ผู้เขียน หัวข้อ: แม่พระทั้ง 5 เสมือนหนึ่ง.. มารดาทางธรรม  (อ่าน 2442 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




คุณของมารดาทั้ง5 เรื่องที่ควรอ่าน
แม่พระทั้ง5 เสมือนหนึ่ง.. มารดาทางธรรม
พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)


รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความพ้นทุกข์ (เล่มที่ 4)

สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงเมตตาสอนไว้ เมื่อ 29 ส.ค. 2535 ที่วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี เพื่อสะดวกในการจดจำและความเข้าใจของผู้อ่าน จึงขอแยกออกเป็นข้อ ๆ มีความสำคัญดังนี้

1. ในทางโลก บิดา-มารดา ท่านเสพกามกัน ดวงจิตของเราก็มาจุติได้ มารดาอุ้มท้องเลี้ยงดูเรามาตราบกระทั่งชีวิตของท่านหาไม่ พระคุณแห่งบุพการีทั้งสอง ขอจงจดจำไว้ อย่าตำหนิ หรือ ลบหลู่ เป็นอันขาด

2. ในทางธรรม กายเกิดธรรมก็เกิด เกิดด้วยธาตุ 4 เข้ามาประกอบกันโดยมีแม่พระโพสพ (ข้าว) เป็นอาหารหลักที่เลี้ยงกาย แม่พระทั้ง 5 จึงเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรมที่เลี้ยงกาย แม่พระทั้ง 5 จึงเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรมที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย

3. บุตร บิดา มารดา ฆ่ากันในทางโลก หากมีอีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตั้งจิตสร้างอภัยทานให้เกิด กล่าวขออโหสิกรรม และเป็นฝ่ายยอมรับผลของกรรมที่ตนได้ก่อไว้ในอดีตชาติอย่างสงบ กรรมนั้น ๆ ก็จะลุล่วงเลิกแล้วต่อกันไปได้ เช่น อย่าง ตถาคตตรัสอโหสิกรรมให้พระเทวทัต หรือ พระอรหันตสาวกทั้งหลายทุกๆ องค์ ที่เคารพในกฏแห่งกรรมสำแดงปฏิปทาให้ปรากฏ ตั้งแต่พุทธธันดร ผลแห่งการให้อภัยย่อมมีอยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่างสืบเนื่องตลอดไป

4. ต่างกับคนผู้ที่ฆ่าตัวตาย ทำร้ายแม่พระทั้ง 5 โทษของกรรมนั้นยากนักที่จะพ้นได้ จะอย่างไรก็ต้องฆ่าตัวตายไปอีกตั้ง 500 ชาติ เพราะเนรคุณไม่รู้คุณแห่งแม่พระธรรมทั้งปวง

5. เรามาจุติ (เกิด) เราก็ต้องอาศัยเขาสร้างพระบารมี จะไปนรก สวรรค์ นิพพานได้ ก็ด้วยชาติที่เป็นมนุษย์ส่งผลนี้แหละ เพราะฉะนั้นอย่าเนรคุณ เวลาป่วยไข้ก็จงหมั่นดูกฏของกรรมเป็นต้นเหตุ

6. ตัวเวทนาของกาย คือ วิญญาณธาตุ (ระบบประสาทรับสัมผัสของกาย) จงรู้เท่าทันมันให้ดีๆ เพราะตัวนี้เป็นตัวผสมทำสุข ทุกข์ให้เกิด ถ้าแยกจิตไม่เป็น เวทนาของกายก็จะทำให้เวทนาของจิตเกิดขึ้นด้วย ขอให้ศึกษาธรรมนี้ให้ดีๆ จะได้ แยกจิต แยกกาย แยกเวทนา ออกจากกันได้
                         
7. การทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นทางกาย ด้วยโทสะก็ดี ด้วย โลภะก็ดี ด้วยความหลงก็ดี เช่น คนฆ่าตัวเองตาย เท่ากับทำร้ายดิน น้ำ ลม ไฟ ผู้มีพระคุณ ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้จักคุณค่าของตัวเอง จึงปล่อยจิตเศร้าหมองทำร้ายตนเองได้

8. คนไม่รู้จักพระคุณของแม่พระทั้ง 5 จึงมี โทษหนัก เกิดภพใด ชาติใด ก็ต้องฆ่าตัวไปถึง 500 ชาติ ด้วยเหตุผลดังกล่าว บุคคลประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก เพราะมักจะชอบทำร้ายบุคคลอื่นอยู่เนื่องๆ ด้วยเหตุมิละเว้นแม้นการทำร้ายตนเองได้ (ทรงหมายความว่า สิ่งที่เขารักที่สุดในโลกนี้ก็คือร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ เขาก็ยังทำร้ายฆ่ามันให้ตายได้ ดังนั้นเขาผู้จึงสามารถทำร้ายและฆ่าผู้อื่นได้ทุกคนในโลกนี้) เจ้าจงหมั่นระวังจิต อย่าให้คิดทำร้ายตนเองและทำร้ายผู้อื่น เห็นโทษเห็นทุกข์ตามนี้ด้วยเถิด
วิจารณ์ (ธัมวิจัย) เนื่องจากพระธรรมจุดนี้ละเอียดอ่อนมากพระองค์จึงสอนแต่เฉพาะพวกพุทธจริตเท่านั้น ผมจึงขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พวกจริตอื่นๆ

1.บุคคลส่วนใหญ่ ยังไม่รู้บุญคุณของพระแม่ทั้ง 5 และยังไม่ทราบว่าร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลมไฟ และพระแม่โพสพ หรือ ข้าว ก็คือ ธาตุ 4 หรือ ประกอบด้วยธาตุ 4 ครบ ในเมื่อคนในโลกนี้ต่างเติบโตและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยข้าว อันเป็นอาหารหลัก และต้องบริโภคอยู่ทุกวัน แต่จิตยังหยาบเกินไป จึงไม่รู้จักบุญคุณของพระแม่ทั้ง 5 ยิ่งมองเห็นแม่พระทั้ง 5 เป็นพระธรรมเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งห่างไกลสุดประมาณ

2.ผมจึงเน้นเอา แต่พวกที่มีศรัทธาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา และตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นทุกข์จากเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างถาวร ในชาติปัจจุบันนี้เป็นหลักสำคัญ ท่านแหล่านี้สะสมบารมีมามาก เข้าใจและยอมรับเรื่องบุญ บาป เรื่อง สวรรค์ นิพพาน และกฏของกรรม อันเป็นอริยสัจขั้นสูง โดยจิตหมดความสงสัย (วิจิกิจฉา) ในธรรมเหล่านี้แล้ว
3.คำสอนของพระองค์เกี่ยวกับพระแม่ทั้ง 5 ทั้งคุณและโทษที่ทรงตรัสสอนไว้ พอสรุปมีความสำคัญดังนี้

3.1 พระแม่ธรณี (แผ่นดิน, ธาตุดิน) พวกทำลายชาติไม่รู้คุณค่าของมาตุภูมิที่เลี้ยงดู ได้อาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบันว่าท่านมีพระคุณอย่างใหญ่หลวง จงอย่าเหยียบย่ำและลบหลู่พระคุณของท่าน กรรมของพวกขายชาติจึงต้องลงนรกโลกันตะมหานรก (นรกขุมที่ 9 )

3.2พระแม่โพสพ (ข้าว) พระองค์เน้นให้เห็นพวกที่มีโทสะจริตสูง เวลาบริโภคอาหารมิได้สำรวม ตถาคตรวมไปถึงพวกสมมุติสงฆ์ด้วย จะกินอาหารอย่างกระหายก็ดีขยุ้มข้าวสุกลงมาจากยอดก็ดี หรือ ปุถุชนเมียปรุงอาหารไม่ถูกปาก สาดข้าวสุกเททิ้งก็ดี พอกายแตกดับก็มาเสวยกรรมแห่งโทสะนั้น ในนรกอีกรูปแบบหนึ่ง ทรงเมตตาให้เห็นภาพสัตว์นรก หิวกระหายจะกินข้าว ข้าวก็กลายเป็นเมล็ดทรายร้อนแรงด้วยเปลวไฟ บาดปาก บาคคอ ให้พังเป็นแถบๆ แล้วล้มตัวลงนอนดิ้นจนตัวละลายไป เพราะพอทรายร้อนไปถึงส่วนไหนส่วนนั้นก็พัง ดังนั้นเมื่อพระแม่โพสพมีพระคุณแก่เรามากนักเจ้าจงอย่าลบหลู่หรือเหยียบย่ำพระคุณท่าน

3.3 แม่พระคงคา (พระแม่คงคาหรือ แม่น้ำ) สมมุติสงฆ์บ้วนน้ำลาย ถ่ายของเสียออกจากทวารหนัก- เบา คนธรรมดาก็เช่นกัน ทิ้งขยะลงไปบ้าง ถ่ายของเสียลงไปบ้าง บางรายอยากได้ปลาก็ใช้ยาเบื่อปลาละลายลงไปบ้าง บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไปเสวยกรรมในนรก มีทีท่าหิวกระหายน้ำจัด เห็นแม่น่ำอยู่ใกล้ๆ ก็วิ่งกระโจนลงไป วักน้ำขึ้นมาดื่ม น้ำก็กลายเป็นทรายร้อนจัด ถูกปาก-คอ-ท้องก็พัง ละลายไปเป็นแถบๆ เพราะผลกรรมที่เหยียบย่ำแม่น้ำ พระแม่คงคา

3.4 แม่พระพาย สัตว์นรกบางเหล่า ไม่รู้บุญคุณของลมหรือ อากาศ ทำกรรมบ่น-ด่า-ว่า พายุที่พัดเสียหายทั้งข้าวของ-ทรัพย์สิน-ชีวิต บ้างบ่นว่าร้อนหาลมพัดไม่ได้ทั้งๆ ที่ตนเองก็ยังมีอากาศหายใจอยู่ โมหะเข้าครอบงำจิต คิดแต่จะเอาความเย็นมาบำเรอร่างกาย จึงสร้างโทสะให้เกิด กล่าวโทษแม่พระพายว่าไม่เอาความเย็นมาให้ ทั้งๆ ที่ตนเองก็มีพระพายหรือลมบริโภคอยู่ทางจมูก ทั้งลมภายนอกและภายในอย่างสมบูรณ์ พอลมหยุดพัดเพียงชั่วขณะ จิตก็วุ่นวาย เพราะความโง่ทำจิตใจเศร้าหมอง พวกเหล่านี้เมื่อตายไป ต้องไปเสวยกรรมในห้องเปลวไฟที่ร้อนแรง อันหาอากาศหายใจมิได้ พอทนมิได้ พอบ่นมากๆ ว่าต้องการลม ศาสตราวุธมากมายก็ตกลงมาทิ่มแทงการแทนลมที่ต้องการ นี่คือผลจากการลบหลู่พระคุณของท่านแม่พระพาย โดยเฉพาะการเจริญอานาปานสติ จิตพึ่งท่านโดยตลอด อย่าเหยียบย่ำหรือลบหลู่เป็นอันขาด ตถาคตก็ยังต้องพึ่งท่านในขณะที่ยังทรงขันธ์ 5 อยู่

3.5 แม่พระเพลิง ไฟของท่านร้อน หากรู้จักนำมาใช้ก็มีประโยชน์มหาศาล พลังงานต่างๆ ในโลกล้วนต้องอาศัยความร้อนทั้งสิ้น แม้ขันธ์โลกก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไฟ (Energy) กายก็เคลื่อนไหนไม่ได้ แม้สิ่งอุปโภครวมทั้งอาหารเครื่องใช้ทั้งมวลล้วนอาศัยไฟทั้งสิ้น สรุปแล้วจงอย่าลืมพระคุณของไฟ อย่าลบหลู่เหยียบย่ำไฟ เพราะท่านมีพระคุณแก่โลกและสัตว์โลกอย่างมาก โมหะชนที่เอาแต่โทสะเป็นที่ตั้ง จึงตำหนิไฟเวลาไฟไหม้ ทั้งๆ ที่คนประมาทเป็นผู้ก่อขึ้น สร้างกรรมขึ้นเองทั้งสิ้น แต่ก็อดตำหนิไฟไม่ได้ จิตของคนจึงเศร้าหมอง หากตายตอนนั้นก็ไปสู่ทุคติ ถุกไฟนรกเผาไหม้ตามกรรมที่ตนทำไว้


4.พระองค์ทรงสรุปว่า ธาตุทั้งหลายจงหมั่นบูชา ระลึกถึงบุญคุณของแม่พระทุกๆ ท่าน ถ้าเจ้าไม่ลืมพระคุณของแม่พระทั้ง 5 ท่าน แม่ทั้ง 5 ก็จะช่วยให้ธาตุทั้งปวงสามัคคีกันได้จนวันตาย และจงหมั่นอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้กับแม่พระทั้ง 5 ไว้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงพระนิพพาน

5.กรรมเรื่องการลบหลู่บุญคุณของแม่พระทั้ง 5 นี้อัศจรรย์มาก หากพระองค์ไม่ทรงเมมตามาสั่งสอนให้ ก็ไม่มีทางรู้และเข้าใจได้ ในอดีตผู้ใหญ่ท่านเคยสอนว่า อย่าดูถูกดูหมิ่นหรือลบหลู่พระแม่โพสพ (ข้าว) บ่อยๆ แต่มิได้อธิบายเหตุผลให้ทราบ จึงจำกันต่อๆ มาเป็นสัญญา ความสงสัยหรือ วิจิกิจฉาจึงยังมีอยู่กับจิต เมื่อพระองค์ทรงเมตตาให้รู้-เห็น ตามความเป็นจริงแล้ว ความสงสัยก็หมดไป

6.โดยปกติของพระพุทธองค์ ธรรมใดที่ไม่จริง พระองค์จะไม่ตรัส ตรัสอย่างใดก็เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอื่น คำสอนของพระองค์จึงเป็นหนึ่งเสมอ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะว่าอริยสัจหรือความจริงทุกคำพูด จัดเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบได้ พวกเราจึงควรตอบแทนพระคุณของท่าน โดยใช้ขันธ์ 5 หรือร่างกายของเรานี้ใช้พระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะพัง โดยไม่บ่นแม้แต่ทางใจ (มโนกรรม) คำสอนใดๆ ที่พระองค์จัดว่าดี ก็ควรรีบปฏิบัติให้เกิดผลโดยเร็ว ธรรมใดที่พระองค์ห้ามไว้ ก็พยายามละให้เด็ดขาดในเวลาอันสั้นที่สุด

7.เรื่องกรรมบถสิบ หมวดวาจา 4 (ไม่พูดโกหก-คำหยาบ-ส่อเสียด-และเรื่องไร้สาระ)
บุคคลที่ขาดความดีในหมวดนี้จึงหลงลืมพูดวาจาลบหลู่ดูหมิ่นพระแม่ทั้ง5
เพราะมีโมหะ โทสะ ราคะเป็นเหตุ ใช้คำพูดว่า
ดินมันแข็ง.น้ำมันท่วม ลมมันพัดหรือมันร้อน .
ไฟมันร้อน .ข้าวมันแข็ง มันเหนียวมันแฉะ มันไหม้ มันบูด เป็นต้น
ล้วนแต่เป็นคำหยาบที่ใช้กับผู้มีพระคุณทั้งสิ้น จะโดยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี
ล้วนแต่ยังจิตใจหยาบ ขาดกรรมบถสิบ หมวดวาจา 4 ทั้งสิ้น
หากไม่ระวังและแก้ไขจิตตนเอง จิตก็จะชินในความชั่วเรื่องวจีกรรม
ในที่สุดกลายเป็นวิสัย เป็นสันดานประจำจิต และที่สุดก็อาจจะปรามาสพระรัตนตรัย
โดยไม่ตั้งใจ
โดยเอาคำว่ามันนำหน้า เช่น พระมัน , ครูมัน , พ่อมัน , แม่มัน,
ผลเมื่อกายพังก็ต้องลงนรกไปตามกรรมที่ตนเองทำไว้ทั้งสิ้น


8.พระพุทธองค์เคยเมตตาให้ดูอย่างของจริง ตอนที่หลวงพ่อฤาษียังมีชีวิตอยู่ มีความสำคัญสั้นๆ ดังนี้
ทรงบอกล่วงหน้าว่า ให้สังเกตบุคคลท่านหนึ่งซึ่งจะร่วมวงกินข้าวด้วยวันนี้ ซึ่งมีนิสัยกินไปบ่นไป ว่าข้าวมันแฉะ ข้าวมันไหม้...แล้ว จะเห็นผลปรากฏ ผลจริงตามนั้น เขาผู้นั้นกินไปติกรรมของพระแม่โพสพไป ทำให้เกิดอาการสำลักข้าว และอาหารที่กินจนเกือบหายใจไม่ออกตาย และทรงเมตตาตรัสสอนต่อไปว่า บุคคลเหล่านี้มักจะมีอาการธาตุ 4 ไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารเสมอ (โรคกระเพาะและลำไส้) จึงขอเตือนผู้อ่านบทความนี้ไว้ให้ระมัดระวังเรื่องการตำหนิกรรมของพระแม่ทั้ง 5 เพราะไม่มีคำว่าสายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา เมื่อรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดี รู้ได้ที่ใจเราก่อน ทั้งสิ้น กรุณาอ่านเรื่องอุบายละความชั่วที่ใจเราประกอบจะมีความประโยชน์มาก

ด้วยพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อันหาประมาณมิได้เป็นที่ตั้ง ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงโชคดีอ่านแล้วจำได้ก่อน จึงค่อยนำไปคิดพิจารณา เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือตัวรู้ อันเป็นปัญญาที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดผล มีดวงตา (ใจ) เห็นธรรมตามลำดับ จนถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ



พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความพ้นทุกข์ (เล่มที่ 4)
: https://www.facebook.com/JengDhammajaree?fref=ts

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 15, 2013, 10:51:30 am โดย ฐิตา »