อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
sithiphong:
เตือนผู้ป่วยโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยง-ลดปริมาณการใช้ธูป
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU1qWXdOVGMyT1E9PQ==&subcatid=-
นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนชาวไทย จะร่วมทำบุญตักบาตรและจุดธูปเวียนเทียน นอกจากความอิ่มใจจากการร่วมกันทำบุญตักบาตร แต่ยังมีภัยเงียบที่แฝงมากับการจุดธูปที่ควรต้องระมัดระวังด้วย จากงานวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดย นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประธานกรรมการทุนวิจัย วัณโรคดื้อยา ศิริราชมูลนิธิ หัวหน้าแผนกไอซียู โรงพยาลวิชัยยุทธ ระบุว่า ธูปเป็นเครื่องหอมที่ทำจากขี้เลื่อย กาว น้ำมันหอมสกัดจากพืช ไม้หอม ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้ เมล็ดพืช เรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมก็จะพอกอยู่บนก้านไม้ ธูปมีหลายรูปหลายขนาดตั้งแต่เล็กถึงใหญ่มาก เผาไหม้หมดในเวลา 20 นาที ถึง 3 วัน 3 คืน ซึ่งในประเทศไทย ในการบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ บางคนต้องจุดธูปถึง 9 ดอก
ทั้งนี้ การจุดธูป จะเกิดการเผาไหม้และปล่อยสารพิษ ฝุ่นละอองขนาดเล็กต่างๆ มากมาย ตลอดจนสารก่อมะเร็งต่างๆ เช่น ฟอร์มาลีไฮด์ เบซีน และบิวทาไดอีน ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่ในควันธูป ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ ยังพบว่าคนที่ต้องอยู่กับควันธูปเป็นระยะเวลานานมีความเสี่ยงต่อการได้รับมลพิษ และการเกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคมะเร็ง อีกด้วย
นพ.อนุชากล่าวต่อว่า ผู้ที่มีอาการของการเป็นโรคปอด หรือโรคหอบหืด หรือมีอาการเจ็บป่วยจากทางเดินหายใจ ควรงดการใช้ธูป หรือถ้าจะใช้ก็ควรลดปริมาณของธูปลง ทั้งนี้ หากเราพบเห็นผู้ป่วยโรคหอบหืดมีอาการกำเริบ เช่นหายใจติดขัดให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 พร้อมทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ในลำดับต่อไป
sithiphong:
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม
-----------------------------------------------------------
พยาธิในช่องคลอด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กุมภาพันธ์ 2557 01:12 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000022336-
อ.พญ.เจนจิต ฉายะจินดา
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อยลงในปัจจุบัน แต่สามารถทำให้เกิดอาการแสบคันในช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะที่ค่อนข้างรุนแรง
พยาธิในช่องคลอด
สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่ชื่อ Trichomonas vaginalis ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงเม็ดเลือดขาว เชื้อนี้มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เกิดการระคายเคืองมาก สามารถตรวจพบได้ในน้ำอสุจิและน้ำในช่องคลอด จึงถ่ายทอดผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ไม่ติดต่อโดยการกอดจูบหรือมีเพศสัมพันธ์โดยใช้มือหรือนิ้วช่วย รวมถึงการใช้ห้องน้ำ ผ้าเช็ดตัว สระว่ายน้ำ จนถึงแก้วน้ำ จาน ชามร่วมกันก็ไม่ติดต่อค่ะ
ในเรื่องอาการ พบว่าผู้ชายมักไม่แสดงอาการ ในขณะที่ผู้หญิง อาการจะค่อนข้างชัดเจน มีตกขาวออกมากและมีสีเหลืองหรือเขียว แสบเวลาปัสสาวะ คันในช่องคลอด ส่วนผู้ชาย จะมีมูกใสออกจากท่อปัสสาวะ ซึ่งไม่ใช่น้ำปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ แสบเวลาปัสสาวะ ปวดที่อัณฑะ และอาจมีการอักเสบที่หนังหุ้มปลายองคชาติ แต่อาการอย่างหลังพบได้น้อย
หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวมา หรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ควรมารับการตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้านท่าน ซึ่งแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจภายใน โดยนำตกขาวไปตรวจ รวมถึงตรวจมะเร็งปากมดลูก และหากพบว่าติดเชื้อ ก็ควรตรวจเลือดเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย เช่น เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และซิฟิลิส พร้อมกับเก็บสิ่งส่งตรวจทุกส่วนของร่างกายที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ เช่น ตรวจหาเชื้อในคอ หรือตรวจทางทวารหนัก
อย่างไรก็ดี ไม่มีการตรวจใดให้ผล 100 % ดังนั้น หากท่านยังคงมีอาการอยู่ ทั้งที่ผลการตรวจทุกอย่างเป็นลบ แนะนำให้มาตรวจติดตามเพื่อประเมินซ้ำอีกครั้ง ในทางกลับกัน หากท่านไม่มีอาการแต่ผลการตรวจเป็นบวก เนื่องจากคู่ของท่านติดเชื้อ แนะนำให้ท่านรับการรักษาไปพร้อม ๆ กัน
ทั้งนี้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะโดยเร็วที่สุด เพื่อลดการแพร่เชื้อ ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หลังเริ่มการรักษา แต่มีข้อห้ามคือ ในระหว่างการรักษาห้ามดื่มแอลกอฮอล์
โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคที่รักษาได้ง่ายและหายขาด แต่อาจกลับเป็นซ้ำได้ ไม่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก -ไม่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก และจะมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เมื่อเป็นโรคนี้ในระหว่างตั้งครรภ์ เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้ แต่จะไม่มีการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารก
sithiphong:
ระวัง! 5 สารพิษ ภัยไร้สายที่คุณไม่รู้
-http://ch3.sanook.com/12573/it-24-%E0%B8%8A%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-
IT 24 ชม. อันตรายจากแบตฯเสื่อม และวิธีป้องกัน
การใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันนอกจากจะตอบสนองต่อความเร่งรีบในชีวิตประจำวันแล้ว ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการเสี่ยงอันตรายที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพ เพราะไม่ว่าการใช้มือถือ แท็บเล็ต โน็ตบุ๊ค ผู้ใช้งานก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งเจ้าแบตเตอรี่นี่แหละเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้ใช้งาน หากตัวแบตไม่อยู่ในสภาพที่ปกติ หรือมีอาการแบตเสื่อมนั่นเอง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่ในอุปกรณ์ที่เราใช้นี้อยู่ไม่ได้กำลังทำลายสุขภาพที่ดีของเรา?
น.พ. สิทธา ลิขิตนุกูล หรือหมอกอล์ฟ แพทย์เวชปฎิบัติศูนย์บริการสาธารณสุข14 ได้ให้คำแนะนำว่าผู้ใช้งานจะต้องเป็นผู้หมั่นคอยตรวจสอบอุปกรณ์ในมือด้วยตนเอง เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อต่อสุขภาพ โดยมีวิธีตรวจสอบเบื้องต้นดังนี้
1. อุปกรณ์ไม่สามารถชาร์ตไฟได้เต็ม
2. เมื่อชาร์ตแบตเตอรี่ไปได้ไม่นาน แล้วเกิดอาการร้อนที่ผิดปกติ
3. เมื่อนำแบตเตอรี่มาทดลองหมุนบนพื้นโต๊ะ แล้วสามารถหมุนได้แสดงว่าแบตเกิดอาการบวม นูน เป็นที่ชัดเจนเลยว่าแบตเสื่อมแล้ว
4. หากแบตเตอรี่บวมแล้วมีน้ำซึมออกมา หรือมีสนิมสารเคมีมาเกาะ แสดงว่าแบตเสื่อมจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ให้รีบก็เปลี่ยนแบตเตอรี่ทันที
คุณหมอกอล์ฟยังบอกอีกว่า เพราะว่าในแบตเตอรี่ มีสารเคมีมากมายเป็นส่วนประกอบ หากมันไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างปรกติ เราอาจจะเสี่ยงต่อพิษของสารเคมีต่างๆได้ดังนี้
1. แคดเมียม ซึ่งหากสะสมในร่างกายในปริมาณถึงระดับหนึ่งก็จะก่อให้เกิดโรคไตวายได้ และเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งโดยการสูดดม
2. ตะกั่ว เป็นสารก่อมะเร็ง และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางระบบย่อยอาหาร ไต โลหิต หัวใจ การพัฒนาของทารกในครรภ์
3. ลิเธียม ก่อให้เกิดการการระเคืองต่อจมูก ลำคอ ทำให้หายใจติดขัดถ้ากลืนกินเข้าไปจะมีฤทธิ์ กัดกร่อนทำให้เกิดอาการ เจ็บคอ ปวดท้องและอาเจียนได้ ถ้าเข้าตาจะทำให้เกิดการระคายเคืองและอาจทำให้ตาบอด
4. ทองแดง ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ และเป็นอันตรายหากกลืนกิน
5. นิเกิล เป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อหายใจเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการหอบหืด หลอดลมอักเสบ หายใจติดขัดและทำให้ผิวหนัง อักเสบ และถ้ากลืนหรือกินเข้าไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
ซึ่งการตรวจหาสารพิษต่างๆในร่างกาย สามารถตรวจได้ตั้งแต่การตรวจร่างกายภายนอก จนถึงการตรวจหาสารพิษทางโลหิตวิทยา แต่ทางที่ดีผู้ใช้งานก็ควรใช้อุปกรณ์ในมืออย่างระมัดระวัง นอกจากสามารถอำนวยความสะดวกได้แล้ว ก็ต้องมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมๆกัน อย่าให้ถึงขนาดใช้ไปป่วยไป หรือใช้เทคโนโลยีแล้วต้องใช้เงินเพิ่มเติมในการรักษาตัวเอง
http://ch3.sanook.com/12573/it-24-%E0%B8%8A%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD
sithiphong:
โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองหรือระบบประสาท ที่ทางการแพทย์เรียกว่าโรคทางประสาทวิทยานั้น มีหลายโรคด้วยกันครับ แต่โรคที่เป็นปัญหาสำคัญอันดับหนึ่งคือ “โรคหลอดเลือดสมอง”
วันอาทิตย์ 2 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/219684/%E2%80%98%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E2%80%99+%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2+-+%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-
เมื่อพูดถึงศูนย์บัญชาการที่ทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ทุกคนคงนึกถึง “สมอง” เป็นอันดับแรก ใช่แล้วครับ “สมอง” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องวัดว่าใครมีไอคิวดีหรือมีความฉลาดมาก-น้อยแค่ไหนเท่านั้น แต่สมองยังเป็นแหล่งรวมของระบบและกระแสประสาทที่จะส่งสัญญาณไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ให้อวัยวะเหล่านั้นทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาหรือโรคบางอย่างขึ้นกับสมอง แน่นอนว่ามันย่อมส่งผลกระทบถึงส่วนอื่น ๆ ในร่างกายด้วย
โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองหรือระบบประสาท ที่ทางการแพทย์เรียกว่าโรคทางประสาทวิทยานั้น มีหลายโรคด้วยกันครับ แต่โรคที่เป็นปัญหาสำคัญอันดับหนึ่งคือ “โรคหลอดเลือดสมอง” เพราะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของทั้งคนไทยและทั่วโลก แต่อีกหนึ่งโรคที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน แม้จะไม่ได้เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต แต่นับเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลงไปอย่างมาก นั่นก็คือ “โรคลมชัก”
หลายครั้งที่มีผู้ป่วยโรคลมชัก รวมถึงญาติผู้ป่วย มาถามผมว่า โรคลมชักคืออะไร? เป็นโรคทางกายหรือโรคทางจิต? ผมก็อธิบายว่า ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกระหว่างอาการชักและโรคลมชัก...อาการชัก (Seizure) หมายถึง ภาวะที่มีไฟฟ้าผิดปกติวิ่งผ่านเนื้อสมอง ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการชักในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อาการเกร็งกระตุก ซึ่งอาการชักในบางรูปแบบอาจไม่ใช่โรคลมชักก็เป็นได้ ส่วนคำว่า โรคลมชัก (Epilepsy) หมายถึง อาการชักที่เกิดขึ้นซํ้า ๆ โดยที่ไม่มีสิ่งมากระตุ้น โดยลักษณะของผู้ที่เป็นโรคลมชักจะแสดงอาการที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้คนตามต่างจังหวัดจึงมักเรียกติดปากว่า “โรคลมบ้าหมู”
โรคลมชักนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัยครับ โดยสาเหตุของโรคที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ เกิดจากการมีแผลเป็นในสมอง ซึ่งแผลเป็นที่ว่านี้อาจจะเกิดขึ้นในวัยเด็ก เช่น มีไข้สูงแล้วเกิดอาการชัก หรือมีสมองอักเสบ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ตำแหน่งในการอักเสบก็พัฒนากลายเป็นแผลเป็นและเป็นสาเหตุของโรคลมชักได้ นอกจากนี้การผ่าตัดสมองก็เป็นสาเหตุของโรคลมชักได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมอง, มีเลือดออกในสมอง หรือประสบอุบัติเหตุที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง ซึ่งภายหลังการผ่าตัดอาจมีแผลเป็นที่สมองและเกิดอาการชักตามมาได้
โรคลมชักทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยแย่ลง เพราะการชักแต่ละครั้งจะมีเซลล์สมองตายไปทุกครั้ง ทำให้ความจำ, ความรู้เชิงบริหารและเชิงธุรกิจต่าง ๆ นั้นค่อย ๆ ลดลง รวมถึงการชักอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น เกิดอาการชักขณะขับรถ เป็นเหตุให้รถชน หรือเกิดการชักในขณะว่ายน้ำ ขึ้นต้นไม้ เล่นกีฬา หรือปีนหน้าผา เป็นต้น
และดังที่ผมกล่าวไปข้างต้นว่าอาการชักบางอย่าง อาจไม่ใช่โรคลมชักก็เป็นได้ ดังนั้นการจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักหรือไม่นั้น ในเบื้องต้นแพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติทั้งตัวผู้ป่วยเองและญาติ รวมถึงผู้พบเห็นเหตุการณ์ ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นคือโรคลมชักหรืออย่างอื่น เพราะหลายครั้งที่พบว่าอาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือดก็ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายโรคลมชักได้เช่นเดียวกัน จากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย และตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองในผู้ป่วยที่สงสัย เพื่อเป็นการตรวจวัดว่ามีตำแหน่งของไฟฟ้าที่ผิดปกติอยู่ในสมองส่วนไหนบ้าง ซึ่งจะเป็นการยืนยันการวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง
’สำหรับการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ลักษณะก็คล้ายกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจครับ เพียงแต่ตำแหน่งที่เราตรวจคือเราจะวางขั้วไฟฟ้าบนหนังศีรษะแทนที่จะเป็นหน้าอกเหมือนการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ใช้เวลาการตรวจประมาณ 30 นาที ซึ่งข้อมูลที่จะได้จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง นอกจากจะบอกได้ว่ามีส่วนใดของสมองที่มีไฟฟ้าเกินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคลมชักแล้ว ก็ยังสามารถบอกได้ว่ามีตำแหน่งใดของสมองที่ทำงานไม่ปกติ นอกจากนี้อาจใช้การตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กหรือ MRI สมองร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพของโครงสร้างทั้งสมองว่ามีส่วนใดที่ผิดปกติไปหรือไม่ มีแผลเป็นหรือเนื้องอกเกิดขึ้นหรือไม่ เป็นประโยชน์มากต่อการวาง แผนการรักษาครับ”
เมื่อวินิจฉัยจนทราบแน่ชัดแล้วว่าเป็นโรคลมชักจริง โดยทั่วไปแพทย์จะพิจารณาเริ่มให้การรักษาด้วย “ยากันชัก” เป็นอันดับแรก โดยมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด ซึ่งในจำนวนผู้ป่วยโรคลมชักที่ได้รับยาทั้งหมด จะมีประมาณ 1% ที่ยากันชักได้ผลและสามารถหยุดยากันชักได้ หลังรับประทานติดต่อกันมาประมาณ 2 ปี, มีผู้ป่วยอีก 2 ใน 3 ที่ยากันชักสามารถควบคุมอาการได้ แต่ผู้ป่วยต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต เมื่อใดหยุดยา อาการชักก็จะกลับมาอีก, ส่วนผู้ป่วยอีก 1 ใน 3 ที่ไม่ตอบสนองกับยากันชัก แพทย์จึงจำเป็นต้องไปพิจารณารักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การผ่าตัด หรือการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
สำหรับการผ่าตัดนั้น แพทย์จะพิจารณาว่าผู้ป่วยโรคลมชักรายใดเหมาะสมได้รับการผ่าตัด โดยดูจาก ความเข้ากันได้ของอาการ คืออาการชักในแต่ละแบบจะมีลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ของสมอง เช่น ถ้าคนไข้มาด้วยอาการชักที่เหมือนกับตำแหน่ง A, ในการตรวจร่างกายแพทย์พบอาการเหมือนกับตำแหน่ง A, การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองในขณะที่คนไข้กำลังชัก พบว่าออกมาจากตำแหน่ง A อีกทั้งการตรวจ MRI ก็พบความผิดปกติ
ตรงตำแหน่ง A ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าเราสามารถผ่าตัดแก้ไขปัญหาตรงจุดดังกล่าวได้ ซึ่งการผ่าตัดมี 2 แบบคือ
1.การผ่าตัดเอาเนื้อสมองส่วนที่มีปัญหาออกไปบางส่วน หรือในผู้ป่วยบางรายอาจมีการผ่าตัดเอาเนื้อสมองออกไปจำนวนมาก ในกรณีนี้มีการศึกษาติดตามผลพบว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะสามารถควบคุมอาการชักได้ ส่วนเรื่องความจำหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสมองนั้น ต้องอธิบายว่า ก่อนที่แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาสมองบางส่วนออกนั้น จะมีการพิสูจน์ทราบก่อนว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ถ้าพบว่ามีความเสี่ยงที่สมองจะเสียหาย ก็จะยังไม่พิจารณาผ่าตัดให้คนไข้
2.การผ่าตัดเพื่อลดการกระจายของไฟฟ้าของสมองซีกซ้าย–ขวา ผู้ป่วยบางราย การชักเกิดจากหลายจุดในสมอง ซ้ายบ้าง-ขวาบ้าง ไม่สามารถจับจุดได้ชัดเจน เมื่อมีอาการชัก ผู้ป่วยเสี่ยงที่จะล้มศีรษะฟาดพื้น แพทย์จะใช้การผ่าตัดโดยเปิดแผลเล็ก ๆ ระหว่างสมองทั้งสองข้าง แล้วเข้าไปตัดส่วนไฟเบอร์ที่เชื่อมกันระหว่างสมองสองข้าง ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าเดินช้ากว่าเดิม คนไข้ยังคงมีอาการชักได้อยู่ แต่คนไข้จะรู้ตัว โอกาสที่จะล้มศีรษะฟาดจึงลดลง
นอกจากการรักษาด้วยยาและการผ่าตัดแล้ว ปัจจุบันยังสามารถรักษาโรคลมชักได้ด้วยการฝังเครื่องมือชนิดหนึ่งเข้าไปที่หน้าอก คล้ายกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ แล้วจะมีลวดพันขึ้นไปที่เส้นประสาทบริเวณคอ เมื่อใดที่ผู้ป่วยมีอาการชัก เราก็จะมีเครื่องมือให้นาบลงไปบริเวณหน้าอกส่วนที่ฝังเครื่องมือไว้ แล้วเครื่องนี้จะปล่อยกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำ ๆ ไปที่เส้นประสาท เพื่อไปช่วยหยุดอาการชักที่เกิดขึ้นได้ ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางการแพทย์
อย่างไรก็ตาม โรคลมชักก็ยังคงเป็นโรคที่มีอนาคตในการรักษาอยู่ครับ ถึงแม้ว่าการรักษาด้วยการทานยาจะต้องทานไปตลอดชีวิตในคนไข้ส่วนใหญ่ หรือบางรายอาจต้องทำการผ่าตัด แต่เมื่อทำการผ่าตัดบนพื้นฐานของการวินิจฉัยที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว การผ่าตัดก็มีโอกาสประสบผลสำเร็จมากขึ้น โอกาสที่ผู้ป่วยจะหายขาดก็มีมากขึ้น
สุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณข้อมูลความรู้เพิ่มเติมจาก พญ.กาญจนา อั๋นวงศ์ อายุรแพทย์ทางด้านระบบประสาท และนพ.กุลพัฒน์ วีรสาร ศัลยแพทย์ระบบประสาท จากสถาบันประสาทวิทยา กระทรวงสาธารณสุข.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
sithiphong:
6 โรคร้ายคืนชีพระบาดซ้ำปี 57 ที่คนไทยยังไม่รู้!
-http://ch3.sanook.com/13196/6-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9B-
ครอบครัวข่าวเช้า 6 โรคร้ายระบาดซ้ำในปี 57
รายการครอบครัวข่าวเช้า ช่อง 3 รายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค.57 นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุม DDC Forum เรื่อง “การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพ ปี 2557” ว่า การพยากรณ์โรคเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ของโรคภัยที่อาจเกิดกับประชาชน ซึ่งเป็นการติดตามความเปลี่ยนแปลงของโรคและภัยสุขภาพ เพื่อเตรียมรับมือล่วงหน้า ด้วยการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม รวมทั้งสื่อสารความเสี่ยงเตือนภัยการระบาดของโรคแก่ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปี 2557 นี้ มีโรคที่น่าจับตามอง และจะมีแนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น จำนวน 6 โรค ได้แก่
1. โรคสุกใส
คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปี 2557 ประมาณ 58,000-71,000 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับปี 2556 ทั้งนี้ โดยในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยสูงสุดอยู่ในช่วง ม.ค. ก.พ. และ มี.ค. และเกิดในกลุ่มคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งสาเหตุของการไม่มีภูมิคุ้มกัน ได้แก่ 1) ประชากรไม่คงที่ มีการเกิด การตาย การย้ายถิ่น 2) กลุ่มคนไม่เคยเป็นโรคสุกใสมาก่อนทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกัน 3) การที่คนไม่ได้รับวัคซีนสุกใส เพราะไม่ได้อยู่ในตารางเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของกระทรวงสาธารณสุข และ 4) ฤดูกาล ทำให้ระยะการถ่ายทอดโรคยาวนานขึ้น เช่น ฤดูหนาว ทำให้ไวรัสมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้น จึงโอกาสถ่ายทอดโรคได้มากขึ้น
2. โรคไข้สมองอักเสบ
คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปี 2557 ประมาณ 680–830 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2556 เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าปี 2547-2549 มีอัตราป่วยคงที่ แต่ในช่วงปี 2550-2555 อัตราป่วยกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้ คือปี 2555 ในเดือน มิ.ย. และในปี 2556 เดือน ม.ค.
3. โรคไข้กาฬหลังแอ่น
คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปี 2557 ประมาณ 14-17 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยโรคไข้กาฬหลังแอ่น เป็นโรคที่มีอุบัติการณ์ค่อนข้างต่ำ พบผู้ป่วยตลอดทั้งปี และทุกภาคทั่วประเทศ จำนวนผู้ป่วยจะกระจายเดือนละประมาณ 1-3 ราย ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้ คือ ปี 2547 มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 50 ราย และ ปี 2549 มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 35 ราย
4. โรคอหิวาตกโรค
คาดว่าในปี 2557 ถ้าไม่มีการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่ดี และน่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 3.8 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยจะมีผู้ป่วยประมาณ 280-340 รายในปี 2557 เมื่อดูข้อมูลย้อนหลังพบว่า มีการระบาดใหญ่ใน จ.ภูเก็ต และสงขลา ปี 2550 ในเดือน ต.ค. มีการระบาดในศูนย์อพยพ จ.ตาก ปี 2553 ในเดือน มิ.ย. และมีการระบาดใหญ่ใน จ.ตากและปัตตานี โดยสถานการณ์ของอหิวาตกโรค ตั้งแต่ปี 2547 มีลักษณะการระบาดปีเว้นสองปี
5. โรคไทฟอยด์
คาดว่าจำนวนผู้ป่วยในปี 2557 น่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยจะมีผู้ป่วยประมาณ 2,700-3,300 รายในปี 2557 ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้
6. โรคไวรัสตับอักเสบ เอ
คาดว่าจำนวนผู้ป่วยในปี 2557 น่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยจะมีผู้ป่วยประมาณ 430-520 รายในปี 2557 ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้ คือ ปี 2548 เมื่อดูข้อมูลย้อนหลังพบว่าในเดือน พ.ค. มีการระบาดมากที่สุด 1,447 ราย และในเดือน มิ.ย. 299 ราย ปี 2555 มีการระบาดเกิดในโรงงานอุตสาหกรรมและในสถานประกอบการหลายแห่ง ส่วนสาเหตุมาจากกลุ่มผู้ป่วยมักดื่มสุรา รับประทานอาหารเย็นและใช้แก้วน้ำร่วมกัน ส่วนอีกเหตุการณ์คือ การระบาดในทุกอำเภอ จ.บึงกาฬ โดยเกิดจากการบริโภคน้ำแข็งจากบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.บึงกาฬ
กรมควบคุมโรค เปิดสายด่วนเพื่อให้ประชาชนโทรศัพท์มาสอบถามว่ามีอาการเข้าข่าย 6 โรคร้ายนี้หรือไม่ เพื่อช่วยเหลือและป้องกันการเกิดโรคได้ทันท่วงที โทร 02-590-3183 หรือ 1422
--------------------------------------------------------------------
กลิ่นเท้าแรง มีวิธีแก้
-http://guru.sanook.com/9616/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89/-
เรื่องเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อย คุณเคยได้กลิ่นเหม็นอบอวน ชวนอาเจียนโชยมาในห้องเรียน,ออฟฟิศ หรือที่ต่างๆบ้างไหม แล้วคุณคิดว่ากลิ่นมันมาจากไหน เจ้าของกลิ่นจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายคนรอบข้างอยู่ แน่นอนเข้าคงไม่รู้ตัวหรอก เพราะถ้าเขารู้เขาคงไม่ถอดรองเท้าออกปล่อยกลิ่นขนาดนั้น หรือไม่กลิ่นอาจจะมาจากเท้าของคุณเองก็ได้ ไม่เชื่อลองแอบยกมาดมดูสิ "กลิ่นเท้า" เกิดจากการหมักหมมของแบคทีเรียของรองเท้า ทำให้เกิดกลิ่นมักจะเกิดกับคนที่มีเหงื่อออกเท้ามาก แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเอง เพียงรักษาความสะอาดซักนิดนอกจากเท้าของคุณจะปราศจากกลิ่นแล้วเท้าของคุณก็จะไม่หยาบกร้าน ส้นเท้าแตก แก่ก่อนวัย
วิธีดูแล1. ทำความสะอาดเท้าด้วยการล้างน้ำอุณภูมิปกติ2. ผสมน้ำอุ่นกับสบู่ แช่เท้าลงไปประมาณ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิดและทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกไปได้ง่าย3. จากนั้นขัดเท้าและซอกนิ้วด้วยที่ขัดเท้า ขัดเป็นวงกลมนวดไปให้ทั่วโดยเน้นเฉพาะส่วนที่หยาบ หนากว่าส่วนอื่น4. ล้างออกด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิปรกติเพื่อปิดรูขุมขน แล้วเช็ดออกด้วยผ้า5. ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้าโดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำสัปดาห์ละครั้ง นอกจากจะได้เท้าสะอาดไร้กลิ่นยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อีกทางด้วย
ข้อมูลและรูปภาพจาก : ความรู้รอบตัว.com
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version