ริมระเบียงรับลมโชย > ล้างรูป

รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ

<< < (2/6) > >>

sithiphong:
สัมผัสวีถีชาวบางกอกผ่าน “พิพิธภัณฑ์” รอบเกาะรัตนโกสินทร์    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 มิถุนายน 2556 13:04 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078384-




เราเป็นใคร มาจากไหน รู้ได้ที่มิวเซียมสยาม

       ประเทศไทยมีพิพิธภัณฑ์ดีๆน่าสนใจมากมาย แต่น่าแปลกที่พฤติกรรมคนไทยกับไม่ค่อยนิยมเข้าพิพิธภัณฑ์สักเท่าไหร่
       
       อย่างไรก็ดีการเที่ยวชมสำหรับคนชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือคนที่สนใจจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนั้น มันมีเสน่ห์และความเพลิดเพลินที่น่าสนใจไม่น้อย
       
       สำหรับทริปนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันเลือกเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นหลักร่วมไปกับสิ่งน่าสนใจรอบๆเกาะรัตนนโกสินทร์ เพื่อเที่ยว - ชม แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ โดยฉันเริ่มต้นที่ “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนสนามไชย รูปร่างภายนอกสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตึกมิวเซียมสยามเป็นตึกเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เดิมเคยเป็นกระทรวงพาณิชย์มาก่อน อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมที่งดงามไม่แพ้ที่ไหนอีกด้วย
       
       เรื่องราวในมิวเซียมสยามนั้นเน้นเรื่องประวัติศาสตร์ไทย แต่ที่โดดเด่นก็คือการเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการชมพิพิธภัณฑ์ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่เหมือนที่ไหนก็คือ นอกจากจะได้เดินดูเฉยๆ แล้ว ยังสามารถจับต้องสิ่งของที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้ สามารถเล่นและถ่ายรูปได้ เหมือนกับได้เรียนรู้กันแบบสมจริงสมจังอีกด้วย


มาลองเป็นผู้ประกาศข่าวช่อง 4 บางขุนพรหม

       เมื่อเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามแล้ว จะเจอกับนิทรรศการชุด “เรียงความประเทศไทย” ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองและผู้คนในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยดึงลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การเมือง วัฒนธรรมของแต่ละช่วงเวลาจากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศถึงประเทศไทย เพื่อเรียนรู้อดีตของผู้คนในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และค้นหาคำตอบว่า “เราคือใคร” และ “ความเป็นไทยหมายถึงอะไร”
       
       นอกจากจะได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของอดีตในแต่ละช่วงเวลาแล้ว ก็ยังสามารถเข้าไปมีประสบการณ์ร่วมกับอดีตที่เคยผ่านมาได้ด้วย อย่างที่ห้องหนึ่ง ฉันก็ยังได้ลองเข้าไปสวมบทบาทเป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ของช่อง 4 บางขุนพรหม มีทั้งโต๊ะผู้ประกาศข่าวและมีกระดาษให้อ่าน เสมือนว่าได้เป็นผู้ประกาศข่าวกันจริงๆ หรือจะเป็นห้องที่มีการลองเครื่องแต่งตัวของคนไทยในสมัยก่อน ก็ทำให้การมาชมพิพิธภัณฑ์ดูสนุกไปอีกแบบ


ย้อนยุคสู่แสงสี

       เมื่อฉันออกจากมิวเซียมสยามมา ฉันก็มุ่งหน้ามาที่วัดราชนัดดารามวรวิหาร เพื่อเข้ามาชมสิ่งโดดเด่นของวัดราชนัดดาฯ นั่นก็คือ “โลหะปราสาท” (พุทธสถานที่มีเรือนยอดเป็นโลหะที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวในโลก) โลหะปราสาทนับเป็นโลหะปราสาทองค์แรกและองค์เดียวในประเทศไทย และนับเป็นโลหะปราสาทองค์ที่ 3 ของโลก
       
       ถึงแม้ว่าโลหะปราสาทแห่งนี้จะเป็นโลหะปราสาทที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวของโลก แต่โลหะปราสาทแห่งนี้ ก็ไม่ได้เป็นโลหะปราสาทหลังแรก เพราะก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ก็เคยมีการสร้างโลหะปราสาทมาแล้ว 2 หลังด้วยกัน คือโลหะปราสาทที่ประเทศอินเดีย (ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว) และประเทศศรีลังกา (ปัจจุบันเหลือเพียงซากปราสาท)


โลหะปราสาทก่อนการบูรณะ

       เมื่อมาถึงฉันไม่รอช้ารีบเดินตรงปรี่ไปยังโลหะปราสาทยอดสูงทันที ภายนอกดูใหญ่โตอลังการสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ โลหะปราสาทแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน เมื่อเดินเข้าไปยังด้านใน ชั้นหนึ่งจะเป็นการจัดแสดงนิทรรศการ ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลหะปราสาท เมื่อเดินชมนิทรรศการจนครบแล้ว ฉันมุ่งหน้าเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นบน ในส่วนของชั้นที่สองจะเป็นสถานที่นั่งสมาธิและเดินจงกลม เมื่อเดินขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จะมองเห็นทัศนียภาพบริเวณรอบๆ วัดราชนัดดาฯ อย่างชัดเจน และนอกจากนี้โลหะปราสาทส่วนบนยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอีกด้วย (หากไปชมโลหะปราสาทในช่วงเวลานี้อาจจะไม่ได้เห็นความสวยงามอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการบูรณะโลหะปราสาทอยู่)
       
       จากนั้นฉันเลือกเดินทางไปยัง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ที่ตั้งอยู่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ที่ก็อยู่ไม่ไกลจากบริเวณโลหะปราสาทนัก เพื่อเรียนรู้เรื่องราวในอดีตอันทรงคุณค่า เมื่อฉันมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า ก็มองเห็นสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์นีโอคลาสสิกสีขาว มีทั้งหมด 3 ชั้น และมียอดโดมตรงกลาง ซึ่งก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์นั่นเอง


ภาพวันพระราชพิธีอภิเษกสมรสของรัชกาลที่ 7 ในพิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า

       อาคารหลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมเป็นสำนักงานใหญ่กรมโยธาฯ ต่อมาในปี ในปี พ.ศ.2523 ได้ปรับเปลี่ยนเป็น “พิพิธภัณฑ์รัฐสภา” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า ในปี พ.ศ.2544 โดยมีสถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ
       
       ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ 7 ทั้งหมด ตั้งแต่การสืบราชสันติวงศ์ พระราชประวัติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชกรณียกิจ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การพระราชทานรัฐธรรมนูญ สิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี รวมถึงยังมีการแสดงในส่วนของศาลาเฉลิมกรุงเก่าอีกด้วย ซึ่งในส่วนนิทรรศการทั้งหมดนั้นจะอยู่ในชั้นที่ 2 และ 3
       
       เมื่อเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ ด้านในมีการจัดแบ่งโซนไว้อย่างเรียบร้อย โดยทางเดินจะช่วยบังคับให้เราไล่เรียงเรื่องราวต่างๆ ไปตามลำดับกาลและง่ายต่อการเข้าใจ จนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ ในสมัยก่อนได้ดีทีเดียว


ย่านต่างๆ ในบางกอก

       ปิดท้ายการเดินทางของวันนี้ ฉันมาจบลงที่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง ข้างลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ในยุครัตนโกสินทร์ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งสื่อจัดแสดง หุ่นจำลอง การนำสื่อผสมเสมือนจริง 4 มิติ ทำให้เราได้ร่วมสนุก และตื่นตาตื่นใจไปกับการจัดแสดงที่ร้อยเรียงเรื่องราวเป็น 9 ห้องด้วยกัน ได้แก่ รัตนโกสินทร์เรืองโรจน์, เกียรติยศแผ่นดินสยาม, เรื่องนามมหรสพศิลป์, ลือระบิลพระราชพิธี, สง่าศรีสถาปัตยกรรม, ดื่มด่ำย่านชุมชน, เยี่ยมยลถิ่นกรุง, เรื่องรุ่งวิถีไทย และดวงใจปวงประชา
       
       สำหรับการเข้าชมภายในแต่ละห้องจะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายประวัติต่างๆ ให้เราฟัง เริ่มแรกฉันได้เข้าสู่อุโมงค์กาลเวลา ถัดมาก็เข้าสู่ห้องดื่มด่ำย่านชุมชน และห้องอื่นๆตามลำดับ แต่การมาที่นี่ของฉันไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้เท่านั้น ฉันยังทำกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละห้องอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจำลองร้านทำผม การถ่ายรูปหน้าปกนิตยสารในสมัยก่อน หรือกระทั่งห้องจำลองการนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ตาม


แอบดูชีวิตชาววังในอดีต

       นอกจากนี้แล้วภายในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ยังมีห้องสมุดให้ฉันได้เข้าไปนั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินใจอีกด้วย และการเข้าชมพิพิธภัณฑ์รอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ของฉันในครั้งนี้ นอกจากฉันจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต และประวัติศาสตร์แล้ว ฉันยังได้ความสนุกและความประทับใจกลับบ้านไปอีกด้วย


ย้อนอดีตที่นิทรรศน์รัตนโกสินทร์

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       สำหรับใครที่อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์การท่องพิพิธภัณฑ์บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ทางสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ได้จัดโครงการ “Muse Pass” ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่จะพาท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ร่วมเดินทางเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทย และร่วมย้อนอดีตรำลึกถึงความรุ่งเรืองในยุครัตนโกสินทร์ ผ่านพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อาทิ มิวเซียมสยาม นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โลหะปราสาท เป็นต้น
       
       บัตร Muse Pass สามารถใช้ท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ได้ภายในใบเดียว โดยสามารถเข้าเยี่ยมชมมิวเซียมสยาม นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โลหะปราสาท และชิมอาหารอร่อยในย่านเก่าแก่บางลำพูและท่าเตียน และสามารถใช้สิทธิ์ส่วนลดในร้านค้า ร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมบริการรถรับ-ส่ง ตลอดเส้นทางท่องเที่ยว โดยหมดเขตภายในเดือนกันยายนปีนี้เท่านั้น
       
       บัตร Muse Pass ราคาใบละ 100 บาท มีจำหน่ายที่มิวเซียมสยามและนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ สามารถใช้บัตรได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2556 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ มิวเซียมสยาม โทร. 0-2225-2777 ต่อ 123, 505 www.museumsiam.org, www.facebook.com/museumsiamfan และ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ โทร. 0-2621-0044 www.nitasrattanakosin.com, www.facebook.com/nitasrattanakosin




sithiphong:
ไหว้หลวงพ่อพระใส ดูทะเลหมอกหนองคาย
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372496653&grpid=&catid=09&subcatid=0901-


คอลัมน์ เที่ยวกันมะ โดย travel@matichon.co.th




การยกระดับอำเภอบึงกาฬ ขึ้นเป็นจังหวัดที่ 77 ของไทย มีผลต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดหนองคายอยู่ไม่น้อย เพราะการแยกหลายอำเภอในบริเวณดังกล่าวยกระดับขึ้นรวมกันเป็นจังหวัดบึงกาฬ ทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นกับหนองคายเหลืออยู่ไม่กี่แห่ง ทำให้หน่วยงานต่างๆ ต้องเร่งค้นหาและเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ขึ้นมาทดแทน

แต่ที่แน่ๆ ใครมาถึงหนองคาย ต้องไม่พลาดสักการะ หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหนองคาย ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง

หลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก ตามตำนานเล่าว่า เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง โดยพระธิดา 3 องค์แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บ้างก็ว่า พระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนามพระพุทธรูปตามนามของตนเองว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ

เดิมหลวงพ่อพระใสประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์ ต่อมาในรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ล่องมาตามลำน้ำงึมจนมาถึงปากน้ำโขง เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เกิดพายุใหญ่ จนพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า ?เวินสุก? และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

เหลือแค่พระเสริมและพระใส ซึ่งเมื่อมาถึงหนองคาย ได้อัญเชิญพระเสริมขึ้นประดิษฐานที่วัดโพธิชัย ส่วนพระใสอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)

ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าให้อัญเชิญพระเสริมและพระใสมากรุงเทพฯ แต่หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมมาประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า ?หลวงพ่อเกวียนหัก?

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของหนองคาย เพิ่งเปิดตัวไปกับ ทะเลหมอก แห่งเดียวของหนองคาย ที่หลังภูอีสัน ตำบลบ้านม่วง ห่างจากตัวอำเภอตามเส้นทาง อ.สังคม-อ.ปากชม จ.เลย ประมาณ 17 กิโลเมตร ซึ่งภูอีสันเป็นภูเขาเตี้ยๆ ที่มีถนนที่สามารถใช้รถเพื่อการเกษตรขึ้นไปได้ โดยใช้เวลาเดินทางไปถึงยอดเขาไม่ถึง 10 นาที และต้องเดินเท้าอีกเล็กน้อยเพื่อหาจุดชมวิว ก็จะพบทะเลหมอกที่ขาวโพลน เป็นทางยาวสุดลูกหูลูกตา ที่โอบล้อมภูเขาจนเห็นเพียงยอดภูเขาเท่านั้น ซึ่งทะเลหมอกจะมีการเคลื่อนไหวตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้บางครั้งมีลักษณะเป็นชั้นๆ ม้วนตัวคล้ายคลื่นทะเล บางขณะก็เหมือนน้ำตก สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ

ทะเลหมอกที่เกิดขึ้น เป็นหมอกที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำโขง คือ ฝั่งขวาจะเป็นฝั่งไทย และฝั่งซ้ายเป็นฝั่ง สปป.ลาว สำหรับช่วงเหมาะชมทะเลหมอกเป็นช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เวลาเช้ามืดประมาณตีห้าครึ่ง ไปจนถึงประมาณ 9 โมงเช้า

นอกจากนี้ ยังมีเหมืองแร่ทองแดงและเหมืองทองคำเก่า ที่วัดเขาคีรีวงกต บ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง ห่างจากตัวอำเภอไปตามเส้นทาง อ.สังคม ไป อ.ปากชม จังหวัดเลย ประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชม เมื่อไปเที่ยวในเขตอำเภอสังคม เหมืองทองแดงและเมืองทองคำเก่าแห่งนี้ เป็นแหล่งโบราณคดีภูโล้น ได้เคยมีการสำรวจและดำเนินการขุดค้นแล้ว

ที่อำเภอสังคม มีสถานที่มากมายหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกธารทอง น้ำตกธารทิพย์ จุดชมวิววัดผาตากเสื้อ หรือวัดถ้ำเพียงดิน

เลือกเที่ยวกันตามอัธยาศัย!!

หน้า 14,มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2556


sithiphong:
หลบมลพิษ พักผ่อนเติมพลังใกล้ๆ กรุงที่ “บางปู”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 กรกฎาคม 2556 16:02 น.    
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000091462-



“ศาลาสุขใจ” สถานตากอากาศบางปู

       การดำเนินชีวิตในเมืองกรุงนั้น สิ่งที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ”มลพิษ” ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางเสียงหรือมลพิษทางอากาศล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หากใครที่กำลังมองหาสถานที่ที่ใช้เป็นที่หลีกหนีจากมลพิษเหล่านี้ในช่วงเวลาสั้นๆแล้ว “สถานตากอากาศบางปู” ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลบมลพิษใกล้กรุงที่เหมาะสำหรับชีวิตคนทำงานที่ไม่ค่อยจะมีเวลาในการพักผ่อน
       
       “สถานตากอากาศบางปู” ตั้งอยู่ที่ กิโลเมตรที่ 37 ถนนสุขุมวิท ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้มีชื่อว่า "บางปู" มาแต่เดิม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนริมชายทะเลอ่าวไทยที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีต โดยสถานตากอากาศบางปูแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2480 จากดำริของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และปัจจุบัน สถานตากอากาศบางปูอยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของกรมพลาธิการทหารบก


“สะพานสุขตา” มีวิวสวยๆตลอดเส้นทาง

       สิ่งที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์คงหนีไม่พ้น “สะพานสุขตา” สะพานคอนกรีตที่ทอดยาวลงไปสู่ทะเลอ่าวไทย บริเวณสะพานสุขตาแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทอดน่องกินลมชมวิวได้ตลอดเส้นทาง โดยปลายสุดของสะพานนั้นเป็นที่ตั้งของ "ศาลาสุขใจ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารร้านอาหารและห้องจัดเลี้ยง โดยจะมีจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งบริเวณหลังอาคารสุขใจแห่งนี้
       
       ทัศนียภาพโดยรอบของสถานตากอากาศบางปูนั้น เป็นภาพบรรยากาศของป่าชายเลนริมทะเลอ่าวไทย อีกทั้งเมื่อเวลาน้ำลดก็สามารถที่จะเห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมายที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน โดยเฉพาะ "ปลาตีน" ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นครั้งแรกในความแปลกของรูปร่างหน้าตาและการดำรงชีวิต ในส่วนของจุดชมวิวด้านหลังศาลาสุขใจก็สามารถที่จะมองเห็นทะเลอ่าวไทยได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่พัดมาจากทะเลและจากป่าชายเลนขณะที่กำลังชมวิวอีกด้วย


สามารถพบ “นก” กำลังออกหากินได้ตลอดเส้นทาง
       นอกจากจะเป็นสถานตากอากาศที่ได้รับความนิยมใกล้กรุงแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในการดูนกอีกด้วย เพราะในป่าชายเลนย่านบางปูแห่งนี้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของนกน้ำนานาชนิด มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ ที่สามารถพบเห็นได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่จะสามารถพบเห็นนกนางนวล ที่อพยพหนีหนาวจากไซบีเรียมาในช่วงนี้ของทุกๆ ปี
       
       ใกล้กันนั้นยังเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี ” โดยมีเส้นทางเดินลัดเลาะเพื่อเที่ยวชมทัศนียภาพภายในป่าชายเลน ภายในเป็นที่ตั้งของหอดูนกขนาดเล็กที่ใช้ในการสังเกตพฤติกรรมของนกในธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย


จุดชมวิวด้านหลัง ”อาคารสุขใจ” ชมวิวอ่าวไทยสุดสายตา

       และหากเที่ยวเสร็จแล้วและกำลังมองหาของร้านของฝากติดไม้ติดมือหรือร้านแวะพักกินอาหารเติมพลัง เพียงย้อนกลับไปยังเขตอำเภอเมืองไม่ไกลมากนัก บริเวณ”ย่านปากน้ำ” ท่าเรือข้ามฟาก จะเป็นที่ตั้งของร้านขายของและร้านอาหารมากมาย ให้เลือกซื้อกลับบ้านหรือแวะพักกินกันได้ตามใจ (คลิกอ่านร้านอาหารแนะนำ ”ย่านตลาดปากน้ำ” ได้ตามลิงค์นี้)
       
       สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้ คงจะทำให้ใครหลายคนที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวได้เต็มอิ่มกับการพักผ่อนหย่อนใจและชาร์จแบตเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในความทรงจำของใครหลายๆคนที่สามารถกลับมาแวะเวียนเพื่อได้เสมอ


เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบกฯ (บางปู)”

       **********************************************************************************
       
       สถานตากอากาศบางปู เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น. ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม
       
       การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว : ใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทสายเก่า โดยมีจุดสังเกต คือ นิคมอุตสาหกรรมบางปูจะอยู่
       ทางซ้ายมือ ส่วนสถานตากอากาศบางปูนั้นจะอยู่ทางขวามือ
       รถสาธารณะ : รถโดยสารประจำทางปอ. สาย 8 ,11,25, 55,102, 142, 155 507, 508 และ 511 รถโดยสารประจำทางธรรดาสาย 25, 102 และ 145 ลงตลาดปากน้ำ แล้วต่อรถเมล์เล็กสาย 36, จากนั้นต่อรถสองแถวปากน้ำ-วัดตำหรุ, ปากน้ำ-นิคมบางปู และปากน้ำ-คลองด่าน และไปลงปากทางเข้าสถานตากอากาศบางปู

sithiphong:
ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ที่วังนารายณ์ ลพบุรี
-http://travel.kapook.com/view67187.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สุดสัปดาห์นี้ใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่างแหล่งโบราณสถานอันเก่าแก่ และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เข้ามาเลยค่ะ เพราะวันนี้กระปุกท่องเที่ยวขอแนะนำทริปท่องเที่ยวแบบสั้น ๆ เชิงอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ ที่สามารถไปในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นั่นคือ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ส่วนภายในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น ตามเราไปเที่ยวกันเลยจ้า

          พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี โดยชาวเมืองลพบุรี ได้เรียกชื่อสถานที่แห่งนี้จนติดปากว่า "วังนารายณ์" ปัจจุบันได้จัดพื้นที่บางส่วนภายในวังให้เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ สถานที่สำหรับจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุตามอาคารและพระที่นั่งต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวนกว่าพันรายการ ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งที่ลำดับที่ 3 ของประเทศไทยอีกด้วย

ประวัติความเป็นมา

          พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เกิดขึ้นในสมัย สมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2209 สำหรับใช้เป็นที่ประทับ ณ เมืองลพบุรี เพื่อใช้เป็นที่ประทับในการล่าสัตว์ ออกว่าราชการ รวมทั้งต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง แต่หลังจากที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงสวรรคต ในปี พ.ศ. 2231 พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ที่ตั้งอยู่ภายในก็ได้หมดความสำคัญลง สมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์องค์ใหม่ ก็ได้ย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นก็ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดไปประทับอีกเลย ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการซ่อมแซมกำแพงเมือง, ป้อม และประตู รวมทั้งมีการสร้างพระที่นั่งวิมารมงกุฎในพระราชวัง พร้อมทรงพระราชทานนามพระราชวังว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์" ในปัจจุบัน

          สำหรับพื้นที่ภายในทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน ดังนี้

          เขตพระราชฐานชั้นนอก

          อ่างเก็บน้ำซับเหล็กหรือถังเก็บน้ำประปา : เป็นระบบการจ่ายทดน้ำผลงานของชาวฝรั่งเศส โดยการสร้างที่เก็บน้ำในถัง ด้วยการก่อด้วยอิฐยกขอบเป็นกำแพงสูงหนาเป็นพิเศษ สร้างพื้นให้มีท่อดินเผาฝังอยู่เพื่อจ่ายน้ำไปใช้ตามตึกและพระที่นั่งต่าง ๆ โดยท่อดินเผา ซึ่งระบบการจัดการน้ำ ระบบการจ่ายน้ำ และทดน้ำ เป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน

          ตึกสิบสองท้องพระคลังหรือพระคลังศุภรัตน์ : สันนิษฐานว่าเป็นคลังสำหรับเก็บสินค้าและสิ่งของ เป็นตึกที่ตั้งเรียงรายอยู่ระหว่างอ่างเก็บน้ำและตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง สร้างด้วยอิฐเป็น 2 แถวยาว มีคูน้ำล้อมรอบตึก ภายในคูน้ำมีน้ำพุขึ้นมาอีกด้วย ใช้เป็นคลังสำหรับเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของที่ใช้ในราชการ



          ตึกพระเจ้าเหา : มีลักษณะเป็นหอประจำพระราชวัง และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน สันนิษฐานว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีชื่อว่า พระเจ้าเหา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อตึกนั่นเอง

          ตึกรับรองคณะทูตต่างประเทศ : อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก โดยตึกหลังนี้ตั้งอยู่ตรงกลางอุทยาน ซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส บริเวณรอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุเรียงยาว 20 จุด ซึ่งสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่สำหรับต้อนรับคณะทูตจากต่างประเทศ



          โรงช้างหลวง : ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุด โรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฏให้เห็นประมาณ 10 โรง ช้างซึ่งยืนโรงพระราชวังเป็นช้างหลวงหรือช้างสำคัญ สำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่

          เขตพระราชฐานชั้นกลาง

พระนารายณ์ราชนิเวศน์



          พระที่นั่งจันทรพิศาล : หอประชุมองคมนตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระที่นั่งจันทรพิศาลใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งของพระราเมศวร โอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหญ่ และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง




          พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท : เป็นพระที่นั่งท้องพระโรง สำหรับเสด็จออกคณะราชทูตในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดแหลมทรงมณฑปศิลปกรรมแบบไทยผสมผสานกับฝรั่งเศส ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชรที่เสด็จออกเพื่อมีปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าฯ ท้องพระโรงบริเวณประตูและหน้าต่างสร้างรูปโค้งแหลมแบบฝรั่งเศส ตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทั้งประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ จุดเด่นอยู่ที่ตรงกลางท้องพระโรง โดยมีสีหบัญชรเป็นสถานที่เสด็จ ออกเพื่อมาปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าในท้องพระโรงตอนหน้า ด้านในท้องพระโรงประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เพดานเป็นช่องสี่เหลี่ยม ประดับลายดอกไม้ทองคำและผลึกแก้ว ผนังด้านนอกเจาะเป็นช่องเล็กสำหรับใส่ตะเกียงในตอนกลางคืน



          พระที่นั่งพิมานมงกุฎ : สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จบูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ เป็นที่ประทับ, พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัย เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน, พระที่นั่งไชยศาสตรากร เป็นที่เก็บอาวุธ และพระที่นั่งอักษรศาสตราคม เป็นที่ทรงพระอักษร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด และเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่เมืองใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ในปัจจุบัน

          โดยภายในหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎมีสถานที่สำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้

           ชั้นที่ 1 จัดแสดงโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,500-4,000 ปี เช่น โครงกระดูก, เปลือกหอย, ขวานหิน, ขวานสำริดและเครื่องประดับ เป็นต้น

           ชั้นที่ 2 จัดแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบในจังหวัดลพบุรี  เช่น ทับหลังแกะสลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ, พระพุทธรูปสมัยลพบุรีปางต่าง ๆ เครื่องถ้วยกระเบื้องของไทยและจีน เป็นต้น

          ชั้นที่ 3 เป็นห้องบรรทมของรัชกาลที่ 4 จัดแสดงฉลองพระองค์ เครื่องแก้ว และภาชนะที่มีตราประจำพระองค์

           ทิมดาบ : ที่พักของทหารรักษาการณ์ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวังในสมัยรัชกาลที่ 4

          เขตพระราชฐานชั้นใน









          พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ : เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า "พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำขนาดใหญ่ 4 สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน" สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231

          หมู่ตึกพระประเทียบ : ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฎ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายใน เป็นตึกชั้นเดียว 2 หลัง ก่อด้วยอิฐปูน 2 ชั้น มี 8 หลัง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายในที่ตามเสด็จรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จประพาสที่เมืองลพบุรี

          นี่เป็นเพียงหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีที่เที่ยวอื่น ๆ อีกมาก ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าวางแผนไปเที่ยวนะคะ เพราะเดินทางสะดวกและไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกทั้งยังได้รู้เรื่องราวในอดีตของพระราชวังอีกด้วยล่ะ

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ททท.  และ lopburi.mots.go.th

-http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C--909-

-http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C-

    และ lopburi.mots.go.th

sithiphong:
ปลื้ม-ทับทิม คู่รักวัยทีน เชิญชวนร่วมตื่นตาตื่นใจในงาน “3D-ART EXHIBITION”

-http://travel.sanook.com/1390750/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3d-art-ex/-




ปลื้ม สุรบถ หลีกภัย - ทับทิม มัลลิกา จงวัฒนา" เชิญชวนผู้สนใจและชื่นชอบการถ่ายรูปมาร่วมสัมผัสและค้นหาความมหัศจรรย์ภาพ 3 มิติ ในงาน "3D-ART EXHIBITION" ที่ขนทัพกองทัพภาพ 3D ขนาดใหญ่จำนวนกว่า 50 ภาพ จากแดนปลาดิบ ประเทศญี่ปุ่น มาแสดงบนพื้นที่ 600 ตารางเมตร ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบเดินทางมาสัมผัสความมหัศจรรย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น และกลายเป็นจุดนัดพบถ่ายภาพสุดฮิปแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


โดยการแสดงผลงานดังกล่าวจะจัดขึ้นและเปิดให้เข้าชมทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้-มกราคม 2014 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ชั้น B2 ศูนย์การค้า เดอะพาลาเดี่ยมเวิลด์ช้อปปิ้ง ประตูน้ำ ราคาบัตรผ่านประตูสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท และต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 150 บาท



งานนี้รับรองว่าทุกท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจและสนุกไปกับความมหัศจรรย์กับภาพถ่าย 3 มิติพิศวงที่เสมือนจริงที่จะช่วยสร้างจินตนาการและดึงผู้ชมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพถ่าย ด้วยเทคนิคการเขียนภาพแบบ 3 มิติ ตามแบบฉบับของญี่ปุ่นขนานแท้ ซึ่งมาจากฝีมือการวาดของศิลปินชื่อดังชาวญี่ปุ่น Mr.Hattori Masashi ที่มีความโดดเด่นการวาดภาพ 3 มิติ



เพราะมีการแสดงออกด้านเทคนิค และนวัตกรรมฉูดฉาด จนมาเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปิน 3 มิติ และได้เป็นตัวแทนของประเทศในงาน "No Time Art" ได้เคยจัดงานแสดง นิทรรศการศิลปะ 3 มิติ ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและนานาประเทศ สำหรับคนที่ชื่นชอบผลงานศิลปะชนิดนี้ ไม่ควรพลาด และลองมาสัมผัสความสนุกแปลกใหม่ไร้ขีดจำกัดและประชันโพสท่าสวยเพื่อเป็นที่ระลึกได้ที่งาน 3D-ART EXHIBITION เท่านั้น!


http://travel.sanook.com/1390750/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3d-art-ex/

.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version