ริมระเบียงรับลมโชย > ล้างรูป

รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ

<< < (5/6) > >>

sithiphong:
อิ่มบุญปีใหม่ “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มกราคม 2557 10:24 น.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884-



มหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ วัดไตรมิตรฯ
       ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กิจกรรมหนึ่งที่ผู้คนนิยมทำกันมากก็คือการทำบุญไหว้พระ โดยเฉพาะการเดินทางไหว้พระ 9 วัด ใน 1 วันนั้นก็เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ และสำหรับในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ปี 2557 นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดกิจกรรม “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” ซึ่งเป็นเส้นทางไหว้พระ 9 วัด ที่จัดทำขึ้นใหม่ มีบางวัดที่น่าสนใจเข้ามาเพิ่มเติม เป็นเส้นทางทางเลือกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนา โดยวัดทั้ง 9 แห่งต่างก็มีคติอันเป็นมงคลแก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ อีกทั้งยังมีสิ่งที่น่าสนใจและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนี้


พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศ
       วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร : สุขภาพแข็งแรง
       
       “วัดบวรนิเวศวิหาร” เป็นวัดที่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปถึง 2 องค์ คือ “พระพุทธชินสีห์” และ “พระสุวรรณเขต (พระโต)” เป็นพระประธานประดิษฐานคู่กัน อีกทั้งภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามฝีมือของขรัวอินโข่ง
       
       ด้นหลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่หุ้มกระเบื้องสีทอง รอบฐานเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน บริเวณระเบียงองค์เจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก โดยเชื่อว่าท่านจะช่วยให้ผู้ที่คิดร้ายต้องแพ้ภัยต่อตัวเองในที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถมากราบขอพระจากท่าน ขอให้ท่านอวยพระให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืนตลอดไป อีกทั้งขณะนี้วัดนี้ยังเป็นที่ตั้งพระศพของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปอีกด้วย


วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่)
       วัดทิพยวารีวิหาร : ความรักยืนยาว
       
       “วัดทิพยวารีวิหาร” (กัมโล่วยี่) เป็นวัดจีน ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนแต่แทรกศิลปะไทยบางแห่ง เช่น ลวดลายแกะสลักต่างๆ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมีลักษณะเหมือนศาลเจ้าจีน ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแบบจีน
       
       ผู้คนนิยมมาสักการะเทพอุ้มสม ขอพรให้สมหวังในความรักและครอบครัวมีความสุข นอกจากนี้ศาลเจ้าที่วัดแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเทพมังกรเขียวที่คนจีนแต้จิ๋วนับถือกันมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะความศักดิ์สิทธิ์ ของท่านมักอวยพรให้ผู้ศรัทธา ได้ผลสมความปรารถนา ด้านการคุ้มครองดวงชะตา เสริมพลังบารมี และโชคลาภ


พระพุทธเทวราชปฏิมากร แห่งวัดเทวราชกุญชร
       วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร : การงานก้าวหน้า
       
       “วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” หรือชื่อเดิมว่า “วัดสมอแครง” เป็นวัดเก่าแก่ที่กรมพระพิทักษ์เทเวศรได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และพระองค์จึงทรงรับวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานนานว่า “วัดเทวราชกุญชร”
       
       สถานที่สำคัญภายในวัดนี้คือพระอุโบสถขนาดใหญ่ ภายในมีภาพจิตรกรรมที่งดงามเป็นหมู่เทวดาชุมนุมขณะที่พระพุทธองค์ทรงโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และยังมีภาพภิกษุปลงอสุกรรมฐานซึ่งหาชมได้ยาก
       
       เข้ามากราบนมัสการองค์พระพุทธเทวราชปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยทวารวดี พุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้นิยมถวาย “ผ้าไตร” แทนดอกไม้ธูปเทียน ใครขอพรเรื่องการงาน อาชีพ ได้รับความสำเร็จเป็นทวีคูณ


หลวงพ่อโต หรือซำปอกง วัดกัลยาณมิตรฯ
       วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร : ค้าขายรุ่งเรือง
       
       “วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร” สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ภายในวัดกัลยาฯ มีสิ่งที่น่าสนใจคือ พระวิหารหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือที่ชาวบ้านจะนิยมเรียกท่านว่า "หลวงพ่อโต" ส่วนคนจีนก็จะเรียกว่า "ซำปอกง" โดยพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ
       
       พุทธศาสนิกชนทั้งคนไทยและคนจีนนิยมมากราบสักการะหลวงพ่อโต หรือซำปอกง และมักขอพรเรื่องธุรกิจการค้า การเดินเรือ และขอให้การเดินทางปลอดภัย


หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตรฯ
       วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร : การเงินมั่งคั่ง
       
       “วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร” เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” หรือ "หลวงพ่อทองคำ" พระพุทธรูปทองคำแท้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกบันทึกไว้ในกินเนสบุค เชื่อกันว่าหลวงพ่อทองคำเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่เดิมถูกปูนพอกไว้แต่ต่อมาปูนกะเทาะออกด้วยอุบัติเหตุคนจึงได้เห็นว่าองค์พระสร้างด้วยทองคำ
       
       ปัจจุบันหลวงพ่อทองคำประดิษฐานอยู่ในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ และภายในมณฑปยังจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อทองคำบอกเล่าเรื่องราวขององค์พระพุทธรูป และมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเยาวราช จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับชุมชนเยาวราชย่านไชน่าทาวน์ของไทย อีกทั้งผู้คนยังนิยมมากราบนมัสการพระพุทธทศทลญาณหรือ “หลวงพ่อโต” พระประธานในอุโบสถอันศักดิ์สิทธิ์ และนิยมมาบนบานกันด้วยพวงมาลัยดอกมะลิที่อธิษฐานขอพรให้สำเร็จสมหวัง การเงินมีทรัพย์มาก


ภายในพระอุโบสถวัดราชบพิธตกแต่งในสไตล์ตะวันตก
       วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร : ธุรกิจมั่นคง
       
       “วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร” เป็นวัดที่มีความโดดเด่นตรงที่พระอุโบสถที่ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย แต่ภายในตกแต่งแบบตะวันตกในสไตล์ยุโรปแบบโกธิค คล้ายพระที่นั่งแห่งหนึ่งในพระราชวังแวร์ซาย ภายในประดิษฐาน “พระพุทธอังคีรส” พระประธานอันงดงามที่ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนจากอิตาลี และที่ใต้ฐานพระได้บรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ถึง 5 พระองค์คือ พระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรให้ธุรกิจมั่นคง
       
       ภายในวัดราชบพิธยังเป็นที่ตั้งของ “สุสานหลวง” ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อประดิษฐานพระสรีรังคารแห่งสายพระราชสกุลในพระองค์ ซึ่งอนุสาวรีย์เหล่านั้นก็มีรูปทรงที่หลากหลาย มีทั้งแบบไทย แบบฝรั่ง หรือแม้แต่แบบขอมก็มี


กราบเจดีย์ 4 รัชกาลที่วัดโพธิ์
       วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) : สำเร็จสมหวัง
       
       “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” เป็นวัดที่มีของดีน่าชมอยู่หลายสิ่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธเทวปฎิมากร พระพุทธรูปปางสมาธิอันงดงาม ผู้คนนิยมมากราบสักการะขอพรพระพุทธเทวปฏิมากร ให้พรสำเร็จดุจดังเทวดาสร้างสรรค์ทุกประการ
       
       ส่วนวิหารพระพุทธไสยาสก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดชม โดยองค์พระพุทธไสยาสที่วัดโพธิ์นี้เป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเมืองไทย ทอดพระองค์ยาว 46 เมตร พระบาทตกแต่งลายประดับมุกภาพมงคล 108 ที่รับคติมาจากชมพูทวีป ถือเป็นลายศิลปะไทยผสมจีน ผสมผสานกันอย่างประณีตศิลป์
       
       นอกจากนั้นในวัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ 4 รัชกาล ได้แก่ พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1) , พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2) ,พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3) และพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่และงดงามมากอีกด้วย


ไปวัดอรุณอย่าลืมชมยักษ์วัดแจ้งด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ
       วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง) : ราบรื่น ร่มเย็น
       
       “วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร” มีพระปรางค์วัดอรุณตั้งโดดเด่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา องค์ปรางค์มีความสูงประมาณ 67 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ และมณฑปทิศ ประดับด้วยกระเบื้องทำเป็นลวดลายต่างๆ สวยงามยิ่งนัก
       
       เข้าไปกราบสักการะพระประธานในพระอุโบสถพระนามว่า “พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ภายในพระพุทธอาสน์บรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขอพรให้ชีวิตราบรื่น ร่มเย็น และอย่าลืมออกมาชม “ยักษ์วัดแจ้ง” ที่ด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ ยักษ์ทั้งสองตนเป็นยักษ์ปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายและเครื่องแต่งตัว นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคู่กับยักษ์ทั้งสองตนนี้


โลหะปราสาทแห่งวัดราชนัดดา
       วัดราชนัดดารามวรวิหาร : ความสุข
       
       “วัดราชนัดดารามวรวิหาร” เป็นวัดที่มี "โลหะปราสาท" หนึ่งเดียวในประเทศไทย และหนึ่งเดียวของโลก ที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นโดยมีพระราชประสงค์ให้สร้างโลหะปราสาทขึ้นแทนการสร้างธรรมเจดีย์ โดยช่างได้เดินทางไปดูแบบถึงยังประเทศลังกาและนำเค้าเดิมนั้นมาเป็นแบบสร้าง แล้วปรับปรุงให้เป็นศิลปกรรมแบบไทย ด้านบนโลหะปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สามารถขึ้นไปกราบไหว้ขอพรให้ชีวิตมีความสุข ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
       
       ผู้ที่สนใจเส้นทาง “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” สามารถขอรับแผนที่ท่องเที่ยวได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ วัดทั้ง 9 แห่งที่กล่าวมานี้



http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884

กระตุกหางแมว:
ขอบคุณมากครับผม  :13:

sithiphong:
10 ที่ท่องเที่ยวฮิตชลบุรี ระยอง เมืองริมทะเลอ่าวไทย

-http://travel.sanook.com/1391046/10-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/-




1. พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลเขาหมาจอ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 5 อาคาร คือ เทิดพระเกียรติมหาราช ปวงปราชญ์ร่วมใจ ใฝ่เรียนรู้ผู้ฉลาด พิฆาตความไม่ดีที่ประจักษ์ และ พิทักษ์ศักยภาพทะเลไทย ตามลำดับ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเชิงวิชาการ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้มีความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ




2. อาณาจักรปลาการ์ตูน เพอคูล่า ฟาร์ม (PERCULA FARM) ที่ตั้ง : 3/46 หมู่ 2 ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี  ฟาร์มปลาการ์ตูนเอกชนรายแรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ เรียนรู้ขั้นตอนวิธีการเพาะเลี้ยงและการขยายพันธุ์ของปลาการ์ตูน ตื่นตากับเหล่าฝูงปลาการ์ตูนพันธุ์ต่างๆ นับแสนตัว บริเวณด้านในอควอเรียม และถ้าหากท่านใดต้องการสัมผัสกับปลาทะเลให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น สามารถนั่งเรือไปชมปลาในกระชังพร้อมให้อาหารปลาทะเลที่หาดูยาก อาทิ ปลาช่อนทะเล ปลาฉลาม ปลาโฉมงาม ปลาหูช้าง และปลาอื่นๆ อีกกว่าร้อยชนิดได้




3 ตลาดสดอาหารทะเลแสมสาร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเพราะคุณสามารถซื้อหาอาหารทะเลทุกประเภทได้ที่นี่ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา นานาชนิด ที่ส่งตรงมาจากท้องทะเลทุกวัน หน้าตาคุ้นบ้าง ไม่คุ้นบ้าง แต่แม่ค้าบอกว่ารับประทานได้ทุกตัว จะจ้างร้านค้าแถวนั้นให้นึ่งหรือย่างให้เลยก็ได้ โดยมีน้ำจิ้มรสเด็ดปรุงขายพร้อม หรือจะซื้อกลับไปทำรับประทานเองที่บ้านก็ดี ราคาไม่แพง ในส่วนของร้านค้าฝั่งตรงข้ามจะจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งและของที่ระลึก




4. เรือหลวงจักรีนฤเบศร ที่ตั้ง : กองเรือยุทธการ ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของประเทศไทย ที่ทางกองทัพเรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถตอบสนองกับการปฏิบัติภารกิจแบบครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่ออันเป็นมงคลว่า "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์จักรี




5. หาดนางรำ ตั้งอยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด บริเวณใกล้เคียงกับกองเรือยุทธการ จุดจอดเรือหลวงจักรีนฤเบศร หากขับรถตรงเข้าไปก่อนถึงกองเรือยุทธการให้เลี้ยวซ้าย ขับไปตามทางจะพบกับหาดนางรำ ซึ่งเป็นหาดที่มีความสวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งในฝั่งทะเลอ่าวไทยแถบตะวันออกแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านท้องถิ่นและคนบริเวณแถบนี้ เพราะมีความเงียบสงบ น้ำทะเลมีความสะอาดใส หาดทรายสีขาวนวลสวย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว




6. ถนนยมจินดา ตลาดเก่าเมืองระยอง ในสมัยก่อนที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์กลางการค้าขาย แหล่งรวมเศรษฐกิจแห่งแรกของเมืองระยอง ที่พรั่งพร้อมไปด้วย ตลาดสด ธนาคาร โรงหนัง และร้านค้าขายต่างๆ รวมไปถึงยังเป็นที่ตั้งบ้านเจ้าเมืองต้นตระกูลยมจินดาอีกด้วย ในปัจจุบันยังคงหลงเหลือไว้เพียงความเงียบเหงา ที่แฝงไว้ซึ่งเสน่ห์ของบ้านเก่า เรือนเก่าที่บางหลังก็มีคนอยู่บ้าง หรือบางหลังก็อาจปิดไว้เพื่อรอการบูรณะในโอกาสต่อไป การมาเดินเล่นที่นี่ก็ได้บรรยากาศแบบย้อนยุคดีเหมือนกัน




7. เจดีย์กลางน้ำ เจดีย์องค์นี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2416 ในสมัยที่พระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เป็นเจ้าเมืองระยอง ในสมัยนั้นการเดินทางทางน้ำถือว่าเป็นการคมนาคมสายหลักของจังหวัดระยอง เจดีย์กลางน้ำจึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ว่าได้เดินทางเข้ามาถึงยังตัวเมืองระยองแล้ว ปัจจุบันได้รับการบูรณะเพื่อให้มีทางเชื่อมถึงยังองค์พระเจดีย์ได้ มีความร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง การเดินทางจากตัวเมืองไปตาม ถนนอดุลย์ธรรมประภาส เลี้ยวขวาที่ถนนสมุทรคงคา ตัดผ่านตรงต่อไปผ่านวัดปากน้ำไปอีกราว 1.5 กิโลเมตร ไปจนสุดทางก็จะพบกับพระเจดีย์กลางน้ำ




8.ตลาดน้ำเกาะกลอย ตั้งอยู่ในบริเวณด้านหลังปั้มน้ำมัน ปตท. บนถนนสาย 36 ตรงข้าม Big C ระยอง เป็นตลาดน้ำเปิดใหม่ขนาดกะทัดรัดกำลังเดิน ในคอนเซ็ป "เพลิดเพลินเดินเล่น ตลาดเกาะกลอย อุ่นไอร่องรอย ความทรงจำครั้งเยาว์วัย" มีให้เลือกช้อปและเลือกชมกันทั้งของกินของใช้ ในบรรยากาศย้อนยุค สถานที่สะอาด ลมพัดเย็นสบาย




9.ทุ่งโปรงทอง ชมพันธุ์ไม้ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ที่ชาวประแสภูมิใจเสนอในเวลานี้ ทางเดินไปชมทุ่งโปรงทอง เป็นสะพานไม้ทอดยาวบนป่าชายเลน เมื่อเดินมาถึงปลายทางก็จะพบทุ่งโปรงทองที่ขึ้นกันอย่างหนาแน่นเต็มพื้นที่ หากจะมาเที่ยวแนะนำให้มาช่วงตอนสายนิดๆ กับตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะตก เพราะบรรยากาศดีมากๆ เหมาะกับการถ่ายรูปและชมวิวชิลล์ๆ เป็นที่สุด




10. เรือรบหลวงประแส เรือรบหลวงของไทยที่ผ่านสมรภูมิรบเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากอริศัตรูมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันได้มีการนำเรือหลวงประแสมาตั้งไว้บริเวณปากน้ำประแสเพื่อสร้างความภูมิใจกับชาวประแส นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมและถ่ายภาพกับเรือรบได้ทุกซอกทุกมุม หรือหากใครอยากนั่งชมวิว บริเวณนั้นก็มีศาลาและร้านอาหารให้สั่งมาชิมลองท้องในบรรยากาศเงียบสงบติด ทะเล เหมาะสำหรับพาเพื่อนฝูงและครอบครัวมาเที่ยวมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารคู่หูเดินทาง

sithiphong:
ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางกอกน้อยอยู่ติดกับกองเรือเล็ก กองทัพเรือ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งเดียวในโลก ที่มีการจัดแสดงเรือที่สำคัญที่ใช้ในงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์มาแต่อดีตโบราณกาล  ที่บ่งบอกถึงคุณด้านวัฒนธรรมของศิลปกรรมงานเชิงช่างที่สง่างามวิจิตรบรรจง  เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร และได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญรางวัลมรดกทางทะเล ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ ( THE WORD SHIP THUST MARITIME HERITAGE AWARD “ SUPHANNAHONG ROYAL BARGE) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

วันนี้จึงขอนำชมเรือพระราชพิธีกันอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าหลายคนได้มีโอกาสชื่นชมขบวนเรือพระยุหยาตราชลมารค ซึ่งเป็นราชประเพณีว่าด้วยการเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีขบวนเรือทั้งหมด๕๒ ลำ ที่มีการจัดรูปกระบวนเรือรบในแม่น้ำตามตำราพิชัยสงคราม ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งปัจจุบัน ได้มีประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ถวายผ้ากฐินหลวงวัดอรุณราชวราราม
เรือพระราชพิธีที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ฯ มีจำนวน ๘ ลำได้แก่
๑.เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ จัดเป็นเรือพระที่นั่งลำดับชั้นสูงสุด สำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ เรียกว่าเรือพระที่นั่งทรง โขนเรือเป็นรูปหงส์ ซึ่งหมายถึงหงส์อันเป็นพาหนะของพระพรหมตามคติฮินดู และเป็นเครื่องหมายของความสง่างามที่ควรคู่กับพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ ในพระพุทธศาสนาได้มีกล่าวไว้ในชาดก เรื่องของหงส์ซึ่งบอกเล่าถึงชาติกำเนิดในอดีตของพระพุทธองค์ หงส์ในสังคมไทยเป็นเครื่องหมายแสดงความสง่างาม สิ่งสูงส่ง และบุคคลมีชาติตระกูล เรือสุพรรณหงส์มีลักษณะ ปิดทองประดับกระจก มีความยาว ๔๖.๑๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย  นายท้าย ๒ นาย
๒.เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชจัดเป็นเรือสำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ หรืออัญเชิญผ้าพระกฐิน หรือประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ เรียกว่าพระที่นั่งรอง  โขนเรือเป็นรูปพญานาค ๗ เศียร นาคปรากฏอยู่ในตำนานอินเดียที่อาศัยอยู่ในโลกบาดาลทำหน้าที่ปกปักรักษาผืนน้ำ อนันตนาคราชผู้แผ่ร่างเป็นที่ประทับของพระนารยณ์ขณะบรรทมเหนือเกษียรสมุทร ในช่วงเวลาที่ถูกสร้างโลกใหม่หลังจากที่เวลากัลป์หนึ่งได้สิ้นสุดลงอนันตนาคราจึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร สะท้อนถึงความเชื่อของสังคมไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นอวตารแห่งพระนารายณ์เมื่อพระองค์เสด็จประทับในเรือพระที่นั่งเปรียบเสมือนพระนารายณ์ประทับเหนือพญาอนันตนาคราช โดยเรือมีลักษณะเป็นไม้จำหลักปิดทองประดับกระจก ภายนอกทาสีขาว ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๔.๘๕ เมตร กว้าง  ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๒ นาย นายท้าย ๒ นาย
๓.เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือพระที่นั่งลำแรกและลำเดียว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรือพระที่นั่งรอง โขนเรือ สลักลวดลายเป็นนาคเกี่ยวกระหวัดนับร้อยนับพันตัว หรือที่เรียกว่านาคเกี้ยว แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่านาคผู้มีถิ่นที่อยู่ในน้ำและเป็นผู้พิทักษ์ผืนน้ำ ลักษณะปิดทองประดับกระจก มีลวดลายนาคเกี้ยวตลอดลำ ภายนอกลำเรือทาสีชมพู ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๕.๖๗ เมตร กว้าง ๒.๙๑ เมตร ใช้ฝีพาย ๖๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๔.เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ โขนเรือเป็นพระนารายณ์หรือพระวิษณุ เป็นเทพเจ้าที่สำคัญในศาสนาฮินดู ได้รับการนับถือว่าเป็นผู้ปกป้องโลก ตามตำนานกล่าวว่าพระวิษณุประทับอยู่กลางเกษียรสมุทรเมื่อเกิดทุกข์เข็ญ รูปของพระวิษณุ คือ บุรุษมีสี่กร ถือตรี คฑา จักร สังข์ และทรงครุฑ (สุบรรณ)เป็นพาหนะ สังคมไทยในอดีตมีความเชื่อในคติสมมติเทพที่รับมาจากศาสนาพราหมณ์หรืฮินดู เชื่อว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอวตารของพระวิษณุ การสร้างสิ่งต่าง ๆ สำหรับพระมหากษัตริย์จึงสอดคล้องกับความเชื่อนี้  เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙  เป็นเรือลำแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กองทัพเรือร่วมกับกรมศิลปากรและสำนักพระราชวัง จัดสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี  มีลักษณะไม้จำหลักลงรักปิดทองล่องชาดประดับกระจกสีน้ำเงิน พื้นเรือทาสีแดงชาด ลำเรือแกะสลักประดับกระจก ลายก้านขดกระหนกเทศ  ความยาว ๔๔.๓๐ เมตร กว้าง ๓.๒๐ เมตร  ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๕.เรือครุฑเหินเห็จจัดเป็นเรือรูปสัตว์ ในประเภทเรือกระบวนปิดทอง ลักษณะโขนเรือเป็นรูปพญาครุฑหยุดนาคสีแดง สร้างขึ้นตามตำนานของอินเดียว่าเป็นพาหนะของระนารายณ์ ซึ่งในงานศิลปะมักปรากฏครุฑคู่อยู่กับนาค ซึ้งสร้างตามเรื่องราวของการต่อสู้ครุฑกับนาคที่เป็นอริกัน ตัวเรือปิดทองประดับกระจก ตัวเรือภายในทาสีแดง ภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๕๘ เมตร กว้าง  ๒.๑๐เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ นาย นายท้าย ๒ นาย
๖.เรือกระบี่ปราบเมืองมาร จัดเป็นเรือรูปสัตว์ โขนเรือกระบี่ปราบเมืองมาร แสดงถึงหนุมานในฐานะนายทหารผู้จงรักภักดีต่อพระราม (อวตารหรือพระวิษณุ) มีหน้าที่สำคัญในการยกทัพไปตีเมืองมาร หรือกรุงลงกาของทศกีณฑ์ประเภทกระบวนปิดทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  โชนเรือเป็นรุปกระบี่สีขาว ปิดทองประดับกระจก เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๘๕ เมตร  กว้าง ๒.๑๐ เมตร ฝีพาย ๓๖ นาย นายท้าย ๒ นาย 
๗.เรือสุรวายุภักตร์ จัดเป็นเรือรูปสัตว์ ประเภทเรือกระบวนเขียนลายทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  โขนเรือสลักเป็นรูปยักษ์ กายเป็นนกสีคราม ปรากฏในเรื่องราวรามเกียรติ์ว่าคราวหนึ่งบินไปเห็นพระราม พระลักษณ์ ก็จะโฉบเอาไปกิน หนุมานและสุครีพตามไปช่วยไว้ได้ และฆ่าอสุรวายุภักษ์เสีย ลักษณะเรือ ปิดทองประดับกระจก เครื่องแต่งกายสีม่วงด้านหลังสีเขียว ลำเรือภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๓๑.๐๐ เมตร กว้าง ๒.๐๓ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๐ นาย  นายท้าย ๒ นาย
๘.เรือเอกไชยเหินหาว สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑  โขนเรือเป็นทวนไม้รูปดั้งเชิดสูง เขียนลายทองรูปเหรา หรือจระเข้ เป็นสัตว์หิมพาน อาจมีที่มาจากมกรที่มีลำตัวยาว มีขา ๔ ขา มาจากศิลปะอินเดียโบราณ ดังปรากฏในศิลปะทวารวดีและศิลปะลพบุรี เรียกชื่อ เหรา เห็นได้จากปราสาทบายนของเขมรโบราณ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘  ราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว ตัวเรือมีความยาว ๒๙.๗๖ เมตร กว้าง ๒.๐๖ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๘ นาย นายท้าย ๒  นาย

ขบวนพยุหยาตราชลมารค ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวต่างประเทศมาแล้วถึงความสง่างามยิ่งใหญ่หาที่ใดเสมอเหมือน ที่มีความสวยงามและทรงคุณค่าในด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นขวัญกำลังใจให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมในพระบารมีพระมหากษัตริย์ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยยิ่งนัก หากมีเวลาควรไปชมด้วยตนเองเพราะถือได้ว่าสมบัติของแผ่นดินที่มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกนี้ การเดินทางไม่อยากหากคุณเริ่มต้นจากสนามหลวงสามารถขึ้นรถโดยสารประจำทาง ๑๔๕  สังเกตกรมอู่ทหารเรือ แล้วสามารถลงป้ายนั้นเดินผ่านกรมอู่ทหารเรือมาเข้าซอยเล็ก ๆ ก็จะพบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข ๐-๒๔๒๔-๐๐๐๔


พาเที่ยวไปกับ.....โชติกา วีรนะ

sithiphong:
ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version