ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

เตือนใจ ให้ระมัดระวังและเป็นอุทาหรณ์ เพื่อป้องกันตนเองสำหรับผู้หญิง

<< < (8/36) > >>

sithiphong:
สลด ! แม่พาลูกสาว 5 ขวบ ค้ากามกับลูกค้าเก่า แลกเงิน-ยาบ้า
-http://hilight.kapook.com/view/90769-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ LAKORNHD ThaiTV สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            แม่วัย 35 ปี แยกทางกับพ่อเด็กไปอยู่กับสามีใหม่ แต่กลับพาลูกสาว 5 ขวบ ไปขายบริการทางเพศให้กับลูกค้าเก่าของตัวเอง เพื่อแลกเงิน 800 บาท กับยาบ้าอีกจำนวนหนึ่ง

            เมื่อวานนี้ (5 กันยายน 2556) นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า มีป้าของเด็กรายหนึ่งได้เข้ามาร้องกับทางมูลนิธิปวีณาหงสกุล เพื่อเด็กและสตรี ว่า หลานสาววัย 5 ขวบ ถูกแม่แท้ ๆ วัย 35 ปี พาไปขายบริการทางเพศ เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว เนื่องจากขณะนี้กำลังอาศัยอยู่กับสามีใหม่ แต่เงินไม่พอใช้

            ทั้งนี้ ป้าของเด็กเล่าว่า หลานสาวอาศัยอยู่กับตนและผู้เป็นพ่อ ส่วนบ้านของแม่เด็กอยู่ไม่ไกลจากกันเท่าใดนัก กระทั่งเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 แม่เด็กไปรับหลานที่โรงเรียน เมื่อหลานสาวมาถึงบ้านก็บอกกับตนว่า เจ็บที่อวัยวะเพศ และเวลาปัสสาวะ หลานสาวก็เจ็บมาก จนกระทั่งร้องไห้ออกมา เมื่อพบว่า อวัยวะเพศของหลานสาวบวมแดงผิดปกติ จึงไปสอบถามแม่ของเด็ก จนทราบว่า หลานสาวถูกพาไปหาชายคนหนึ่งที่แม่ของเด็กเรียกว่า ป๋า โดยแม่ของเด็กเห็นป๋าทาครีมที่อวัยวะเพศของหลานสาว ก่อนใช้นิ้วสอดใส่เข้าไป จากนั้นป้าของเด็กจึงรีบพาหลานสาวไปร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาฯ ทันที

            เมื่อนางปวีณาทราบเรื่อง ก็รีบพาป้ากับหลานสาวไปแจ้งความ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนทั้งคู่ได้ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2556 ภายหลังทราบชื่อชายคนดังกล่าวว่า นายอมร (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 48 ทำงานแถวปทุมธานี

            นอกจากนี้ แม่ของเด็กยังเล่าว่า ได้แยกทางกับสามีเก่ามาอาศัยอยู่กับสามีใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้แม่ของเด็กก็ขายบริการทางเพศมาก่อน จนกระทั่งได้รู้จักกับนายอมรและค้าบริการกันบ่อย ๆ จนวันหนึ่งนายอมรถามว่า มีลูกสาวหรือไม่ เมื่อแม่ของเด็กบอกว่ามี นายอมร จึงบอกให้พาลูกสาวมา แล้วจะให้เงินกับยาบ้าเป็นค่าตอบแทน แม่ของเด็กเลยพาลูกสาวมาหานายอมร เพื่อแลกเงิน 800 บาท กับได้ยาบ้ามาเสพ


สลด! ตร.จับแม่ขายลูกสาว 5 ขวบบำเรอกาม
คลิป สลด! ตร.จับแม่ขายลูกสาว 5 ขวบบำเรอกาม : เครดิต รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ LAKORNHD ThaiTV

สลด! ตร.จับแม่ขายลูกสาว 5 ขวบบำเรอกาม
-http://www.youtube.com/watch?v=jKG3kshoMZ0-


sithiphong:
หนุ่มใหญ่ใจบุญอุปการะเด็กชาวเขา ที่แท้ลวงข่มขืน ถ่ายคลิปไว้เพียบ !
-http://hilight.kapook.com/view/91882-







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการคลุกวงข่าว โพสต์โดยคุณ DuangAestheticII สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

           เสี่ยใหญ่ทำทีใจบุญอุปการะเด็กชาวเขา ที่แท้หลอกไปข่มขืน มอมยากระทำชำเรากว่า 20 คน ถ่ายคลิปไว้เพียบกว่า 50 คลิป

           เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร 5 จ.เชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรีภาค 5 พร้อมด้วย สภ.พบพระ จ.ตาก ได้บุกเข้าตรวจค้นบ้านพักหลังหนึ่ง ที่ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ หลังได้รับแจ้งว่า เด็กหญิงและเด็กชายกว่า 20 คน ถูกล่วงละเมิดทางเพศที่บ้านหลังดังกล่าว

           ทั้งนี้ สืบเนื่องจากผู้ปกครองท่านหนึ่งได้ร้องทุกข์ให้แจ้งจับ นายกรไกรวิทย์ นาควิไล อายุ 55 ปี โดยระบุว่า นายกรไกรวิทย์ได้ลักพาตัวเด็กชายอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 3 คน จาก จ.ตาก เพื่อไปกระทำอนาจารและถ่ายคลิปเก็บไว้

           อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบภายในบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจพบชุดนักเรียนชายและหญิงจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังพบฮาร์ดดิสก์ที่บรรจุคลิปวิดีโอขณะที่ผู้ต้องหาละเมิดทางเพศเด็กกว่า 20 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กชาวเขา รวมทั้งเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ ที่นายกรไกรวิทย์ได้ขออุปการะมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ

           และจากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ผู้ต้องหาเป็นคนมีฐานะดี ทำทีเป็นคนใจบุญขออุปการะเด็กจากโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กชาวเขาหรือเด็กกำพร้า โดยหลอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่ฐานะยากจนหลงเชื่อ จนรู้สึกยินดีที่ผู้ต้องหาเข้ามาอุปถัมภ์เลี้ยงดูลูก

           สำหรับการตรวจสอบภาพจากคลิปวิดีโอที่ผู้ต้องหาบันทึกเอาไว้ พบว่ามีกว่า 50 คลิปด้วยกัน ซึ่งเมื่อดูแล้วพบว่าเด็กถูกละเมิดทางเพศในลักษณะท่าทางที่ไม่มีสติ และเมื่อถามเด็ก ๆ ก็ไม่ทราบว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา จึงเชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะมอมยาก่อนจะที่ข่มขืนเด็กแล้วถ่ายคลิปเอาไว้ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ไปกระทำอนาจาร พร้อมนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามว่าคลิปวิดีโอเหล่านั้น ได้ถูกนำไปจำหน่ายหรือเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตหรือไม่ต่อไป



ตะลึง ! พบคลิปกระทำอนาจารเด็กชายและเด็กหญิงจำนวนมาก จากรายการคลุกวงข่าว โพสต์โดยคุณ DuangAestheticII สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

ตะลึง! พบคลิปกระทำอนาจารดช.และดญ.จำนวนมาก
-http://www.youtube.com/watch?v=hUm4IKw9GqY&feature=player_embedded-

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1EYzNPVEUxTXc9PQ==&sectionid=-

sithiphong:
เปิดผลวิจัยวัยรุ่นไทย อึ้ง ทำแท้งกว่าแสนราย ติดเกม-ติดเหล้านับล้านคน
-http://education.kapook.com/view72862.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผลวิจัย อึ้ง ! เด็กอายุ 10-19 ปี ท้องและทำแท้งกว่า 1 แสนราย กระทบเศรษฐกิจกว่า 3 พันล้านบาท ขณะที่มีเด็กเจอปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษามากกว่า 3 ล้านคน ติดเกมกว่า 2 ล้านคน ติดเหล้าอีกกว่า 5 ล้านคน ทำสูญเงินนับหมื่นล้านบาทต่อปี

          เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2556 โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ได้เผยผลการศึกษาที่จัดทำร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง "อนาคตไทย" เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะเด็กอายุ 6-25 ปี และพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า เด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบันนี้มีปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพ 3 เรื่อง คือ ปัญหาท้องในวัยรุ่นและติดเชื้อระหว่างการมีเพศสัมพันธ์, ปัญหาความรุนแรงในเด็ก และปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน ซึ่งเกิดจากปัจจัยแวดล้อม ทั้งปัจจัยบุคคล ครอบครัว และสังคม

          โดย ภญ.ปฤษฐพร กิ่งแก้ว นักวิจัยโครงการ เปิดเผยถึงปัญหาแรกคือปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ว่า พบว่าปัจจุบันนี้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กันเร็วขึ้น มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนหลายคน แต่กลับไม่มีความรู้เรื่องการป้องกันและการคุมกำเนิด ทำให้เกิดโรคติดต่อ และเสี่ยงต่อการทำแท้งด้วย

          ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานกลางสารสนเทศ พบว่า ผู้หญิงอายุ 15-19 ปี มีอัตราการคลอดบุตรและจดทะเบียนมากกว่า 50 ต่อ 1,000 คน ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมจำนวนการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นทั้งหมดและการทำแท้งผิดกฎหมาย ขณะนี้การศึกษาของสหรัฐอเมริกาพบว่า ในประเทศมีแม่ที่อายุ 10-19 ปี คลอดบุตรราว 125,000 ราย และทำแท้งถึง 100,000 ราย ชี้ให้เห็นว่าปัญหานี้นอกจากกระทบต่อสุขภาพของวัยรุ่นแล้ว ยังกระทบต่อระบบเศรษฐกิจด้วย เพราะเด็กเหล่านี้ต้องขาดการศึกษา ขาดต้นทุนสวัสดิการ เสียโอกาสการทำงาน ทำให้ไม่มีรายได้ เมื่อไม่มีรายได้ก็ไม่สามารถจ่ายภาษีได้ คิดแล้วกระทบต่อระบบเศรษฐกิจกว่า 3,088 ล้านบาท

          ด้วยเหตุนี้ ภญ.ปฤษฐพร จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องร่วมกันพัฒนาศักยภาพเด็กและวัยรุ่นให้มีความรู้ทักษะการใช้ชีวิต รวมทั้งควรลงทุนพัฒนาระบบฐานข้อมูลการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นให้ครอบคลุมทุกจังหวัด และติดตามประเมินอยู่ตลอดเวลา

          ส่วนปัญหาที่ 2 คือ ปัญหาความรุนแรงในเด็กนั้น ผู้วิจัยระบุว่า สาเหตุส่วนใหญ่ที่พบมาจากปัญหายาเสพติด ปัญหาครอบครัว ถูกเพื่อนและสื่อต่าง ๆ ชักจูง โดยตัวเลขปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในสถานศึกษาถึง 3,723,000 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ 8,500 คน เป็นผู้กระทำผิดด้วยคดีทางร่างกายต้องถูกส่งเข้าสถานพินิจฯ 5,000 คน และเป็นผู้กระทำผิดคดีทางเพศต้องถูกส่งเข้าสถานพินิจฯ 7,600 คน ดังนั้น ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ต้องเร่งพัฒนาระบบ เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนให้ความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดความรุนแรงซ้ำ

          นอกจากนี้ ยังพบว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ติดยาเสพติดเกิดจากอยากรู้อยากลอง และส่วนหนึ่งมาจากปัญหาครอบครัว โดยจากการประเมินพบว่า ในแต่ละปีมีเด็กติดยาเสพติดกว่า 900,000 คน ติดแอลกอฮอล์ 5,247,000 คน สูญเงินไปกว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งหากสามารถป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ได้ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 20,000-360,000 บาทต่อราย

          ขณะที่ปัญหาด้านสุขภาพจิตนั้น ภญ.ปฤษฐพร ระบุว่า จากการสำรวจพบเด็กติดเกมมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งได้ส่งผลให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น มีปัญหาทางอารมณ์ และมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ตามมา บางคนเป็นเด็กออทิสติก ทำให้ผู้ปกครองต้องเสียเงินค่าเลี้ยงดูไม่ไปน้อย ทั้งนี้ ปัญหาเด็กติดเกมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ต้องสูญเงินจากค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมไป 1,106 บาทต่อคนต่อเดือน เท่ากับว่าใน 1 ปีต้องสูญเงินไปกว่า 30,000 ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ด้วยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขจะต้องพัฒนาระบบคัดกรองโรคสมาธิสั้น ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ และออทิสติกในโรงเรียน รวมทั้งเชื่อมต่อกับสถานพยาบาล เพื่อติดตามผลการรักษาด้วย


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.komchadluek.net/detail/20131003/169698/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B21%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html#.Uk7kfBAh-AK-

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1380789516&grpid=03&catid=&subcatid=-

sithiphong:
มานะ เลิศรักษา รปภ. แชทเฟซบุ๊กลวงสาววัย 17 ถูกจับแล้ว
-http://hilight.kapook.com/view/92021-






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทวิตเตอร์ ‏@MorningNewsTV3

            นายมานะ เลิศรักษา รปภ. แชทเฟซบุ๊กลวงสาววัย 17 หลอกไปบ้าน-ข้ามคืนเป็นศพ หลบหนีไปได้แล้ว โดยอาศัยจังหวะน้ำท่วมลุยน้ำออกหลังโรงพยาบาล ด้านแม่ของผู้ต้องหาวอนให้ลูกมอบตัว ล่าสุด นายมานะ ถูกจับแล้ว รับลงมือฆ่าเพราะกลัวฝ่ายหญิงรับไม่ได้ที่แก่และไม่รวยจริง

            จากกรณีที่แม่น้องบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาฯ ว่าลูกสาวถูกผู้ชายชื่อ "นายมานะ เลิศรักษา" วัย 52 ปี ที่รู้จักกันในเฟซบุ๊กล่อลวงไป และพบอีกทีลูกสาวก็เป็นศพบนเตียงนอนของฝ่ายชาย สภาพศพน้ำลายไหลปนเลือด ส่วนหลังเกิดเหตุนายมานะก็กินน้ำยาล้างห้องน้ำ จนแพทย์ต้องทำการล้างท้อง ยังไม่สามารถให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
   
            ความคืบหน้าล่าสุด (8 ตุลาคม 2556) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า นายมานะที่นอนรักษาตัวเนื่องจากดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำไปนั้น ได้หลบหนีออกจากโรงพยาบาลแล้ว โดยอาศัยจังหวะที่ญาตินำเสื้อมาเปลี่ยน เดินลุยน้ำออกทางด้านหลังโรงพยาบาล ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ช่วยเหลือน้ำท่วมอยู่ พอไปตรวจสอบที่กล้องวงจรปิดก็พบว่ากล้องเสีย

            ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามแม่ของนายมานะ ซึ่งระบุว่า วันนั้นให้น้องชายไปตามนายมานะที่ห้อง ก็พบว่ามีคนตายอยู่ในห้อง ส่วนนายมานะก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทราบเพียงว่าเป็น รปภ. อยู่ จ.สมุทรปราการ ล่าสุดนายมานะกลับมาร่วมงานศพพ่อ จากนั้นก็หายไปพักหนึ่ง จนกระทั่งกลับมาและก่อเหตุดังกล่าว โดยตนอยากจะบอกลูกชายว่าให้เข้ามอบตัว อย่างน้อยโทษหนักจะได้เป็นเบาและตนจะได้เบาใจด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฝากบอกถึงนายมานะว่า อย่าคิดจะหนีอีกและอยากให้เข้ามอบตัวเพราะความผิดจะได้เบาบางลง

            ส่วนทางด้าน นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้ลงพื้นที่ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนายมานะ เพื่อตรวจสอบความคืบหน้า นอกจากนี้ได้ตรวจสอบผลชันสูตรศพ พบว่าลักษณะของศพตรงคิ้วขวามีรอยแตก โดยเชื่อว่าน่าจะถูกจับกรอกยา เพราะสถาบันนิติเวชระบุว่า หลอดลมน้องบีมีรอยไหม้และพบขวดน้ำยาล้างห้องน้ำตกอยู่

            พร้อมกันนี้ เมื่อตรวจสอบยังเฟซบุ๊กของน้องบีพบว่าการมีสนทนากับนายมานะประมาณ 2 เดือน ส่วนนายมานะนั้นก็ได้ใช้รูปตัวเองแต่เป็นสมัยอายุประมาณ 30 ปี ช่วงทำงานในประเทศอินโดนีเซียเป็นรูปโปรไฟล์ ซึ่งการสนทนานั้น นายมานะบอกว่ารักน้องบีมาก และอยากจะส่งเสียเลี้ยงดู

            ขณะเดียวกัน แม่น้องบีเชื่อว่าลูกสาวไม่ฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน เพราะน้องบีเป็นเด็กร่าเริง ส่วนสาเหตุการตายนั้นอยากรู้ว่านายมานะฆ่าน้องบีอย่างไร และใช้วิธีไหนชักชวนน้องบีออกมา สำหรับตนนั้นรู้เพียงว่านายมานะเป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊กเพียงเท่านั้น ซึ่งอยากจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด และอยากฝากเตือนผู้ปกครองทุกคนให้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องเล่นเฟซบุ๊ก เพราะไม่อยากให้ลูกคนอื่นโดนหลอกเหมือนน้องบีอีก

             อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายมานะ ได้แล้ว หลังจากที่หลบหนีไปอยู่ที่บ้านญาติ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ก่อนจะถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด โดยมานะ ให้การว่า ตนคบหากับผู้ตายมาประมาณ 8 เดือน ผ่านเฟซบุ๊กและยังไม่เคยเจอหน้ากัน ซึ่งในวันที่ 3 ตุลาคม วันเกิดเหตุ ตนได้บอกกับน้องบีว่าให้มาพบตนที่ริมถนน 331 ต.สระสี่เหลี่ยม อ.พนัสนิคม โดยตนบอกว่าจะพาน้องบีไปไหว้คุณแม่ที่บ้าน จากนั้นก็พาน้องบีเข้าห้องและมีเพศสัมพันธ์กัน

             ต่อมา ช่วงดึกของวันนั้น ตนถามน้องบีว่ารักตนจริงหรือไม่ แต่น้องบีกลับนิ่งเฉยไม่พูดอะไร ตนจึงบันดาลโทสะ ใช้แขนรัดคอผู้ตายจนสลบแน่นิ่งไป ก่อนที่จะหยิบน้ำยาล้างห้องน้ำมากรอกปากน้องบี ส่วนตนก็พยายามจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำตายตามไปด้วย สำหรับบาดแผลที่คิ้วของน้องบีนั้น เกิดระหว่างที่ตนใช้แขนรัดคอน้องบีทำให้คิ้วไปชนที่ขอบเตียง

             นอกจากนี้ นายมานะ กล่าวถึงสาเหตุที่ลงมือฆ่าน้องบีว่า กลัวน้องบีจะรับไม่ได้ที่ตนแก่และไม่เหมือนในภาพ อีกทั้งยังกลัวว่าทางบ้านของน้องบีจะรับไม่ได้เพราะตนไม่ได้รวยมีการงานดีตามที่ได้บอกเอาไว้

             ส่วนล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายมานะไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพแล้ว ซึ่งแม่ของน้องบีได้เดินเข้ามาตบหน้าผู้ต้องหา 1 ครั้ง พร้อมเข้ามาถามว่ามาฆ่าลูกของเธอทำไม


รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้ว
คลิป รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้ว : เครดิต รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ LAKORNHD ThaiTV

รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้ว
-http://www.youtube.com/watch?v=vmnQTG7fv10-
รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้ว


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://morning-news.bectero.com/post.php?pml=3141-

sithiphong:
รวบหมอดูออนไลน์สุดหื่น อ้างพาไปสะเดาะเคราะห์ ที่แท้หลอกข่มขืน
-http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/crime%20news/486330-01.jpg-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          รวบหมอดูออนไลน์สุดหื่น อ้างเป็นพาสะเดาะเคราะห์ ที่แท้หลอกเข้าโรงแรม ก่อนบังคับขืนใจ เผยทำมาแล้ว 5 ราย

          วันนี้ (11 ตุลาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภาคิณ ธนวัสวัสวงษ์ หรือโอ อายุ 32 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บวรมงคล จับกุมที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า หลังจากหลอกลวงสาวอายุ 20 ผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อกระทำชำเรา

          ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากผู้เสียหายแจ้งว่า นายภาคิณได้ใช้วิธีลงประกาศรับดูดวงในโซเชียลมีเดีย และหากว่าสนใจก็จะมีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ โดยหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีจำนวน 2 พันบาท จากนั้นก็นัดพบกันที่ห้างสรรพสินค้าดังกล่าว ก่อนที่จะหลอกผู้เสียหายไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ที่โรงแรมม่านรูดย่านจรัญสนิทวงศ์ จากนั้นก็ใช้กำลังข่มขืนผู้เสียหาย และหยิบเงินของผู้เสียหายหลบหนีไป

          อย่างไรก็ตาม หลังจากจับกุมผู้ต้องหารับสารภาพว่า ตนรับดูดวงในลักษณะดังกล่าวมากว่า 1 ปีแล้ว โดยมีค่าดูตั้งแต่ราคา 500-2,000 บาท นอกจากนี้ จากการตรวจสอบบัญชีพบว่า มีการโอนเงินจากบัญชีต่าง ๆ ผ่านเข้ามาถึง 10 ครั้ง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเงินที่ใช้ในการดูดวง รวมถึงเจ้าตัวยังสารภาพว่า ได้ก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมากกว่า 5 ครั้งแล้ว

INN

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version