ผู้เขียน หัวข้อ: รวม เตือนภัย "ปัญหาพระภิกษุ" เอ๊ย ไม่ใช่ ต้องเป็น "พระภิกษุที่มีปัญหา"  (อ่าน 33972 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พระ 1,000ล้าน สังคมไทยไม่เคยจำ!
-http://news.sanook.com/1196011/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-1000%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B3/-




จากซ้ายไปขวา  หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก(นายวิรพล สุขผล) ,พระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที(นายนิกร ยศคำจู) ,พระยันตระ อมโรภิกขุ (นายวินัย ละอองสุวรรณ) ,พระภาวนาพุทโธ (นายจำลอง คนซื่อ)



เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศมาได้ระยะหนึ่งแล้วกรณี เณรคำ หรือ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก แห่งวัดป่าขันติธรรม ที่ถูกลากเบื้องหลังอันฉาวโฉ่ออกมาตีแผ่จนแทบจะหมดทุกมุม ไม่ต่างจากพระดังในอดีตอีกหลายคนที่สร้างภาพให้ผู้คนศรัทธา แต่เบื้องหลังตักตวงผลประโยชน์จากศรัทธานั้นจนร่ำรวยมหาศาล นอกจากนั้นเกือบทุกรายจะต้องมีเรื่องของผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง

ลองมาย้อนดูว่าพระฉาวชื่อดังก่อน เณรคำ มีใครบ้าง

พระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที (นายนิกร ยศคำจู)
พระนักเทศน์เสียงทองแห่งยุคนั้น มีสำนักปฏิบัติธรรมหลายสิบแห่งทั่วประเทศ แต่ต้องอื้อฉาวไปทั่วประเทศในปีพ.ศ.2533 เมื่อนางอรปวีณา บุตรขุนทอง ออกมาแฉว่ามีความสัมพันธ์ จนมีลูกด้วยกันกับพระนิกร แต่ในตอนนั้นพระชื่อดังตอบโต้ว่ามีผู้อิจฉาในชื่อเสียงของตนใส่ร้าย แต่ในที่สุดด้วยหลักฐานที่แน่นหนาทั้งจดหมายรักที่ส่งถึงกัน ภาพถ่าย ทำให้ศาลสงฆ์ มีมติระบุความผิดพระนิกรว่าเป็น "ปฐมปาราชิก" คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ

พระยันตระ อมโรภิกขุ (นายวินัย ละอองสุวรรณ)
พระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) อดีตพระดังที่เคยได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์นักปฏิบัติธรรม มีผู้เคารพศรัทธาทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ เรื่องราวของพระยันตระก็ไม่ต่างจาก เณรคำ หลังจากบวชได้สักระยะก็เป็นที่รู้จักดีทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเพื่อเข้าเป็นลูกศิษย์มากมาย มีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างในสำนักเขาจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามของเขาในต่างประเทศอีกหลายแห่ง เช่นที่ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

ด้วยวัตรปฏิบัติรวมถึงคำสอนของเขา ทำให้เป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในยุคนั้น จนในปี พ.ศ. 2537 เขาได้ถูกฟ้องร้องหลายข้อหาและถูกตั้งอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ อันเป็นหนึ่งในจตุตถปาราชิกาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ โดยมีการต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานมากมายตามสื่อต่าง ๆ เป็นข่าวโด่งดังในสมัยนั้น จนในที่สุดเขาได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้เขาพ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะพิจารณาได้ความว่าเขาต้องอาบัติหนักดังที่ถูกฟ้องร้อง แต่นายวินัยไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ด้วยการปฏิญาณตนว่ายังเป็นพระภิกษุและเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว ทำให้ถูกสื่อต่าง ๆ ขนานนามว่า จิ้งเขียว, สมียันดะ, ยันดะ เป็นต้น ก่อนที่นายวินัยจะลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมเพื่อหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาและได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทำให้นายวินัยสามารถหลบหนีคดีความอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จนถึงปัจจุบัน

พระอิสรมุนี สำนักสงฆ์ป่าละอู จังหวัดเพชรบุรี
พระอิสระมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนาที่เป็นที่เคารพนับถือกับนักการเมืองดังหลายคน อดีตคือพระพระนักเทศน์ชื่อดัง แต่จากการสืบสวนของทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีในขณะนั้น ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พบหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษและเทปสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที ข่าวพระอิสระมุนีนี้ทำให้ไอทีวีได้รับรางวัลสารคดีเชิงข่าวยอดเยี่ยม รางวัล "แสงชัย สุนทรวัฒน์" จากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ประจำพ.ศ.2544

พระภาวนาพุทโธ (นายจำลอง คนซื่อ)
ข่าวของอดีตพระรูปนี้เป็นอีกบันทึกหน้าหนึ่งของสังคมไทย โดยในปี พ.ศ.2538 พระภาวนาพุทโธ พระวิปัสสนาดาวรุุ่ง กลับถูกข้อกล่าวหาว่านข่มขืนกระทำชำเรา เด็กชาวเขาจากจ.แม่ฮ่องสอน และจากจ.เชียงใหม่ ที่อุปการะไว้ โดยมีการแฉว่าพระภาวนาพุทโธมีพฤติกรรมชัวช้าตั้งแต่ปี 2531-2538 แต่เรื่องมาปรากฏเป็นข่าวในพ.ศ.2538 จากพระลูกวัดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นญาติของเด็กหญิงชาวเขานั่นเอง คดีนี้สู้กันถึงศาลฎีกา ซึ่งสุดท้าย ศาลฎีกมีคำพิพากษาวว่ามีความผิดจริง

ทุกกรณีที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นพระสงฆ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงยิ่งทั้งสิ้น มีญาติโยมบริจาคเงินทองให้มากมาย แต่สุดท้ายเบื้องหลังก็ประพฤติตัวชั่วช้าไม่ต่างจากโจรในคราบผ้าเหลือง แต่แม้ว่าจะผ่านมาหลายครั้งหลายคราว สังคมไทยก็ยังไม่จดจำ ยังคงหน้ามืดตามัว หลงศรัทธาโดยไม่ใช้สติ จนสุดท้ายก็ต้องตกเป็นเหยื่อของพระเหล่านี้ รวมถึงกรณีของ เณรคำ ที่กำลังโด่งดังในปัจจุบัน


เรื่องโดย ทีมข่าว Sanook! News

--------------------------------------------------------------



-http://www.oknation.net/blog/buddhacore/2012/04/04/entry-1-
http://www.oknation.net/blog/buddhacore/2012/04/04/entry-1

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 31, 2015, 10:00:10 pm โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ฉาวอีก ! เณรตุ๊ดโพสต์เฟซบุ๊ก อยากโดนเปิดซิง
-http://hilight.kapook.com/view/88595-










เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วงการผ้าเหลืองฉาวอีก เณรตุ๊ดโพสต์เฟซบุ๊ก รำพึงรำพันความรัก พร้อมระบุข้อความ อยากโดนเปิดซิง ชาวเน็ตวิจารณ์ยับ

          เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กได้มีการแชร์และส่งต่อภาพสุดอื้อฉาวของสามเณรรูปหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะตุ้งติ้งเหมือนเพศที่สาม ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

          โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวใช้ชื่อว่า "ผิดไหม ที่รักอ๊อฟข้างเดียว" ซึ่งได้โพสต์ข้อความรำพึงรำพันและตัดพ้อต่าง ๆ นานาถึงพระที่ชื่อ อ๊อฟ และข้อความที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ เช่น อยากโดนเปิดซิง, วันที่ 25 ก.ค. จะได้เงิน 400,000 ละจะเอาไปไหนดี, เบื่อจังเลยไปไหนก็เงิน ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ที่ไหนดีคิดทางออกก่อน เป็นต้น

           ภายหลังจากที่ชาวเน็ตได้นำภาพดังกล่าวมาแชร์ในโลกออนไลน์ ก็ทำให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนไม่น้อยตำหนิถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการโดยด่วน

แชร์สนั่นเน็ต! เณรตุ๊ดรำพึงรักอยากถูกเปิดซิง
แชร์สนั่นเน็ต! เณรตุ๊ดรำพึงรักอยากถูกเปิดซิง

แชร์สนั่นเน็ต! เณรตุ๊ดรำพึงรักอยากถูกเปิดซิง
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=PKfbTRTjP5c-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เสื่อมอีก ! พระสันติภาพ สกุลรักอรุโณทัย อ้างเป็นพระไสยเวท มีรูปหวิวคู่สาว
-http://hilight.kapook.com/view/88655-

















เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก รู้เขารู้เรา รบร้อยชนะร้อย

            พระสันติภาพ สกุลรักอรุโณทัย ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก "รู้เขารู้เรา รบร้อยชนะร้อย" อ้างตัวเองเป็นพระไสยเวท โพสต์รูปเสื่อมมีหญิงสาวซุกไซ้ซอกคอ และรูปถืออาวุธ พร้อมประกาศขายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปลุกเสกเอง โดยยังไม่มีข้อสรุปว่า พระสันติภาพ สกุลรักอรุโณทัย ใช่พระจริงหรือไม่

            วันที่ 16 กรกฎาคม 2556 มีภาพสะเทือนวงการศาสนาโผล่ว่อนเน็ตอีกครั้ง เมื่อมี เฟซบุ๊ก รู้เขารู้เรา รบร้อยชนะร้อย อ้างตัวเป็น พระสันติภาพ สกุลรักอรุโณทัย โดยภาพที่ปรากฎในเฟซบุ๊กเป็นชายวัยรุ่น ลักษณะเหมือนพระ ห่มจีวรสีแดงเลือดหมู และในอัลบั้มภาพมีการโพสต์รูปลักษณะอิงไสยเวท เช่น คาบมีด ถือดาบ พร้อมรอยสักหรือรอยเพนท์เป็นรูปยันต์ ทั้งยังขายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยอ้างว่าเป็นผู้ปลุกเสกเองด้วย



   นอกจากนี้ พระสันติภาพ สกุลรักอรุโณทัย ยังโพสต์ภาพคู่กับหญิงสาวในชุดนักศึกษา ลักษณะถูกซุกไซบริเวณซอกคอด้วย และมีญาติโยมบางส่วนเคยนิมนต์ไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พระสันติภาพ สกุลรักอรุโณทัย ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวกดถูกใจเพจไม่เหมาะสม เช่น สมาคมคนขี้เหงาและเปล่าเปลี่ยวและเร่าร้อนแห่งประเทศไทย หรือ สมาคมนิยมสาวมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เป็นต้น และยังมีการแสดงสถานะความสัมพันธ์กับ เฟซบุ๊ก อิ๊ณ๊อง’น๊ามหวาน ลั๊ลลา พร้อมทั้งมีรูปคู่กันปรากฏอยู่ด้วย ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่าเฟซบุ๊กดังกล่าว ผู้เล่นเป็นพระสงฆ์จริงหรือไม่

            อย่างไรก็ตาม มีข้อความบางส่วนที่ถูกโพสต์ใน เฟซบุ๊ก รู้เขารู้เรา รบร้อยชนะร้อย ดังนี้

            "บวชครั้งแรก ที่ไชยสถานวิทยา…ณ เชียงแสน"

            "ออกงานอีกแล้ว…ตะกี้นิ ธรรมไม่ใด้หัดเรียบให้เทศ พ่องมัน !"

            "ไปรับกิจ ที่วัดบ้านกล้วยฝาย และ หนองห้า มาพระบาทนี่ร้อนเป็นบ้าเลย ดีน๊ะที่รถเรามีแอร์ไม่งั้น ซี้แง๋แก๋ !"



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.tnews.co.th/html/news/63332/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1!!%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7!!-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C.html-

.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ตะลึง! สมีคำ ใช้ฉัตร 3 ชั้นเป็นตราส่วนตัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2556 17:11 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088879-









สำนักเลขาฯสังฆราช อึ้ง “สมีคำ” ใช้ฉัตร 3 ชั้นเป็นตราส่วนตัว แจง ไม่ใช่ “สมเด็จพระสังฆราช-พระองค์เจ้า” ไม่เหมาะสม ด้าน สำนักพุทธฯเตรียมนำคลิปดอกไม้พระราชทานเข้ามหาเถรฯ 9 สิงหาคมนี้
       
       วันนี้ (19 ก.ค.) พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า สำนักเลขาฯได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างพระแก้วมรกตจำลอง ที่สำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม และอ้างว่า เป็นพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่าบริเวณผ้าทิพซึ่งพาดอยู่ตรงฐานขององค์พระแก้วมรกตจำลอง ได้ปรากฏตราสัญลักษณ์ประจำตัวของหลวงปู่เณรคำ ประกอบด้วย ฉัตร 3 ชั้น มีตราธรรมจักร รองด้วยฐานดอกบัว ใต้ฐานบัวมีชื่อสลักว่า หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วัดป่าขันติธรรม เมื่อพิจารณาแล้ว ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การใช้ฉัตร 3 ชั้นมาประกอบสัญลักษณ์ ส่วนใหญ่แล้วฉัตรดังกล่าวจะใช้ได้เฉพาะระดับ สมเด็จพระสังฆราช และพระราชวงศ์ระดับพระองค์เจ้า หากสมีคำนำมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของตนเอง ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม สำนักเลขาฯ จะสอบถามไปยัง สำนักราชเลขาธิการ ว่า การแอบอ้างประเภทนี้จะมีโทษหรือความผิดมากน้อยแค่ไหนต่อไป
       
       สำหรับกรณีคลิปดอกไม้พระราชทาน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า จากการที่ นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองประธานคนที่สาม คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้พบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความประพฤติของอดีตหลวงปู่เณรคำ อีกเรื่องคือ คลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่อ้างว่าเป็นดอกไม้พระราชทาน ในสมัยที่ยังไม่ถูกปรับอาบัติปาราชิก โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเพื่อนำถวายที่วัดป่าขันติบารมี สาขา 101 บ้านหัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2555 นั้น ขณะนี้พศ.ได้รับข้อมูลและคลิปดังกล่าวมาแล้ว โดยจะตรวจสอบคลิป แล้วจะนำคลิปและข้อมูลรายงานให้กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ได้รับทราบ วันที่ 9 สิงหาคม ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เนื่องจากการประชุม มส.ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ จะต้องเลื่อนออกไป เพราะคณะสงฆ์ติดภารกิจเนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชา และเข้าพรรษา


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ศาสนาเสื่อมอีกแล้ว ตร.บุกจับสึก 2 พระคู่หู เมาปลิ้นคากุฎิ
-http://world.kapook.com/pin/51e8c74b38217a7752000000-

ตำรวจด่านซ้ายจับสึกสองพระคู่หูเมาคากุฎิ
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=3U576pBkRCg-

ตำรวจด่านซ้ายจับสึกสองพระคู่หูเมาคากุฎิ
ตำรวจด่านซ้ายจับสึกสองพระคู่หูเมาคากุฎิ



คลิป ศาสนาเสื่อมอีกแล้ว ตร.บุกจับสึก 2 พระคู่หู เมาปลิ้นคากุฎิ เฮ้อ.. ดูแล้วอย่างเพลีย พระฉาวทำศาสนาเสื่อม คลิปนี้เป็นนาที ตำรวจด่านซ้าย บุกจับสึก 2 พระคู่หู ดวดเหล้าบนกุฏิซะเมาปลิ้น ตอนตำรวจไปตรวจค้น เจอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียบ ฮา.. มันอาตรงพระแกเมาเนี่ยแหละ เมาซะตำรวจมึนไปด้วยเลย ฮา ลองไปดูกัน


http://world.kapook.com/pin/51e8c74b38217a7752000000

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
DSI แจ้ง สมีคำ ถูกถอนพาสปอร์ต ต่อสถานทูตทุกประเทศ-เร่งผลักดันกลับไทย
-http://hilight.kapook.com/view/88862-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก alittlebuddha.com

         DSI แจ้งสถานทูตทุกประเทศ ผลักดัน สมีคำ กลับไทย หลังถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางแล้ว หากพบการเคลื่อนไหวให้ส่งกลับไทยตามกฎหมายคนเข้าเมืองทันที

          วันนี้ (20 กรกฎาคม 2556) พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่กรมการกงสุลได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของ "นายวิรพล สุขผล" สมีคำแล้ว และได้แจ้งไปยังสถานทูตทุกประเทศรับทราบ ซึ่งหากประเทศใดพบการเคลื่อนไหวของสมีคำ ก็จะมีการผลักดันกลับประเทศไทยตามกฎหมายคนเข้าเมืองทันที

          พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ กล่าวถึงระยะเวลาในการติดตามตัวสมีคำกลับไทยว่า ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของแต่ละประเทศ รวมถึงต้องดูข้อกฎหมายว่ามีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยหรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าทางไทยจะได้รับความร่วมมืออย่างดี เพราะการล่วงละเมิดทางเพศเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี และการฉ้อโกง ถือเป็นหลักสากลที่หลายประเทศให้ความสำคัญ

          อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางดีเอสไอได้ดำเนินการใน 2 ส่วน คือ การติดตามตัวมาดำเนินคดี และส่วนที่ 2 คือการเดินหน้าตรวจสอบเรื่องทรัพย์ และเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้มาร้องทุกข์ต่อไป

          สำหรับบรรยากาศที่บ้านพักสงฆ์ป่าขันติธรรม ตำบลยาง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นไปอย่างเงียบเหงา ไม่มีญาติโยมเข้าไปทำบุญ หรือเที่ยวชมวัดเหมือนอย่างหลายวันที่ผ่านมา พบเพียงพระสงฆ์และสามเณรจำวัดอยู่ 15 รูป ที่กำลังเก็บของกลับไปรายงานตัวยังต้นสังกัดเดิมตามมติของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก สำนักข่าวไทย
-http://www.mcot.net/site/content?%20%20id=51ea188a150ba005390001cd#.Uep0Om0h-AK-


--------------------------------------------------------------

กระชากหน้ากาก “สมีคำโฮลดิ้ง”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    20 กรกฎาคม 2556 06:17 น.
-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000089060-

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในที่สุดสัตว์โลกก็ย่อมเป็นไปตามกรรม เพราะผลกรรมที่ทำเอาไว้นั้นหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะครองสมณเพศต่อไปได้ ดังนั้น กลุ่มคนที่เคยได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากจากอดีตหลวงปู่เณรคำจึงจำใจและจำยอมมีคำสั่งให้อาบัติ ปาราชิกขาดจากความเป็นพระ กลายเป็น “สมีคำ ไอ้คำ หรือโล้นคำ” ตามแต่ที่จะเรียกขานกัน
       
       อย่างไรก็ตาม เรื่องของสมีคำยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะจบจากคดีทางธรรมก็ยังมีคดีทางโลกที่จะต้องลากคอสมีคำที่เร่ร่อนเป็นสัมภเวสีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้จงได้ด้วยข้อหาอุกฉกรรจ์ตามที่ศาลอาญาอนุมัติหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       แต่ประเด็นปัญหาที่จะต้องขยายผลทางคดีต่อไปไม่ใช่หยุดแค่ตัวของสมีคำคนเดียวเท่าใด เพราะจากข้อหาทั้งหลายทั้งปวงที่ดีเอสไอตั้งเอาไว้นั้น ต้องบอกว่า สมีคำคนเดียวคงไม่มีปัญญาทำได้ หากแต่จะต้องมี “ผู้ร่วมขบวนการ” รู้เห็นเป็นใจในการวางแผนทางธุรกิจ และน่าเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นขบวนการใหญ่โตไม่แพ้บริษัทห้างร้านชั้นนำในประเทศไทยทีเดียว
       
       เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มลูกศิษย์ที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้ให้พระอาจารย์สุดหัวใจอย่าง 2 เกลอหัวขวด “สุขุม วงประสิทธิ” ดร.จากมหาวิทยาลัยลวงโลก และ “เริงศักดิ์ กำธร” อดีตนักหนังสือพิมพ์และนักเขียนที่ทำทุกอย่างแม้กระทั่งยอมแต่งตัวเป็นลิเกเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสื่อมวลชนในวันที่เดินทางในยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่สังคมไม่เชื่อว่า ทำเพื่อสมีคำอย่างสู้ตายถวายหัว หากแต่น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือใครเขียนบทละครให้รับบทบาทดังกล่าว
       
       แน่นอน หลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าชัดเจนว่า สมีคำไม่ได้ทำมาหากินคนเดียวหากแต่ทำในรูปของ “สมีคำโฮลดิ้ง” ก็คือ ตัวเลขในบัญชีเงินฝาก 41 บัญชีที่เคยมีเงินอยู่ 200-300 บาท เวลานี้เหลือเงินตกค้างเพียงแค่ 2-3 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งนั่นแสดงว่า ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเบิกเงินจำนวนนี้ออกไป
       
       ประเด็นนี้นายณรงค์ รัตนานุกูล ที่ปรึกษาด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ให้ข้อมูลว่า ป.ป.ส.และป.ป.ง.ได้ขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินและธนาคารทุกแห่งที่เปิดบัญชีให้แก่อดีตพระวิรพลจำนวน 41 บัญชีให้รายงานการทำธุรกรรมการเงินย้อนหลังนับตั้งแต่อดีตพระวิรพลมาเปิดบัญชีรับบริจาค ซึ่งขณะนี้ทราบว่า เงินบัญชีทั้ง 41 บัญชี มีเงินตกค้างอยู่ประมาณ 2-3 ล้านบาท ซึ่ง ป.ป.ส.และ ป.ป.ง.จะเร่งติดตามเงินที่หายจากบัญชีต่อไป
       
       และข้อมูลที่ไม่อาจมองข้ามได้เกี่ยวกับสมีคำโฮลดิ้งก็คือ ข้อมูลจากนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เกี่ยวกับการสร้างเครื่องทรงพระแก้วมรกต 3 ฤดูที่ใช้ทองคำ 9 พันกิโลกรัมในการสร้าง ซึ่งนายสงกรานต์ยืนยันว่า งานนี้มีนักธุรกิจการเงิน นักธุรกิจทองคำและนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง
       
       “ตัวสมีคำเองไม่ได้มีความรู้ว่าจะโยกย้ายเงินอย่างไร หรือจัดการเงินอย่างไร ดังนั้น จึงมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังแน่นอน เบื้องต้นสืบทราบว่าน่าจะเป็นนักธุรกิจชื่อดังหลายคน รวมถึงนักการเมืองระดับชาติด้วย อีกไม่นานจะได้รู้ว่าใครคือไอ้โม่งที่อาศัยศรัทธาประชาชนทำมาหากินเช่นนี้”
       
       คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ บุคคลเหล่านั้นคือใคร
       
       เพราะยิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวก็ยิ่งน่าเชื่อว่า ไอ้โม่งที่ชักใยสมีคำ หรือสมีคำใช้งานทางธุรกิจต้องไม่ธรรมดาทั้งในทางโลก ในทางธรรมและในทางการเมือง
       
       จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า นักการเมืองที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมีคำเป็นนักการเมืองระดับชาติที่มีอิทธิพลและเส้นสายในระดับที่ไม่ธรรมดา โดยนักการเมืองรายนี้เป็นผู้ชายและเคยต้องคดีทางการเมืองเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา เรียกว่าถ้าเอ่ยชื่อมาต้องร้องอ๋อกันทั้งบ้านทั้งเมืองเลยทีเดียว
       
       ส่วนนักธุรกิจที่ถือเป็นมือไม้ในการบริหารจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้น เป็น “ผู้หญิง” อายุประมาณ 45 ปี เป็นนักธุรกิจที่ทำการค้าเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ และกิจการค้าหลากหลาย ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สีกาที่สมีคำให้ความไว้วางใจเป็นอย่างมาก
       
       ด้านนักธุรกิจค้าทอง มีรายงานข่าวว่า ดีเอสไอเตรียมลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อสอบสวนร้านทองแห่งหนึ่งหลังพบว่า ได้ขายบ้านจัดสรร 3 หลังมูลค่า 9 ล้านบาทให้สมีคำ พร้อมควานหาเบาะแสเรื่องทองคำที่สมีคำเปิดรับบริจาคเพื่อมาสร้างเครื่องทรงพระแก้วมรกตจำลองด้วย
       
       โดยขณะนี้มีข้อมูลยืนยันว่า ดีเอสไอและ ป.ป.ง.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของทั้งสามคนว่ามีความเชื่อมโยงกับสมีคำในทางใดบ้าง และจะสามารถเอาผิดได้หรือไม่
       
       นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการซื้อรถของสมีคำที่ยังมีข้อพิรุธให้ต้องตรวจสอบมากมาย ทั้งกรณีมีรถอยู่ในครอบครองกี่คันกันแน่ แล้วรถที่ซื้อนำไปจำหน่ายจ่ายแจกให้กับใคร รวมทั้งยังมีความพิสดารเรื่องการซื้อมาและขายคืนให้โชว์รูมอีกต่างหาก
       
       เพราะไม่เพียงแค่ข้อมูลจาก “เสี่ยกัง” เศรษฐีเจ้าของร้านประดับยนต์ชื่อดังของ จ.อุบลราชธานี ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการซื้อรถยนต์ของ นายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ จำนวน 35 คัน เพื่อแจกจ่ายแก่พระชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงบุคคล และส่วนราชการต่างๆ เท่านั้น ยังมีข้อมูลจากอดีตลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำรายหนึ่งให้ข้อมูลด้วยว่า ข้อมูลการซื้อรถของเณรคำที่เสี่ยกังนำเอามาเปิดเผยนั้นน่าที่จะยังเปิดเผยข้อมูลไม่หมด เนื่องจากยังมีรถยนต์อีกประมาณกว่า 10 คันที่เสี่ยกังไม่ได้พูดถึง โดยลูกศิษย์คนนี้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่เสี่ยกังมอบรถราคาแพงจำนวนมากแก่บุคคลต่างๆ ไปแล้วอ้างว่าจำไม่ได้ว่ามอบรถให้ใครไปบ้างนั้นไม่น่าเชื่อถือ เพราะการที่จะมอบรถราคาแพงให้ใครไปเสี่ยกังจะต้องบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว
       
       สำหรับรถยนต์หรูที่นำเอาเข้ามาจากต่างประเทศนั้น อดีตเณรคำจะซื้อมาจาก “เสี่ยโย” เจ้าของบริษัทจำหน่ายรถยนต์นำเข้าแห่งหนึ่งย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ โดยอดีตเณรคำไปซื้อรถยนต์ยี่ห้อมายบัคจำนวน 2 คัน รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ จำนวน 2 คัน รถบีเอ็มดับเบิลยู รุ่นเอ็กซ์ 6 จำนวน 4 คัน รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า เลกซัส จำนวน 1 คัน และรถโรลส์-รอยซ์ มือสองอีกจำนวน 1 คัน เพื่อนำเอามาใช้งานด้วย
       
       เช่นเดียวกับ 1 ใน 2 คดีที่ดีเอสไอขออนุมัติศาลออกหมายจับคือการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตร 14 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่เข้าไปอ่านเว็บไซต์ของสมีคำ เพราะงานนี้ถ้าดีเอสเลือกที่จะฆ่าตัดตอนสมีคำเพียงคนเดียวก็ดูจะเป็น 2 มาตรฐานและดูไม่ยุติธรรมกับสมีคำเท่าใดนัก เนื่องจากชัดเจนว่า สมีคำไม่ได้ทำเว็บเพียงคนเดียว
       ดังนั้น จึงต้องเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว็บมาสเตอร์มาสอบสวนพร้อมทั้งตั้งข้อหาเดียวกับสมีคำด้วย
       
       ส่วนในทางธรรมก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่มีจิตเมตตาต่อสมีคำเป็นพิเศษมิใช่ใครอื่นหากแต่คือ “พระธรรมธิติญาณ(ศรีจันทร์) เจ้าคณะภาค 10(ธรรมยุต) ผู้ที่ได้รับรถยนต์โตโยต้าคัมรี่จากสมีคำ เพราะในการให้สัมภาษณ์ทุกครั้งก็ล้วนแล้วแต่คิดบวกต่อสมีคำโดยไม่มีข้อกังขา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พระธรรมธิติญาณประกาศชัดเจนว่า กรณีที่มีการเรียกร้องให้นายวิรพลมารับความผิดและสอบสวนตามข้อกล่าวหานั้น ตนเองเห็นว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรมหากจะจับสึกแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ฟังข้อเท็จจริงที่โดนกลั่นแกล้งกล่าวหาแบบฟังความข้างเดียว เช่น กล่าวหาว่านอนกับสีกา พอเอาผิดก็ไม่ได้ขยายความว่ามีเพศสัมพันธ์หรือไม่ การฟอกเงินซึ่งเป็นการพยายามโยงไปถึงเรื่องการพัวพันยาเสพติดทั้งที่ไม่มีหลักฐาน
       
       เหตุที่บอกว่า เป็นการเอื้ออาทรด้วยใจเมตตาที่ผิดปกติก็เพราะการระบุว่า การตัดสินของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ผู้สอบอธิกรณ์ที่ตัดสินให้อดีตพระวิรพลต้องอาบัติปาราชิกด้วยการอ่านคำตัดสินลับหลังเพียงฝ่ายเดียวถือว่าไม่ถูกต้องและไม่ให้ความเป็นธรรมนั้น จากการตรวจสอบข้อกฎหมายตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม(พ.ศ.2511) ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ 3 ส่วนที่ 2 วิธีพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น ข้อ 39 วรรคสอง ระบุว่า ถ้าโจทก์หรือจำเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาฟังคำวินิจฉัยตามกำหนดที่ได้นัดหมายไว้ โดยมิได้มีหนังสือแจ้งเหตุขัดข้องต่อคณะผู้พิจารณาขั้นต้นก่อนถึงเวลาที่นัดหมาย ให้อ่านคำวินิจฉัยและให้ถือว่าฝ่ายที่ไม่มาฟังคำวินิจฉัยได้ทราบคำวินิจฉัยนั้นแล้ว
       
       และที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุดก็คือ องค์พระแก้วมรกดจำลองใหญ่ที่สุดในโลกที่สมีคำโฮลดิ้งใช้เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน โดยโฆษณาชวนเชื่อว่า สร้างด้วยหินหยกจากประเทศอินเดีย จากการตรวจสอบข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษร่วมกับสำนักงานศิลปากรที่ 11 จังหวัดอุบลราชธานีพบว่า ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง
       
       “จากการตรวจสอบพบว่าด้านท้ายองค์พระแก้วฯ มีกระสอบบรรจุผงปูนสีเขียวที่มีความมันวาว เมื่อนำมาผสมกับน้ำ ผงปูนสีเขียวดักล่าวจะแข็งตัว ลักษณะคล้ายวัสดุที่นำมาหล่อเป็นแผ่นๆ ก่อนนำไปติดบนองค์พระปูนซิเมนต์ ในชั้นนี้จึงเชื่อได้ว่า วัสดุที่นำมาสร้างองค์พระแก้วฯ ไม่ใช่หินหยกที่นำเข้ามาจากประเทศอินเดียอย่างที่มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ญาติโยมร่วมกันบริจาคเงินจำนวนมากๆ มาร่วมสร้างแต่อย่างใด”พ.อ.ชัชนันท์ เชื้ออำนาจ รอง ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ให้ข้อมูล
       
       เพราะฉะนั้นดีเอสไอจะต้องนำตัวสมีคำและสมีคำโฮลดิ้งมาลงโทษให้ได้ เนื่องจากความผิดที่ได้กระทำขึ้นมานั้น ย่ำยีหัวใจพุทธศาสนิกชนหนักหนาสาหัสยิ่งนัก

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
.

จริงๆ  ศาสนาพุทธ ไม่เคยเสื่อม

แต่ที่เสื่อม  เป็นบุคคลที่เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ 

และอีก 3 ประเภท ที่เรียกว่า พุทธบริษัท 4

ที่เป็นคนที่ทำตนเองให้เสื่อมจากความบริสุทธิ์ของศาสนาพุทธ

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
สมี คืออะไร ไขข้อสงสัย ทำไม เณรคํา ถูกเรียก สมีคำ
-http://hilight.kapook.com/view/88762-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เป็นข่าวดังมาหลายสัปดาห์แล้ว กรณี อดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ แห่งที่พักสงฆ์ขันติธรรม ในตำบลยาง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ถูกคณะสงฆ์ผู้พิจารณาอธิกรณ์ปรับอาบัติ ให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2556 หลังจากต้องคดีพรากผู้เยาว์ รวมทั้งยังมีความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติในครอบครองหลายพันล้านที่ส่อเค้าว่าจะฉ้อโกง หรืออาจพัวพันกับยาเสพติดด้วยนั้น ทำให้ช่วงหลังมานี้ สื่อมวลชนทั้งหลายจึงเรียกขาน "เณรคำ" ใหม่ว่า "สมีคำ"

          ทั้งนี้ เนื่องจากยังมีหลายคนไม่ทราบว่า เหตุใดจึงมีการเรียก เณรคำ ว่า สมีคำ และคำว่า สมี คืออะไร หรือมีความหมายอย่างไร ดังนั้นวันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลในเรื่องดังกล่าวมากฝากค่ะ

 
          พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ระบุความหมายของคำว่า สมี ดังนี้
          สมี [สะหฺมี] น. คําเรียกพระภิกษุผู้ต้องอธิกรณ์ขั้นปาราชิก; (โบ) คําใช้เรียกพระภิกษุ
 

          ขณะที่ พจนานุกรม อ.เปลื้อง ณ นคร ได้ระบุความหมายของคำว่า สมี ดังนี้
          สมี [สะ-หฺมี] น. คำเรียกคนถูกไล่สึกจากพระ เพราะต้องอาบัติปาราชิก บุคคลที่เป็นสมีจะบวชอีกไม่ได้ตลอดชีวิต
 

พจนานุกรม

          สำหรับรายละเอียดของการอาบัติปาราชิกนั้น ได้มีบัญญัติไว้ว่า เมื่อพระภิกษุอาบัติปาราชิกแล้ว ต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที แม้จะไม่ยอมสึกออกจากการเป็นพระภิกษุก็ตาม นอกจากนี้ ทางพระวินัยถือว่า พระภิกษุที่อาบัติปาราชิกแล้ว จะไม่สามารถทำกิจร่วมกับพระภิกษุอื่นได้ และไม่สามารถบวชเป็นพระได้อีกตลอดชีวิต ส่วนสาเหตุที่ส่งผลให้อาบัติปาราชิก มี 4 ข้อ ดังนี้
 

          อาบัติข้อที่ 1. เสพเมถุน กรณีที่พระภิกษุเสพสังวาสกับสตรี หรือแม้แต่เดรัจฉานเพศเมีย ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที แม้จะอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่ก็ตาม ถือว่าขาดจากการเป็นพระขณะที่สำเร็จกิจ
 
          อาบัติข้อที่ 2. ลักขโมย เมื่อมีเจตนาลักขโมยของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตด้วยจิตที่จะลัก
 
          อาบัติข้อที่ 3. ฆ่ามนุษย์ ทั้งฆ่าให้ตายด้วยตนเอง หรือใช้ให้คนอื่นฆ่า กรณีนี้ คือ พระภิกษุมีเจตนาตั้งใจที่จะฆ่าอยู่แล้ว เช่น คิดและมีการวางแผนฆ่าให้ตาย เมื่อไม่ตายก็พยายามแล้วพยายามอีกจนเสียชีวิต
 
          อาบัติข้อที่ 4. พูดอวดคุณวิเศษ ในที่นี้หมายภูมิธรรม อาทิ ไม่ได้เป็นพระโสดาบัน แต่กลับอ้างตัวว่า บรรลุฌานสมาบัติ เป็นต้น

 
          อย่างไรก็ตาม การจะต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาและการกระทำของพระภิกษุเป็นเกณฑ์ โดยปกติแล้วจะมีการวินิจฉัยเป็นรายกรณีไป โดยอาจมีการยกเว้นแก่พระสงฆ์ที่กระทำการนั้นโดยไม่รู้ตัว มีจิตฟุ้งซ่าน หรือเป็นบ้า
 
          สำหรับคดีตัวอย่างอันโด่งดังของพระภิกษุสงฆ์ที่อาบัติปาราชิก และถูกเรียกว่า สมี นั้น พบว่า เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้แก่ กรณีของ อดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) หรือ นายวินัย ละอองสุวร พระสงฆ์นักปฏิบัติธรรมชื่อดัง ที่ขณะนั้นมีผู้คนให้ความศรัทธามากมาย ซึ่งในเวลาต่อมา อดีตพระยันตระ ได้ถูกฟ้องร้องหลายข้อหา ทั้งล่อลวงสีกาเพื่อเสพเมถุน ประพฤติตัวไม่สำรวม และพบหลักฐานว่า มีการใช้จ่ายเงินในสถานบริการทางเพศซึ่งตั้งอยู่ในต่างประเทศ
 
          จนกระทั่งปี พ.ศ. 2537 อดีตพระยันตระได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาให้พ้นจากความเป็นพระภิกษุ แต่เจ้าตัวไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ซ้ำยังพูดวิพากษ์วิจารณ์ก้าวล่วงถึงขั้นหมิ่นองค์สมเด็จพระสังฆราช ก่อนลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมหลบหนีออกจากประเทศไทย ทำให้ต้องหลบหนีไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน และถูกสื่อมวลชนเรียกขานว่า "สมียันตระ" หรือเรียกแบบเหน็บ ๆ ว่า "สมียันดะ"

          จากคดีตัวอย่างในข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมของอดีตพระยันตระและสมีคำนั้น มีความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน ซึ่งล้วนตรงตามเกณฑ์ในการอาบัติปาราชิก ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้สื่อมวลชนเรียกขานเณรคำที่ถูกตัดสินพ้นจากสภาพพระภิกษุไปแล้วว่า สมีคำ นั่นเอง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TVRJMU1qUTVORE13T0E9PQ==&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBd01TMHhNUzB3TlE9PQ==-
-http://www.komchadluek.net/detail/20130716/163520/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0.html#.UeqKE20h-AJ-





ปาราชิก
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TVRJMU1qUTVORE13T0E9PQ==&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBd01TMHhNUzB3TlE9PQ==-

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด

โดย น้าชาติ ประชาชื่น, nachart@yahoo.com

 สวัสดีครับ น้าชาติ

  ผมอยากทราบว่าพระสงฆ์ทำผิดอย่างไรจึงเรียกว่า "อาบัติ" และทำผิดอย่างไรจึงเรียกว่า "ปาราชิก" รบกวนน้าชาติอธิบายให้เข้าใจด้วย

 /พีระ

 
ตอบ-พีระ

  คำตอบนี้โต๊ะพระของข่าวสดให้มาละเอียดทีเดียว

 
 อาบัติ แปลว่า ต้อง ถูกต้อง หมายถึง ข้อบัญญัติวินัยสำหรับป้องกันความประพฤติของพระภิกษุให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรมอันดีงาม อาบัติแต่ละข้อพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติตามคำแนะนำและติเตียนของชาวบ้านที่ได้พบเห็นและรู้เรื่องราวความประพฤติของพระ แล้วนำไปฟ้องร้องให้พระพุทธเจ้าทรงรับรู้ ในฐานะพระศาสดา

 
 พระพุทธองค์จะทรงวินิจฉัยและตรากฎบัญญัติหรืออาบัติขึ้นตามเหตุการณ์บ้านเมืองสมัยนั้น ซึ่งมีทั้งหมด 227 ข้อ ประกอบด้วย ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 อนิยต 2 นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92

 
 นอกจากนี้ยังมี ปาฏิเทสนียะ เสขิย ปกิณณกะ อธิกรณสมถะอีกด้วย

 
 อาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา พระภิกษุที่ถูกต้องแล้วยังไม่จัดว่าพ้นจากความเป็นพระ เฉพาะอาบัติสังฆาทิเสสถือว่าเป็นอาบัติหนัก พระภิกษุที่ต้องแล้วต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นผิด ส่วนอาบัติอื่นๆ นั้นพระภิกษุที่ต้องกล่าวแสดงต่อหน้าพระภิกษุให้รับทราบก็จะสามารถพ้นจากอาบัติได้

 
 สำหรับอาบัติปาราชิกนั้น จัดว่าเป็นอาบัติหนักที่สุดซึ่งเมื่อพระภิกษุต้องอาบัตินี้แล้วต้องขาดจากความเป็นพระทันที แม้จะไม่ยอมสึกออกจากการเป็นพระ หรือต้องอาบัติแล้วจะไม่สึกยอมออกไปก็ถือว่าขาดจากการเป็นพระทันทีที่ต้องอาบัติ ทางพระวินัยถือว่าไม่สามารถร่วมสังวาสกับพระภิกษุสงฆ์ได้ด้วย และไม่สามารถบวชเป็นพระได้อีกต่อไป

 
 พระพุทธเจ้าทรงเปรียบพระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกว่าเป็นเหมือนต้นตาลยอดด้วน ไม่สามารถออกดอกผลได้อีกต่อไป เท่ากับว่าไม่สามารถเจริญงอกงามในพระธรรมวินัยในบวรพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะพระภิกษุได้อีก

 
 อาบัติปาราชิก มีอยู่ 4 ข้อ คือ 1.เสพเมถุน 2.ลักขโมย 3.ฆ่ามนุษย์ให้ตาย 4.อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวให้ปรากฏ

อาบัติข้อที่ 1.เสพเมถุน กรณีที่พระภิกษุเสพสังวาสกับสตรีหรือแม้แต่เดรัจฉานเพศเมีย ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที แม้จะอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่ก็ตาม ถือว่าขาดจากการเป็นพระขณะที่สำเร็จกิจ

 
 สำหรับพระภิกษุที่เป็นต้นบัญญัติ ทำโดยไม่รู้ตัวกรณีถูกบังคับ มีจิตฟุ้งซ่าน เป็นบ้า ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป และไม่มีเจตนาถือว่าไม่ต้องอาบัติ ภิกษุต้นบัญญัติ ชื่อพระสุทิน ชาวเมืองเวสาลี

 
 อาบัติข้อที่ 2 ลักขโมย เมื่อมีเจตนาลักขโมยของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตด้วยจิตที่จะลัก ซึ่งพระวินัยกำหนดไว้ คือ ราคา 1 มาสก หรือ 1 บาทขึ้นไป (ราคาสิ่งของในสมัยนั้น) ภิกษุที่เป็นต้นบัญญัติชื่อพระธนิยะ ได้ขโมยไม้หลวง

 
 อาบัติข้อที่ 3 ฆ่ามนุษย์ให้ตายด้วยตนเอง หรือใช้ให้คนอื่นฆ่า กรณีนี้ก็เช่นกัน คือพระภิกษุมีเจตนาอยู่แล้ว ตั้งใจที่จะฆ่า เช่น คิด และมีการวางแผน ฆ่าให้ตาย เมื่อไม่ตายก็พยายามแล้วพยายามอีกจนเสียชีวิต ถือว่าขาดจากการเป็นพระทันที กรณีที่ไม่มีเจตนาไม่ถือว่าต้องอาบัติ

 
 อาบัติข้อที่ 4 พูดอวดคุณวิเศษ ในที่นี้หมายภูมิธรรม อาทิ ไม่ได้เป็นพระโสดาบันอ้างตัวว่าบรรลุฌาน สมาบัติ พระโสดาบัน เป็นต้น ถือว่า พ้นจากความเป็นพระภิกษุทันที ยกเว้น สำคัญผิดคิดว่าตนเองบรรลุ มิได้ประสงค์จะโอ้อวด ภิกษุบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่รู้สึกตัว และพระที่เป็นต้นบัญญัติ

 
 การจะต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาและการกระทำของพระภิกษุเป็นเกณฑ์ พระพุทธองค์ได้ทรงวินิจฉัยเป็นกรณีๆไป
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
DSI เผย คดีสมีคำต่างกับยันตระ เพราะไม่มีข้อหาคดีอาญาที่เป็นสากล
-http://hilight.kapook.com/view/88881-




 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก luangpunenkham.com

           DSI เผยคดีสมีคำต่างกับยันตระ เพราะไม่มีข้อหาคดีอาญาที่เป็นสากล ล่าสุดขอความร่วมมือ 20 ประเทศ ผลักดันสมีคำกลับไทย ด้าน จนท. ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านรถที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม เผยมีเงินหมุนเวียนอีก 30 ล้าน และมีรถถ่ายโอนจากสมีคำ 17 คัน ขณะที่ ป.ป.ง. ตรวจสอบเส้นทางการเงินของสาว 8 รายที่เกี่ยวข้อง

           เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 พ.ต.อ.ทรงศักดิ์  รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีสมีคำ หรือ นายวิรพล สุขผล  ว่า ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยัง หน่วยงานด้านความร่วมมือทางอาชญากรรมระหว่างประเทศที่มีสมาชิกรวม 20 ประเทศ เพื่อให้ช่วยผลักดันให้สมีคำกลับประเทศไทย

           นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของสหรัฐฯ และให้หลายประเทศยุโรป เพื่อขอความร่วมมือสืบสวนหาตัวนายวิรพล ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงต่างประเทศได้เพิกถอนหนังสือเดินทางแล้ว  อีกทั้งยังส่งสำเนาหมายจับที่ระบุข้อหาพร้อมตำหนิรูปพรรณสัณฐานให้กับ ตม. อีก 20 ประเทศ เพื่อขอให้ดำเนินการติดตามคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ และขอข้อมูลในการสืบสวนหาตัว

           พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า คดีของนายวิรพลต่างกับคดีของยันตระ เพราะขณะที่ยันตระก่อเหตุนั้นไม่ได้มีการกระทำผิดอาญาที่เป็นข้อหาสากล อย่างไรก็ตาม ทาง ดีเอสไอ ค่อนข้างจะมั่นใจว่าจะรับการร่วมมือในการผลักดันกลับ เนื่องจากมีความผิดใน 3 ข้อหาชัดเจน คือ ฉ้อโกงประชาชน ด้วยการลงข้อความอันเป็นเท็จ, เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, การล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และพรากผู้เยาว์

           ขณะที่ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามรถยนต์จำนวนหลายคันที่นายวิรพลครอบครองล่าสุด โดยเจ้าของรถเบนซ์หรู และมายบัค ที่ขายให้นายวิรพลนั้น ได้ติดต่อขอเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับการครอบครองรถคันดังกล่าวแล้ว ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 นี้

           โดยในเบื้องต้นพบว่า นายวิรพลได้ติดต่อขอซื้อรถดังกล่าวกับผู้ชายไปใช้เพียงระยะหนึ่ง แต่กลับอ้างว่าไม่มีเงินเลยทำมาขายคืนให้ ซึ่งผู้ขายก็ซื้อรถกลับคืนเท่านั้น แต่ประเด็นดังกล่าวยังมีพิรุธ เนื่องจากนายวิรพลไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน เพราะการซื้อรถยนต์ของนายวิรพลหลายครั้ง มีการซื้อรถยนต์และขายคืน บางครั้งเป็นลอต ครั้งละไม่ต่ำกว่า 6 คัน

           ส่วนทางด้าน พ.ต.ท.ธีระพงษ์ ดุลวิจาสรณ์ ผอ.สืบสวนทางการเงิน ป.ป.ง. ได้เดินเข้าตรวจค้นร้านประดับยนต์ แสงเจริญ ซาวด์ แอนด์ เทเลคอม ที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งจากแนวทางการสอบสวนพบว่า ร้านดังกล่าวมีการทำธุรกรรมรถยนต์เกี่ยวกับนายวิรพล โดยมีเงินหมุนเวียนกว่า 30 ล้านบาท และมีรถยนต์หรูในครอบครองจากการถ่ายโอนของนายวิรพลอีก 17 คัน

           แต่ทั้งนี้ นายศุภราช วิริยะพงษ์ เจ้าของร้าน ไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ พร้อมใช้หนังสือพิมพ์ปิดบังใบหน้าของคนเอง และได้เชิญเจ้าหน้าที่เข้าไปคุยที่ชั้น 2 โดยไม่ยอมให้นักข่าวติดตามไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. ได้ใช้เวลาสอบสวนนานถึง 3 ชั่วโมง

           อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อตรวจสอบส่วนที่เกี่ยวข้องธุรกรรมทางการเงิน ซึ่ง ป.ป.ง.ได้เสนอในชั้นนี้ จำนวน 59 รายการ ประกอบด้วย มีที่ดิน 10 แปลง, รถยนต์ 23 คัน, บัญชีธนาคาร 17 บัญชี, มีจำนวนเงินกว่า 60 ล้านบาท โดยมีร้านแสงเจริญ ประดับยนต์พบว่ามีธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเณรคำเป็นรถราคาแพง 17 คัน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท จึงอายัดไว้ตรวจสอบ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

           ในส่วนของเส้นทางการเดินเงินของบุคคลใกล้ชิดของนายวิรพลนั้น ทางดีเอสไอยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ เช่น ตรวจสอบหญิงสาว 8 ราย ที่เกี่ยวข้องกับนายวิรพล ซึ่งดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเป็นรายบุคคลจนครบทุกราย

           ส่วนเรื่องบัญชีเงินของนายวิรพลจากเดิม 200 ล้านบาท แต่เมื่อกระแสข่าวโด่งดัง ทำให้เงินสดในบัญชีถูกยักย้ายถ่ายเทออกไป จนท้ายที่สุดก็เหลือเงินในบัญชีที่สามารถอายัดและยึดได้เพียง 3 แสนบาทนั้น ทาง ป.ป.ง. ระบุว่า ถึงแม้ขั้นตอนการทำงานติดตามทรัพย์เส้นทางเงินลำบากมากขึ้น แต่ ป.ป.ง. ก็ไม่ท้อ จะดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินต่อไป



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

INN

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374302382&grpid=00&catid=&subcatid=-

-http://www.dailynews.co.th/thailand/220369-

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
'เณรคำ' ผ้าเหลืองหลุด มติสงฆ์ผิดฐาน เสพเมถุน-ปาราชิก
-http://www.youtube.com/watch?v=Zgh_zNuCsm8-

'เณรคำ' ผ้าเหลืองหลุด มติสงฆ์ผิดฐาน เสพเมถุน-ปาราชิก

'เณรคำ' ผ้าเหลืองหลุด มติสงฆ์ผิดฐาน เสพเมถุน-ปาราชิก
'เณรคำ' ผ้าเหลืองหลุด มติสงฆ์ผิดฐาน เสพเมถุน-ปาราชิก

--------------------------------------------------------------------------

เสี่ยกัง ยัน ไม่เป็นนอมินีของ สมีคำ เป็นแค่คนจัดหารถให้เท่านั้น
-http://hilight.kapook.com/view/88910-



สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

         เสี่ยกัง เจ้าของร้านประดับยนต์ แสงเจริญ จ.อุบลราชธานี เปิดเผยกับดีเอสไอ ไม่ได้เป็นนอมินีของ สมีคำ เป็นแค่คนจัดหารถให้เท่านั้น เผยตนก็โดน สมีคำ หลอก

         วันนี้ (22 กรกฎาคม 2556) นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์คดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า หลังจากทีมสอบสวนได้ประชุมคดี อดีตพระเณรคำ ฉัตติโก ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ล่าสุดเช้าวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปตรวจสอบที่ ร้านแสงเจริญ ซาวด์ แอนด์ มอเตอร์สปอร์ต ซึ่งเป็นร้านประดับยนต์ของ นายศุภราช วิริยพงศ์ หรือ เสี่ยกัง ที่ ปปง. มีมติให้ตามยึดและอายัดทรัพย์สินกว่า 60 รายการ ของอดีตพระเณรคำ รวมทั้งของคนใกล้ชิดด้วยก่อนหน้านี้ โดยการตรวจสอบในวันนี้ คือตรวจสอบเอกสารอีกครั้ง

         ทั้งนี้ นายอังศุเกติ์ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นทาง เสี่ยกัง ให้การปฏิเสธ และระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกให้ทำบุญกับ อดีตพระเณรคำ ด้วย ดังนั้น เสี่ยกัง จึงเข้าข่ายเป็นผู้เสียหาย ในข้อหาฉ้อโกงด้วย

         อย่างไรก็ตาม เสี่ยกัง หรือ นายศุภราช วิริยพงศ์ ระบุว่า รถยนต์ที่จัดหาให้นั้น สมีคำ หรือ นายวิรพล สุขผล จะนำไปให้พระชั้นผู้ใหญ่ อดีตสื่อมวลชน คนสนิท ญาติ และนำไปใช้ในขบวนเดินทาง ซึ่งยืนยันว่า ตนไม่ได้เป็นนอมินีครอบครองรถให้ สมีคำ เป็นแค่คนจัดหา เพราะต้องการเงินส่วนต่างในการทำไฟแนนซ์

         ทั้งนี้ เสี่ยกัง ยังกล่าวว่า รถยนต์บางคันนั้นใช้ชื่อตัวเองจ่ายไปก่อน และ สมีคำ ก็จะมาผ่อนคืนทีหลัง ส่วนเงินที่จ่ายค่ารถไม่ทราบว่ามาจากที่ใด และขณะนี้นายวิรพล ก็ยังติดเงินอยู่ 9 ล้านบาท
 
INN
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 23, 2013, 05:19:50 am โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)