อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
sithiphong:
6 วิธีป้องกันเสียงรบกวนในคอนโดให้อยู่หมัด !
-http://home.kapook.com/view87474.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ปัญหาเสียงดังรบกวนจากคนข้างห้อง หรือทางเดินในคอนโดเป็นปัญหาโลกแตกที่ใครเจอก็ต้องส่ายหัวกันเป็นแถว แต่นับจากนี้ต่อไปเราจะหยุดปัญหาเสียงรบกวนในคอนโดกันด้วยมาตรการ 6 ข้อ ที่สามารถแก้ปัญหาเสียงดังในคอนโดได้อยู่หมัด ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันค่ะ
ที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดเป็นไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในชีวิตได้เกือบครบทุกข้อ โดยเฉพาะวัยทำงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่ถึงจะมีข้อดีนานับประการก็ใช่ว่าการอยู่คอนโดจะไม่เจอปัญหากวนใจอะไรเลยนะคะ บางครั้งก็ต้องทนกับเสียงที่ดังจากข้างห้อง หรือเสียงรบกวนจากโถงทางเดินหน้าห้องอยู่บ่อย ๆ ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีป้องกันเสียงดังรบกวนในคอนโดมาฝาก แถมด้วยการจัดการเสียงภายในห้องไม่ให้ไปรบกวนใคร ๆ ด้วยจ้า
1. เช็กช่องโหว่บนพื้นและผนัง
หากรู้สึกว่าเสียงข้างห้องดังเข้ามาในห้องเรามากเกินไป เหมือนกับอยู่ภายในบริเวณเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น ลองตรวจสอบพื้นห้องที่ขนานกับผนังห้องดูก็ได้ค่ะว่าบนพื้นมีช่องโหว่ หรือยาแนวร่องกระเบื้องไว้แน่นหนาดีหรือเปล่า รวมทั้งตรวจสอบรอยร้าวบริเวณผนังห้องด้วยก็ดี เนื่องจากเสียงที่ดังจากข้างห้อง อาจจะเล็ดลอดผ่านเข้ามาทางนี้ได้ ดังนั้นปิดช่องโหว่ทั้งหมดนี้แล้ว เสียงจากข้างห้องที่ดังรบกวนก็จะเบาลง เหลือแต่ความเงียบสงบภายในห้องเราเอง
2. ปิดกั้นเสียงเข้า-ออกจากด้านล่างของประตู
ไม่ว่าเสียงจากข้างนอก หรือเสียงจากข้างในห้องของเราเอง ก็สามารถเล็ดลอดผ่านทางช่องโหว่ด้านล้างประตูได้เช่นกันนะคะ ฉะนั้นเพื่อป้องกันเสียงจากด้านนอกเข้ามารบกวนในห้อง และเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงจากห้องเราไปรบกวนใคร ทางที่ดีปิดช่องโหว่ด้านล่างประตูทุกบานเอาไว้ดีกว่า หรือถ้าติดไว้อยู่แล้ว แต่ยังได้ยินเสียงจากด้านนอกอยู่ กรณีนี้อาจจะต้องตรวจสอบความแน่นหนาของแผ่นซีลอีกที
3. ติดตั้งแผ่นดูดซับเสียง
หากต้องการปิดกั้นเสียงจากภายนอกให้อยู่หมัด และไม่อยากให้เสียงภายในห้องหลุดลอดออกไปได้ แนะนำให้ติดตั้งแผ่นดูดซับเสียงไว้ที่ผนังไปเลยค่ะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกหลายแบบ หลากจุดประสงค์การใช้งาน คราวนี้ภายในห้องก็จะเงียบสงบ เป็นส่วนตัวมากขึ้น
4. เตียงอยู่ห่างจากผนังดีกว่า
ตอนนี้ตำแหน่งหัวเตียงของใครชิดติดกับผนังห้องที่แชร์ร่วมกับห้องอื่น ๆ ลองหมุนเตียงให้ห่างจากผนังดีกว่าค่ะ หรือจะปรับตำแหน่งเตียงมาวางติดผนังฝั่งที่ไม่ได้แชร์ร่วมกับห้องใครก็ได้ แต่ในกรณีที่ไม่สามารถวางหัวเตียงชิดผนังด้านใดได้เลย อาจจะต้องลองวางหัวเตียงชนเข้ากับมุมผนังแทน อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะลดพลังงานเสียงที่แทรกเข้ามาจากผนังห้องโดยตรงได้บ้าง
5. จัดวางอุปกรณ์ส่งเสียงให้ห่างจากผนัง
สำหรับคอนโดที่ไม่เก็บเสียง คงจะดีกว่าถ้าคุณจัดวางอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีเสียง อย่างโทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเล่นดีวีดี หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊กให้อยู่ห่างจากผนังด้านที่แชร์ร่วมกันกับห้องอื่น ๆ วิธีนี้จะช่วยไม่ให้เสียงดังจากห้องเราไปรบกวนข้างห้องได้ในระดับหนึ่ง หรือถ้าหวังผลในระยะยาว แนะนำให้ลงทุนติดตั้งฉนวนกันเสียงบนผนังห้องไปเลยดีกว่า ควบคุมเสียงในห้องเราให้ดีอย่างนี้ ห้องข้าง ๆ ก็อาจจะเกรงใจเราขึ้นมาบ้าง และพยายามเก็บเสียงภายในห้องของเขาไม่ให้ดังรบกวนเราก็ได้นะคะ
6. ตกแต่งห้องด้วยผ้าเพื่อดูดซับเสียง
ผ้าเป็นวัสดุที่ดูดซับเสียงได้ดี ซึ่งถ้าอยากลดเสียงดังรบกวนจากห้องข้าง ๆ ให้คุณตกแต่งห้องด้วยผ้าให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแขวนผ้าม่านที่หน้าต่าง ติดแถบผ้าด้านล่างประตู เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้า เช่น โซฟาผ้า หรือหุ้มเบาะเก้าอี้ด้วยผ้า ตกแต่งโต๊ะอาหารด้วยผ้า หรือถ้าปูพรมบนพื้นได้ด้วยก็ยิ่งดี แค่นี้เสียงที่เคยดังเข้ามารบกวนก็จะลดน้อยลง คืนความเงียบสงบให้คุณอยู่สบายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว
ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเป็นฝ่ายทนกับเสียงที่ดังจากด้านนอก หรือบางครั้งก็เป็นฝ่ายทำเสียงดังรบกวนข้างห้องจนรู้สึกเกรงใจ ลองนำวิธีที่เราแนะนำไปใช้กันดูได้นะคะ คราวนี้จะได้หมดปัญหาเสียงดังรบกวนในคอนโดสักทีจ้า
sithiphong:
คอลลาเจน 90% ไม่ผ่าน อย. เตือนกินมาก เสี่ยงไตวาย
-http://health.kapook.com/view91542.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
อย. เตือนบริโภค คอลลาเจน ชี้ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดกว่า 90% ไม่ได้ขออนุญาต อย. หากบริโภคเกินขนาดเสี่ยงไตวายได้
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่โฆษณาอย่างกว้างขวางในเวลานี้ร้อยละ 90 ไม่ได้ขออนุญาตจาก อย. และมักโฆษณาเกินจริง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หากรับประทานเกินขนาดจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต จนเกิดอาการไตวายได้
โดยผลิตภัณฑ์คอลลาเจนมีผู้บริโภคบางรายรับประทานเสริมอาหารวันหนึ่งถึงสิบยี่สิบเม็ด ส่งผลให้ไตทำงานหนัก เบื้องต้นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับผู้บริโภค เพื่อไม่ให้หลงเชื่อการโฆษณาขายตรง หรือการโฆษณาทางเว็บไซต์
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร ยังแนะนำว่า หากต้องการให้ผิวขาวใส ดูเป็นธรรมชาติ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเลือกทานผักผลไม้วันละ 400 กรัม เพียงแค่นี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนเพียงพอ ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำพวกนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-https://twitter.com/SpringNews_TV/status/481266746045640704/photo/1-
sithiphong:
15 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี
-http://health.kapook.com/view91744.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
วิธีป้องกันยุงกัด ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ยุงค่อนข้างชุกชุมเป็นพิเศษ หลายคนเลยโดนยุงตัวเล็ก ๆ บินมากัดจนเป็นตุ่มไปหมด แต่ถ้าอยากป้องกันยุงกัดโดยไม่เสี่ยงอันตรายจากสารเคมี ต้องรีบมาดู 15 วิธีป้องกันยุงกัด สูตรเด็ดส่งตรงจากธรรมชาติโดยเว็บไซต์ Huffington Post ที่รับรองว่าคุณจะรอดปลอดภัยจากพิษของสารเคมีอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ปราบยุงได้อยู่หมัดเลยล่ะค่ะ
1. พยายามอย่าอยู่ในที่มืดและอับชื้น
ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่า ประชากรยุงจะค่อนข้างหนาแน่นในบริเวณที่มืดและอับชื้น เพราะตามปกติแล้วยุงเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบแสงสว่างเท่าไร ฉะนั้นหากคุณไม่อยากโดนยุงกัดก็พยายามอย่าไปอยู่ในที่มืดและอับชื้นดีกว่า หรือถ้าจำเป็นต้องอยู่จริง ๆ ควรเปิดพัดลมไล่ยุงด้วยก็ดีค่ะ
2. กระเทียมก็ช่วยได้
กระเทียมเป็นสมุนไพรกลิ่นฉุนที่ยุงไม่ปลื้มเอามาก ๆ ซึ่งก็แปลได้ว่าหากคุณกินกระเทียมเข้าไป ยุงก็จะไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะได้กลิ่นกระเทียมออกมาจากผิวของคุณ ห่างไกลการโดนยุงกัดได้ง่าย ๆ แถมยังได้ประโยชน์มากมายจากกระเทียมอีกต่างหาก
3. พริกไทยดำ ยุงก็ยี้
หากได้กลิ่นฉุน ๆ ของพริกไทยดำ เจ้ายุงร้ายทั้งหลายก็มีอันต้องรีบบินหนีไปให้ไกล เพราะอย่างที่บอกว่ายุงเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนทุกชนิด ไม่เกี่ยงว่าเป็นกลิ่นเหม็นหรือหอมเลยล่ะ อย่างนี้ก็หมายความว่า หากคุณเองก็ไม่ค่อยปลื้มกับกลิ่นและรสชาติของกระเทียมนัก พริกไทยดำก็เป็นตัวเลือกไล่ยุงที่น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน
4. ป้องกันยุงด้วยต้นสะเดา
สถาบันวิจัยแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยผลวิจัยว่า ต้นสะเดามีสรรพคุณในการไล่ยุงได้เต็มประสิทธิภาพกว่าสเปรย์ไล่ยุงหลายเท่า และไม่ว่าจะเป็นต้นสะเดาสด ๆ หรือน้ำมันสกัดจากเมล็ดสะเดา ก็สามารถนำมาป้องกันยุงได้อยู่หมัดเลยเชียวล่ะ
5. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
หากยุงไม่ได้กินเลือดจากคนหรือสัตว์บางชนิด เจ้ายุงเหล่านี้จะเลือกกินเกสรดอกไม้เป็นอาหารแทน ผู้เชี่ยวชาญจึงเตือนว่า ถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเป้าหมายของฝูงยุง พยายามเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ให้กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้จะดีกว่า เนื่องจากกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้จะหอมหวนชวนกินมาก ๆ ในความคิดของยุงนั่นเอง
6. ไล่ยุงด้วยน้ำมันสกัดจากตะไคร้หอม
ผลวิจัยที่เว็บไซต์ Huffington Post ได้เผยเอาไว้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันสกัดจากตะไคร้หอมจะช่วยป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามายุ่มย่ามกับคุณได้นานกว่า 20 นาที ในขณะที่น้ำมันสกัดจากดอกเจอเรเนียมและน้ำมันถั่วเหลืองก็สามารถปกป้องคุณจากยุงได้นานถึง 90 นาทีเป็นอย่างต่ำเช่นกัน แต่ดูแล้วน้ำมันตะไคร้หอมจะเป็นตัวเลือกที่หาง่ายและน่าใช้มากกว่าเนอะ เพราะตอนนี้ก็มีตะไคร้หอมในรูปแบบสเปรย์มาให้เราฉีดป้องกันยุงกันแล้วด้วย
7. จุดเทียนหอม
แม้ยุงจะโปรดปรานกลิ่นหอมของดอกไม้และเห็นว่าเป็นอาหารอันโอชะ (ในยามที่ขาดแคลนเลือด) แต่กับกลิ่นเทียนหอมเป็นข้อยกเว้นค่ะ แถมยังเป็นกลิ่นที่ยุงเกลียดสุด ๆ อีกต่างหาก ดังนั้นถ้าคุณจุดเทียนหอมไว้รอบ ๆ บ้าน ก็จะช่วยป้องกันยุงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้จะเลือกเทียนหอมกลิ่นตะไคร้หอม หรือกลิ่นอื่น ๆ ก็ตามความชอบเลยจ้า
8. ใส่เสื้อผ้ามิดชิด
อีกหนึ่งวิธีป้องกันยุงกัดที่คุณทำเองได้ง่ายมากโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมใด ๆ นอกจากแค่สวมใส่เสื้อเสื้อผ้าที่มิดชิด ดีที่สุดก็กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว เสริมด้วยผ้าพันคอคอยปัดและคลุมส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าด้วยก็จะดีมาก
9. กินวิตามิน B1
ผลการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการของเมโย คลินิก เผยว่า วิตามิน B1(ไทอะมิน) สามารถช่วยเปลี่ยนกลิ่นเลือดในตัวเราให้กลายเป็นกลิ่นที่ไม่ยั่วยวนยุงได้ โดยต้องบริโภควิตามิน B1(ไทอะมิน) ปริมาณ 75-150 มิลลกรัมต่อวัน จึงจะเพียงพอที่จะป้องกันยุงไม่ให้มากัด
10. กำจัดแหล่งน้ำขังให้เกลี้ยง
ยุงเป็นสัตว์ที่วางไข่ในน้ำ โดยเฉพาะแอ่งน้ำที่เน่าขัง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับ มืด และอบอุ่น ซึ่งยุงจะรู้สึกปลอดภัยมาก ดังนั้นก็ควรสำรวจบริเวณรอบ ๆ บ้านของคุณเองว่า มีแอ่งน้ำขังอยู่ตรงบริเวณไหนบ้าง และหากพบก็จัดการเทน้ำที่ขังอยู่ทิ้งให้หมดเกลี้ยงไปซะดี ๆ จะได้ไม่มีที่ให้ยุงมาวางไข่นะจ๊ะ
11. อยู่ใกล้ ๆ พัดลม
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอฟันธงว่ายุงไม่ใช่สัตว์นักบินที่ดีนัก แค่แรงพัดลมก็ทำให้ยุงบินเซได้แล้วล่ะะ และในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็พยายามอยู่ใกล้พัดลม ให้ลมจ่อไล่ยุงดีกว่าเนอะ
12. อาศัยเครื่องดักยุง
ยุงมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายหิ่งห้อย ในเรื่องชื่นชอบแสงไฟริบหรี่อย่างที่สุด ดังนั้นเมื่อเห็นแสงไฟนวล ๆ จากเครื่องดักยุง ยุงเข้าก็จะเข้าไปติดกับ หันเหความสนใจของยุงจากตัวเราได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นแค่เสียบเครื่องดักยุงเอาไว้ในบริเวณที่ยุงชุกชุม ก็ช่วยกำจัดยุงได้เยอะเลยทีเดียว
13. ปลูกต้นแคทนิป
ผลการศึกษาเมื่อปี 2001 บันทึกเอาไว้ว่า น้ำมันต้นแคทนิปหรือต้นกัญชาแมว มีคุณสมบัติในการไล่ยุงสูงกว่ายากันยุงชนิดสารเคมีถึง 10 เท่าเลยทีเดียว อย่างนี้ก็ปลูกแคทนิปไว้ในบ้านซะเลยน่าจะดี จะได้ทั้งไล่ยุง และบ้านไหนเลี้ยงน้องเหมียวก็ได้อาหารเสริมของแมวไปด้วยอีกต่างหาก
14. ดื่มแอปเปิลไซเดอร์กันยุง
แอปเปิลไซเดอร์เป็นอีกหนึ่งของส่งตรงจากธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันยุงกัดได้ โดยให้คุณผสมแอปเปิลไซเดอร์ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำสะอาดประมาณครึ่งลิตร จากนั้นก็เขย่าให้เข้ากันแล้วจิบบ่อย ๆ (ในกรณีที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดนยุงกัด) หรือหากอยากเพิ่มรสหวานก็สามารถเติมน้ำผึ้งลงไปด้วยก็ได้ค่ะ
15. ทาโลชั่นกันยุง
โลชั่นกันยุงเป็นนวัตกรรมป้องกันยุงกัดที่ไม่ถึงกับใหม่กิ๊กอะไร แต่ก็สามารถไล่ยุงได้อย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร ทว่าการทาโลชั่นกันยุงจะช่วยปกป้องผิวเราไม่ให้โดนยุงกัดได้เพียง 23 นาทีเท่านั้น ซึ่งเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันยุงที่ยาวนานกว่านี้ ก็ต้องหมั่นทาซ้ำบ่อย ๆ นะคะ
แม้ยุงจะเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวเล็กจิ๊ดเดียวแต่น้ำลายยุงก็เป็นพาหะนำโรคร้ายอย่างไข้เลือดออกและโรคมาลาเรีย แถมยังทำให้เราเกิดอาการคันและทิ้งร่องรอยตุ่มสีแดง ๆ ให้ดูต่างหน้า ฉะนั้น บ้านไหนที่ยุงชุกชุม และมักจะโดนยุงกัดอยู่บ่อย ๆ ลองนำวิธีไล่ยุงทั้งหมดนี้ไปใช้ไล่ยุงกันได้นะคะ แถมยังเป็นสูตรไล่ยุงจากธรรมชาติ รับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์จ้า
sithiphong:
แชร์ประสบการณ์ระบบเผาผลาญพังจนทำให้สุขภาพแย่
-http://men.kapook.com/view91778.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ TurkTS สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สำหรับคนที่มีเป้าหมายในการลดน้ำหนัก นอกจากเรื่องของการออกกำลังกายแล้ว การควบคุมอาหาร ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ ทว่าในปัจจุบันยังมีหลายคนที่มีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับการควบคุมอาหารอยู่มาก ดังเช่นเรื่องราวของหนุ่มคนหนึ่งที่มีความเชื่อเรื่องการคุมอาหารแบบผิด ๆ จนถึงขั้นระบบเผาผลาญเสียหายเลยทีเดียว
วันนี้กระปุกดอทคอมได้นำเอาเรื่องราวของคุณ TurkTS หนึ่งในสมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งเขาได้ตั้งกระทู้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับระบบเผาผลาญของร่างกายในกระทู้ "แชร์ประสบการณ์ระบบเผาผลาญพังมาหลายปี อยู่ในช่วงปรับ เป็นข้อมูลเผื่อคนที่รักษาสุขภาพครับ" มาให้อ่านเป็นข้อคิดเตือนใจ ก่อนจะเลือกใช้วิธีลดน้ำหนักแบบผิด ๆ ถ้างั้น ตอนนี้เราไปดูเรื่องราวของคุณ TurkTS กันเลยดีกว่าครับ
เริ่มแรก : ผิดวิธีตั้งแต่ตั้งต้น
คือเราลดน้ำหนักจากที่เคยอ้วนมาก (97 กิโลกรัม) ลงมาเรื่อย ๆ ซึ่งแรก ๆ เราลดผิดวิธี ซึ่งเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมกันเป็นอย่างมาก นั่นคือ "อ ด อ า ห า ร" อดแบบเรียกว่าจริงจัง คือกินข้าววันละมื้อตอน 10.30 น. ที่เหลือดื่มน้ำเปล่า เวลาที่โหยมากก็อัดน้ำ อัด ๆ ๆ มันเข้าไป ซึ่งน้ำหนักก็ลดเร็วมาก ภายใน 5 เดือนหายไป 20 กว่ากิโลกรัม แต่มนุษย์อยู่อย่างนั้นทั้งชีวิตไม่ได้ เลยกลับมาทานอาหารมากขึ้น แต่ไม่ได้ทานเหมือนเมื่อก่อน คราวนี้เจอสิ่งที่เรียกว่า "โยโย่ เอฟเฟกต์" เพราะน้ำหนักเด้งกลับมา 10 กว่ากิโลกรัม ซึ่งตอนนั้นเราก็ เฮ้ย ! โอเคนี่นา เพราะบางคนเห็นว่าน้ำหนักเด้งเกินกว่าที่เคยหนักที่สุดด้วยซ้ำ
รอบสอง: มาถูกวิธีครึ่งนึง
พอเข้ามหาวิทยาลัย ไปฟิตเนสเจอพี่สตาฟฟิตเนสคนนึงเดินเข้ามาทักมาคุยด้วย พี่เขาใจดีมาก เขาก็มาแนะนำให้ทำนั่นนี่ แล้วบอกว่าไหนลองเปิดเสื้อสิ เท่านั้นแหละ ความจริงมันปรากฎทันที เพราะเมื่อก่อนเราเคยมีรอบเอว 44 นิ้ว ตอนที่เราลดลงมามันเหลือ 32 นิ้ว
จากการอดอาหาร
ทว่าสภาพมันเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม มันย้วย ย้อย หย่อนยาน สาเหตุมาจากการลดน้ำหนักผิดวิธี เป็นเพราะตอนที่คนเราอ้วน มวลภายในร่างกายและผิวหนังมันขยายไปในทิศทางเดียวกัน แต่พอเราลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว มวลข้างในเราหายไปไวมาก เพราะน้ำและ กล้ามเนื้อหายไป แต่หนังมันไม่หด นี่เลยนับเป็นก้าวแรกที่เราก้าวเข้าสู่ชีวิตฟิตเนสอย่างแท้จริง
เราเล่นฟิตเนสแบบบ้าคลั่งมาก อยู่มันวันละ 2-3 ชั่วโมง เบิร์น ๆ ๆ เล่นเป๋ไปเป๋มา คนนั้นบอกอันนั้นดี เฮ้ย ลอง คนนี้บอก ไม่ ๆ อันนี้ดีกว่า เฮ้ย ลอง เขาบอกว่าวิ่งไปเลยวันละ 1-2 ชั่วโมงก็วิ่ง จนไม่เคยมีทิศทางการเล่นเป็นของตัวเอง กินเหล้านอนดึก ตื่นเช้าเพื่อจะมาฟิตเนส วันไหนแฮงค์ก็ไม่สน ต้องลากสังขารเพื่อไปฟิตเนส เพราะ ณ จุด ๆ นั้น ฟิตเนสคือทุกสิ่งเลย เล่นมันเข้าไปจนน้ำหนักลดลงมาถึง 65 กิโลกรัม ซึ่งมันเป็นจังหวะที่กลายเป็นคนตัวเล็ก หน้าแหลม แล้วเราก็กลายเป็นโรค "เสพติดความผอม" ไปโดยปริยาย
ปัญหาที่ตามมาไม่ใช่เรื่องเวลาที่นอนดึกตื่นเร็ว หรือเรื่องอื่นใดนอกจาก เอฟเฟกต์ที่เกิดจากการกินอาหาร...
ปัญหาจุด PEAK :
เพราะตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 1 ที่เริ่มเล่นฟิตเนสเราแทบจะ "ไม่กินแป้งเ ลย !"
เพราะเราเชื่อคำคนนั้นคนนี้ที่ว่า อยากผอมเหรอ ลดแป้งสิ อยากผอมเหรอ ห้ามกินแป้งนะ ข้าวนี่ตัดไปได้เลย ขนมปังนี่ห้ามเลยนะ แล้วมันส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะถ้าวันไหนเราอยากกินขึ้นมา แล้วได้กินข้าวสัก 1 จาน วันรุ่งขึ้นน้ำหนักเราจะขึ้น 1 กิโลกรัม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีหรอกที่กินข้าวจานเดียวแล้วทำให้น้ำหนักขึ้น 1 โลกรัม น้ำหนักที่ขึ้นมาต่อวันนั้นมีปัจจัยเยอะแยะมากมาย อาจมาจาก น้ำ ที่เราดื่มเข้าไปเยอะ ๆ แล้วยังไม่ได้ปัสสาวะก็เป็นได้ แต่สมอง ณ ตอนนั้นมันสั่งไปแล้วว่าเป็นเพราะแป้งแน่ ๆ ก็เลยเลิกกินมันเลยละกันตัดปัญหา
ตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ก็ 8 ปีแล้วครับที่ผมไม่กินแป้ง แต่ตอนนี้ผมกลับมาทานแป้งเหมือนเดิม สาเหตุที่กลับมาทานเพราะได้ศึกษาเรื่องฟิตเนสอย่างจริงจังมากขึ้น ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายมากขึ้น ว่าจริง ๆ แล้ว ร่างกายที่เราใช้งานทุกวันต้องการอะไรจากเรา ซึ่งคำตอบก็คือ ต้องการสารอาหารดี ๆ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เพราะอย่างนั้นผมเลยตัดสินใจเล่นฟิตเนสเหมือนเดิม แต่กลับมาบริโภคแป้ง
และสิ่งที่ผมพบเจอ...
Yoyo ของจริง :
ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมได้เจอ "โยโย่ เอฟเฟกต์" ของจริงแล้วครับ น้ำหนักมันขึ้นเร็วมาก เร็วจนหน้าตกใจ บวม ๆ ฉุ ๆ ตัน ๆ ซึ่งผมกำลังทำใจ อดทนรับกับมันอยู่ครับ สาเหตุที่โยโย่คราวนี้เป็นเพราะตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา ผมไม่บริโภคคาร์โบไฮเดรตเลย มันทำให้ร่างกายและสมองสั่งแล้วว่า ร่างกายผมไม่จำเป็นต้องเผาผลาญแป้งนะ เพราะมันไม่เข้ามาในร่างกายอยู่แล้วนี่ คราวนี้พอกินแป้งเข้าไปร่างกายก็ไม่เผาผลาญสิ มันเลยตกค้างอยู่อย่างนั้น
เท่านั้นล่ะครับ ตอนนี้ผมกำลังปรับระบบการเผาผลาญตัวเองใหม่หันมากินข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวในทุก ๆ มื้ออาหาร ตอนนี้กลับจากจีนมาเกือบ 1 ปี น้ำหนักผมจากเดิม 71.1 กิโลกรัม ขึ้นมาเป็น 75 กิโลกรัมเรียบร้อยแล้วครับ ใครที่ไม่เห็นผมนาน เจออาจจะตกใจได้ ซึ่งตอนนี้ผมต้องอดทนมากที่จะให้ร่างกายตัวเองอ้วนเป็นหมีเพื่อปรับระบบเผาผลาญตัวเองใหม่
แล้วทำไมต้องอดทน :
ถ้ามีคนถามคำถามนี้ผมขอตอบว่า เพราะผมรักตัวเองครับ ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากมีร่างกายที่ดูดีนะ แต่เพราะผมอยากอยู่กับมันไปนาน ๆ อยากอยู่ด้วยร่างกายที่ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่ผิดแผกแตกแยกเหมือนเมื่อก่อน ที่เวลาเขาไปทานอาหารฝรั่งกันแล้วผมต้องนั่งหาแต่สเต๊ก ไปกินอาหารไทยแล้วต้องนั่งกินแต่กับข้าวที่รสจัด ๆ โดยไม่ทานข้าว
ผมไม่ได้บอกว่าการไม่กินแป้งเป็นสิ่งไม่ดี สำหรับคนที่ร่างกายและรูปแบบชีวิตเหมาะสมกับแบบนี้ ตามสบายเลยครับ แต่ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองอยากมีระบบเผาผลาญที่เป็นปกติเท่านั่นเอง
ตอนนี้ต้องอดทนไปก่อน ระบบเผาผลาญพังมาตั้งหลายปี ให้หายในวัน สองวันคงไม่มีทาง ยังไงเอาใจช่วยกันด้วยนะ แล้วสำหรับคนรักสุขภาพทุกคน อย่าลืมออกกำลังและเลือกอาหารการกินดี ๆ ให้ร่างกายกันด้วยนะครับ
เป็นยังไงกันบ้าง หลังจากที่ได้ทราบเรื่องราวของคุณ TurkTS ไป ไม่น่าเชื่อเลยว่า อาหารการกินที่หลายคนไม่ค่อยใส่ใจกันสักเท่าไร กลับส่งผลกระทบต่อระบบภายในร่างกายเราได้ขนาดนี้ หากไม่อยากต้องทนทรมานกับอาการโยโย่เอฟเฟกต์เหมือนอย่างเจ้าของเรื่อง ก็ลองใช้ประสบการณ์ของเขาเป็นเครื่องเตือนใจแล้วกันนะครับ
sithiphong:
รู้ทันอาการกระดูกสันหลังคด
-http://club.sanook.com/40511/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5/-
อธิบดีกรมการแพทย์เผย คนไทยป่วยด้วยอาการกระดูกสันหลังคดมากขึ้น แนะหากมีอาการกระดูกสันหลังผิดรูป ปวดหลัง เอว คอ เรื้อรังให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า ผู้ป่วยกระดูกสันหลังคดในประเทศไทย พบมาก 2-3 % ของประชากร โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดกระดูกสันหลังคด 80 % ของผู้ป่วยไม่พบสาเหตุ มีเพียงส่วนน้อยที่ทราบ เช่น กระดูกสันหลังคดจากขาที่ยาวไม่เท่ากัน กระดูกสันหลังคดจากสมองพิการ หรือเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นต้น จากสถิติของผู้ป่วยพบได้เท่ากันในเพศชายและเพศหญิง แต่เพศหญิงมักจะมีการคดงอของกระดูกมากกว่าเพศชาย และพบว่าผู้ป่วยช่วงอายุ 10-15 ปี 10 % ได้รับการถ่ายทอดมาจากกรรมพันธุ์ กระดูกคดเกิดจากภาวะกระดูกสันหลังโค้งงอไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวาจนผิดปกติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกระดูกสันหลังของคนเราจะโค้งงอไปด้านหน้าและหลังในระดับที่สมดุลกับร่างกาย เมื่อมองจากด้านข้างจะเป็นรูปตัว S แต่ถ้ามองจากด้านหลังจะเป็นแนวเส้นตรง แต่ผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสันหลังคดนั้น กระดูกสันหลังจะบิดหรือผิดรูปออกทางด้านข้าง การที่กระดูกสันหลังโค้งไปข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้สะโพก เอว และไหล่ของผู้ป่วยไม่เท่ากัน
สำหรับอาการของผู้ป่วย คือ มีแนวกระดูกสันหลังไม่ตรง ระดับหัวไหล่ 2 ข้างไม่เท่ากัน ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณ หลังเอว คอ เรื้อรัง เนื่องจากกล้ามเนื้อในแต่ละส่วนแบกรับน้ำหนักไม่เท่ากัน รวมทั้งมีอาการเหนื่อยง่าย เนื่องจากกระดูกหน้าอกไปกดทับปอดมากกว่าปกติ ในกรณีที่มีความคดของกระดูกเล็กน้อย แพทย์จะนัดตรวจเพื่อติดตามอาการสม่ำเสมอและให้ผู้ป่วยใส่เสื้อเกราะให้รัด กระชับ เพื่อดัดกระดูกสันหลัง ป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังคดมากขึ้น โดยใส่ประมาณ 23 ชั่วโมงต่อวัน การใส่เสื้อเกราะจะต้องใส่จนกว่าผู้ป่วยหยุดการเจริญเติบโต และค่อยๆ ลดจำนวนชั่วโมงที่ใส่ลงจนแน่ใจว่า กระดูกสันหลังไม่คดมากขึ้นจึงสามารถหยุดใส่ได้ ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกคดมากกว่า 45 องศา โดยการใช้โลหะดามกระดูกสันหลังให้ตรงขึ้น และเชื่อมข้อกระดูกสันหลังให้ติดแข็งในแนวที่จัดไว้ ซึ่งหลังผ่าตัดควรงดกิจกรรมที่เคลื่อนไหวด้วยกระดูกสันหลังประมาณ 6-9 เดือน เช่น การก้ม บิดตัว แล้วจึงออกกำลังกายที่ไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวแนะนำการสำรวจตนเองง่ายๆ ว่ามีอาการกระดูกสันหลังคดหรือไม่ โดยให้สังเกตความสูงของระดับหัวไหล่ ความนูนของกระดูกสะบัก และระดับแนวกระดูกสะโพกของร่างกาย ซึ่งมักจะมีระดับสูง-ต่ำไม่เท่ากัน หรือทดสอบโดยการยืนให้เท้าชิดกันและให้ก้มไปด้านหน้า ใช้มือทั้ง 2 ข้างแตะให้ถึงพื้น จะเห็นความนูนของหลังไม่เท่ากัน ซึ่งหากมีอาการผิดปกติดังกล่าวให้พบแพทย์เพราะหากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้กลับมาใกล้เคียงภาวะปกติได้
ข้อมูลจาก :: กระทรวงสาธารณะสุข
ภาพประกอบจาก :: thinkstockphotos.com
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version