ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

รวม เตือนภัย ที่ใกล้ตัว อย่าประมาท และเป็นความรู้การป้องกันตนเอง

<< < (23/48) > >>

sithiphong:
คนมีบ้านใหม่ระวัง สารกัมมันตรังสี"เรดอน"

-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE5qWXdOemN5TlE9PQ==&subcatid=-




"เรดอน" ก๊าซเฉื่อยที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรส ได้รับมากเกินจำเป็นเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด แนะคนอยู่คฤหาสน์ หรือบ้านปูน ใส่ใจสร้างระบบระบายอากาศ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ สามารถลดความเสี่ยงได้



ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่สร้างบ้านเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โต เลือกใช้วัสดุที่เขาบอกว่าราคาแพง แข็งแรงคงทน หรูหรา อย่าง คอนกรีต หินแกรนิต หินอ่อน กระเบื้องโมเสกต่างๆ แต่วัสดุเหล่านั้นใช่ว่าจะมีผลดีต่อสุขภาพคนเรา เพราะบ้านท่านอาจจะปะปนไปด้วย ก๊าซเรดอน เจ้านี่คือ ก๊าซกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จาก การเสื่อมสลายตัวของธาตุ ยูเรเนียมซึ่งมีปะปนอยู่ในหินดินทรายทั่วโลก จนกลายเป็นเรเดียมและกลายมาเป็นก๊าซเรดอนในที่สุด



โดยเมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ก๊าซเรดอนจะสลายตัวปล่อยรังสีอัลฟาพลัง งานสูงออกมาทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจและกลาย เป็นมะเร็งในที่สุด!



ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิว เคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน.กล่าวว่า เจ้าของบ้านอาจจะไม่รู้ว่ามีก๊าซชนิดนี้วนเวียนอยู่ในบ้านเราหรือไม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าบ้านเรามีก๊าซเรดอนในปริมาณสูงมากน้อยเพียงใด เพราะในประเทศไทยมีเครื่องมือในการวัดปริมาณก๊าซเรดอนและนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่ที่ สทน. ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวสามารถวัดปริมาณก๊าซเรดอนในพื้นที่เป้าหมายได้ผลอย่างแม่นยำ



ดร.สมพรกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่มีก๊าซเรดอน แต่เราสามารถลดปริมาณก๊าซเรดอนภายในบ้านได้ ซึ่งทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การออกแบบบ้านให้มีช่องระบายอากาศ และไม่ปิดทึบจนเกินไป การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่มีสารกัมมันตรังสี และการระบายอากาศภายในบ้าน โดยการเปิดประตู หน้าต่าง และช่องระบายลม เพื่อไม่ให้มีก๊าซเรดอนอยู่ภายในบ้านสูงเกินไป และที่สำคัญคือ การอุดรอยร้าวและรอยแยก ตามพื้นและผนังของบ้าน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เรดอนเข้าสู่ภายในบ้าน



"หากผู้ประกอบการบ้านจัดสรร โดยเฉพาะหมู่บ้านจัดสรรที่มีราคาสูงใช้วัสดุอย่างดีในการก่อสร้างบ้าน เพราะไม่ว่าจะเป็นทรายที่นำมาผสมกับปูน หินแกรนิต หรือใยหินต่างๆ ก็อาจมีเรดอนปะปนอยู่ แต่ไม่ทราบว่ามากน้อยเท่าไหร่ ขอแนะนำผู้ประกอบการสามารถติดต่อกับ สทน. เพื่อขอรับบริการวัดก๊าซเรดอน โดยสทน.จะนำเครื่องวัดก๊าซเรดอนไปให้บริการวัดก๊าซเรดอนให้กับท่าน การ วัดนั้นสามารถทำได้ปีละครั้งก็ยังดี ถือเป็นบริการหลังจากการขายดีๆ จากผู้ประกอบการ และยังเป็นการดูแลสุขภาพแก่ลูกบ้านให้อยู่กันอย่างมีความสุขไปอีกนานเท่านาน" ผอ.สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฯ ระบุ

sithiphong:
กรมวิทย์เตือนภัย"ปลั๊กพ่วง"ราคาถูก แฉตุ๋นด้วยเครื่องหมาย"มอก.11"

-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE5qVTJOamMzTXc9PQ==&subcatid=-

กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เตือนประชาชนให้ระวังการใช้ปลั๊กพ่วง เนื่องจากคุณภาพของสายพ่วงที่มีเต้ารับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นั้นไม่ได้มาตรฐานที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากการเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรจาก วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทรัพย์สิน หรือร้ายแรงที่สุดอาจลุกลามไปจนถึงอันตรายต่อชีวิตหากเกิดอุบัติเหตุจากการใช้งานอย่างไม่ระมัดระวัง


นางสาวเสาวณี มุสิแดง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กล่าวว่า ประชาชนควรตื่นตัวระวังอันตรายจากปลั๊กพ่วง ซึ่งปัจจุบันกลยุทธ์การตั้งราคาสินค้าที่ย่อมเยาสามารถเป็นจุดขายเสนอให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสิ่งที่ผู้บริโภคนึกถึงคือการอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าได้หลายชนิดในคราวเดียวกัน


นางสาวเสาวณีระบุว่า นอกจากผู้บริโภคต้องตรวจสอบคุณภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พร้อมใช้งานแล้ว การตรวจสอบคุณภาพของสายพ่วงที่มีเต้ารับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นั้น ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากการเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรซึ่งเป็นอันตรายต่อทรัพย์สิน จนกระทั่งถึงชีวิตของผู้ใช้งานได้ ถ้าใช้ปลั๊กพ่วงจนปริมาณไฟรวมกันแล้วเกินกว่าขนาดที่ปลั๊กพ่วงทนได้ สายไฟจะเกิดความร้อนขึ้น จนถึงกับทำให้ฉนวนหุ้มสายไฟหลอมละลายเกิดไฟลุกได้ หรือสายไฟฟ้า ร้อนถึงจุดหลอมละลาย จนกระทั่งสายทองแดงภายในทั้งสองเส้นแตะกันก็จะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรทันที ซึ่งจุดนั้นจะมีความร้อนที่สูงมากขึ้นทำให้เกิดเพลิงไหม้


ทั้งนี้ ปลั๊กพ่วงไฟเป็นอุปกรณ์เสริมทางไฟฟ้าที่ยังไม่มีมาตรฐาน มอก. ควบคุม จึงเป็นช่องว่างที่ผู้ผลิต จำหน่าย แสดงเครื่องหมายที่ทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิด เช่น ติดตรามาตรฐาน มอก. 11 ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับของสายไฟฟ้า ไม่ใช่ของปลั๊กพ่วง ดังนั้นการเลือกใช้ปลั๊กพ่วงจึงควรพิจารณาในส่วนประกอบต่างๆ ของปลั๊กให้ดี ทั้งตัวปลั๊กเสียบ ตัวผู้ ตัวเมีย สายไฟฟ้า และวัสดุที่ใช้ทำรางปลั๊ก แต่อย่างไรก็ดี สินค้าที่มีตราที่น่าเชื่อถือราคาสินค้าก็สูงตาม อาจเป็นดัชนีหนึ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพสินค้าที่เราใช้พิจารณาได้ง่ายๆ วิธีหนึ่ง

sithiphong:
ผู้โดยสาร VS คนขับรถเมล์

-http://video.sanook.com/player/518976/ผู้โดยสาร-VS-คนขับรถเมล์-

<iframe width="550" height="315" src="http://video.sanook.com/embed/player/518976" frameborder="0" allowfullscreen ></iframe>

-<iframe width="550" height="315" src="http://video.sanook.com/embed/player/518976" frameborder="0" allowfullscreen ></iframe>-


http://video.sanook.com/player/518976/ผู้โดยสาร-VS-คนขับรถเมล์

http://video.sanook.com/player/518976/ผู้โดยสาร-VS-คนขับรถเมล์
-http://video.sanook.com/player/518976/ผู้โดยสาร-VS-คนขับรถเมล์-

ข้อความแนะนำ : ข้อความ(@ศิศวิทาน ไกรวงษ์): เหตุเกิดเมื่อต้องขี้นรถเมล์สาย126สีชมพู 13ธ.ค.56 ขึ้นเมล์คันนี้ไปทำงานคนขับรถขับรถได้เฮี้ยมากออกตัวก็กระชากเบรกก็หัวทิ่มเป็นอย่างนี้มากตลอดทางจนมาถึงป้ายร.ร.พิบูลฯมีผู้ปกครองกับเด็กนร.จะลงคนขับไม่จอดป้ายผมเลยตระโกนถามทำไมไม่จอดเด็กจะลงมันเลยต้องเลยไปหน่อยแล้วจอดให้ลงตั้งแต่นั้นมาก็ด่ากับคนขับมาตลอด

http://video.sanook.com/player/518976/ผู้โดยสาร-VS-คนขับรถเมล์

sithiphong:
มูลนิธิกระจกเงา แนะพ่อแม่ ใช้ 5 ไม่ ดูแลเด็ก

-http://hilight.kapook.com/view/94847-


มูลนิธิกระจกเงา แนะพ่อแม่ ใช้ 5 ไม่ ดูแลเด็ก (ไอเอ็นเอ็น)
 
          ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา แนะพ่อแม่ ใช้ 5 ไม่ ดูแลเด็ก ก่อนถูกลักพาตัว

          เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2556 ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา โพสต์เฟซบุ๊ก เตือนใจผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานก่อนถูกลักพาตัว ด้วย "5 ไม่" ดังนี้

          1 .ไม่พาลูกเล็กไปยังที่ ที่มีคนพลุกพล่านเกินไป โดยไม่จำเป็น
          2. ไม่ปล่อยให้ลูกเล็กไปวิ่งเล่นตามลำพัง แม้จะใกล้บ้านก็ตาม
          3. ไม่ให้ใครมารับลูกเล็กที่โรงเรียน เว้นแต่จะได้โทรศัพท์บอกครูทุกครั้งที่มีคนมารับแทน
          4. ไม่ทิ้งลูกเล็กไว้กับญาติสูงอายุ ที่อาจดูแลเด็กเล็กวัยกำลังซนไม่ไหว
          5. ไม่ยอมให้ลูกรับของจากคนแปลกหน้า หมั่นสอนเด็กเล็กในเรื่องนี้

          ทั้งนี้ สามารถแจ้งคนหาย-การค้ามนุษย์ ได้ที่ 029732236-7 หรืออีเมล info@backtohome.org หรือ เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา




sithiphong:
ผู้บริโภคร้องอาหารห่วย พบ “ผม-ขน-แมลงสาบ” ปนเปื้อน โฆษณายา-น้ำหมักทำตายแล้ว 3 ราย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ธันวาคม 2556 16:45 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155854-

ผู้บริโภคร้อง เจอปัญหาอาหารห่วย ด้อยคุณภาพเพียบ รวมแล้วกว่า 152 กรณี พบอาหารปนเปื้อนมากสุด สุดขยะแขยงทั้งเส้นผม เล็บ แมลงสาบ บ้างใส่ฟอร์มาลิน บอแรกซ์ รวมถึงพบบรรจุภัณฑ์ชำรุด แสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง โฆษณาหลอกลวง อึ้ง! ที่ร้อยเอ็ดทำชาวบ้านตายแล้ว 3 ราย จากยาแผนโบราณและน้ำหมัก เตรียมหารือ อย.20 ธ.ค.เสนอ 4 แนวทางแก้ไขปัญหา
       
       วันนี้ (19 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนด้านอาหาร กล่าวว่า จากกรณีร้องเรียนปัญหาด้านอาหารมายังศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด พะเยา ลำปาง สุราษฎร์ธานี สงขลา และสตูล ระหว่าง ก.ย. 2555 - ธ.ค. 2556 มีรวมกันทั้งสิ้น 152 กรณี แบ่งปัญหาได้เป็น 10 ประเด็นคือ 1.ปัญหาอาหารปนเปื้อน (กายภาพ/เคมี) 31 กรณี ถือว่ามากที่สุด 2.บรรจุภัณฑ์ชำรุดบกพร่อง/คุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 29 กรณี 3.แสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง 28 กรณี 4.โฆษณาอาหาร/ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย 22 กรณี 5.จำหน่ายสินค้าหมดอายุ 14 กรณี 6.อาหารเป็นพิษ/ได้รับอันตรายจากการบริโภคอาหาร 13 กรณี 7.ราคาแพงเกินจริง/ไม่ติดป้ายราคา/ราคาไม่ตรงกับป้าย 8 กรณี 8.อาหารเสียก่อนวันหมดอายุ 3 กรณี 9.การผลิต/แหล่งผลิตไม่ถูกสุขลักษณะ 2 กรณี และ 10.น้ำมันทอดซ้ำ 2 กรณี
       
       นายพชร กล่าวอีกว่า ปัญหาอาหารปนเปื้อนคือ การพบสิ่งแปลกปลอม/สิ่งปนเปื้อนทางอาหาร เช่น เส้นผม ขน เล็บ แมลงสาบ หรือความผิดปกติขออาหาร เช่น มีตะกอน ขึ้นรา และเน่าเสีย รวมถึงการใช้สารเคมีที่ไม่ควรใช้ในอาหาร เช่น ฟอร์มาลิน บอแรกซ์ โดยมีตัวอย่างปัญหาที่พบบ่อยและต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ เชื้อราในขนมปัง ก้อนขาวในนมกล่อง และสิ่งแปลกปลอมในนมผงสำหรับเด็ก สำหรับกรณีบรรจุภัณฑ์ชำรุดบกพร่องและคุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่ กรณีบรรจุภัณฑ์บุบ ยุบ มีสนิม หรือฉีกขาด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของขายลดราคาในห้าง ส่วนกรณีสินค้าไม่ได้มาตรฐาน เช่น น้ำหนักไม่ครบตามแจ้งไว้บนฉลาก มีคุณภาพสินค้าไม่เป็นไปตามกฎหมายกำหนด โดยเฉพาะในกลุ่มนมโรงเรียนที่มีปัญหาเรื่องตกมาตรฐานโปรตีน ส่วนการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง เช่น รายละเอียดต่างๆ บนฉลากไม่เป็นภาษาไทย ไม่มีเลขสารบบอาหารไม่แสดงผู้ผลิต-ผู้จัดจำหน่าย และไม่แสดงรายละเอียดอื่นๆ ที่กฎหมายระบุให้แสดง เป็นต้น
       
       “การแก้ไขปัญหาด้านอาหาร มูลนิธิฯและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั้ง 10 จังหวัด จะเข้าพบเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาในวันที่ 20 ธ.ค. เวลา 13.00 น.เพื่อหารือ 1.การพัฒนากลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารที่เป็นรูปธรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม 2.ปรับปรุงนโยบายฉลากโภชนาการให้เป็นแบบสีสัญญาณไฟจราจรเขียว เหลือง แดง แทนที่การใช้ฉลากโภชนาการแบบสีเดียว (GDA) 3.ให้บังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 อย่างเคร่งครัด และ 4.ในการแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร ฉบับใหม่ ให้เพิ่มบทลงโทษให้มีความรุนแรงเทียบเท่ากันกับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคของ สค. นายพชร กล่าวและว่า นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ได้ร่วมกับคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนพัฒนาคู่มือการใช้สิทธิด้วยตนเองเสร็จสิ้นแล้ว 2 กรณีคือ กรณีอาหารปนเปื้อน และกรณีพบอาหารหมดอายุ และจะดำเนินการอัปโหลดให้กับผู้บริโภคได้ใช้ประโยชน์ก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งผู้บริโภคสามารถเข้าชมและดาวน์โหลดได้ที่ https://www.facebook.com/cindependence และ http://www.indyconsumers.org/
       
       น.ส.สิรินนา เพชรรัตน์ ผู้ประสานงานศูนย์ฯ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จากการดำเนินงานร่วมกับศูนย์ฯ สงขลา สตูล และขอนแก่น สำรวจฉลากอาหารที่จำหน่ายหน้าและในโรงเรียนช่วง ก.ค.-ส.ค.2556 จำนวน 20 แห่ง พบว่าไม่สามารถตรวจสอบเลขสารบบอาหารได้ ไม่มีการแสดงวันผลิต วันหมดอายุ ไม่แสดงที่อยู่ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย และไม่มีฉลากหรือฉลากไม่เป็นภาษาไทย ซึ่งภาครัฐจะต้องพัฒนาระบบฐานข้อมูลเรื่องการตรวจตัวเลขสารบบอาหารให้เชื่อมโยงทั่วประเทศ ให้ประชาชนใช้ตรวจสอบได้จริง
       
       นายพงษภัทร หงส์สุขสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่กลไกคุ้มครองผู้บริโภคภาคตะวันตก กล่าวว่า ศูนย์ฯ จ.สมุทรสงคราม ร่วมกับศูนย์ฯเขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ สำรวจพฤติกรรมการบริโภคขนมและน้ำหวานของเด็กนักเรียนในโรงเรียนทั้งก่อนและหลังติดฉลากแบบสัญญาณไฟจราจรเขียว เหลือง แดง พบว่า ขนมส่วนใหญ่ถูกจัดกลุ่มฉลากสีแดงและสีเหลืองมากกว่า แต่เมื่อทำการรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอ่านฉลากโภชนาการแบบสีสัญญาณจราจร พบว่า อัตราการบริโภคขนมขบเคี้ยวลดลงในทุกสี อย่างฉลากสีแดงจากเดิม 43 ซองต่อวัน ลดเหลือ 194 ซองต่อวัน สีเหลือง 162 ซองต่อวัน ลดเหลือ 73 ซองต่อวัน และสีเขียว 95 ซองต่อวัน ลดเหลือ 47 ซองต่อวัน
       
       นายประวิทย์ หันวิสัย เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า ที่เป็นปัญหาคือโฆษณาหลายตัวที่ถูกขึ้นบัญชีดำจาก อย.และ กสทช. เช่น น้ำหมัก น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ มีการเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเลี่ยงกฎหมาย หรือโฆษณาเพียงชื่อการค้า นอกจากนี้ ยังใช้ผู้มีชื่อเสียงอ้างเป็นเป็นเชี่ยวชาญ หรือผู้ประกอบวิชาชีพมาอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์ การสัมภาษณ์ผู้ใช้เป็นหน้าม้า การจูงใจให้บอกผลิตภัณฑ์แบบปากต่อปาก กรณีที่รุนแรงคือพบการเสียชีวิตจากการใช้ยาแผนโบราณ 1 ราย ซึ่งจากการส่งผลิตภัณฑ์ไปตรวจสอบที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 อุบลราชธานี พบว่ามีส่วนประกอบของยาแผนปัจจุบันและพบจุลินทรีย์ในอัตราที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และเสียชีวิตจากน้ำหมัก 2 ราย ซึ่งพบว่าผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คือมะเร็งกระดูก และพาร์กินสัน
       
       นายกำชัย น้อยบรรจง เลขาธิการสมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค จ.สระบุรี กล่าวว่า วิทยุชุมชน จ.สระบุรี มีการโฆษณาสมุนไพรดีท็อกเลือดอย่างต่อเนื่อง โดยโฆษณาวนไปวนมาไม่ต่ำกว่าวันละ 30 รอบหรือมากกว่า จึงขอเสนอให้เร่งรัดออก พ.ร.บ.อาหารฉบับใหม่ ที่เพิ่มบทลงโทษให้มีความรุนแรงเทียบเท่ากับบทลงโทษเรื่องการโฆษณาตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคของ สคบ.รวมถึงให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและทันการณ์ นอกจากนี้ให้ กสทช.บังคับใช้การสั่งปิดสถานี รวมถึงอย. กสทช. และองค์กรผู้บริโภคต้องช่วยเฝ้าระวังและพัฒนาศักยภาพผู้บริโภคให้รู้เท่าทันโฆษณาผิดกฎหมาย


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version