรคำ” ยากเพราะถูกครอบไว้หมดด้วยลาภสักการะที่ดูแลกันมานานนับสิบปี!
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (5 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม พร้อมด้วยนายพายัพ เฮ้าประมงค์ ทนายความ ได้เดินทางมายื่นฟ้องพระวิระพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ หรือนายวิระพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.บ้านยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ พระภูมินทร์ ภูริปัญโญ พระเลขานุการของหลวงปู่เณรคำ นายสนอง วรอุไร กับพวกที่เป็นลูกศิษย์รวม 9 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายแสดงว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 86, 90-91, 208 และ 343
โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อประมาณปี 2551-2556 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้ง 9 ร่วมกันหลอกลวงประชาชนจนเป็นเหตุให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนจำนวนมาก โดยจำเลยที่ 1 หลอกลวงให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นผู้วิเศษมีญาณชั้นสูงสุดหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งจำเลยออกไปแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนาถึงขั้นนิพพาน และอ้างว่าตนเองได้บรรลุธรรมมาตั้งแต่เป็นสามเณรแล้ว ซึ่งได้มีการเผยแพร่ออกสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 อาบัติปาราชิก ขาดจากการเป็นพระสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัยตั้งแต่เวลาดังกล่าวแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิ์แต่งกายหรือเครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ส่วนจำเลยที่ 2-9 ได้กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดดังกล่าว นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังได้หลอกลวงประชาชนว่าได้รับอนุญาตให้สร้างวัดชื่อ วัดป่าขันติธรรม ต.บ้านยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และที่เป็นสาขาอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ทั้งที่จำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งวัดตามกฎหมาย และจำเลยที่ 1 ยังได้ใช้ภาพของพระสงฆ์และวัดเป็นเครื่องมือในการอ้างก่อสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งยังไม่ได้ขออนุญาตเช่นเดียวกัน โดยหลอกลวงจนประชาชนหลงเชื่อและนำเงินทองทรัพย์สินมาบริจาคให้กับจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 นำทรัพย์สินไปแสวงหาความสุขทางโลกและใช้เพื่อการส่วนตัว และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพระเลขานุการคอยช่วยเหลือในการรับทรัพย์สิน จัดคนเข้าพบจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้พำนักอยู่กับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ปี 2551 ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้เคยศึกษาและบวชมาก่อน และเป็นผู้บรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ได้ช่วยสนับสนุนจำเลยที่ 1 ด้วยการบอกกล่าวให้ประชาชนมาบริจาคเงิน สำหรับจำเลยที่ 4 ที่เป็นประธานเครือข่ายบ้านวิมุติธรรมได้ทำหน้าที่จัดหาคนมาฟังการหลอกลวงของจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 5 เป็นผู้พิมพ์หนังสือที่มีข้อความอวดอุตริมนุสธรรมของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 6-9 ได้จัดตั้งบริษัทขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2555 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อเดียวกับวัดของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ปรากฏว่าประกอบธุรกิจอื่นใดนอกจากเป็นผู้ให้การจัดกิจกรรมต่างๆ ของวัดจำเลยที่ 1
แม้โจทก์จะไม่ได้หลงเชื่อและโอนเงินให้กับจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ถือเป็นผู้เสียหาย เพราะความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้นประชาชนทุกคนย่อมเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกกระทบต่อประชาชนและสังคมไทย องค์กรสงฆ์ที่เป็นองค์กรหลักของชาติ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายในฐานะพระสงฆ์และในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามกฎหมาย
โดยศาลรับคำฟ้องไว้ในสารบบหมายเลขดำ อ.2448/2556 เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่าจะไต่สวนและรับฟ้องหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยประกอบด้วยพระวิระพล หรือหลวงปู่เณรคำ จำเลยที่ 1 , พระภูมินทร์ จำเลยที่ 2 , นายสนอง จำเลยที่ 3 , นายสุขุม วงประสิทธิ์ จำเลยที่ 4 , นายภันธกานต์ กิ้มทอง จำเลยที่ 5 , นายภัทรเดช โสพรรณพานิชกุล จำเลยที่ 6 , นายวิชัย สุขอำภา จำเลยที่ 7 , นายพลวรรฒน์ สถิตเพียรศิริ จำเลยที่ 8 และนายวิธิเนศวร์ พงศ์เผ่าพูล จำเลยที่ 9
โดยในวันนี้มีศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่พุทธอิสระประมาณ 100 คน ร่วมเดินทางมาให้กำลังใจ โดยก่อนยื่นฟ้องต่อศาล หลวงปู่พุทธะอิสระได้อ่านแถลงการณ์มูลเหตุที่ต้องฟ้องศาลอาญาว่า “สาเหตุที่ต้องนำเรื่องฉาวของผู้ที่มาอาศัยพระพุทธธรรมมากล่าวโทษร้องทุกข์แก่ศาลอาญากลาง เพราะเราสิ้นหวังกับขบวนการตุลาการที่เป็นเจ้าคณะปกครองของนายคำ หรือ อดีตภิกษุวีระพล ฉัตติโก ซึ่งท่านเหล่านั้นมีพฤติกรรมชื่นชอบลาภสักการะที่อดีตภิกษุ วีระพล ฉัตติโก มอบประเคนให้จนเห็นพระธรรมวินัยเป็นเรื่องรอง ดังคำให้สัมภาษณ์ของงเจ้าคณะปกครองบางรูป ว่าพระเลวๆ หากมีคนนับถือมากก็ยังดีกว่าพระดีๆ ที่ไม่มีคนเคารพเลย และเจ้าคณะปกครองแต่ละรูป ต่างล้วนเคยได้รับลาภสักการะจากอดีตภิกษุ วีระพล ฉัตติโก หรือนายคำมานานนับสิบปี เช่นนี้แล้วเราจะหวังความสุจริตยุติธรรมจากตุลาการพวกนี้ได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการต้องมาขอพึ่งความสุจริตยุติธรรมจากศาลอาญากลาง ก็สุดศาลท่านจะเมตตาอนุเคราะห์ต่ออธิกรณ์ของพระพุทธศาสนาอย่างไร อีกทั้งการฟ้องร้องกล่าวโทษครั้งนี้ก็จะได้เป็นบรรทัดฐานของสังคมสืบไปว่าไม่ว่าผู้ใดจะบังอาจใช้นิมิตนามโอ้อวดตัวเองว่าเป็นผู้ทรงญาณ เป็นผู้หมดกิเลส เป็นผู้พ้นอาสวะ เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัด เป็นผู้พ้นทุกข์ เป็นผู้มีชาติสุดท้าย เป็นผู้จบพรหมจรรย์ เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้เข้าถึงนิพพานโดยมิได้มีจริงในตนจะต้องโดนฟ้องร้องกล่าวโทษและจะต้องรับโทษถึงที่สุด ที่พระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมืองกำหนดไว้ เพราะถ้าจะอาศัยหลักธรรมวินัยลงโทษในยุคนี้ ดูจะเป็นไปได้ยากอย่างที่พวกท่านทั้งหลายทราบกันดี” (เราพร้อมที่จะรับต่อทุกสถานการณ์ที่จะตามมาโดยไม่หวาดผวาสะดุ้งกลัว เพราะเราเชื่อว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม) จากหลวงปู่พุทธอิสระ วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ 5 กรกฎาคม 2556)
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า วันนี้ได้มายื่นฟ้องนายคำ จำเลยที่ 1 ดร.สนอง จำเลยที่ 2 กับพวก ในข้อหาฉ้อโกงหลอกลวงประชนชน การฟ้องครั้งนี้เพื่อเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่ตนรักที่สุด เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานแก่บุคคลที่ใช้ผ้าเหลืองหากิน และเป็นการเตือนสติแก่เจ้าคณะปกครองที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรับผิดชอบอะไร และโยนกันไปมา ทั้งๆที่ความผิดชัดเจน สาเหตุที่โยนกันไปมาเพราะรถคันหนึ่งกับเงินอีกหลายบาท เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษก็โยนไปให้จังหวัดอุบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลก็ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเจ้าตัวไม่อยู่นจึงไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครเลยต้องมาพึ่งศาล ส่วนข้อหาซ่องโจรขอใช้เวลารวบรวมหลักฐานรวบรวมเอกสารก่อน โดยจะฟ้องนายคำกับพวกอีกประมาณ 20 กว่าคน ที่ร่วมกันสมคบกันสร้างตัวละครอรหอยให้เกิดขึ้น
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้จะไปยื่นฟ้องเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น ตั้งแต่ระดับภาคลงไปยังตำบลต่อศาลปกครอง ฐานบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงและละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติ โดยตอนนี้กำลังรวบรวมเอกสารและทรัพย์สินของเจ้าคณะปกครองแต่ละรูป ซึ่งเจ้าคณะภาคก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พระชั่วๆถ้ามีคนไหว้ ก็ยังดีกว่าพระดีๆ ถ้ายังพูดอย่างนี้ได้แสดงว่าภาคนั้นก็คงมีแต่พระชั่วๆ พระดีไม่มีเหลือแล้ว จึงต้องหาวิธีจัดการ ไม่เช่นนั้นพวกนี้ก็จะหากินกับศาสนาไม่หยุดจนศาสนาจนเหลือแต่ซากวิญญาณหายหมด ซึ่งจะดำเนินการภายในพรรษานี้
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า ตามหลักฐานพระวินัยที่กำหนดชัดว่านายคำขาดจากความเป็นพระมาเป็น 10 ปี แต่เจ้าคณะปกครองไม่รับรู้ อีกทั้งยังรับยศถาบรรดาศักดิ์และลาภสักการะรถลาม้าช้างจากเขา ถ้านายคำขาดจากความเป็นพระแล้วแสดงว่าทรัพย์สินตลอด 10 ปี ก็เป็นของโจร และคนที่รับของโจรจะต้องนำไปคืนและมีความผิด จึงไม่มีเจ้าคณะปกครององค์ใดกล้าที่จะทำอะไร เพราะกลัวว่าจะผิดฐานรับของโจรไปด้วยและกลัวว่าจะถูกยึดรถหรือยึดทรัพย์ไปด้วย ส่วนหลักฐานที่ยื่นเสนอต่อศาลนั้นตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไม่มั่นใจว่าศาลจะรับหรือไม่ อาจจะยังไม่เข้าข่ายกฎหมายว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่ก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากขบวนการและการกระทำของนายคำพร้อมพวก ทำให้ศาลรู้ว่าพวกตนเดือดร้อนและรู้สึกเป็นทุกข์แทนบุคคลที่ใช้ชื่อนำหน้าตัวเองว่าพุทธบริษัท และคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะทำให้เกิดภาพเสียหายต่อศาสนาและสังคม พร้อมทั้งขอฝากเตือนไปยังเจ้าคณะปกครองด้วย ซึ่งมีการฉลองพัดยศโดยมีการนำโคโยตี้มาเต้นในวัด เจ้าคณะควรจะตระหนักสำนึกถึงพระธรรมวินัยและประโยชน์ของพระพุทธศาสนา มากกว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่ชาวบ้านหรือคนทำผิดยัดเยียดให้ ถ้าเป็นอย่างนี้ศาสนาเราคงไม่เหลืออะไร เพราะว่ามีเรื่องอย่างนี้ตลอด
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้อยากจะฝากไปถึง ผบ.ตร. ขอให้ช่วยติดตามหาตำรวจยศ ร้อยตำรวจตรี ที่เป็นข่าวซึ่งเป็นตัวกลางที่หาเหยื่อกามบำเรอนายคำ เป็นผู้ประสานงานติดต่อส่งเหยื่อ หาเหยื่อ และจ่ายตังให้เหยื่อ ว่าร้อยตำรวจตรีชื่ออะไร อยู่ในสังกัดไหน ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่แต่กลับรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด น่าจะมีโทษอะไรบ้างขอให้ช่วยสืบค้นให้หน่อย เพื่อให้เอาตำรวจไม่มีสำนึกออกมาตีแผ่ให้สังคมรับรู้ และจะต้องถูกดำเนินการคดีทั้งทางอาญาและวินัย ฐานสมรู้ร่วมคิดกับโจร ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และปกปิดความผิดที่เกิดขึ้นก็มีส่วนร่วมเป็นซ่องโจรเหมือนกัน ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อฟ้อง โดยจะต้องถอนยวงคนชั่วที่มาอาศัยศาสนาหากินจนร่ำรวยตามๆกัน จนทำให้ศาสนาเสื่อมโทรมลงอย่างชนิดที่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบเลย
"ที่ออกมาปกป้องเพราะเขาใช้ชื่อนำหน้าว่าอรหัน ซึ่งเป็นสถานะสูงสุดในพุทธศาสนา แต่หากอรหันถ้ายังพกหลุยส์ วิตตอง ยังเสพกาม ยังกินเหล้า ปลูกบ้านให้เมีย ช็อปปิ้ง ซึ่งพระสายธรรมยุติจะมีทรัพย์ไม่ได้ มีรถเป็นชื่อตัวเองไม่ได้ การอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้เคร่งครัดจะมีแก้วแหวนเงินทอง มีรถลาม้าช้างเป็นชื่อตัวเองไม่ได้ ชาวโลกจะมองว่าศาสนาไม่มีอะไรเหลือ การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีความหมายที่จะปกป้องพระอรหัน ให้ดำรงไว้ซึ่งความศักดิสิทธิและเป็นที่ยอมรับของชาวโลก" หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำกล่าวหาว่าหลวงปู่พุทธะอิสระอิจฉานั้น หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า จำเป็นต้องอิจฉาคนชั่วด้วยหรอ เพราะเขาชั่วมาเป็น 10 ปีแล้ว ได้พูดมาตลอดเป็นเวลา 10 ปี เรื่องนายคำหลอกชาวบ้าน และออกมาพูดมาก่อนที่จะมีเรื่องพวกนี้อีกด้วยซ้ำ ลองไปค้นประวัติได้ว่าเทศเรื่องนายคำมานานมากแล้ว จนชาวบ้านเขาคิดว่าอิจฉาด้วยซ้ำ แต่ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาคนชั่ว เพระว่าหากอิจฉาควรจะอิจฉาคนที่เขาทำดี เราดีน้อยกว่าเขาและเราต้องหาวิธีทำให้ดีมากกว่าเขา นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
เมื่อถามว่าถ้าหากศาลไม่รับฟ้องจะไปแจ้งความตำรวจหรือไม่ หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า การแจ้งตำรวจเป็นวิถีของคนที่ช่วยทำกันอยู่แล้วของคนที่รักศาสนา แต่สิ่งที่ทำในวันนี้เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงว่าไม่เพียงแค่ให้เอาคนผิดมาลงโทษ แต่ต้องการให้มีหลักประกันของพระธรรมวินัยในยี่ห้อว่าอรหันผู้หมดกิเลส ผู้สิ้นอาสวะ และพระพุทธศาสนา ต่อไปใครจะใช้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ถ้าคิดจะหลอกลวงต้องติดคุก หรือคำพิพากษาของศาลว่าอย่างไรก็จะต้องเป็นไปอย่างนั้น เพื่อไม่ให้มีคนมาใช้ยี่ห้ออรหันมาหากิน จึงต้องพึ่งอำนาจของศาลยุติธรรม เพราะจะหวังพึ่งตุลาการฝ่ายสงฆ์คงพึ่งไม่ได้
----------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ท้าเหาะแข่งเครื่องบินเจ็ท คลิปลับ ๑
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ท้าเหาะแข่งเครื่องบินเจ็ท คลิปลับ ๑
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ท้าเหาะแข่งเครื่องบินเจ็ท คลิปลับ ๑
-http://www.youtube.com/watch?v=RYlfF9DIIW0-
.------------------------------------------------------------------------
'หลวงปู่พุทธะอิสระ' แฉ! "เณรคำ"มาร เตือนหญิงอ้างแม่บุญธรรม อย่าให้ปล้นศาสนา1
-http://www.youtube.com/watch?v=jmUtNVn8ogk-
'หลวงปู่พุทธะอิสระ' แฉ! "เณรคำ"มาร เตือนหญิงอ้างแม่บุญธรรม อย่าให้ปล้นศาสนา1
'หลวงปู่พุทธะอิสระ' แฉ! "เณรคำ"มาร เตือนหญิงอ้างแม่บุญธรรม อย่าให้ปล้นศาสนา1
.------------------------------------------------------------------------
พระมหาจรรยา วิเคราะห์กรณี'เณรคำ'
-http://www.youtube.com/watch?v=_-zF_1B3IN4-
พระมหาจรรยา วิเคราะห์กรณี'เณรคำ'
พระมหาจรรยา วิเคราะห์กรณี'เณรคำ'
---------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก อวดอุตริมนุสธรรมจริงหรือ ท้าพิสูจน์ 1
-http://www.youtube.com/watch?v=1L0rKLU1YJc-
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก อวดอุตริมนุสธรรมจริงหรือ ท้าพิสูจน์ 1
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก อวดอุตริมนุสธรรมจริงหรือ ท้าพิสูจน์ 1
.
sithiphong:
มติเบื้องต้นขับหลวงปู่เณรคำออกวัดใต้ฯสำนักพุทธฯชี้เป็นแนวทางที่เหมาะสม
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2556 เวลา 17:43 น.
-http://www.dailynews.co.th/education/217235-
เจ้าคณะจังหวัดอุบลฯเผย กรรมการ ฟันธง ขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ แต่ยังต้องรอกรรมการชุดใหญ่ชี้ขาดประกาศผล 9 ก.ค.นี้ แต่คาดยืนยันตามมติ ด้านสำนักพุทธฯหนุนแนวทางขับออกจากวัด ระบุเปิดโอกาสให้ชี้แจงแล้วแต่ไม่ยอมมา
จากการที่พระราชธรรมโกศล (สวัสดิ์) เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาว่า จะขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดหรือไม่ โดยมีการประชุมภายในวันที่ 6 ก.ค.นี้ ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 ก.ค. พระราชธรรมโกศล เปิดเผยว่า เบื้องต้นคณะกรรมการได้สอบประวัติความเป็นมาของหลวงปู่เณรคำ และได้ข้อสรุปว่า ได้บวช มีอุปัชฌาย์จริง เข้ามาขอสังกัดวัดใต้ฯจริง แต่ไปจำวัดที่สำนักสงฆ์ป่าขันติธรรมตั้งแต่ปี 2549 ส่วนการขับออกจากวัดนั้น คณะกรรมการ เห็นว่าควรขับออกจากวัด เนื่องจากเห็นว่าไม่อยู่ที่วัดเป็นหลักแหล่ง เพราะพระเณรจะอยู่ที่วัดใดก็ตาม จะต้องบอกลาไปได้เพียง 7 วันถึง 1 เดือน เว้นแต่เจ็บป่วย แต่หลวงปู่เณรคำไปตลอด โดยไม่ได้อยู่ในโอวาทและขาดการติดต่อ แต่คณะกรรมการชุดนี้ก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ โดยจะส่งผลสรุปมติไปให้ คณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีตนเป็นประธานได้พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งในเบื้องต้นก็อาจจะยืนยันตามความเห็นของคณะกรรมการแต่ก็จะดูว่า หากขับออกจากวัดควรจะขับออกวันไหนและภายในกี่วัน โดยคาดว่าจะดำเนินการเสร็จและประกาศได้ไม่เกินวันที่ 9 ก.ค.นี้
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ตนได้รับทราบในเบื้องต้นเกี่ยวกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการที่ พระราชธรรมโกศล(สวัสดิ์) เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีตั้งขึ้น เกี่ยวกับการขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อแล้ว ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า ให้ขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ โดยคณะกรรมการกำลังสรุปผล เพื่อส่งให้คณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีพระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พิจารณาอีกครั้งว่า จะกำหนดเวลาให้ขับออกจากวัดภายในวันไหน ซึ่งในส่วนของพศ.เห็นว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม หากคณะกรรมการพิจารณาว่า ควรขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัด เนื่องจากทุกฝ่ายได้ให้โอกาสหลวงปู่เณรคำเข้ามาชี้แจงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ยอมมาให้ข้อมูลแต่อย่างใด จากนี้ไปก็เป็นกระบวนการของเจ้าคณะปกครอง และกระบวนการทางกฎหมายบ้านเมืองต่อไป.
sithiphong:
เปิดปูม 2 เจ้าอาวาสฉาว กกสีกา-อนาจารหนุ่ม ลุยจับสึกพ้นผ้าเหลือง
อนงค์ วงศ์ช่วย พฤตินัย มั่งสวัสดิ์ วัฒนชัย จำนงทอง เรื่อง/ภาพ
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM016QXlPVE0yTVE9PQ==§ionid=-
เรื่องราวฉาวโฉ่ในวงการผ้าเหลือง ปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกวี่วัน
ตั้งแต่ พระดังระดับชาติ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความเหมาะสมต่อวัตรปฏิบัติต่างๆ นานา จนลุกลามบานปลายไปถึงบัญชีเงินบริจาค ที่รอพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏ
หรือแม้กระทั่งพระระดับเจ้าอาวาส ในระดับภูมิภาคต่างๆ ก็ขยันสร้างข่าวฉาว ทำเรื่องเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นอยู่ บ่อยครั้ง
คราวนี้เกิดขึ้นถึง 2 ครั้งซ้อนๆ ทั้งเรื่องอนาจารเด็กหนุ่ม และพาสีกามาร่วมหลับนอน
สุดท้ายถูกจับสึกเพื่อมิให้ศาสนามัวหมอง
ราย แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่จ.อุดรธานี เมื่อตำรวจชุดสืบสวนพิรุณเมืองอุดรธานี บุกเข้าค้นกุฏิเจ้าอาวาสวัดป่าศรีศรัทธาธรรม ต.นิคมสงเคราะห์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นการขยายผลจากการจับกุมวัยรุ่นวัย 17 ปี พร้อมปืนลูกซอง ในข้อหายาเสพติด
เมื่อสอบสวนหนักเข้าก็สารภาพว่าพระเงิน ปัญญาวุฑโฒ เจ้าอาวาส มอบให้ศิษย์คนสนิทไว้ป้องกันตัว
เมื่อ เข้าไปถึงกุฏิดังกล่าวก็ถึงกับตะลึง เมื่อภาพที่ปรากฏเป็นอาวุธปืน อื้อซ่า ทั้งลูกซองยาว ลูกซองสั้น ปืนพก .38 ปืนเอ็ม 16 แบบบีบีกัน พร้อมกระสุนอีกนับสิบ เรียกได้ว่าเป็นคลังแสงย่อมๆ เลยทีเดียว
เมื่อ ตรวจสอบเพิ่มเติม สิ่งที่พบทำให้เจ้าหน้าที่ถึงกับอึ้ง เมื่อเจอซีดีลามกอนาจารกองเต็มห้อง มิหนำซ้ำยังเป็นหนังลามกระหว่างชายกับชาย อีกด้วย!!!
เมื่อเช็กจากโทรศัพท์มือถือ ก็พบคลิปในลักษณะดังกล่าวอยู่เต็มไปหมด
เจ้า หน้าที่จึงนำตัวพระเงิน เจ้าอาวาสวัดดังกล่าวมาสอบสวนหาข้อเท็จจริง จนได้ความว่า พระเงิน เคยเป็นตำรวจบ้านมาก่อนที่จะมาบวช จนได้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าศรีศรัทธาธรรม
โดยพระเงินมีชื่อเสียงใน เรื่องการสักยันต์ คงกระพันชาตรี ทำให้หนุ่มๆ ในหมู่บ้านต่างพากันมาให้พระเงินสักให้ โดยเจ้าอาวาสคิดค่าสักเป็นการทำอนาจารกันภายในกุฏิ ทำให้มีเด็กวัยรุ่นจำนวนมากชอบ มามั่วสุมอยู่ในกุฏิ
"ปืนลูกซอง ในกุฏิเป็นของพ่ออาตมา ส่วนปืนกระบอกอื่นๆ ก็มีคนนำมาขายเลยซื้อไว้ กระบอกละ 6-8 พันบาท ส่วน ซีดีโป๊ ก็มีคนเอามาขายแผ่นละ 100 บาท จึงซื้อไว้ดูกับลูกศิษย์ในกุฏิ" พระเงินกล่าว
เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไป สึกที่วัดโพธิสมภรณ์ สำนักงาน เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี พระอารามหลวงฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ก่อนดำเนินคดีในข้อหาทั้งมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน มีวีซีดี สื่อลามก ไว้ในครอบครอง
สำหรับคดีอนาจาร เตรียมดำเนินคดีหลังจากที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความ
ส่วน อีกรายเกิดเหตุขึ้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.ค. เมื่อ พ.ต.ต.ธีระภัทร ปิยะถาวร สว.ป้องกันปราบปราม สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นห้องพักเลขที่ 207 กรีนฟอเรสต์รีสอร์ต ในซอย 27 ถนนเพชรเกษม เขตเทศบาลนครหาดใหญ่
เมื่อเข้าตรวจค้นถึงกับผงะ เมื่อเจอพระสงฆ์นอนเปลือยกายกกอยู่กับหญิงสาว บนเตียงมีจีวร สบง และเสื้อผ้าของหญิงสาววางกองอยู่ระเกะระกะ
จึงให้ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วนำไปส่งที่วัดหงส์ประดิษฐาราม มอบให้พระครูวรคณานุกูล เจ้าคณะอำเภอหาดใหญ่ สอบสวนข้อเท็จจริง
สอบ ถามเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์จริง และเป็นถึงระดับพระครู ชื่อ พระครูนิคมวรธรรม เจ้าอาวาสวัดควนธรรมนิคม ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ส่วนฝ่ายหญิงชื่อ น.ส. ปัณฑิตา พรมเสริญ อายุ 39 ปี ชาวต.คลองหลัง อ.นาหม่อม จ.สงขลา
"ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้ สาวกับน.ส.ปัณฑิตาจริง ซึ่งรู้จักกันมานานแล้ว พอได้โอกาสก็ให้ลูกศิษย์ไปเปิดห้องพักของรีสอร์ตไว้ 2 ห้อง สำหรับอาตมาห้องหนึ่ง ลูกศิษย์อีกห้องหนึ่ง แล้วนัดแนะให้น.ส.ปัณฑิตามาหา" พระครูนิคมวรธรรมกล่าว
หลังจากรับสารภาพจึงนำตัวจับสึกให้ขาดจากความเป็นพระ ไม่ให้พระพุทธศาสนาต้องมัวหมอง
แม้เรื่องเสื่อมเสียพวกนี้เกิดจากพระภิกษุที่บวชเรียนในศาสนาพุทธ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าศาสนาพุทธ จะต้องแปดเปื้อนไปเพราะพฤติกรรมของคนพวกนี้ไปด้วยทั้งหมด
หากยังคำนึงถึงพุทธโอวาท คำสั่งสอนที่พระพุทธองค์มีไว้ และหมั่นศึกษาให้ท่องแท้แล้ว
ศาสนาพุทธก็ยังดำรงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลายแน่นอน
----------------------------------------------------
ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก อ้าง ไม่เคยใช้คำว่ามหาวิทยาลัย
-http://education.kapook.com/view66030.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส
ดีเอสไอเรียกตัว นายเรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์ สอบปากคำกรณี มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกในประเทศไทย ขณะเจ้าตัวอ้าง แยกตัวมาตั้ง ม.สันติภาพโลก 2 เองแล้ว ยันไม่เคยใช้คำว่ามหาวิทยาลัย ด้าน กกอ. แนะคนนำปริญญาไปใช้รีบแก้ไข หากตรวจสอบพบย้อนหลังจะมีความผิด
วานนี้ (5 กรกฎาคม 2556) ดีเอสไอเรียกตัว นายเรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์ ในนามผู้ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกในประเทศไทย กับ นายสวัสดิ์ บันเทิงสุข โดยมี พ.ต.ท.ศักกพล สุขปาน หัวหน้าสำนักสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก และการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัย เป็นผู้สอบปากคำ
โดย พ.ต.ท.ศักกพล เผยว่า นายเรวัตร์ ได้ขอพบพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงและยืนยันว่า ได้พ้นวาระการเป็นนายกสภาและแยกตัวออกจากการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกที่มี นายสวัสดิ์ เป็นอธิการบดี ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2556 แล้ว หลังจากที่พบว่า นายสวัสดิ์ ได้ปรับเปลี่ยนใบประกาศวุฒิการศึกษา (ป.เอก) จากภาษาอังกฤษที่ตามแบบมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกในปากีสถานมาเป็นภาษาไทย และ นายเรวัตร์ จึงได้ไปตั้ง ม.สันติภาพโลก สาขา 2 กับ นายศุภณัฐ ดอนจันทร์ เอง
และ พ.ต.ท.ศักกพล ยังได้กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนจะต้องสอบปากคำผู้ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกทั้งหมด โดยบ่ายวันนี้ (6 กรกฎาคม) จะเรียก นางประภาจิตร์ สว่างวัฒนา นายทะเบียนที่อ้างว่าเป็นผู้แทนประสานงานกับ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกที่ปากีสถานมาให้ข้อมูลด้วย โดยมีประเด็นความผิดที่จะสอบสวน 3 ข้อหา คือ
1.การตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนผิดกฎหมาย
2.ฉ้อโกงประชาชน
3. ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการลงข้อความโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อว่า มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ามหาวิทยาลัยเอกชน รวมถึงมีการเก็บเงินในการมอบปริญญาฯ และการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการมอบใบประกาศวุฒิการศึกษา (ป.เอก) ให้ผู้มีชื่อเสียง
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
ขณะที่ นายเรวัตร์ ได้ออกมาแย้งว่าที่ผ่านมาตนไม่เคยใช้คำว่า “มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก” แต่ใช่คำว่า “World Peace University: WPU” ส่วนที่ระบุว่ามีการใช้เงินซื้อใบปริญญาฯ ได้นั้น ไม่เป็นความจริง แต่เพียงเป็นการรับบริจาค ซึ่งเป็นระบบที่มหาวิทยาลัยในระบบ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็รับบริจาคเพื่อมอบปริญญาฯ เหมือนกัน พร้อมยืนยันในเจตนารมณ์ การตั้ง WPU เพื่อเป็นมหาวิทยาลัยมอบรางวัลให้กับคนที่ทำความดี หรือผู้นำชาวบ้าน ส่วนการจดทะเบียนเป็นโรงเรียนอนุบาลนั้น เป็นการดำเนินงานของ นายสวัสดิ์ และยังต้อข้อสังเกตว่า หาก WPU มอบเสื้อครุย ทางโรงเรียนอนุบาลก็มีการมอบครุยให้กับเด็กอนุบาลเช่นกัน แล้วทำไมไม่มีความผิด
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ชี้แจงว่า การที่ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ระบุว่าไม่เคยใช้ชื่อมหาวิทยาลัย ใช้แต่ University แทนนั้น เป็นการเลี่ยงบาลี ทั้งที่ครั้งแรกก็ใช้มหาวิทยาลัย และทำให้ผู้รับปริญญาเข้าใจว่าถูกต้อง ดังนั้น ผู้รับปริญญาสามารถไปเรียกร้องค่าใช้จ่ายคืนได้ และใครที่นำปริญญานี้ไปใช้ในส่วนราชการแล้วก็ให้รีบไปแก้ไขกับหน่วยราชการเสีย ไม่เช่นนั้นหากตรวจสอบย้อนหลังพบจะมีความผิดได้
และสำหรับบุคคลในวงการที่ถูกชักชวนหรือแนะนำให้ได้รับปริญญา ทั้งที่เสียเงินหรือไม่เสียเงินนั้น ปัญหาที่ต้องดำเนินการขณะนี้คือใครที่อยู่ในกระบวนการต้องรับผิดชอบ ถ้ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลกมอบเกียรติบัตรให้เป็นการยกย่อง ไม่ได้มอบปริญญาบัตรก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากการมอบปริญญาต้องผ่านความเห็นชอบจาก สกอ.ทั้งสิ้น ส่วนการมอบ ศาสตราจารย์พิเศษ ศาสตราจารย์กิตติคุณ หรือศาสตราจารย์ภิธาน ใช้ได้เฉพาะในมหาวิทยาลัยที่แต่งตั้งให้เท่านั้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.mcot.net/site/content?id=51d684c9150ba08405000117#.Udi-aG0h-AJ-
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/education/20130705/515501/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A1.%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%AD.html-
---------------------------------------------------------------------------
ม.สันติภาพรับแล้ว-ตุ๋นแจก'ปริญญา-ดร.'
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREEzTURjMU5nPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE15MHdOeTB3Tnc9PQ==-
ดีเอสไอ ลุยสอบ! 1,200คน จ่อหมาย 'อธิการ'
ม.สันติภาพโลกรับแล้ว มอบปริญญาอุปโลกน์-หวังตุ๋นหลอกลวงดีเอสไอเตรียมกันเป็นพยาน ส่งจนท.คุ้มกันเข้ม เล็งเรียกผู้เกี่ยวข้องสอบกราวรูด 1,200 คนเริ่มสัปดาห์หน้า เน้นคนมีชื่อเสียงก่อน แถมเช็กเส้นทางการเงินซ้ำ แล้วบินขึ้นเชียงใหม่สอบพยานอีก 10 ปาก ก่อนเล็งออกหมายจับอธิการบดี ชี้ชัดลูกศิษย์เณรคำนำปริญญาไปสมัครผู้ว่าฯกทม.ส่อผิดกฎหมาย โดนข้อหายื่นเอกสารเท็จ 'ฟอร์ด' สบชัย-'เปี๊ยก' อรัญญา ปัดไม่รู้เรื่องว่าไม่ถูกต้อง
จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตรวจสอบการจัดตั้งม.สันติภาพโลก เนื่องจากก่อตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่สำคัญมีพฤติกรรมเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน พระสงฆ์และดารานักแสดงหลายราย เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ในการเข้ารับปริญญาและตำแหน่งทางวิชาการ ก่อนดีเอสไอเตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวน ตามที่เคยเสนอข่าวไปนั้น
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 6 ก.ค. พ.ต.ท. ศักกพล สุขปาน หัวหน้าสำนักสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ดีเอสไอ กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง 3 รายเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ประกอบด้วย นายเรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งม.สันติภาพโลกในประเทศไทย นางประไพจิตร สว่างเนตร นายทะเบียน ที่อ้างเป็นผู้แทนประสานงาน กับม.สันติภาพโลกที่ประเทศปากีสถาน และนายสมัย เหมันต์ ผู้ดูแลระบบเทคโนโลยี ทั้งหมดให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยยอมรับว่าการมอบปริญญาเป็นการอุปโลกน์ขึ้น และไม่ได้ระบุให้ผู้รับทราบว่าปริญญา ดังกล่าวไม่สามารถนำไปรับรองวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้นได้ ทำให้เกิดปัญหาว่าบางรายนำใบปริญญาไปขอปรับวุฒิการศึกษาหรืออ้างลงสมัครรับเลือกตั้งต่างๆ ซึ่งในส่วนของนายสมัยขอแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเบื้องหลัง ที่มาที่ไปของการจัดตั้งม.สันติภาพโลกกับการขอให้กันไว้เป็นพยาน ซึ่งดีเอสไอได้ประสานให้สำนักคุ้มครองพยานเข้ามาดูแลความปลอดภัยแล้ว
พ.ต.ท.ศักกพลกล่าวอีกว่า ในสัปดาห์หน้าจะทยอยเรียกบุคคลที่ได้รับใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยดังกล่าวเข้ามาให้ปากคำ เบื้องต้นทราบว่ามีจำนวนกว่า 1,200 คน โดยจะเรียกกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียงก่อน จากนั้นในวันที่ 15 ก.ค. จะนำพนักงานสอบสวนลงพื้นที่จ.เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อสอบปากคำพยานอีกกว่า 10 ปาก เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ขณะเดียวกันจะเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับนายสวัสดิ์ บรรเทิงสุข อธิการบดีม.สันติภาพโลก ซึ่งถือเป็นตัวการใหญ่ในการจัดตั้งและดำเนินการ โดยล่าสุดยังไม่ติดต่อเข้าพบพนักงานสอบสวน ส่วนนายสุขุม วงษ์ประสิทธิ์ ลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ ที่อ้างได้รับปริญญาจากมหา วิทยาลัยดังกล่าว และนำไปอ้างใช้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.นั้น ได้ประสานข้อมูลกับกกต.แล้ว พบว่านำไปใช้อ้างจริง จึงเตรียมแจ้งความดำเนินคดีฐานใช้เอกสารปลอมลงสมัครลงเลือกตั้ง
พ.ต.ท.ศักกพลกล่าวอีกว่า ม.สันติภาพโลกก่อตั้งขึ้น 3 สาขา โดยสาขาที่ 3 อยู่ระหว่างดำเนินการขอจัดตั้ง ส่วนสาขา 2 ตั้งอยู่ที่จ.ขอนแก่น โดยมีนายเรวัตร์เป็นผู้จัดตั้ง พนักงานสอบสวนพบว่ามีการเปิดเป็นมูลนิธิศรัทธา ด้วยการอ้างว่าเป็นมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคมและผู้ยากไร้ ดังนั้นดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินเกี่ยวกับการรับบริจาคทั้งหมดว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาคดีด้วย
ด้านนายสวัสดิ์ บรรเทิงสุข เปิดเผยว่า พร้อมเข้าให้ถ้อยคำกับดีเอสไอ และพร้อมใช้ความจริงเข้าสู้ ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทุกอย่าง ซึ่งตอนนี้ม.สันติภาพโลกมีทั้งสิ้น 3 สาขา โดยเจ้าหน้าที่ควรตรวจสอบให้ครบทั้งหมด รวมถึงผู้เกี่ยวข้องด้วย ส่วนที่มีการ กล่าวหาว่าไปหลอกลวหรือฉ้อโกง ก็ต้องไปต่อสู้ชั้นศาล อีกทั้งที่ผ่านมาเคยแจกปริญญาทั้งพระและชาวเขาที่มีความรู้เรื่องสันติภาพด้วย โดยเก็บค่าใช้จ่ายเฉพาะใช้ซื้อเสื้อครุยและ ใบประกาศ ซึ่งในส่วนของพระและชาวเขาเหมารวม 7,000 บาท จากบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 15,000 บาท
วันเดียวกัน นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขา ธิการกกอ. กล่าวว่า สกอ.ดำเนินการตรวจสอบม.สันติภาพโลกตามข้อมูลในเว็บไซต์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแล้ว หลังรับแจ้งมีการจ่ายเงินประมาณ 50,000-300,000 บาท เพื่อแลกกับการเข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ซึ่งพบว่ามีภาพบุคคลที่มีชื่อเสียงจากหลายวงการเข้ารับปริญญาจากมหาวิทยา ลัยดังกล่าว โดยขณะนี้ดีเอสไอได้สอบปากคำ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ในส่วนของสกอ.ทำได้เพียงรอเท่านั้น
นพ.กำจรกล่าวต่อว่า สำหรับผู้เข้ารับปริญญาดังกล่าวถือว่าไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ แห่งปริญญา ไม่สามารถนำไปใช้สมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือสอบเข้ารับราชการได้ ดังนั้นขอให้ผู้เสียหายกว่า 1,000 ราย ไปแจ้งหน่วยงานต้นสังกัดว่าเกิดการหลงผิดและไม่ทราบข้อเท็จจริง โดยขอให้แก้ไขวุฒิการศึกษาให้ถูกต้อง เพราะหากต้นสังกัดตรวจสอบพบภายหลังสามารลงโทษทางวินัยได้ รวมทั้งอาจเข้าแจ้งความ เพื่อดำเนินคดีได้เช่นกัน ขณะเดียวกัน สกอ. จะเข้าไปให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับผู้เสียหายด้วย ทั้งนี้ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อการนำชื่อของมหาวิทยาลัยไปโฆษณาแล้วให้จ่ายเงิน เพื่อให้ได้ปริญญามา เพราะถือเป็นการฉ้อโกงประชาชน
ด้านนายวีระ ยี่แพร ผอ.กต.กทม. กล่าวถึงกรณีนายสุขุม วงษ์ประสิทธิ์ ผู้สมัครหมายเลข 19 สังกัดพรรคยางพาราไท นำใบปริญญาของ ม.สันติภาพโลกมาสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ว่าในเรื่องนี้นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะผอ.กกต.ทถ.กทม. เป็นผู้รับสมัครและตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนส่งมายังกกต.กทม. เพื่อส่งต่อให้กกต. ประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม. ซึ่งขณะนี้ชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแล้ว พร้อมทั้งมอบหลักฐานการสมัครของนายสุขุมให้ตรวจสอบด้วย อย่างไรก็ตามถึงไม่มีผู้ร้องในกรณีนี้ แต่ตรวจสอบพบเป็นความผิดจริง ดีเอสไอสามารถดำเนินคดีอาญาต่อนางนินนาท ในข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานการเลือกตั้งได้
ขณะที่นางนินนาทกล่าวว่า ขอตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้งในวันที่ 8 ก.ค.นี้ โดยจะตรวจสอบว่าม.สันติภาพโลกได้รับอนุญาตจากสกอ.หรือไม่ ซึ่งขณะตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ก็ไม่มีหน่วยงานใดประกาศว่าม.สันติภาพโลก ไม่ได้รับอนุญาตจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร สำนักปกครองและทะเบียน กทม. ยังเชิญผู้มีความรู้จากกระทรวงศึกษาธิการมาช่วยตรวจสอบวุฒิการศึกษาด้วย รวมทั้งผู้สมัครก็ได้รับรองว่าเอกสารและหลักฐานต่างๆ ที่นำมาสมัครถูกต้องทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกฎหมายข้อหนึ่งระบุว่าถ้า ผู้สมัครรู้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติและไม่มีสิทธิเข้ารับสมัคร แต่ยังมาสมัครก็ถือว่าผิด ซึ่งหากดำเนินคดีอาญากับตน ก็จะแจ้งความเอาผิดกับนายสุขุมเช่นกัน
สำหรับดารานักแสดงและบุคคลที่มี ชื่อเสียงที่เคยรับปริญญากิตติมศักดิ์จาก ม.สันติภาพโลก โดย 'ฟอร์ด' สบชัย ไกรยูรเสน นักร้องหนุ่มเผยว่า เคยเข้ารับปริญญาเมื่อจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมหาวิทยาลัยโทรศัพท์มาแจ้งว่า จะมอบปริญญาบัตรให้ในสาขาเพอร์ฟอร์แมนซ์อาร์ต โดยกำหนดวันและเวลาไปรับ ซึ่งตอนแรกก็งงอยู่ว่ามอบให้เพราะอะไร ก่อนได้รับคำตอบว่าเป็นผู้สร้างผลงานเป็นคุณประโยชน์ และเป็นครูถ่ายทอดงานทางดนตรี จึงเห็นว่าเมื่อให้เกียรติมาก็ไม่อยากปฏิเสธ เลยไปรับในย่านลาดพร้าว โดยเป็นห้องประชุมเหมือนอยู่ในบริษัท ซึ่งมีผู้มารับปปริญญาประมาณ 150 คน
"เรื่องนี้ผมไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่าเป็นอย่างไง คิดแต่เพียงว่าเขามอบให้เราก็ไปรับ ไม่ได้ตรวจสอบ พอมาเจอแบบนี้เข้าเลยไม่รู้จะทำอย่างไง ส่วนเรื่องว่าถ้าดีเอสไอเรียกเข้าไปให้ข้อมูล ผมก็คงจะมีให้เท่านี้ เพราะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้" นักร้องหนุ่มกล่าว
ด้านนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง 'เปี๊ยก' อรัญญา นามวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งที่เข้ารับปริญญา กล่าวว่า ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะไปรับ ไม่ได้เห่อกับรางวัลแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาจะทำงานเพื่อสังคมอะไรต่างๆ มากมาย แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำเพื่อให้คนมาให้อะไร อีกอย่างยังไปไหนมาไหนไม่สะดวกนัก จึงไม่อยากจะไปไหน แต่มีคนที่ได้รับด้วยกันชวนไปและมีคนมาช่วยพาไปเลยไปรับ ตอนที่ไปรับปริญญายังคุยกันเล่นๆ อยู่เลยว่าคงไม่เป็นอย่างข่าวที่เขาเคยออกเมื่อหลายปีว่า มาหลอกให้ปริญญาบัตรกัน หลังจากที่รับเสร็จก็กลับบ้าน วันนั้นสามีและลูกก็ไม่ได้ไปด้วย เพราะติดงาน เลยไปรับแค่เพื่อนกับน้องๆ 2-3 คน จนมาเห็นข่าวที่เกิดขึ้น
"ถ้าหากดีเอสไอเรียกไปสอบสวน ก็คงจะไม่ไป ขอให้ไปเรียกคนอื่นเถอะ เพราะเดินทางไม่สะดวก ต้องมีคนช่วยพยุง ยืนนานก็ไม่ได้ วันนั้นอีกอย่างที่เราต้องไปรับก็เพราะคิดว่าถ้าไม่ไปก็เหมือนไม่ให้เกียรติกับงาน เพราะเขาอุตส่าห์เชิญมา ก็ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้" อรัญญากล่าว
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version