ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนรู้กฎหมาย ไว้เป็นแนวทางป้องกันตนเอง และไม่ให้ถูกเอาเปรียบบุคคลต่างๆ  (อ่าน 18522 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
สปส.เตือนผู้ประกันตน ม.39 ขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน ถูกตัดสิทธิ์ทันที
-http://www.sso.go.th/wpr/content.jsp?lang=th&cat=762&id=3986-

       
          สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ควรส่งเงินสมทบตามกำหนด  หากขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน ถูกตัดสิทธิ์ทันที และควรหมั่นตรวจสอบการนำส่งเงินสมทบอย่างสม่ำเสมอ
          สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้พบปัญหาของผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวนมากขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน ทำให้สิ้นสุดสภาพการเป็นผู้ประกันตนตั้งแต่เดือนแรกที่ขาดส่ง หรือกรณีที่ผู้ประกันตนให้หักเงินสมทบผ่านบัญชีธนาคารฯ แต่ยอดเงินในบัญชีมีไม่เพียงพอ ทำให้สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตนได้ จึงขอเตือนผู้ประกันตนให้ความสำคัญในการตรวจสอบการนำส่งเงินสมทบ อย่างสม่ำเสมอ และควรนำส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกันตนขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน และกรณีภายในระยะเวลา 12 เดือน ส่งเงินสมทบไม่ถึง 9 เดือน จะถูกตัดสิทธิการเป็นผู้ประกันตนทันที
          ทั้งนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 39 สามารถส่งเงินสมทบได้ 4 วิธี คือ
          (1) จ่ายที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา
          (2) จ่ายเงินทางธนาณัติ
          (3) ส่งผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
          (4) เปิดบัญชีประเภทออมทรัพย์เพื่อให้ทางธนาคารหักจากบัญชีเงินฝาก ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
               ซึ่งหากผู้ประกันตนส่งเงินสมทบโดยวิธีหักจากบัญชีธนาคารจะต้องมีเงินให้เพียงพอเพื่อหักเงินสมทบ โดยธนาคารคิดค่าธรรมเนียมรายการละ 10 บาท หากเดือนใดวันที่ 15 เป็นวันหยุดทำการจะเลื่อนไปหักบัญชีในวันทำการถัดไป ธนาคารจะจัดส่งใบเสร็จรับเงินให้ผู้ประกันตนทางไปรษณีย์
          สำนักงานประกันสังคมขอย้ำให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ทราบว่าหากนำส่งเงินสมทบล่าช้าเกินกำหนดจะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือน หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา/ที่ท่านสะดวก หรือโทร.1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง)
…………………………………….………………………………
ศูนย์สารนิเทศ สำนักงานประกันสังคม 
สอบถามประกันสังคม โทร.1506 ให้บริการ 24 ชั่วโมง / www.sso.go.th
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เรื่องน่ารู้ ก่อนทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์

-http://money.kapook.com/view79943.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          เช่าซื้อรถยนต์ ต้องทำยังไง ก่อนทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ต้องจ่ายเงินทั้งหมดก่อนหรือไม่ มาดูข้อมูลก่อนทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กัน

          ต้องยอมรับว่า รถยนต์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในยุคปัจจุบันที่แทบขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว ดังนั้นสำหรับคนที่กำลังอยากซื้อรถยนต์สักคัน แต่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ เรามีข้อมูลน่ารู้ จากหนังสือชุดรู้รอบเรื่องการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย www2.bot.or.th มาฝากให้ได้ศึกษาข้อมูลกันแล้วจ้า

          รู้..ก่อนทำสัญญาเช่าซื้อรถ

          ก่อนที่จะตัดสินใจลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อรถ เราควรทราบถึงสาระสำคัญบางประการ ของประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจควบคุมสัญญา พ.ศ. 2543 ดังนี้

          1. เมื่อผู้เช่าซื้อจ่ายเงินครบตามสัญญาแล้ว กรรมสิทธิ์ในรถจะตกเป็นของผู้เช่าซื้อทันที ผู้เช่าซื้อจะต้องดำเนินการจดทะเบียนโอนรถให้เป็นของผู้เช่าซื้อภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับเอกสารประกอบการจดทะเบียนครบถ้วน

          2. ถ้าผู้เช่าซื้อต้องการจ่ายค่าเช่าซื้อทั้งหมดเพื่อปิดบัญชีก่อนกำหนด ผู้เช่าซื้อต้องให้ส่วนลดในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยเช่าซื้อ ที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่าย

          3. ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการติดตามทวงถามหนี้ทั้งหมด ตามที่ผู้เช่าซื้อได้จ่ายไปตามจริง

          4. สัญญาเช่าซื้ออาจถูกยกเลิก (และอาจนำไปสู่การถูกยืดรถได้ในที่สุด) หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระหนี้ 3 งวดติดต่อกัน และผู้ให้เช่าซื้อได้มีจดหมายลงทะเบียนตอบรับแจ้งผู้เช่าซื้อให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้ง และผู้เช่าซื้อไม่ได้ปฏิบัติตาม

          ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) www.ocpb.go.th หรือสอบถามได้ที่ โทร. 1166


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือชุดรู้รอบเรื่องการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย
-http://www2.bot.or.th/FinancialLiteracy/FCC/eBook4/-


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เป็นหนี้บัตรเครดิต จะโดนยึดเงินเดือนไหม!!


-http://money.sanook.com/170812/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B6%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/-



เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบ หมุนจ่ายไม่ทัน ใครเคยเป็นบ้าง ถ้าใครไม่เคยนับว่าเป็นเรื่องดีที่รู้จักการบริหารการเงิน แต่ถ้าใครกำลังเผชิญสภาวะนี้อยู่ ลองอ่านบทความนี้ดู

เจ้าหนี้ยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน โบนัส ได้หรือไม่

การใช้เงินอนาคตผ่านบัตรพลาสติก ทั้งบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดนั้น หากสามารถบริหารการเงินได้เป็นอย่างดี ใช้แล้วจ่ายตรงกำหนดเวลา จะได้รับประโยชน์มากทั้งการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัล และการเลื่อนเวลาการจ่ายเงินสดออกไป แต่หากไม่รู้เท่าทันการใช้เงินอนาคตเหล่านี้ หวังเพียงแค่โปรโมชั่นของแถมมากมายจากการสมัคร แล้วใช้จ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา อาจเป็นโทษมหันต์ได้เช่นกัน
ข้อควรรู้ก่อนเริ่มต้นทำบัตรเครดิตนั้น ผู้ใช้บัตรเครดิต จำเป็นต้องมี "วินัยในการใช้เงิน" คือ ต้องจ่ายชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนด หากชำระเต็มจำนวนได้ยิ่งดี พยายามมีบัตรเครดิตให้น้อยใบที่สุดเพื่อควบคุมหนี้ ใช้จ่ายในวงเงินที่เราสามารถชำระคืนได้ และหมั่นตรวจสอบว่าในแต่ละเดือนมีพฤติกรรมใช้จ่ายเงินเกินตัวหรือไม่ เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีพฤติกรรมดังกล่าว ควรเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินตั้งแต่เนิ่นๆ โดยการทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย พิจารณาให้ดีว่ารายจ่ายส่วนใหญ่เป็นของจำเป็นหรือฟุ่มเฟือย แค่นี้ก็ไม่ต้องปวดหัวกับการมีหนี้แล้วครับ

พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ที่เกิดปัญหา คือ รูดบัตรเครดิตใช้เงินล่วงหน้าก่อน อยากได้อะไรก็รูดๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพในการชำระหนี้ ว่าจะมีเงินชำระหนี้หรือไม่ จะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อวงเงินเต็มไม่สามารถรูดได้อีกนั่นล่ะครับ พอนานวันเข้าก็หาทางออกด้วยการกู้เงินจากบัตรกดเงินสดมาชำระหนี้บัตรเครดิต และกู้หมุนเวียนสลับไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็ยังหมุนเงินคล่องมือ แต่หลังจากมีหนี้หลายใบ ก็เริ่มกู้เงินไม่ได้แล้ว พอเงินหมุนไม่คล่อง ไม่สามารถจ่ายเจ้าหนี้ได้ จากที่เคยรูดหรือกดเงินสดได้ ก็เริ่มเป็นกังวลกับการที่ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ กลัวเจ้าหนี้จะมาทวงหนี้ถึงที่ทำงาน ซึ่งปัญหาหนี้เหล่านี้ส่งผลให้ลูกหนี้บางรายที่ยังคงมีความสามารถชำระหนี้ได้ ไม่กล้าไปทำงานหรือบางรายลาออกไปเลยก็มี

สำหรับผู้ที่เป็นหนี้สินมากมายและไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้วนั้น ข้อควรรู้ประการหนึ่ง คือ เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์สินที่จำเป็นในการดำรงชีพ เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ อุปกรณ์เครื่องครัว โทรทัศน์ หรือ ทรัพย์สินที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ แต่หากเป็นทรัพย์สินมีค่าอย่างอื่น เช่น บ้าน รถยนต์ เงินฝากในบัญชีธนาคาร สร้อย แหวน ทองคำ กรมบังคับคดีมีสิทธิ์ที่จะยึดทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้

สำหรับคำถามเจ้าหนี้สามารถอายัดเงินเดือน หรือโบนัส ได้หรือไม่นั้น หลักเกณฑ์การอายัดเงินเดือนที่ควรทราบไว้ คือ ลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือเป็นพนักงานบริษัทแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิ์อายัดเงินเดือนเพื่อใช้หนี้ได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินเดือนเท่านั้น ทั้งนี้ หากมีค่าใช้จ่ายจำที่จำเป็นอื่นๆ อีก เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่ซึ่งเจ็บป่วยอยู่ สามารถนำหลักฐานเพื่อลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้อีก

ข้อควรรู้อีกประการ คือ หากลูกหนี้มีเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท เจ้าหนี้ไม่สามารถสั่งอายัดเงินเดือนได้ เนื่องจากต้องเหลือเงินขั้นต่ำให้ใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวันด้วย กรณีที่มีเงินเดือนมากกว่า 10,000 บาท ยกตัวอย่างเช่น มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ลูกหนี้จะถูกอายัดเงินได้สูงสุดไม่เกิน 6,000 บาท ทำให้มีเงินเหลือใช้จ่ายแต่ละเดือน 14,000 บาท เป็นต้น

นอกเหนือจากเงินเดือนแล้ว เงินได้และทรัพย์สินอื่นๆ เจ้าหนี้สามารถสั่งอายัดได้หรือไม่นั้น สำหรับบัญชีเงินฝาก เจ้าหนี้สามารถสั่งอายัดได้ทั้งจำนวน ในส่วนของรายได้อื่น เช่น เงินโบนัส หากเป็นช่วงสิ้นปีแล้วมีโบนัส เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ 50% ในส่วนของทรัพย์สินที่เป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือหากร่วมทุนอยู่กับผู้อื่นเปิดบริษัท กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาด และอายัดทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่เป็นของผู้ถูกอายัดเพื่อนำมาชำระหนี้ได้ทั้งจำนวน

จะเห็นได้ว่าการเริ่มต้นเป็นหนี้นั้น ไม่ได้เป็นการได้เงินมาใช้ฟรีๆ เพียงแต่เป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ต้องใช้คืนหนี้ทั้งเงินต้นรวมทั้งดอกเบี้ย หากคุณเป็นผู้ที่ยังเป็นหนี้ไม่มากนักและพอที่จะชำระหนี้ไหว ต้องการที่จะปลดหนี้เพื่อความเป็นไทให้กับตัวเอง เริ่มต้นวันนี้ยังไม่สายครับ เพียงแค่จัดการโอนหนี้รวมเป็นก้อนเดียว มีบัตรเครดิตเพียงแค่เพื่อใช้จ่ายได้สะดวกหรือยามจำเป็น ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องพยายามรักษาเครดิตคุณไว้ให้ดี เพราะหากก่อหนี้เสียไว้แล้ว และต้องการกู้ซื้อบ้านหรือทำธุรกิจในอนาคต อาจดับความฝันในอนาคตได้

 

โดย : คนอง ศรีพิบูลพานิชย์, AFPT
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เกณฑ์การยึด-อายัดทรัพย์-อายัดเงินเดือน

-http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=40192&Itemid=64-

-http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&catid=7&Itemid=64&view=category&limitstart=0&limit=20-

การถูกยึดทรัพย์

เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี หากลูกหนี้ไม่ชำระคืนตามคำพิพากษาภายใน 15 หรือ 30 วันแล้วแต่ศาลจะกำหนดในคำพิพากษา

(ขอให้มียอดเข้าไปหลังมีคำพิพากษาภายในช่วงเวลานี้ คือ จ่ายคืนบางส่วนก็ได้ ไม่ใช่จ่ายเต็ม) คือ จะจ่าย Haircut หรือผ่อนจ่ายตามที่ตกลงได้กับเจ้าหนี้ก็ได้

เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์หรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้
โดยให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อออกหมายยึดและอายัดต่อไป

1. ทรัพย์สินที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต มูลค่ารวมกัน 50,000 บาทแรกห้ามเจ้าหนี้ยึด ทรัพย์ที่จำเป็นในการดำรงชีพ เช่น
โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โทรทัศน์ เครื่องครัว แต่ถ้าเป็นสร้อย แหวน นาฬิกา
ของเหล่านี้แม้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของลูกหนี้ แต่เจ้าหนี้ก็มีสิทธิยึดได้เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต

2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของลูกหนี้ ถ้ามูลค่ารวมกัน 100,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด เครื่องมือประกอบอาชีพ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร(ถ้าประกอบธุรกิจรับถ่ายเอกสาร) ในกรณีที่เครื่องมือประกอบอาชีพมีราคาสูงกว่า 100,000 บาท และจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็สามารถขอต่อศาลได้

หากมีเจ้าหนี้หลายราย ทรัพย์ใดถูกยึดไปแล้ว ห้ามเจ้าหนี้รายอื่นมายึดซ้ำ เจ้าหนี้รายใดยึดก่อนก็ได้สิทธิก่อน


การอายัดเงินเดือน โบนัส ค่าตอบแทนต่างๆ

หากศาลตัดสินแล้ว เราควรติดต่อทนายโจทก์ว่าจะจ่ายอย่างไร จะผ่อนชำระหรือจ่ายงวดเดียวก็แล้วแต่จะตกลงกัน
แต่หากลูกหนี้เพิกเฉยไม่ติดต่อ ไม่ยอมจ่ายเงิน หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้ ทนายโจทก์ก็จะทำเรื่องขอยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือน และหากเจ้าหนี้รายแรกขออายัดเงินเดือนแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 2, 3, 4 ... จะทำเรื่องขออายัดซ้ำไม่ได้ ต้องรอคิว ให้รายแรกอายัดครบก่อน ถ้ารอก็จะรอได้ไม่เกินสิบปี หากเกินสิบปีก็จะหมดอายุความ
.........................................................

เกณฑ์การอายัดเงินเดือนของกรมบังคับคดี หากลูกหนี้เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง หรือเป็นพนักงานบริษัท ฯลฯ จะถูกอายัดเงินเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

1. อายัดเงินเดือนไม่เกิน 30 %

*** ลูกหนี้เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท --- อายัดไม่ได้

*** ลูกหนี้เงินเดือนเกิน 10,000 บาท อายัดได้ 30 % แต่จะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10000 บาท

เช่น

- ลูกหนี้เงินเดือน 9,500 บาท ไม่ถูกอายัด
- ลูกหนี้เงินเดือน 12,000 บาท ถูกอายัด 2,000 บาท เหลือไว้ใช้จ่าย 10,000 บาท
- ลูกหนี้เงินเดือน 15000 บาท ถูกอายัด 4500 บาท เหลือไว้ใช้จ่าย 10,500 บาท

***หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ เช่นค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล สามารถนำหลักฐานไปขอลดหย่อนที่ กรมบังคับคดีเพื่อให้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้

*** การอายัดเงินเดือนจะให้บริษัทนำส่ง หรือลูกหนี้นำส่งกรมบังคับคดีเองก็ได้

2. เงินโบนัส จะถูกอายัดไม่เกิน 50 %

3. เงินตอบแทนการออกจากงาน จะถูกอายัด 100 %

4. เงินค่าตอบแทนต่างๆ / ค่าสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตำแหน่ง
*** การถูกอายัดจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าหน้าจะสืบทราบหรือไม่และร้องขอต่อศาลว่าจะอายัดเท่าไหร่

5. บัญชีเงินฝาก ---อายัดได้

6. เงิน กบข --- อายัดไม่ได้

7. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทำกับบริษัท ----อายัดไม่ได้ (พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)
แต่ถ้าทำกองทุนต่างๆกับธนาคารต้องดูตามหลักเกณฑ์ของ กองทุนว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ และมีข้อห้ามการบังคับคดีหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ และไม่มี ข้อห้ามก็จะอายัดได้

8. เงินค่าวิทยะฐานะ (ค่าตำแหน่งทางวิชาการ) ถ้าเป็นข้าราชการจะไม่ถูกอายัด แต่ถ้าเป็นสังกัดเอกชนจะถูกอายัด เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน

9. หุ้น ---กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาดได้ หรือ ถ้ามีเงินปันผล ก็จะทำเรื่องอายัดเงินปันผลได้

10. เงินสหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัท หากเจ้าหนี้สืบทราบว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ใด สามารถอายัดเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน เงินค่าหุ้นสหกรณ์ได้

11. ร่วมทุนกับผู้อื่นเปิดบริษัท
---หากผู้ร่วมลงทุนมีปัญหาถูกอายัดทรัพย์---กรมบังคับคดีจะอายัดเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์สิน
ของผู้ถูกอายัดเท่านั้น ไม่ได้อายัดทั้งหมด อาจดูเฉพาะส่วนของเงินปันผล
ใบหุ้นฯลฯ ของผู้ถูกอายัด
.........................................................

การถูกอายัดเงินเดือน กรมบังคับคดีจะอายัด 30% จากเงินเดือนเต็ม ก่อนหักภาษี และประกันสังคม เช่น 15000 บาท ถูกอายัด 4500 บาท จะเหลือเงินไว้ใช้ จ่ายภาษี ประกันสังคม ฯลฯ 10500 บาท
.........................................................

การอายัดเงินเดือน ลูกหนี้จะถูกอายัดจากยอดเงินเดือนเต็ม

บ้านหรือที่ดินถึงแม้จะติดจำนองหรือผ่อนอยู่กับธนาคาร ก็ถูกยึดไปขายทอดตลาดได้

รถยนต์หรือจักรยานยนต์ หากยังติดไฟแนนซ์อยู่จะยึดไม่ได้ เพราะกรรมสิทธิ์เป็นของบริษัทไฟแนนซ์
ยังไม่ใช่ทรัพย์สินของคุณ

หากลูกหนี้ผู้ถูกอายัดเงินเดือนมีภาระที่ต้องจ่ายเงินกู้ให้แก่ หน่วยงานอื่น เช่นสหกรณ์ต่างๆ
ลูกหนี้จะต้องคำนวณว่า เงินเดือนที่เหลือจากการถูกอายัดมีเพียงพอ
ที่จะใช้จ่ายประจำวันตลอดเดือน และเหลือพอที่จะจ่ายเงินกู้คืนให้สหกรณ์หรือไม่

- หากลูกหนี้ถูกอายัดเงินเดือน และถูกหักเงินกู้สหกรณ์แล้ว ยังมีเงินพอใช้และเหลือเก็บบ้างก็ถือว่าไม่เป็นไรไม่ต้องกังวล

- แต่หากถูกอายัดเงินเดือน และถูกหักเงินกู้สหกรณ์แล้วเงินเหลือไม่พอใช้จ่าย
ก็ควรหาทางแก้ไข เพราะถ้าไม่แก้ไขมันอาจจะนำไปสู่ปัญหาการหมุนจ่ายแบบเดิมอีกรอบ
ทำให้แก้ไขปัญหาหนี้ไม่หมดสักที โดยลูกหนี้ควรจะ...

1 .เจรจากับทางสหกรณ์ หาทางลดหย่อนยอดเงินที่ต้องชำระคืนในแต่ละเดือนโดยอาจจะยืดระยะผ่อนชำระ
ให้นานออกไป(ในกรณีที่ถูกหักบัญชีอัตโนมัติ)

2. อาจจะหยุดจ่ายและให้ทางสหกรณ์ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย
และอายัดเงินเดือนต่อไป (วิธีนี้อาจสร้างปัญหาให้กับสหกรณ์ได้)
ลูกหนี้ยังสามารถใช้วิธีที่ 3 คือ

3. ลูกหนี้สามารถนำยอดเงินที่ถูกหักจ่ายคืนให้สหกรณ์มาขอ ลดหย่อนเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้ (ขอลดหย่อนได้สูงสุด 50% เท่านั้น)
หมายความว่า ให้ลูกหนี้นำยอดภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ลูกหนี้ต้องจ่ายรวมทั้งเงินที่ต้องชำระคืนแก่
สหกรณ์มารวมยอดและขอลดยอด การอายัดเงินเดือน ไม่ให้กรมบังคับคดีอายัดเงินเดือนจาก ยอดเต็มถึง 30 % ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ในการขอลดยอดการถูกอายัดจะขอลดยอดได้มากที่สุด คือให้กรมบังคับคดีอายัดไม่ต่ำกว่า 15%

***วิธีที่สามนี้เป็นวิธีที่น่าทำที่สุด***

รวบรวมโดย: sunshine


******************************************************************************

อ่านเพิ่มเติม

100 คำถามยอดนิยม ของเวบไซด์กรมบังคับคดี
led.go.th/100q/main.asp
-http://led.go.th/100q/main.asp-

ท่านถาม - เราตอบ ของเวบไซด์กรมบังคับคดี
test.led.go.th/faqn/faq.asp
-http://test.led.go.th/faqn/faq.asp-

เวบไซด์กรมบังคับคดี
led.go.th/



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ข้อต่อสู้ในคดีแพ่งที่ลูกหนี้ควรศึกษา

-http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&catid=7&id=1897&Itemid=64&view=topic-


เมื่อตนเองต้องตกอยู่ในฐานะลูกหนี้และอาจต้องถูกฟ้องคดีต่อศาล ลูกหนี้บางคนตกใจและยิ่งต้องเจอกับการทวงหนี้แบบไม่ค่อยจะถูกต้องนักจากตัวแทนฝ่ายเจ้าหนี้ด้วยแล้ว
บางคนอาจเกิดอาการเครียดและเท่าที่เคยปรากฏเป็นข่าวบางคนถึงกับคิดฆ่าตัวตายเนื่องจากไม่รู้ว่าจะหาเงิน
จากที่ไหนมาใช้คืนให้แก่เจ้าหนี้ปัญหาเหล่านี้อาจจะไม่ต้องกังวลนัก หากท่านรู้ถึงข้อต่อสู้ที่ตนเองมีอยู่เพื่อจะได้นำไปใช้ชี้แจงกับฝ่ายเจ้าหนี้ได้

สำหรับข้อต่อสู้ของลูกหนี้นั้นก็มี...เป็นต้นว่า

- ตนเองเป็นหนี้จริงหรือไม่ สัญญาที่เจ้าหนี้อ้างว่าลูกหนี้เป็นหนี้อยู่นั้นเป็นสัญญาปลอมหรือไม่

- หนี้ที่เจ้าหนี้นำมาทวงถามกับลูกหนี้นั้น สามารถบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ หรือเป็นโมฆะหรือไม่ หรือได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

- ในส่วนดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกร้องมานั้น ได้มีการคิดถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ และเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ (กฎหมายกำหนดให้คิดได้ไม่เกิน 15% ต่อปี ยกเว้นกรณีที่เจ้าหนี้เป็นสถาบันการเงินสามารถคิดได้ตามที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตไว้)

- และเรื่องสำคัญหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาเรียกร้องเอาแก่ลูกหนี้นั้นขาดอายุความหรือยัง หากขาดอายุความแล้วเมื่อลูกหนี้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
แต่ถ้าลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ศาลก็ไม่สามารถนำปัญหาเรื่องหนี้ขาดอายุความหรือไม่มาวินิจฉัยได้ ลูกหนี้ก็เสียประโยชน์ไป

อายุความฟ้องคดีก็มีเป็นต้นว่า

1. หนี้บัตรเครดิตมีอายุความ 2 ปีนับจากวันที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้

2. กรณีเช่าซื้อ แบ่งเป็น

2.1 กรณีที่เรียกเอาค่าเสียหายจากสภาพทรัพย์สินชำรุดบุบสลาย เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันและผู้ให้เช่าซื้อกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ได้ให้เช่าซื้อไปแล้ว หากพบว่ามีการชำรุดบุบสลายผู้ให้เช่าซื้อต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ตนได้รับทรัพย์นั้นคืน

2.2 ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อย่อมฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระได้ภายในอายุความ 2 ปี

2.3 อายุความฟ้องเรียกค่าติดตามยึดทรัพย์คืน, เรียกค่าเสียหายหลังจากเลิกสัญญาเช่าซื้อ, เรียกค่าเสียหายให้ผู้เช่าซื้อชดใช้ราคาทรัพย์ที่เช่าซื้อแทน, เรียกค่าเสียหายหลังจากเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วผู้ให้เช่าซื้อไม่ได้ครอบครองทรัพย์ที่เช่าซื้อ เหล่านี้ต้องฟ้องภายในอายุความ 10 ปี

3. กรณีหนี้เงินกู้ต้องฟ้องภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้

4. มูลหนี้ค่าสินค้าที่ผู้ขายเรียกให้ผู้ซื้อชำระราคาค่าสินค้าที่ได้ส่งมอบไปนั้นมีอายุความ 2 ปี แต่ถ้าซื้อสินค้ามาเพื่อใช้ในกิจการของตน เช่น ผู้รับเหมาซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างมาใช้ในกิจการที่ตนรับเหมานั้นมีอายุความ 5 ปี

5. และสำหรับกรณีที่ลูกหนี้เสียชีวิต ไม่ว่าหนี้เดิมจะมีอายุความยาวกว่าหนึ่งปีไปอีกเท่าใดก็ตาม เจ้าหนี้จะต้องฟ้องกองมรดกของลูกหนี้ให้ชำระหนี้เสียภายใน 1 ปีนับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรรู้ว่าลูกหนี้ตาย

6. สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือโดยคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด มีอายุความ 10 ปี ทั้งนี้ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนดอายุความเท่าใด

7. กรณีเจ้าหนี้จำนอง จำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินดังกล่าวนั้นตลอดไปไม่มีอายุความ แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้ (แต่ลูกหนี้ก็ต้องยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ด้วย ศาลจึงจะวินิจฉัยให้ได้)

*** สามารถศึกษารายละเอียดเรื่องอายุความได้จากในกระทู้นี้ ***
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=813&Itemid=29

ที่กล่าวมานี้ก็เป็นกรณีตัวอย่างพอสังเขป เพื่อให้ลูกหนี้หรือแม้แต่ฝ่ายเจ้าหนี้ได้รู้ถึงสิทธิของตนเอง ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน แต่อย่างไรก็ตามหากเราเป็นหนี้แล้ว ก็ควรจะต้องชำระคืนให้แก่เจ้าหนี้ ไม่เจตนาแนะนำให้เบี้ยวหนี้ แต่ต้องการให้ท่านที่ไม่มีกำลังพอจะชำระหนี้ในขณะนี้ ไม่ต้องตกใจจนเกินไปนัก

หากหนี้ไม่ขาดอายุความ และมีการฟ้องร้องบังคับคดีเกิดขึ้นแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีกำลังที่จะชำระคืนได้ไหว ก็ให้เจรจากับเจ้าหนี้ขอผ่อนชำระก็ได้ โดยจะเจรจาเองหรือแต่งตั้งทนายความให้ไปเจรจาแทนตนเองก็ได้ แต่ไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินไป เนื่องจากการเป็นหนี้นั้นไม่มีโทษทางอาญา(กล่าวคือไม่มีโทษจำคุกหรือปรับนั่นเอง) หากมีใครมาขู่ว่าจะนำตำรวจมาจับหรือจะต้องถูกจำคุก ก็ไม่ต้องกลัว เพราะตำรวจไม่มีอำนาจจับกุมลูกหนี้ในเรื่องคดีแพ่ง

ฟันธง...
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ท้องไม่รับ ทำอะไรได้บ้าง

-http://men.sanook.com/1746/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/-

เรื่องการชิงสุกก่อนห่าม นี่เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ครับ เข้าใจว่าเรื่องเซ็กซ์กับผู้ชายนั้น มันอยู่ข้างๆ กัน แต่หากรักจะชิงสุกก่อนห่ามแล้วก็ต้องรู้จักการป้องกัน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาเรื่องฝ่ายหญิงตั้งท้อง และปัญหานี้จะไม่ใช่ปัญหาครับ เมื่อฝ่ายชายยินยอมที่จะรับผิดชอบ และทางฝ่ายหญิงเขาก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเกิดว่า ผู้ชายไม่รับ ปัญหาต่างๆ ย่อมตามมาอย่างแน่นอน และผู้ชายที่ทำแล้วไม่ยอมรับผิดชอบก็รู้ไว้นะครับ ว่าฝ่ายหญิงก็สามารถเอาผิดคุณตามกฏหมายได้ ดั่งกรณีที่ Sanook! MEN จะนำมาให้เป็นกรณีศึกษานี้ครับ


ฝ่ายชายไม่รับเป็นพ่อเด็กทำอย่างไรดี

          น้องสาวอายุ 26 ปี ท้องประมาณ 4 เดือน แล้วก็บอกให้ญาติฝ่ายชายไปขอ  แต่ญาติฝ่ายชายกลับปฏิเสธ แบบนี้ฝ่ายหญิงต้องทำอย่างไรบ้าง  ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกเลย และถามต่อไปอีกว่า  ถ้าเกิดฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ  แล้วตอนเด็กคลอด  ผู้เป็นญาติหรือพี่หรือน้องฝ่ายหญิงสามารถเป็นพ่อ(ชื่อเป็นพ่อในใบเกิด) เด็กได้หรือไม่อย่างไร  และเมื่อเวลาผ่านไปฝ่ายชายอยากจะมีสิทธิในตัวเด็กจะทำได้หรือไม่

คำแนะนำสำนักงานทนายความ ทนายคลายทุกข์

           1. น้องสาวย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกให้ชายรับผิดโดยฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1555,1556
           2. เมื่อคลอดบุตรแล้ว ในใบแจ้งเกิดสามารถเว้นว่างช่องบิดาผู้ให้กำเนิดได้ หากกรอกข้อมูลที่เป็นเท็จ ย่อมมีความผิดอาญาฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จลงในสูติบัตรอันเป็นเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ตาม ป.อ. มาตรา 267

ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1555 ในคดีฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้
(2) เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาวหรือมีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้
(3) เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตน
(4) เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้งการเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น
(5) เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้
(6) เมื่อได้มีการร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น
(7) เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตร
พฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตรนั้น ให้พิจารณาข้อเท็จจริงที่แสดงความเกี่ยวข้องฉันบิดากับบุตรซึ่งปรากฏในระหว่างตัวเด็กกับครอบครัวที่เด็กอ้างว่าตนสังกัดอยู่เช่น บิดาให้การศึกษา ให้ความอุปการะเลี้ยงดูหรือยอมให้เด็กนั้นใช้ชื่อสกุลของตนหรือโดยเหตุประการอื่น

ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังกล่าวข้างต้น ถ้าปรากฏว่าชายไม่อาจเป็นบิดาของเด็กนั้นได้ ให้ยกฟ้องเสีย

มาตรา 1556  การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในระหว่างที่เด็กเป็นผู้เยาว์ ถ้าเด็กมีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กเป็นผู้ฟ้องแทน ในกรณีที่เด็กไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ญาติสนิทของเด็กหรืออัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็กก็ได้
เมื่อเด็กมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เด็กต้องฟ้องเอง ทั้งนี้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
ในกรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้ว จะต้องฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะ
ในกรณีที่เด็กตายในระหว่างที่เด็กนั้นยังมีสิทธิฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรอยู่ผู้สืบสันดานของเด็กจะฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก็ได้ ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรมาก่อนวันที่เด็กนั้นตาย ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรภายหลังที่เด็กนั้นตาย ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้เหตุดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ต้องไม่พ้นสิบปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในระหว่างที่ผู้สืบสันดานของเด็กเป็นผู้เยาว์ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม

ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 276  ผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากบิดาไม่รับเป็นบุตรบุญ ไม่สามารถใส่ชื่อบิดาในใบเกิดได้

ขอบคุณบทความจาก
ฝ่ายชายไม่รับเป็นพ่อเด็กทำอย่างไรดี
http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=7236


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ฉลากสินค้าสำคัญอย่างไร - ไขปัญหาผู้บริโภค

-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/214415/%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3+-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-


เมื่อพูดถึง “ฉลากสินค้า” ทุกท่านที่เป็นผู้บริโภคคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ไม่รู้จักฉลากสินค้า เพราะในชีวิตประจำวันผู้บริโภคสามารถพบเห็นฉลากสินค้าได้ทั่วไป
วันเสาร์ 8 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.



 เมื่อพูดถึง “ฉลากสินค้า” ทุกท่านที่เป็นผู้บริโภคคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ไม่รู้จักฉลากสินค้า เพราะในชีวิตประจำวันผู้บริโภคสามารถพบเห็นฉลากสินค้าได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นฉลากยา ฉลากอาหาร ฉลากเครื่องสำอาง ฉลากเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือฉลากสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วฉลากสินค้ามีความสำคัญกับผู้บริโภคอย่างไร

พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ได้กำหนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองไว้ 5 ประการ คือ

1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสาร รวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ  2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ  3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ 4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา 5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย

โดยพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 กำหนดว่า “ฉลาก” หมายถึง รูป รอยประดิษฐ์ กระดาษหรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ปรากฏข้อความเกี่ยวกับสินค้าซึ่งแสดงไว้ที่สินค้าหรือภาชนะบรรจุ หรือหีบห่อบรรจุสินค้าหรือสอดแทรก หรือรวมไว้กับสินค้า หรือภาชนะบรรจุ หรือหีบห่อบรรจุสินค้า และหมายความรวมถึงเอกสารหรือคู่มือสำหรับใช้ประกอบสินค้า ป้ายที่ติดตั้งหรือแสดงไว้ที่สินค้าหรือภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสินค้านั้น

“ฉลากของสินค้า” จะต้องระบุข้อความดังนี้

- ชื่อประเภทหรือชนิดของสินค้าที่แสดงให้เข้าใจได้ว่าสินค้านั้นคืออะไร กรณีที่เป็นสินค้าที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อขาย จะต้องระบุประเทศที่ผลิตด้วย เช่น โทรทัศน์สี คอมพิวเตอร์ สมุดพิมพ์เขียน น้ำหอมปรับอากาศ ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ผลิตในประเทศมาเลเซีย ฯลฯ

- ชื่อผู้ประกอบการหรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศไทยของผู้ผลิตเพื่อขายในประเทศไทย

- ชื่อผู้ประกอบการหรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศไทยของผู้สั่งหรือผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขาย

-สถานที่ตั้งของผู้ผลิตเพื่อขายหรือของผู้สั่งหรือผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขาย

- ต้องแสดงปริมาณ หรือขนาด หรือปริมาตร หรือน้ำหนักของสินค้า

- ต้องแสดงวิธีใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าสินค้านั้นใช้เพื่อสิ่งใด เช่น ใช้ทำความสะอาดพื้นไม้หรือพื้นกระเบื้อง  ภาชนะเคลือบใช้ตั้งบนเตาไฟ ฯลฯ

- ข้อแนะนำในการใช้หรือห้ามใช้ เพื่อความถูกต้องในการใช้ที่ให้ประโยชน์แก่ผู้บริโภค เช่น ห้ามใช้ของมีคมกับการแซะน้ำแข็งในตู้เย็น  ควรเก็บสินค้าไว้ในที่ร่มและไม่เปียกชื้น ฯลฯ

- คำเตือน  (ถ้ามี)

- วัน เดือน ปี ที่ผลิต หรือวัน เดือน ปีที่หมดอายุ หรือวัน เดือน ปี ที่ควรใช้ก่อน (ถ้ามี)

- ราคาต้องระบุหน่วยเป็นบาท และจะระบุเป็นเงินสกุลอื่นด้วยก็ได้ นอกจากนี้สินค้าที่ควบคุมฉลากตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้แก่ สินค้าที่ผลิตเพื่อขายโดยโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน (กรณีจะเข้าข่ายเป็นโรงงานก็คือใช้แรงงานตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป หรือใช้เครื่องจักรตั้งแต่ 5 แรงม้าขึ้นไป) สินค้าที่สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขายและคณะกรรมการว่าด้วยฉลากยังมีอำนาจออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก กำหนดให้สินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพร่างกาย หรือจิตใจ เนื่องในการใช้สินค้าหรือโดยสภาพของสินค้านั้น หรือสินค้าทั่วไปใช้เป็นประจำ

การกำหนดฉลากของสินค้านั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค ในการที่จะทราบข้อเท็จจริงในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้านั้น เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากได้ สำหรับการแสดงข้อความในฉลากสินค้าต้องใช้ข้อความที่ตรงต่อความเป็นจริง และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ ในกรณีที่สินค้านั้น ๆ มีกฎหมายของหน่วยงานราชการอื่นควบคุมในเรื่องฉลากอยู่แล้ว ก็ให้จัดทำฉลากตามกฎหมายนั้น ๆ เช่น อาหารต้องจัดทำฉลากตามพระราชบัญญัติอาหาร ฯลฯ

เมื่อฉลากสินค้าเป็นแหล่งข้อมูลในการอุปโภค และบริโภคของผู้บริโภค ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้กำหนดสิทธิที่ผู้บริโภคจะต้องได้รับข่าวสาร ดังนั้นไม่ว่าจะก่อนซื้อหรือก่อนใช้สินค้าหรือบริการ หยุดให้ความสำคัญอ่านฉลากสักนิดเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด

การมอบอำนาจ กับ อากรแสตมป์


การมอบอำนาจ คือ การที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า ตัวการ มอบอำนาจให้อีกบุคคลหนึ่ง เรียกว่า ตัวแทน มีอำนาจทำการแทน

วันจันทร์ 17 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:53 น.






 การมอบอำนาจ คือ การที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า ตัวการ มอบอำนาจให้อีกบุคคลหนึ่ง เรียกว่า ตัวแทน มีอำนาจทำการแทน และการกระทำนั้นมีผลทางกฎหมายเสมือนว่าตัวการทำด้วยตนเอง การทำหนังสือมอบอำนาจโดยเฉพาะกิจการสำคัญๆ เช่น กิจการอันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือกิจการอันเกี่ยวกับการฟ้องร้องคดีต่อศาล ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง และไม่ควรลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่กรอกข้อความให้ครบถ้วนชัดเจน มิฉะนั้น แม้จะปรากฏในภายหลังว่าข้อความดังกล่าวผิดไปจากเจตนารมณ์ของ ผู้มอบอำนาจก็ตามหากเกิดความเสียหายขึ้นก็ถือว่าผู้มอบอำนาจต้องรับผิดชอบเนื่องจากประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่อาจใช้ยันบุคคลภายนอกที่สุจริตและเสียค่าตอบแทนได้

ทั้งนี้สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการมอบอำนาจตั้งตัวแทนซึ่งมิได้กระทำในรูปแบบลักษณะตราสารสัญญา คือ ต้องปิดแสตมป์เพื่อเสียค่าอากรด้วย ซึ่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้ตราสารที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายหมวดนี้ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีซึ่งตาม ข้อ 7. กำหนดให้ผู้มอบอำนาจต้องปิดแสตมป์เพื่อเสียค่าอากร 3 กรณี คือ

(1) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียว เสียค่าอากรแสตมป์ 10 บาท

(2) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียว เสียค่าอากรแสตมป์ 30 บาท

(3) มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียว โดยให้บุคคลหลายตนต่างกระทำกิจการแยกกันได้คิดตามรายตัวบุคคลที่รับมอบ คนละ 30 บาท

อากรแสตมป์เป็นแสตมป์ที่แสดงถึงการชำระภาษีอากรให้แก่รัฐ การปิดอากรแสตมป์นั้นนอกจากต้องปิดอากรให้ครบถ้วนตามกฎหมายแล้วต้องขีดฆ่าที่อากรด้วย มิฉะนั้นหากไม่ปิดอากรแสตมป์ หรือปิดไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย จะมีผลทำให้อาจถูกเรียกเงินเพิ่มอากรจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ (มาตรา 113) และอาจทำให้สัญญาหรือตราสารที่ทำนั้นไม่สามารถใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ (มาตรา 118) โดยตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3039/2523 หนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ครบแต่ไม่ขีดฆ่า เท่ากับไม่ได้ปิดอากรบริบูรณ์ โจทก์ใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หนังสือดังกล่าวจึงใช้อ้างไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทน และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2535 สัญญากู้ยืมเงินปิดอากรแสตมป์ครบบริบูรณ์และได้ขีดฆ่าเพื่อมิให้นำไปใช้ได้อีกแม้มิได้ลงวันเดือนปีที่อากรแสตมป์แต่สัญญากู้ได้ปิดอากรแสตมป์เป็นราคาไม่น้อยกว่าอากรที่ต้องเสียก็ถือเป็นการปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 103 แล้วจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ดังนั้น การมอบอำนาจที่สำคัญดังกล่าวข้างต้นจึงไม่อาจละเลยเรื่องอากรไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ของการมอบอำนาจที่จะผูกพันตามข้อบังคับของกฎหมายอันจะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ตัวผู้มอบอำนาจนั่นเอง

พิมลพรรณ การขยัน

สำนักกฎหมาย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

https://www.facebook.com/สำนักกฎหมาย-สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
อายุความบัตรเครดิต


-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/222880/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95++-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-



ปัจจุบัน “ธุรกิจบัตรเครดิต” รัฐได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในเรื่องธุรกิจบัตรเครดิต เช่น ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา
วันเสาร์ 15 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.

“การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ”  แต่ถ้ามีหนี้ก็จงชำระหนี้ให้ครบถ้วนถูกต้องตามกำหนดเวลา โดนเฉพาะหนี้บัตรเครดิตซึ่งถ้าไม่รอบคอบและเรียนรู้ศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะรูด “หนี้สิน” อาจกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตของคุณได้ทีเดียว เช่นเดียวกับหลาย ๆ ต่อหลายกรณีที่มีปัญญาที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและได้มาร้องเรียนกับสคบ. ปัญหาที่เข้ามาร้องเรียนส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ การชำระหนี้ ค่าทำเนียม ค่าเบี้ยปรับ บัตรเครดิตหาย  โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเกิดจากการขาดวินัยและความรู้ไม่เท่าทันของผู้ใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น อันที่จริงจริงหากเราใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัยและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ปัญหาดังกล่าวจะไม่สามารถสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้บริโภคได้เลย

อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกและปลอดภัยกว่าการถือเงินสด อีกทั้งการซื้อสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินทันที สามารถถอนเงินสดมาใช้จ่ายในยามฉุกเฉินและสะสมสำหรับผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจจะทำบัตรเครดิตควรอ่านรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ผู้ออกบัตรหลาย ๆ แหล่ง เพื่อเปรียบเทียบ เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี ระยะเวลาชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ย วันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย การผ่อนชำระเงินขั้นต่ำ เงื่อนไขการนำบัตรเครดิตไปใช้ในต่างประเทศ ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการอื่น ๆ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และรายละเอียดอื่น เช่น จุดบริการรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการสมัครบัตรเครดิต ภาระหน้าที่ของผู้ถือบัตร การทำบัตรหาย การขอยกเลิกบัตร

ปัจจุบัน “ธุรกิจบัตรเครดิต” รัฐได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในเรื่องธุรกิจบัตรเครดิต เช่น ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคของสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2544 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 ซึ่งมีสาระสำคัญในการดูแลธุรกิจบัตรเครดิต  แล้วทีนี้หากพลาดพลั้งเกิดเป็นหนี้บัตรเครดิตขึ้นมา ทราบหรือไม่ว่าเขามีอายุความฟ้องร้องกันกี่ปี

เมื่อถามถึงว่าอายุความคืออะไร ตามประมาลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บอกว่า อายุความ คือ สิทธิเรียกร้องที่คนเรามีสิทธิที่จะเรียกร้องต่อกันได้ภายในระยะที่กฎหมายกำหนดสิทธินั้นเอาไว้ ถ้าผู้มีสิทธิเรียกร้องไม่ร้องเอาจนพ้นระยะเวลานั้น สิทธิที่จะเรียกร้องในเรื่องนั้นก็จะหมดไป เรียกว่า “ขาดอายุความ” ซึ่งผู้ที่ต้องถูกบังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้นก็มีสิทธิปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามที่ผู้นั้นเรียกร้องได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย

เดิมทีคดีบัตรเครดิตมีอายุความในการฟ้องร้องภายในกำหนด 10 ปี แต่ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาตีความในเรื่องอายุความของบัตรเครดิตไว้ว่าเป็นการเรียก เอาค่าที่โจทย์ได้ออกเงินทดรองไป มีอายุความ 2 ปี ซึ่งเป็นกรณีทั่วไป ที่ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะต้องใช้สิทธิฟ้องร้องให้ลูกหนี้ชําระหนี้ภายในกําหนดเวลา 2 ปี นับแต่ลูกหนี้ได้ชําระหนี้แก่ธนาคารครั้งสุดท้าย ถ้าหากธนาคารไม่ฟ้องร้องในเวลา  2 ปี คดีก็ขาดอายุความลูกหนี้ก็พ้นความรับผิดไม่ต้องชําระหนี้ แต่แม้ว่าคดีขาดอายุความไปแล้วก็ตามถ้าธนาคารเจ้าหนี้ยื่นฟ้องมาแล้วและลูกหนี้ไม่ยื่นคําให้การแก่คดีภายในกําหนดของกฎหมายลูกหนี้ก็แพ้คดีอยู่ดี แต่ทางที่ดีอย่าเป็นหนี้เลยจะดีกว่า.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
การจดทะเบียนสมรส เรื่องสำคัญที่คู่บ่าวสาวควรรู้

-http://wedding.kapook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-84544.html-



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

         หนุ่มสาวที่กำลังถกเถียงหรือลังเลเรื่องการจดทะเบียนสมรส ลองอ่านเรื่องความสำคัญของทะเบียนสมรส และประโยชน์ของทะเบียนสมรสที่นำมามาบอกกันก่อนดีกว่า

         เราเชื่อว่าว่าที่คู่บ่าวสาวที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์คงมีการพูดคุยกันเรื่อง "ทะเบียนสมรส" เช่น จะจดทะเบียนสมรสดีไหม, จดกับไม่จดแตกต่างกันอย่างไร, การจดทะเบียนสมรสมีขั้นตอนยุ่งยากหรือเปล่า หรือทะเบียนสมรสผลดีต่อชีวิตคู่และทายาทอย่างไรบ้าง ฯลฯ ซึ่งบางคู่เข้าใจตรงกัน บางคู่เข้าใจแตกต่างกัน ดังนั้น วันนี้เราจึงนำข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับการการจดทะเบียนสมรสมาบอกเล่ากันค่ะ เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้

คุณสมบัติของผู้ที่จะจดทะเบียนสมรส

         จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 17 ปีบริบูรณ์ และต้องนำบิดา มารดา หรือผู้ปกครองมาให้ความยินยอมด้วย กรณีที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสได้ ส่วนผู้ที่มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ขึ้นไปสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง

        ไม่เป็นคนวิกลจริต หรือไร้ความสามารถ

        ไม่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดามารดา

        ไม่เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น

        ผู้รับบุตรบุญธรรมจะสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้

         หญิงหม้ายจะสมรสใหม่ เมื่อการสมรสครั้งก่อนได้สิ้นสุดไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น, สมรสกับคู่สมรสเดิม, มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งครรภ์, ศาลมีคำสั่งให้สมรสได้, ชายหญิง ที่มีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ศาลอาจอนุญาตให้สมรสได้

เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนสมรส

        บัตรประจำตัวประชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้

        สำเนาหนังสือเดินทางกรณีชาวต่างประเทศ

        หนังสือรับรองสถานภาพบุคคลจากสถานทูตหรือสถานกงสุลหรือองค์การของรัฐบาลประเทศนั้น มอบหมาย พร้อมแปล (กรณีชาวต่างประเทศขอจดทะเบียนสมรส)

        สำเนาทะเบียนบ้าน

ขั้นตอนในการขอจดทะเบียนสมรส

        การจดทะเบียนสมรส สามารถยื่นคำร้องขอจดทะเบียนได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงภูมิลำเนาของคู่สมรส

        คู่สมรสยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักทะเบียนเขตใดก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงภูมิลำเนาของคู่สมรส

        คู่สมรสที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องนำบิดาและมารดาหรือผู้ปกครองโดยชอบธรรมมาให้ความยินยอม

        คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเป็นคนต่างด้าว ต้องขอหนังสือรับรองสถานภาพบุคคลจากสถานทูตหรือกงสุลสัญชาติที่ตนสังกัด หนังสือรับรองนั้นต้องแปลเป็นภาษาไทยและมีคำรับรอง การแปลถูกต้อง ยื่นพร้อมคำร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักงานเขต

ค่าธรรมเนียม

         การจดทะเบียนสมรส ณ สำนักทะเบียนที่จด ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียน ต้องเสียค่าธรรมเนียน 200 บาท พร้อมจัดยานพาหนะรับ-ส่งนายทะเบียน การจดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียนในท้องที่ห่างไกล เสียค่าธรรมเนียม 1 บาท

ทะเบียนสมรสสำคัญอย่างไร

         การจดทะเบียนสมรสและทะเบียนสมรสมีความสำคัญต่อคู่แต่งงาน สามีภรรยา เพราะเป็นเอกสารทางกฎหมายที่ใช้สำหรับยืนยันความสัมพันธ์ และเป็นหลักฐานที่ใช้สำหรับการยืนยันสิทธิ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา เช่น การรับรองบุตร ซึ่งจะทำให้บุตรได้รับสิทธิ์ต่าง ๆ ตามกฎหมาย การแบ่งสินสมรส การฟ้องหย่าในกรณีสามีหรือภรรยามีชู้ เป็นต้น

         การจดทะเบียนสมรสและทะเบียนสมรสอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับสามีภรรยาบางคู่ ด้วยเหตุผลบางประการ เช่น คู่สามีภรรยาที่ทำธุรกิจ หรือนักการเมือง ซึ่งการจดทะเบียนสมรสทำให้ต้องมีการตรวจสอบทางบัญชีการเงินของทั้งสามีภรรยา เป็นขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซับซ้อน หรืออาจเกิดการฟ้องร้องได้ การแต่งงานแบบนี้จึงอาจไม่มีทะเบียนสมรสโดยความยินยอมและตกลงของสามีภรรยาเอง แต่ในขณะเดียวกันการแต่งงานโดยไม่จดทะเบียนสมรสก็กลายเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่ทำให้สามีหรือภรรยาโอนทรัพย์สินของตัวเองไปยังบัญชีของอีกฝ่าย เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบหรือการเสียภาษีได้เช่นกัน


ประโยชน์ของทะเบียนสมรส

        1. การจดทะเบียนสมรสทำให้สามีภรรยาต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน นั่นหมายความว่าสามีจะหาเลี้ยงภรรยา หรือภรรยาจะหาเลี้ยงสามี หรือจะช่วยดูแลกันและกันก็ได้

        2. การจดทะเบียนสมรสทำให้หญิงหรือภรรยามีสิทธิ์ใช้ชื่อสกุลของสามี หรือจะไม่ใช้ก็ได้

        3. การจดทะเบียนสมรสทำให้หญิงต่างชาติมีสิทธิ์ขอถือสัญชาติไทยตามสามีได้ (ถ้าอยากถือสัญชาติไทย)

        4. การจดทะเบียนสมรสทำให้สามีภรรยามีสิทธิ์จัดการสินสมรสร่วมกัน (ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรส)

        5. การจดทะเบียนสมรสทำให้สามีหรือภรรยามีสิทธิ์รับมรดกของคู่สมรสเมื่ออีกฝ่ายเสียชีวิตไปก่อน

        6. การจดทะเบียนสมรสทำให้มีสิทธิ์รับเงินจากทางราชการหรือนายจ้าง เช่น กรณีที่คู่สมรสตายเพราะปฏิบัติหน้าที่ หรือจากการทำงาน (บำเหน็จตกทอด) หรือการรับเงินสงเคราะห์บุตรตามกฎหมายแรงงาน

        7. การจดทะเบียนสมรสทำให้สามีหรือภรรยามีสิทธิ์ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าทดแทน จากผู้ที่ทำให้คู่สมรสของตัวเองเสียชีวิตได้ เช่น สามีโดนรถชน ภรรยาสามารถเรียกค่าเสียหายถึงชีวิตกับผู้ขับรถชนได้

        8. การจดทะเบียนสมรสทำให้สามีหรือภรรยาสามารถหึงหวงคู่สมรสของตัวเองได้อย่างออกหน้าออกตามกฎหมาย และหากพบว่าคู่สมรสมีชู้ก็สามารถเรียกค่าเสียหายได้ทั้งจากคู่สมรสของตัวเอง และเรียกค่าเสียหายได้จากชู้ด้วย

        9. การจดทะเบียนสมรสทำให้บุตรมีฐานะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้นามสกุลพ่อได้ สมัครเข้าเรียนได้ และรับมรดกจากผู้เป็นพ่อได้ (บุตรเป็นสิทธิ์ตามชอบธรรมของแม่อยู่แล้ว)

        10. การจดทะเบียนสมรสทำให้ได้รับการลดหย่อนค่าภาษีเงินได้

        11. การจดทะเบียนสมรสทำให้สามีภรรยาที่ทำความผิดระหว่างกัน เช่น สามีขโมยเงินภรรยา ภรรยาบุกเข้าบ้านสามี ผู้ที่ทำผิดไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย

        12. การจดทะเบียนสมรสทำให้สามีหรือภรรยาฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่ร้ายคู่สมรสของตัวเองได้ เช่น ภรรยาโดนกระชากกระเป๋า สามีสามารถแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีกับคนร้ายได้ หรือสามีโดนคนพูดจาหมิ่นประมาทว่าร้าย ภรรยาก็สามารถฟ้องหมิ่นประมาทฝ่ายตรงข้ามแทนสามีได้

ทะเบียนสมรสมีผลทางกฎหมายนานแค่ไหน อายุของทะเบียนสมรส

         การจดทะเบียนสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทะเบียนสมรสก็จะมีผลทางกฎหมายหรือมีอายุยาวตลอดไปจนกว่าจะมีการจดทะเบียนหย่า ซึ่งการจดทะเบียนหย่าก็เป็นไปตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย หรือถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ก็ต้องมีการฟ้องหย่าโดยให้ศาลเป็นผู้พิจารณา เพื่อใช้เหตุผลและหลักฐานต่าง ๆ ประกอบ รวมถึงการหาข้อตกลงต่าง ๆ เช่น การแบ่งสินสมรส สิทธิ์การดูแลบุตร ค่าเลี้ยงดู เป็นต้น

 การจดทะเบียนสมรสซ้อน

         ตามกฎหมายระบุว่าการจดทะเบียนสมรสซ้อนนั้นผิดกฎหมาย และไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย เช่น หนุ่มเอจดทะเบียนสมรสกับสาวบี แล้วอีกไม่นานหนุ่มเอก็ไปจดทะเบียนสมรสกับสาวซี แบบนี้เรียกว่าจดทะเบียนสมรสซ้อน ซึ่งกฎหมายระบุว่าการจดทะเบียนสมรสครั้งหลังเป็นโมฆะ หากการจดทะเบียนสมรสครั้งแรกยังไม่มีการจดทะเบียนหย่าที่สมบูรณ์ และภรรยาที่จดทะเบียนสมรสซ้อนจะไม่มีรับสิทธิ์ตามกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน ถ้าหนุ่มเอลักไก่ด้วยการจดทะเบียนสมรสไว้กับสาวทั้งสองคน แต่อยู่ ๆ หนุ่มเอจดทะเบียนหย่ากับสาวบี แล้วไปอยู่กับสาวซี กฎหมายก็ไม่ให้สิทธิ์เช่นกัน เพราะถือว่าหนุ่มเอและสาวซีจดทะเบียนสมรสซ้อนในช่วงที่ยังมีการจดทะเบียนสมรสตัวจริงอยู่

บริการตรวจสอบทะเบียนสมรส

         ทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ khonthai.com หรือที่กรมการปกครองงานทะเบียนสมรสสอบถามเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 1548

         พอจะทราบความสำคัญและประโยชน์ของการจดทะเบียนสมรสหรือใบทะเบียนสมรสกันแล้ว ใครที่กำลังจะแต่งงาน หรือแต่งงานไปแล้วแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส ลองกลับมาทบทวนกันอีกครั้งค่ะว่าจริง ๆ แล้วการจดทะเบียนสมรสดีกับเราหรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและเหตุผลของแต่ละคนและแต่ละคู่ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

-http://www.momypedia.com/article-7-21-258/%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%AA/-

-bora.dopa.go.th-

-dopa.go.th-




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)