อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
sithiphong:
5 อาการ...ดวงตาบอกสุขภาพ
-http://campus.sanook.com/1370658/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3...%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/-
ดั่งคำที่กล่าวว่า มองตาก็รู้ใจแล้ว...ดวงตายังจะสามารถบอกสุขภาพของคุณได้อีกด้วย โดยสังเกตได้จากอาการต่างๆ ที่เกิดกับดวงตาคู่สวยของคุณ งั้นไปสังเกตดวงตากันเลยค่ะ
1.เปลือกตากระตุก อาการแบบนี้จะมาทันทีเมื่อกล้ามเนื้อหนังตาเกร็งตัวหรือเกิดกระแสส่งประสาทอย่างมากเกิดการกระตุ้นกล้ามเนื้อตาผิดปกติ แต่มักจะเกิดเวลาเครียดจัดๆหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เชื่อว่าหลายคงคงเคยเจอปัญหาตากระตุกแล้วบอกเป็นรางร้าย!! แนะนำว่าควรรีบกลับไปนอนดีกว่า
2.ขนตาร่วงผิดปกติ ขนตาของคนเราก็เหมือนผม สามารถหลุดร่วงได้ทุกวัน แต่ถ้าอยู่ดีๆขนตาดกหนาของคุณร่วงจนบางอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะคุณกำลังมีอาการเปลือกตาอักเสบก็ได้ อาการนี้จะเกิดขึ้นหากคุณขยี้ตาบ่อยหรือใช้ขนตาปลอมและมาสคาร่าคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ของเหล่านี้จะทำให้รูขุมขนบริเวณดวงตาอุดตันจนเกิดการอักเสบขึ้นมา ถ้าขนตาร่วงมากๆ วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ไม่ใช่การไปหาหมอ แต่คุณควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ความสวยจะดีกว่าขยี้ตาบ่อยๆ
3.ขอบตาดำคล้ำ อาการแบบนี้หมายถึงการไหลเวียนในหลอดเลือดฝอยบริเวณตาอาจจะเกิดการอุดตัน ไหลเวียน ไม่สะดวก หากปล่อยไว้ไม่ทำอะไรเลยการอุดตันจะยิ่งมากแล้วขอบตาก็จะดำ ส่วนใหญญ่แล้วอาการเหล่านี้จะเกิดกับ
# คนที่นอนน้อยเกินไป การพักผ่อนน้อยจะทำให้เกิดของเสียสะสมรอบบดวงตา ไปอุดตันการไหลเวียนของเลือดจนตาดำอย่างที่เห็น
# ขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาบ่อยๆเป็นการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีบริเวณรอบดวงตา อาทำให้ขอบตาดำถาวร ต้องพึ่งศัลยกรรมลูกเดียว
#เป็นโรคภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคนี้มักจะมีตับและไตที่อ่อนแอ พอตับซึ่งมีหน้าที่ฟอกเลือดไม่แข็งเรง เลือดก็จะไม่สะอาด อาจจะหนืดหรือทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย
#ความเครียด การกินอาหารขยะก็เป็นอีกสาเหตุของปัญหาขอบตาคล้ำ หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ที่ชื่นชอบรับประทานแฮมเบอร์เกอร์หรือของทอดๆ มากเกินไป ลองเปลี่ยนมากินผักสดและดื่มน้ำเปล่ามากๆ ขอบตาคุณก็จะหายดำคล้ำแล้ว
4.ถุงใต้ตาบวม สำหรับใครที่มีเหมือนถุงกาแฟห้อยอยู่ใต้ตา แสดงว่าชอบกลั้นปัสาวะระหว่างนอนหลับ หรือไม่ก็แพ้อาหารบางอย่างเช่นถั่ว อาหารทะเล ปกติถุงใต้ตา จะบวมอยู่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยุบหายไปเอง แต่ถ้าใต้ตาของคุณบวมเรื้อรังนั่นเป็นสัญญาณว่าคุณเป็นเกี่ยวกับไต โดยเฉพาะโรคไตวายยิ่งต้องระวังให้มากที่สุด
5.ตาเหลือง ส่วนใหญ่อาการนี้มาจากโรคดีซ่านแต่สำหรับบางคนที่นอนน้อย ทำงานหนักติดต่อกันมากๆ หรือชอบกินเหล้าสูบบุหรี่ เป็นไปได้ว่าอาจมีปัญหาในถุงน้ำดี เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เป็นมะเร็งตับอ่อน หรือไม่ก็เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อความปลอดภัยสาวๆตาเหลืองควรไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลด่วนๆ
sithiphong:
เตือนภัย “โรคพิษสุนัขบ้า” พบได้ตลอดปี ติดเชื้อตาย 100 เปอร์เซ็นต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กุมภาพันธ์ 2557 12:49 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000015309-
สธ. เตือนภัยโรคพิษสุนัขบ้าพบได้ตลอดปี เป็นโรคร้ายแรงป่วยแล้วเสียชีวิต 100 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลกพบผู้เสียชีวิตปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย ส่วนไทยปีที่แล้วมี 6 ราย ชี้โรคนี้ป้องกันได้ด้วยวัคซีนโดยฉีดในสัตว์เลี้ยงทุกปี ส่วนในคนหากถูกสุนัขหรือแมวกัด ข่วน ให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคทันที
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies) เป็นโรคร้ายแรงที่พบได้ตลอดปี โรคนี้มีความเป็นพิเศษต่างจากโรคอื่นๆ คือ หากติดเชื้อจนมีอาการป่วยจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องเสียชีวิตทุกราย แต่โรคนี้ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยง และในคนหลังถูกสุนัข หรือแมวกัด แต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 50,000 คน ประเทศไทยสัตว์ที่แพร่เชื้อมากที่สุดคือ สุนัข พบผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี ในปี 2556 มี 6 ราย ทุกรายถูกสุนัขกัด และไม่ได้ฉีกวัคซีนหลังถูกกัด จึงนับว่าโรคนี้ยังเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันในสุนัขบางพื้นที่ครอบคลุมไม่ถึงร้อยละ 80 ของสุนัขในพื้นที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ซึ่งคาดว่าทั่วประเทศมีประชากรสุนัขประมาณ 7 ล้านตัว ในแต่ละปีคนไทยถูกสุนัขกัดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 50 เท่านั้นที่มารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งสร้างพื้นที่ในชนบท และเขตเมืองทั่วประเทศให้ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ตั้งเป้าครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2558 เพื่อกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศภายใน พ.ศ.2563 ตามเป้าที่อนามัยโลก และองค์การควบคุมโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศกำหนด โดยร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป ครอบคลุมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของสุนัขที่มีในหมู่บ้าน ขึ้นทะเบียนการเลี้ยงทุกหลังคาเรือน และทำหมัน เพื่อควบคุมจำนวนสุนัข โดยเฉพาะสุนัขจรจัด และให้เจ้าของนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคทุกปี
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อโรคในสัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเช่น สุนัข แมว วัว ควาย ลิง ชะนี เป็นต้น ในไทยพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคนี้มากที่สุดร้อยละ 96 รองลงมาคือ แมว เชื้อติดต่อสู่คนจากการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือบาดแผลตามผิวหนัง โดยเชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนที่บริเวณแผลถูกกัด หลังจากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์-4 เดือน จะมีอาการป่วย บางรายอาจเร็วเพียง 4 วัน การป่วยจะช้า หรือเร็วขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่เข้าไป ตำแหน่งบาดแผล หากอยู่ใกล้สมอง เชื้อจะเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง หรือเข้าสู่สมองได้เร็ว ผู้ป่วยจะมีอาการคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กระวนกระวาย หากเชื้อเข้าสู่ไขสันหลังจะทำให้สมอง และไขสันหลังทำงานผิดปกติ มีอาการอัมพาต และเสียชีวิตในที่สุด
ปัจจุบันยังไม่มียาใดที่รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าแล้วจะเสียชีวิตทุกราย แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน หากถูกสุนัขกัด ถูกเล็บข่วน หรือถูกเลียบริเวณที่มีบาดแผล ขอให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุด ทั้งนี้ อาการของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าที่สังเกตง่ายคือ สุนัขจะมีอารมณ์หงุดหงิด หางตก น้ำลายไหล อาจมีอาการคล้ายคล้ายกระดูก หรือก้างติดคอ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของเข้าใจผิด เอามือไปล้วงที่ปาก คลำหาก้าง หรือกระดูก หากพบสุนัขมีอาการดังกล่าวขอให้นึกถึงโรคพิษสุนัขบ้า และแยกสุนัขไว้ไม่ให้คลุกคลีกับสุนัขอื่น หรือคน และแจ้งปศุสัตว์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที
ด้านนพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัยด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีการชุมนุมทางการเมืองของกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการประเมินผลการปฏิบัติงานของทีมแพทย์กู้ชีพในรอบ 24ชั่วโมง มีผู้บาดเจ็บเพิ่ม 2 ราย ที่นำส่งรักษาที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ตรวจอาการและเย็บแผลให้กลับบ้านแล้ว
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความคืบหน้าของการจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองและผู้ชุมนุมชาวนาว่า ได้จัดทีมแพทย์กู้ชีพชั้นสูง จากโรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับสภากาชาด และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ.สระแก้ว เตรียมพร้อมดูแลผู้ชุมนุมในพื้นที่ ร่วมกับโรงพยาบาลราชวิถี นพรัตนราชธานี และเลิดสิน และปฏิบัติกู้ชีพขั้นพื้นฐาน เตรียมพร้อมดูแล คือบริเวณสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี โดยปฏิบัติงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เตรียมพร้อมทีมแพทย์ฯ พร้อมให้การสนับสนุน
"ส่วนกรณีของผู้ชุมนุมชาวนาที่กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ ได้มอบให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี และโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โดยปฏิบัติงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และทีมมูลนิธิกู้ชีพในพื้นที่ ติดตามดูแลการเจ็บป่วยและให้ทุกจังหวัดที่มีการชุมนุมทางการเมืองและการชุมนุมของชาวนา จัดทีมแพทย์ดูแลทุกจุด" ปลักสธ. กล่าว
sithiphong:
กลิ่นเท้าแรง มีวิธีแก้
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87_%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89/-
เรื่องเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อย
คุณเคยได้กลิ่นเหม็นอบอวน ชวนอาเจียนโชยมาในห้องเรียน,ออฟฟิศ หรือที่ต่างๆบ้างไหม แล้วคุณคิดว่ากลิ่นมันมาจากไหน เจ้าของกลิ่นจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายคนรอบข้างอยู่ แน่นอนเข้าคงไม่รู้ตัวหรอก เพราะถ้าเขารู้เขาคงไม่ถอดรองเท้าออกปล่อยกลิ่นขนาดนั้น หรือไม่กลิ่นอาจจะมาจากเท้าของคุณเองก็ได้ ไม่เชื่อลองแอบยกมาดมดูสิ "กลิ่นเท้า" เกิดจากการหมักหมมของแบคทีเรียของรองเท้า ทำให้เกิดกลิ่นมักจะเกิดกับคนที่มีเหงื่อออกเท้ามาก แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเอง เพียงรักษาความสะอาดซักนิดนอกจากเท้าของคุณจะปราศจากกลิ่นแล้วเท้าของคุณก็จะไม่หยาบกร้าน ส้นเท้าแตก แก่ก่อนวัย
วิธีดูแล
1. ทำความสะอาดเท้าด้วยการล้างน้ำอุณภูมิปกติ
2. ผสมน้ำอุ่นกับสบู่ แช่เท้าลงไปประมาณ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิดและทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกไปได้ง่าย
3. จากนั้นขัดเท้าและซอกนิ้วด้วยที่ขัดเท้า ขัดเป็นวงกลมนวดไปให้ทั่วโดยเน้นเฉพาะส่วนที่หยาบ หนากว่าส่วนอื่น
4. ล้างออกด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิปรกติเพื่อปิดรูขุมขน แล้วเช็ดออกด้วยผ้า
5. ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้าโดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำสัปดาห์ละครั้ง นอกจากจะได้เท้าสะอาดไร้กลิ่นยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อีกทางด้วย
ข้อมูลและรูปภาพจาก : ความรู้รอบตัว.com
sithiphong:
รักษาโรคสะเก็ดเงิน ด้วยการแพทย์แผนไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2557 17:17 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000018107-
โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือ เรื้อนมูลนก ในทางการแพทย์แผนไทยเกิดจากเลือดและน้ำเหลืองที่ผิดปกติ ทำให้น้ำเหลืองเสีย ส่งผลให้แสดงอาการเป็นผื่นที่ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีรอยผุดขึ้นเป็นแว่น เป็นวง ตามผิวหนัง เล็กบ้างใหญ่บ้าง มีสีขาว มีขอบนูนเล็กน้อย และมีอาการคันร่วมด้วย เมื่อนานเข้าจะลามไปทั่วร่างกาย
โรคสะเก็ดเงิน จัดว่าเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ซึ่งสาเหตุของโรคยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่ที่พบเจอได้บ่อยมักมีคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้หรือมีสาเหตุจากพันธุกรรมนั่นเอง และการรักษาแผนปัจจุบันมักเป็นเพียงการให้ยาเพื่อไม่ให้อาการกำเริบ แต่ศาสตร์การแพทย์แผนไทย ได้มีมุมมองการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างลึกซึ้งไปถึงพื้นฐานของโรค มีการวิเคราะห์มูลเหตุการเกิดโรค ลักษณะอาการ และมีการแยกตามลักษณะหรือธาตุประจำตัวผู้ป่วยร่วมด้วย เพื่อใช้ในการตั้งตำรับยาอย่างตรงจุด และช่วยปรับสมดุลต่างๆ ของร่างกายให้ดีขึ้น และรักษาอาการของโรคสะเก็ดเงินไปพร้อมกัน โดยยาสมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นกลุ่มยาบำรุงและระบายน้ำเหลืองเสีย โดยมีทั้งยาต้ม ยาอาบ ยาแช่ และยาน้ำมันทาภายนอกแก้คัน
อาการเริ่มต้นของโรคนี้ คือ จะมีอาการคันที่หนังศีรษะ มีสะเก็ดคล้ายรังแคแต่มีขนาดใหญ่กว่า และเป็นเรื้อรัง ใช้แชมพูขจัดรังแคก็ไม่หาย หรือมีสะเก็ดสีขาวขึ้นตามข้อศอก ข้อพับต่างๆ มีอาการกำเริบมากในช่วงที่อาการแห้ง หรืออากาศเย็น เมื่อไม่ได้รับการรักษา โรคจะลามเข้าเล็บทำให้เล็บเหลือง เป็นคลื่น คล้ายดอกเล็บสีขาวแต่มีขนาดใหญ่กว่า คล้ายกับมีเชื้อราที่เล็บ ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือรับการรักษาไม่ต่อเนื่อง ประกอบกับการรับประทานของแสลงอยู่เรื่อยๆ จะทำให้อาการของสะเก็ดเงินล่ามเข้าไปในข้อ เข้ากระดูก ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดตามข้อ ตามกระดูก นานเข้าก็จะทำให้เกิดอาการข้อผิดรูป หงิก งอ โดยเฉพาะข้อมือ ข้อเท้า
การรักษา
ใช้ยาต้มสมุนไพร ที่มีรสเมาเบื่อ เพื่อแก้น้ำเหลืองเสีย แก้พิษโลหิต และใช้ยาทา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก้ผิว พวกน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น กลีเซอรีน หรือโลชั่นบำรุงผิว (แต่ต้องทามากกว่าปกติ 2-3 เท่า) ที่สำคัญผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และต้องมาพบแพทย์แผนไทยก่อน เพื่อทำการประเมินและแยกโรค และจ่ายยาให้เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน
โดยการประเมินผู้ป่วยนั้นจะประเมินจาก
1.ลักษณะความสุขสบาย ภาวะความเครียด ผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งได้จากการซักประวัติ และสังเกตบุคลิก อารมณ์ สีหน้า ฯลฯ
2.ลักษณะของผิวหนัง เช่น ผื่น สีผิว ความร้อน-เย็น ตำแหน่งของผื่น
3.ลักษณะของเล็บ ซึ่งมักจะพบลักษณะเล็บของผู้ป่วยผิดปกติ เช่น เป็น Oil Drop (ลักษณะเล็บเป็นคลื่นขรุขระ)
4.ลักษณะของการขับถ่าย ซึ่งโดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีภาวะท้องผูกร่วมด้วย
อาการแสดงของโรคสะเก็ดเงิน แบ่งออกเป็น
1.ผิวหนังชื้น ลอก แดง เป็นลักษณะที่แสดงถึงภาวะความผิดปกติของน้ำเหลือง ซึ่งต้องจ่ายยาในกลุ่มของน้ำเหลืองเป็นหลัก เช่น ข้าวเย็นทั้งสอง, เปลือกขันทองพยาบาท, เหงือกปลาหมอ เป็นต้น
2.ผิวหนังแห้ง ขุย ล่อน เป็นลักษณะที่แสดงถึงภาวะความผิดปกติของโลหิต ต้องจ่ายยาในกลุ่มบำรุงเลือด เช่น ฝาง, คำฝอย, คำไทย เป็นต้น
ข้อห้ามและข้อควรระวังของผู้ป่วยสะเก็ดเงิน
1.งดอาหารแสลง (ห้ามรับประทานเด็ดขาด) อาทิ ปลาไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก ปลาไหล ปลากราย เพราะเมือกและความคาวของปลาจะทำให้อาการของโรคกำเริบมากขึ้น และจะทำมีอาการคันมากขึ้นด้วย ปลาครีบแข็ง เช่น ปลาหมอ ปลานิล ของหมักดอง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ อาหารรสจัด อาหารรสมันจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารทะเล
2.หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเครียด
3.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
จากประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมากว่า 4 ปี ของร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร พบว่า ผู้ป่วยมีอาการค่อยๆ ดีขึ้น เป็นที่น่าพอใจ แต่ทั้งนี้ ต้องควบคู่ไปกับการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี การงดอาหารแสลง ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้และด้วยทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้เล็งเห็นว่าโรคนี้เป็นปัญหาสุขภาพและมีผลกระทบต่อคนไทยเพิ่มมากขึ้น จึงได้ทำการเปิดคลินิกพิเศษโรคสะเก็ดเงินภายในงานการแพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลขึ้น เพื่อขยายช่องทางการรับบริการ โดยปัจจุบันผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ 2 ช่องทาง คือ ที่ร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร และที่งานการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ตั้งแต่เวลา 13.00-16.30 น.(เฉพาะวันทำการ จันทร์-ศุกร์) โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร 087-582-0597 และงานการแพทย์แผนไทย 085-391-2255
sithiphong:
วิธีป้องกันและดูแลอาการป่วย โรคอีสุกอีใส
-http://club.sanook.com/23327/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2-
วิธีป้องกันและดูแลอาการป่วย โรคอีสุกอีใส
อีสุกอีใส เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน นับเป็นโรคที่ไม่รุนแรงในเด็กปกติ สามารถหายได้เองและไม่มีอันตราย แต่อาจทำให้มีผลเสียทางอ้อม เช่น ต้องหยุดโรงเรียน พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องหยุดงานเพื่อมาดูแล อาการของโรคและผลกระทบจะมากขึ้นกรณีเป็นเด็กโต นอกจากนี้ เด็กโต ผู้ใหญ่ และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้มากขึ้น
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใส ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด
การติดต่อ
ติดต่อโดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำที่ผิวหนังผู้ป่วยโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอนของผู้ป่วยที่สัมผัสกับตุ่มน้ำ หรือจากการสูดหายใจเอา ละอองของตุ่มน้ำผ่านเข้าทางเยื่อเมือก ระยะติดต่อคือ ช่วง ก่อนเกิดตุ่มคันที่ผิวหนัง 1 หรือ 2 วัน
อาการ
หลังจากได้รับเชื้อเข้าไปจากการสัมผัสโดยตรงหรือจากการหายใจ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 10-21 วัน เริ่มต้นด้วยมีไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว 2-4 วัน หลังจากนั้นจะเริ่มมีผื่นเกิดขึ้น ผื่นของโรคนี้อาจมีอาการคันได้ ผื่นจะเกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้าและลำตัวก่อนแล้วค่อยๆลามไปยังแขนขา ผื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะต่างๆอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง จากผื่นแดงกลายเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำและตกสะเก็ด ตุ่มน้ำจะมีลักษณะคล้ายหยดน้ำอยู่บนผิวหนังที่แดง เมื่อตุ่มน้ำโตเต็มที่จะกลายเป็นตุ่มหนอง ต่อมาตุ่มหนองจะแห้งลง มีลักษณะบุ๋มตรงกลางแล้วตกสะเก็ดหลุดไปในเวลา 5-20 วัน หลังสะเก็ดหลุด จะเห็นผิวหนังเป็นหลุมเล็กๆสีชมพู ซึ่งต่อมาจะจางเป็นสีขาวและไม่เกิดแผลเป็น แต่ในรายที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือแกะสะเก็ดให้หลุดไปก่อนจะเกิดแผลเป็นตามมาได้ ผื่นของโรคนี้มักอยู่เป็นกลุ่มและมักพบผื่นหลายระยะในบริเวณใกล้ๆกัน โดยพบมากที่บริเวณศีรษะ ลำตัว และใบหน้า ส่วนบริเวณแขนขาจะมีตุ่มขึ้นน้อยกว่า
ลักษณะไข้มักเป็นพร้อมผื่น โดยจะเป็นอยู่ 2-4 วัน และหายไปเมื่อตุ่มตกสะเก็ด โรคอีสุกอีใสในเด็กเล็กอาจไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำๆ แต่ในเด็กวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่มักมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว และเบื่ออาหารนำมาก่อนที่จะมีผื่นเกิดขึ้นประมาณ 1-2 วัน
ภาวะแทรกซ้อน
โดยทั่วไปโรคนี้มักจะหายเป็นปกติได้เอง พบภาวะ แทรกซ้อนได้น้อยในเด็ก พบบ่อยขึ้นในผู้ใหญ่และมักมีอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น
1. การติดเชื้อแบคทีเรีย มักเกิดบริเวณผิวหนังที่เป็นตุ่มน้ำหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ข้อหรือกระดูกได้
2. สมองอักเสบ พบได้น้อยกว่า 1 ใน 1,000 ราย อาการที่พบบ่อยคือ เดินเซ โดยมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หรือผู้ใหญ่ อาการมักเกิดหลังผื่นขึ้น3-8 วัน
3. ปอดอักเสบ มักพบในผู้ใหญ่ โดยจะมีอาการไอ เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว หอบเหนื่อย อาจมีอาการเขียวหรือไอเป็นเลือดได้ มักเกิดภายในวันที่ 1-5 หลังผื่นขึ้น
4. การติดเชื้อแบบแพร่กระจาย มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน อาการของโรคมักรุนแรงมีการดำเนินโรคเร็ว
นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้ในระยะก่อนคลอด 5 วันหรือหลังคลอด 2 วัน ทารกที่เกิดมาอาจเป็นโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้
การรักษา
เนื่องจากโรคนี้หายได้เองโดยธรรมชาติ การรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาตามอาการ
ข้อแนะนำ
1. ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ
2. ถ้ามีไข้ ให้ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้แอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการไรย์ (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของสมองและตับ ทำให้มีอาการของสมองอักเสบร่วมกับตัวเหลืองจนเกิดอันตรายร้ายแรงได้ นอกจากนี้ ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ
3. ถ้าปากหรือลิ้นเปื่อย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้วปาก
4. ควรอาบน้ำ ฟอกสบู่ให้สะอาด อาจใช้สบู่ที่มียาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
5. ควรตัดเล็บให้สั้น พยายามไม่แกะหรือเกาตุ่มคันซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนองได้
6. ควรระมัดระวังไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น ระยะแพร่เชื้อคือตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้นจนกระทั่งระยะ 6 วันหลังผื่นขึ้น
7. โรคนี้ไม่มีอาหารแสลง ควรรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ เพื่อให้มีภูมิต้านทานโรค
การป้องกันโรค
การป้องกันการติดต่อของโรคนี้ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้นจนผื่นตกสะเก็ด
• เด็กที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรงดไปโรงเรียนจนผื่นตกสะเก็ดหมด อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆในห้องอาจได้รับเชื้อไปตั้งแต่ก่อนผื่นขึ้นแล้ว
• การป้องกันที่ได้ผลในปัจจุบันคือ การฉีดวัคซีนป้องกัน วัคซีนนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคได้ดีในเด็ก
การฉีดวัคซีน
• เด็กอายุ 1-12 ปี ป้องกันโดยฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว
• เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ การเกิดภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนไม่ดีเท่าเด็กเล็ก จึงต้องฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน
ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน
• มีไข้ต่ำๆหรือตุ่มน้ำเล็กน้อยในบางราย
• การฉีดวัคซีนไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ทุกคน โดยจะป้องกันได้ร้อยละ 85-95
• ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเมื่อเป็นโรคจะมีอาการไม่รุนแรงมีตุ่มขึ้นจำนวนน้อยและหายเร็ว
• โรคงูสวัดจะพบน้อยลงหลังฉีดวัคซีน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หน่วยสุขศึกษา โรงพยาบาบจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
เว็บไซค์ : http://www.chulalongkornhospital.go.th/
ภาพประกอบจาก www.Photos.com
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version