ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

เตือนใจ ให้ระมัดระวังและเป็นอุทาหรณ์ เพื่อป้องกันตนเองสำหรับผู้หญิง

<< < (36/36)

sithiphong:
เด็ก-สตรี ถูกกระทำรุนแรง ช่วยแจ้งได้ 1669 / 1300
-http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=3572-

กระทรวงสาธารณสุข เผยปี 2558 มีเด็กและสตรีถูกกระทำรุนแรง 2 หมื่นกว่าราย เฉลี่ยวันละ 66 ราย ส่วนใหญ่ถูกทำร้ายร่างกายและถูกกระทำรุนแรงทางเพศจากคนใกล้ชิด ขยายการรับแจ้งเหตุ การคัดกรอง การช่วยเหลือเบื้องต้นและการส่งต่อเด็กในระดับตำบล

          นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การสหประชาชาติกำหนดเป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล ให้ทุกประเทศตระหนักและเร่งป้องกันแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี สำหรับประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อปี 2542 ให้โรงพยาบาลของรัฐทุกสังกัด ตั้งศูนย์บริการช่วยเหลือเด็กและสตรีในภาวะวิกฤติจากความรุนแรง  ในส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้ง “ศูนย์พึ่งได้” ในโรงพยาบาลศูนย์ / โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชนรวม 896 แห่ง เพื่อให้การดูแลเด็กและสตรี รวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ ที่ถูกกระทำรุนแรงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และทางเพศ อย่างครบวงจรเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว บริการตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทั้งการรักษาพยาบาล ทางกาย ทางจิต ทางสังคม และการประสานหน่วยงานช่วยเหลือด้านกฎหมายและด้านสวัสดิการสังคมอื่นๆ ที่จำเป็น โดยมีทีมแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ บูรณาการทำงานแบบทีมสหวิชาชีพ

          โดยปี 2558 พบว่ามีเด็กและสตรีถูกกระทำรุนแรง 23,977ราย เป็นเด็ก 10,712 ราย สตรี 13,265 ราย เฉลี่ยวันละ 66 ราย ในกลุ่มเด็กจะถูกล่วงละเมิดทางเพศและตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์มากเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นการทำร้ายร่างกาย ผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่เด็กรู้จัก ไว้วางใจ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น แฟน รองลงมาคือเพื่อน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากสภาพแวดล้อม ได้แก่ สื่อลามก ความใกล้ชิด โอกาสเอื้ออำนวย และการดื่มสุรา การใช้สารเสพติด  เป็นต้น ส่วนความรุนแรงในกลุ่มสตรี ปัญหาอันดับ 1 ที่พบได้แก่ การทำร้ายร่างกาย รองลงมาคือถูกกระทำทางเพศและตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ผู้กระทำเป็นคู่สมรสมากที่สุดรองลงมาคือแฟน  สาเหตุส่วนใหญ่มาจากสัมพันธภาพในครอบครัว การนอกใจ หึงหวง ทะเลาะวิวาทกัน

          นอกจากนี้ ในปี 2558 ได้ร่วมกับมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ พัฒนาระบบการรับแจ้งเหตุ การคัดกรอง การช่วยเหลือเบื้องต้นและการส่งต่อเด็กถูกทารุณกรรมหรือการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมให้ได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างครบวงจร โดยมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นหน่วยประสานงานหลัก นำร่องใน 2 จังหวัดๆละ 2 อำเภอ คือระยองและชุมพร คัดกรองเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา 3 เรื่องคือ ความรุนแรง ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และการถูกทอดทิ้ง เพื่อวางแผนดูแลร่วมกับสถานศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้คัดกรองจำนวน 2,270 คน

          แบ่งการดูแลเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธงแดง คือต้องรีบให้การช่วยเหลือคุ้มครองโดยเร็ว กลุ่มธงเหลือง คือมีความเสี่ยงต่อการถูกทารุณกรรม ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และกลุ่มธงเขียว คือเด็กปกติ มีการส่งเสริม ป้องกัน เพื่อไม่ให้อยู่ในกลุ่มธงเหลืองและธงแดง โดยอบรม ให้ความรู้ และทักษะชีวิต การดูแลสุขภาพและเพศศึกษาศิลปะการป้องกันตัว เป็นต้น สำหรับในปี 2559 ได้ขยายการดำเนินงานไปยังอำเภออื่นๆ และขยายเพิ่มอีก 2 จังหวัด คือ ขอนแก่นและปทุมธานี

          ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องความรุนแรงสังคมต้องช่วยกันแก้ไข ป้องกัน  หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ผู้ถูกกระทำรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่ท่านรู้จักหรือไม่ก็ตาม โปรดแจ้ง 1669 หรือ 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.
-http://www.thaihealth.or.th/-

ลงประกาศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558




-------------------------------------------------------



5 ไม่ ลดความรุนแรง
-http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=3573-


กรมสุขภาพจิต ชวนครอบครัวสร้างสัมพันธ์ ลดความรุนแรง แนะนำ ‘5 ไม่' ป้องกันตัว เพื่อนำไปสู่การสร้างระบบเฝ้าระวังการป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งหรือเรื่องส่วนตัวของใคร

          นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเนื่องในวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กสากล ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ว่า สถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี จากข้อมูลของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า สตรีและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงและเข้ารับบริการศูนย์พึ่งได้ตามโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยปี 2556 มีสตรีและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง 31,866 ราย เฉลี่ยการถูกทำร้าย 87 รายต่อวัน หรือกล่าวได้ว่า ในทุกชั่วโมงมีเด็กและสตรีถูกกระทำความรุนแรง 4 ราย

          ในขณะที่ปี 2555 มีสตรีและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง 20,572 ราย หรือเฉลี่ย 56 ราย/วัน ทั้งนี้ พบว่า เด็กถูกกระทำความรุนแรงทางเพศมากที่สุด ในขณะที่สตรีถูกกระทำความรุนแรงทางกายมากที่สุด สำหรับผู้กระทำความรุนแรงในเด็กมากที่สุด คือ แฟน เพื่อน และคนในครอบครัว ขณะที่ผู้กระทำความรุนแรงในสตรีมากที่สุด ได้แก่ สามี แฟน และคนในครอบครัว ส่วนสาเหตุของการกระทำความรุนแรงในเด็ก อันดับ 1 ได้แก่ สภาพแวดล้อม อาทิ สื่อลามกต่างๆ หรือความใกล้ชิด รองลงมา คือ การใช้สารกระตุ้น อาทิ การดื่มสุรา ใช้สารเสพติดอื่นๆ และสัมพันธภาพในครอบครัว ขณะที่สาเหตุการกระทำความรุนแรงในสตรีอันดับ 1 ได้แก่ สัมพันธภาพในครอบครัว อาทิ การนอกใจ ทะเลาะ หึงหวง รองลงมา คือ การใช้สารกระตุ้น และสภาพแวดล้อม

          อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ผลกระทบจากการถูกกระทำความรุนแรง ในผู้หญิงนั้น บาดแผลทางจิตใจที่เกิดขึ้นอาจไม่สามารถลบเลือนไปได้ง่ายๆ ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์บุคลิกภาพ และการดำเนินชีวิตประจำวัน  อาจมีความกระวนกระวาย จิตใจแปรปรวน ขณะที่บางคนมีอาการเครียด ท้อแท้เรื้อรัง สูญเสียความมั่นใจในตนเอง อับอาย ซึมเศร้า หรือบางรายมีอาการทางจิต หวาดกลัว หวาดผวา เป็นต้น ขณะที่เด็กทั้งที่ได้รับผลกระทบโดยตรง หรือแม้แต่ทางอ้อมโดยการเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ก็สามารถมีโอกาสซึมซับและยอมรับความรุนแรงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยเข้าใจผิดว่าปัญหาต่างๆ สุดท้ายต้องแก้ไขด้วยความรุนแรง

          อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ การดื่มสุรา ที่พบว่าเป็นอีกปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่นำไปสู่การกระทำความรุนแรงต่อทั้งสตรีและเด็กนั้น ก็จำเป็นต้องร่วมกันรณรงค์เชิญชวนให้ลด ละ เลิกกันมากขึ้น เนื่องจากสุราจะมีผลกับสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับการคิด การตัดสินใจ และการใช้เหตุผล โดยจะไปมีฤทธิ์กดสมองส่วนนี้ ทำให้ผู้ที่ดื่มขาดการยับยั้งชั่งใจ ใช้เหตุใช้ผลได้ไม่ดีนัก ไม่รับรู้ว่าสิ่งใดผิดหรือถูก ประกอบกับทำให้เกิดความรู้สึกคึกคะนอง และก้าวร้าว การกระทำความรุนแรงจึงเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่รอบข้างได้ง่าย

          สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการถูกผู้ดื่มสุราทำร้าย ขอแนะ 5 ไม่ ในการป้องกันตัว คือ

 1. ไม่นิ่งนอนใจ โดยตรวจสอบว่ามีอาวุธอยู่กับตัวของผู้เมาสุรา หรือบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ ถ้ามี และไม่มั่นใจว่าปลอดภัย ให้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ

 2. ไม่ใช้กำลัง ในการยุติความ เว้นแต่จะเป็นการกระทำไปเพื่อป้องกันตัวตามเหตุผลที่สมควร
         
 3. ไม่สร้างบรรยากาศ ข่มขู่ ตำหนิ หรือกดดัน ไม่ยิ้มเยาะหรือหัวเราะ ไม่โต้แย้งหรือ ท้าทาย หรือตะโกนใส่ เพราะจะยิ่งเพิ่มความโกรธและหงุดหงิดให้เขามากขึ้น จึงควรยุติการสนทนาลง

 4. ไม่ให้บุคคลนั้นเข้าใกล้เครื่องยนต์กลไกหรือขับขี่ยานพาหนะ

 5.ไม่เข้าไปใกล้บุคคลนั้นมากเกินไป เพราะจะเป็นอันตรายได้ จึงควรมีระยะห่าง ตลอดจนหลีกเลี่ยงการจ้องตาหรือการมองตาอย่างต่อเนื่อง

          ที่สำคัญ ทุกคนในครอบครัว ชุมชน และสังคม ถ้าเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นต้องไม่เพิกเฉย ควรรีบให้ความช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ เช่น โทรศัพท์แจ้งตำรวจ แจ้ง OSCC (One Stop Crisis Center) แจ้งสายด่วน 1300 รวมทั้ง ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน สายด่วน 1111 หรือศูนย์ดำรงธรรม ตลอดจนช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงภายในชุมชน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในชุมชน

          หากพบคนในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดมีปัญหาทางจิตใจเนื่องจากถูกกระทำความรุนแรง สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ลงประกาศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.
-http://www.thaihealth.or.th/-

ลงประกาศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

sithiphong:
ได้พวกนี้ ต้องจับตาย
เก็บไว้เป็นเดนสังคม เป็นภัยต่อบุคคลอื่น


-----------------------------------------------------

รุมประณาม แก๊งเดนนรก 8 คน รุมใช้มีดแทงนักศึกษาสาว 1 จนอาการปางตาย
-http://hilight.kapook.com/view/131384-


สังคมออนไลน์ รุมประณามแก๊งเดนนรก 8 คน ขับมอเตอร์ไซค์รุมประกบก่อนใช้มีดจ้วงทำร้าย นักศึกษา ม.อุบลฯ ปางตาย ด้านจอนนี่ มือปราบอินดี้ คนดัง สมทบเงิน 10,000 บาท สำหรับผู้มีเบาะแส ขณะที่ตำรวจเร่งลากคอมาลงโทษ

                 วานนี้ (8 มกราคม 2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกออนไลน์ ได้มีการแชร์ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก ยุทธพล ศรีสมพงษ์ (ยุทธพล ศรีสมพงษ์) หรือที่รู้จักกันในนาม "จอนนี่ มือปราบอินดี้" กรณีที่มีคนร้าย 7-8 คนได้ร่วมกันก่อเหตุทำร้าย นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยการขับรถจักรยานยนต์ ขี่ประกบและใช้อาวุธมีดแทงทะลุปอด จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 เวลาประมาณ 23.30 น. บริเวณถนนองศาวาริน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่หาเบาะแสของคนร้าย พร้อมกับประกาศขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์อุกอาจ โดยที่ จอนนี่ มือปราบอินดี้ ประกาศให้เงินรางวัลนำจับ 10,000 บาท

                 ล่าสุด จอนนี่ มือปราบอินดี้ ได้รับรายงานจากทางสายข่าวว่า ได้รับข้อมูลแคบลงว่า คนร้ายมีจำนวน 8 คน รถจักรยานยนต์ 4 คัน และหนึ่งในนั้นมีผู้หญิงด้วย พร้อมประกาศจะติดตามจับกุมตัว โดยเฉพาะคนก่อเหตุดังกล่าว ส่วนคนที่เหลือขอให้มอบตัวก่อนที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว

                 โดยหลังจากที่ จอนนี่ มือปราบอินดี้ ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กออกไป สังคมออนไลน์ ต่างช่วยกันส่งต่อข้อมูล เพื่อช่วยหาเบาะแสคนร้ายให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งยังได้รุมประณามการกระทำของกลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้





ภาพจาก เฟซบุ๊ก ยุทธพล ศรีสมพงษ์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -https://www.facebook.com/profile.php?id=100008814675796-
-http://crime.tnews.co.th/content/175059/-

sithiphong:
เรื่องนี้ ต้องถอดยศ (ถ้ามีตำแหน่งทางราชการ)  ต้องไล่ออกจากทีมชาติไทย
เพราะถ้าพฤติกรรมแบบนี้  ไม่ไล่ออกจากทีมชาติไทย

ถ้ามียศ หากมีคำพิพากษา ต้องถอดยศออก 
ถ้าไม่ถอดยศ  เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับราชการ

-----------------------------------------------------


แม่น้อง ม.6 แจ้งความ แบ็ก อาทิตย์ เล่าละเอียดวินาทีลูกสาวถูกล่อลวง
-http://football.kapook.com/news-24229-

แม่น้อง ม.6 แจ้งความ แบ็ก อาทิตย์ เล่าละเอียดวินาทีลูกสาวถูกล่อลวง เผยรับปากอย่างดีว่าจะมาส่งที่บ้าน แต่ออกอุบายขอแวะอาบน้ำเพราะร้อน ก่อนจะชวนขึ้นข้างบนเพราะเปิดแอร์เอาไว้ แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม จนถูกฉุด แต่ดิ้นหลุดและแชร์โลเคชั่นให้เพื่อนมารับ

         วันที่ 12 เมษายน 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นางเอ (นามสมมติ) ได้พาน้องบี (นามสมมติ) หญิงสาวอายุ 17 ปี ที่เรียนอยู่ชั้น ม.6 เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างว่าถูกแบ็ก อาทิตย์ นักฟุตบอลล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย ที่หมู่บ้านพฤกษ์ลดา อ.ปากเกร็ด แต่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอมเเละหนีรอดมาได้

         ทั้งนี้ นางเอ กล่าวว่า ลูกสาวรู้จักกับนักฟุตบอลทางอินสตาแกรมได้ไม่นาน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ลูกสาวได้นำเคสโทรศัพท์ไปส่งลูกค้าที่เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เพื่อเป็นการหารายได้พิเศษ แต่นักฟุตบอลรายนี้ก็ได้โทรศัพท์มาพร้อมชวนกันไปกินข้าวที่ห้างดังกล่าว โดยลูกสาวได้โทรศัพท์มาขออนุญาตตนเรียบร้อย และหลังกินข้าวก็จะอาสาไปส่งที่บ้าน แต่ลูกสาวปฏิเสธ ทางนักบอลพยายามเซ้าซี้ ด้านลูกสาวจึงโรหาแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง และขณะนั้นนักบอลก็รับปากว่า จะเป็นธุระมาส่งน้องเองขอให้สบายใจได้

นาง เอ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ลูกสาวขึ้นรถแล้วก็ได้ออกอุบายว่าอากาศร้อนมาก ขอแวะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อน ส่วนลูกสาวก็เข้าไปรอที่ชั้นล่าง ฝากนักบอลก็เปิดพัดลมให้ก่อนที่จะขึ้นไปอาบน้ำชั้นบน เมื่ออาบเสร็จก็ชวนลูกสาวขึ้นไปข้างบนเพราะเปิดแอร์ไว้จะได้เย็น ๆ เมื่อลูกสาวได้ยินแบบนั้นก็ปฏิเสธ แต่นักบอลใช้กำลังฉุดดึงแขนขึ้นไป ด้านลูกสาวก็ต่อว่าต่าง ๆ นานา ส่วนนักบอลก็เกิดความไม่พอใจ และเมื่อได้จังหวะลูกสาวดิ้นหลุดและวิ่งหนีออกมาหน้าหมู่บ้าน พร้อมส่งโลเคชั่นบอกตำแหน่งให้เพื่อน เพื่อให้เพื่อนเดินทางมารับกลับ

         นาง เอ เล่าต่อว่า หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้น ตนเองพยายามติดต่อกับนักฟุตบอลให้มาขอโทษที่ทำกับลูกสาวตนแบบนั้น แต่ไม่ยอมรับสาย เลยให้หลานชายเดินทางไปทที่บ้านคู่กรณีเมื่อช่วงบ่าย แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมออกมาพบ ตนเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนดูหมิ่นลูกสาวตนจึงเข้าแจ้งความกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจและดำเนินคดีกับนักฟุตบอลรายนี้ต่อไป

ภาพและข้อมูลจาก workpointtv.com
-http://workpointtv.com/?p=43895-

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version