ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47499 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #80 เมื่อ: เมษายน 05, 2014, 09:16:40 am »

โปรดระวัง น้ำแข็งใสๆ อาจไม่ปลอดภัย อย่างที่คุณคิด!

หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ!! น้ำแข็งก็ทำมาจากน้ำทั้งหมด 100% แล้วอันตรายจะมาจากตรงไหนกันล่ะ?



-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/227878/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%86+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94!-



เริ่มเข้าเดือนที่จัดว่าร้อนที่สุดของปี และเป็นเดือนที่ยอดการขาย การบริโภคน้ำแข็งมากที่สุดตามอุณหภูมิที่ร้อนระอุด้วยเช่นกัน และในแต่ละมื้อ เราล้วนจะต้องได้เกี่ยวพันกับเจ้าน้ำแข็งใส ๆ นี้กันแทบทุกคนใช่ไหมคะ? ไม่ว่าจะมาจากการไปรับประทานอาหารนอกบ้านในแต่ละมื้อ ทั้งตามร้านอาหาร ภัตราคาร ไปจนถึงอาหารง่าย ๆ เช่นร้านอาหารตามสั่งทั่ว ๆ ไป จนถึงร้านเครื่องดื่มเย็นที่ขายตามริมท้องถนน หรือหน้าออฟฟิศกัน เคยคิดกันไหมค่ะว่า “เห็นหน้าตาใส ๆ เย็น ๆ แบบนี้ จะมีอันตรายแฝงอยู่ อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ”

หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ!! น้ำแข็งก็ทำมาจากน้ำทั้งหมด 100% แล้วอันตรายจะมาจากตรงไหนกันล่ะ? จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการเป็นที่ปรึกษา และการตรวจโรงงานผลิตน้ำแข็งนั้น จะมาเล่าให้ฟังกันค่ะว่า ที่มาที่ไป และอันตรายที่ควรระวังจากน้ำแข็งนั้น คืออะไร

น้ำแข็งที่เราบริโภคกันโดยส่วนใหญ่ มาจาก 2 แหล่งหลัก ๆ คือ น้ำแข็งที่ผลิตมาจากโรงงานผลิตน้ำแข็ง และ น้ำแข็งที่ผลิตจากเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ไม่นับที่แช่ทำเองในตู้เย็นบ้านเรากันนะคะ

อันตรายจากน้ำแข็งที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ที่เราควรระมัดระวังกัน นั่นก็คือ เชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ในกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคที่ปะปนมาจากการผลิตและการขนส่งกันนั่นเองค่ะ เห็นไหมค่ะว่า เป็นภัยร้ายที่มองไม่เห็นกันจริง ๆ หากเราเคยติดตามข่าวสารของ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขกันมาบ้าง อาจเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ กับการตรวจพบจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคในน้ำแข็งเกินมาตรฐาน ดังเช่น “พบโรงงานน้ำแข็งหลอดย่านบางเขน ปรับที่พักเป็นโรงงานผลิต อย.นำตัวอย่างส่งตรวจ พบปนเปื้อนเชื้อโรคอื้อ โดยเฉพาะ อี.โคไล จุลินทรีย์ซาลโมเนลล่า ตัวการโรคท้องร่วง เผยปกติเชื้อโรคดังกล่าวปนเปื้อนในอุจจาระ พร้อมสั่งหยุดผลิตทันควัน ขู่ฝ่าฝืนเจอโทษหนัก” อย่างนี้เป็นต้น ภัยที่น่ากลัวจากเจ้าน้ำแข็งนี้มาจากกระบวนการผลิตและการขนส่งของโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีจิตสำนึกที่ดีในการผลิตอาหารให้ปลอดภัย ตั้งแต่มาตรฐานน้ำที่จะนำมาผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค ก็ควรต้องเป็น น้ำมาตรฐานน้ำบริโภค และผู้เขียนเองมั่นใจค่ะว่า โรงงานน้ำแข็งที่ผลิตภายใต้สุขลักษณะที่ดี และผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และการประเมินโรงงานตามกระทรวงสาธารณสุขนั้นมีน้อยมาก มาฟังกันต่อดีกว่าค่ะว่าประเภทน้ำแข็งที่เราต้องระวัง มีอะไรบ้าง

น้ำแข็งที่เราบริโภคกันในปัจจุบันมีมากมายหลายชนิด ตั้งแต่ น้ำแข็งหลอด น้ำแข็งเกล็ด น้ำแข็งโม่ หรือน้ำแข็งป่น ที่โม่และป่นมาจากน้ำแข็งซอง(สมัยก่อนเรียก น้ำแข็งมือ นึกภาพง่าย ๆ คือน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ ที่นำมาทำเป็นน้ำแข็งใสกัน) ไปจนถึงน้ำแข็งที่เป็นหลอดเล็กที่นิยมใช้ในปัจจุบันกัน

เจ้าน้ำแข็งที่เราควรระวังมากที่สุด คือน้ำแข็งโม่ หรือน้ำแข็งป่น ที่ผลิตจากโรงงานที่ไม่ได้มาตารฐานนี่แหละค่ะ ที่ตามร้านอาหารตามสั่งทั่ว ๆ ไปนิยมใช้ใส่แก้วมาให้เรา เพื่อเติมน้ำอัดลม หรือน้ำหวานตามที่เราสั่งมาดื่ม หรือร้านขายเครื่องดื่ม เช่น กาแฟเย็น ชาเย็น และน้ำหวาน การปนเปื้อนของเชื้อโรคนี้ปนเปื้อนได้ตั้งแต่แหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำแข็ง กระบวนการตัดก้อนน้ำแข็งให้มีขนาดเล็กลงจากการใช้ใบมีดที่เป็นเหล็ก และมีสนิม แอบบอกนะคะว่าโรงงานเหล่านี้ คนงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวที่ต้องมีแรงและพลังกายในการยก การตัดก้อนน้ำแข็งเยอะ ๆ แอบเห็นอยู่บ่อย ๆ คะว่า ไม่สวมเสื้อทำงาน ใส่เพียงกางเกงขาสั้น และรองเท้าบูท เดินบนลานน้ำแข็งไปมา นี่เพิ่งแค่เริ่มต้นนะคะ ยังไม่นับรวมการบรรจุน้ำแข็งเหล่านี้มาส่งตามร้านอาหารที่เราจะรับประทานกัน บรรจุภัณฑ์ที่ใช้มักจะเป็นกระสอบเก่า ๆ ของกระสอบข้าวสารสีขาว ๆ กระสอบแป้ง และไม่แน่ใจว่าจะเอากระสอบสารเคมีอะไรมาใส่หรือเปล่า มีกระบวนการในการล้างทำความสะอาดกระสอบที่เวียนกลับมาใช้หรือไม่

แล้วเคยเห็นเวลาจะนำลงจารถขนส่งกันไหมค่ะ เหยียบขึ้นไปบนกระสอบเอย ลากลงมาที่พื้นเอย เห็นแล้วแทบไม่กล้าทานอาหารร้านนั้นเลยล่ะคะ ยังไม่รวมการปนเปื้อนเมื่อมาถึงที่ร้านแล้ว หากคุณแม่ค้าพ่อค้าไม่ใส่ใจ นำน้ำแข็งมาแช่ในถังที่แอบแช่หมูสด ผักสดที่ใช้เป็นวัตถุดิบต่าง ๆ ลงไปในถังน้ำแข็งอีก ฟังเท่านี้แล้วอาจเลิกทานน้ำแข็งประเภทนี้กันไปเลยใช่ไหม สังเกตไหมค่ะว่าชาวต่างชาติจะกลัวน้ำแข็งบ้านเรามาก ๆ เพราะหลายต่อหลายรายท้องเสีย ท้องร่วง อาหารเป็นพิษเข้าโรงพยาบาลเพียงเพราะน้ำแข็งกันมานักต่อนักแล้วล่ะคะ และหลายต่อหลายครั้งที่เราท้องเสียบ้าง อาหารเป็นพิษบ้าง แล้วมัวแต่ไปคิดถึงว่า เราทานอะไรเข้าไปน้า โดยที่ทุก ๆ คนจะมองข้ามน้ำแข็งที่เราทานกันเข้าไป เคยลองสังเกตว่าน้ำแข็งแต่ละร้านที่เราทานเข้าไปนั้นกันบ้างไหมคะ ว่าสะอาดหรือไม่ แค่ลองสังเกตดูก้นแก้ว(หากใส)เวลาที่น้ำแข็งละลายหมดแล้วน่ะคะ ถ้าผู้ที่ชอบสังกตน่าจะเคยเห็นเหมือนผู้เขียนว่ามีตะกอนสิ่งสกปรกตกอยู่ที่ก้นแก้วจำนวนมาก นี่แค่สิ่งที่มองเห็นได้เท่านั้นนะคะ

ดังนั้นหากเราอยากทานน้ำแข็งที่สะอาดและปลอดภัย จึงควรใส่ใจกับแหล่งที่มา และหัดสังเกตน้ำแข็งจากร้านที่เราทานอาหารกันค่ะว่า สะอาดเพียงพอหรือไม่ ควรเลือกทานน้ำแข็งที่ผลิตโดยเครื่องอัตโนมัติ (ที่ใช้กันทั่วไปตามโรงแรม หรือร้านสะดวกซื้อนั่นแหละค่ะ) เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า หรือเลือกทานน้ำแข็งอนามัยที่ผ่านการรับรองคุณภาพตามระบบ GMP หรือระบบความปลอดภัยของอาหารกันดีกว่านะคะ เวลาไปซื้อเครื่องดื่มหรือทานอาหารตามร้านที่ไม่ได้ใช้น้ำแข็งที่ผลิตจากเครื่องอัตโนมัติ ก็ควรแอบสังเกตภาชนะที่ใส่น้ำแข็งกันนะคะว่ามีความสะอาดและสุขลักษณะที่ดีเพียงใด ไม่อย่างนั้นแล้ว เราอาจได้เชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเข้ามาในร่างกายเรา จนทำให้เราเจ็บป่วยได้นะคะ

อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย จึงควรใส่ใจสิ่งที่เราจะทานเข้าไปกันสักนิดนะคะ อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat กันล่ะ

โดย “PrincessFangy”

-Twitter @Princessfangy-

รูปประกอบจาก-http://iceman-travel.igetweb.com/-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #81 เมื่อ: เมษายน 05, 2014, 09:20:27 am »
ช่วงเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งความชุ่มชื้นคือช่วงเทศกาล “สงกรานต์” และสิ่งที่จะได้เห็นและได้ทำในวันนี้ก็คือ การ ออกไปสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ทั่วไปก็คือ แป้งขาว ๆ ที่ใช้ประหน้าอย่าง “ดินสอพอง”
วันเสาร์ 5 เมษายน 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/227892/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2!!!%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%87+-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-

ช่วงเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งความชุ่มชื้นคือช่วงเทศกาล “สงกรานต์” และสิ่งที่จะได้เห็นและได้ทำในวันนี้ก็คือ  การ ออกไปสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ทั่วไปก็คือ แป้งขาว ๆ ที่ใช้ประหน้าอย่าง “ดินสอพอง” ที่คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีอันตราย

แต่ล่าสุดจากการสุ่มตรวจของสถา   บันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหา ชน) มีการพบว่า “ดินสอพอง” มีเชื้อโรคที่อันตรายมากที่สามารถที่จะก่อให้เกิดบาดทะยักได้ และถ้าเชื้อโรคนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ และกล้ามเนื้อตาย อีกทั้งถ้าเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด กล้ามเนื้อตายเน่า และการติดเชื้อในเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตและอาจทำให้ผู้ใช้ถึงแก่ชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

นอกจากนี้ทางศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ยังเคยทำการสุ่มตรวจสอบดินสอพองที่ผู้ประกอบการได้นำมาจำหน่ายตามท้องตลาด พบว่าผู้ค้าบางรายมีการนำดินสอพองปลอมที่ดัดแปลงจากผง     ยิปซัม ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ทำฝ้าเพดานมาทำเป็นดินสอพองจำหน่ายให้ผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

เนื่องจากการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์บริการระบุผลออกมาว่า ผงยิปซัมดังกล่าวหากนำมาเล่นถือเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก เช่น เมื่อนำมาทาบริเวณผิวหนังจะเกิดการระคายเคือง หากผู้ใดแพ้ฝุ่นอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการนำดินสอพองที่มีเชื้อโรคมาฉายรังสีแกมมาในปริมาณ 9.30-10.40 กิโลเกรย์ ก็สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ได้เกือบทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของประชาชนที่สนใจซื้อดินสอพองไปใช้หรือนำไปเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทางด้านผู้ผลิตคงต้องทำดินสอพองให้สะอาดเสียก่อน

ดังนั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ครั้งนี้ ทางด้านผู้บริโภคเอง จึงควรระวังไม่ให้ดินสอพองเข้าจมูกหรือปาก และไม่ควรเล่นดิน

สอพองหากมีบาดแผลที่ผิวหนัง ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อสงกรานต์ที่สนุกสนานปลอดภัยไร้กังวล.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #82 เมื่อ: เมษายน 05, 2014, 11:20:04 am »
ย้อนรอย เรื่องจริงฯ 18 กรกฎาคม 2556 1/6

ย้อนรอย เรื่องจริงฯ 18 กรกฎาคม 2556 1/6

-http://www.youtube.com/watch?v=ipU7w6GXrsk-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #83 เมื่อ: เมษายน 07, 2014, 06:48:15 am »
เตือนสงกรานต์เล่นน้ำเปียก...เสี่ยง 5 โรค
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 เมษายน 2557 18:20 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000038729-

 โดย...พญ.กรุณา อธิกิจ อายุรแพทย์ รพ.ปิยะเวท
       
       เทศกาลแห่งความสุขที่ทุกคนรอคอยกำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ นั่นก็คือเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาวอย่างต่อเนื่องกันหลายวัน คนส่วนใหญ่ก็จะกลับบ้านไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และได้เล่นน้ำสงกรานต์คลายร้อนกันอย่างสนุกสนาน แต่หารู้ไม่ว่าโรคต่างๆ ที่จะตามมาหลังจากการเล่นน้ำสงกรานต์นั้นมีอะไรบ้าง


       แล้วยิ่งน้ำที่ไม่สะอาดด้วยแล้วนั้น อาจนำมาซึ่งเชื้อโรคต่างๆ มากมาย ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายเราผ่านทาง ตา หู จมูก ปาก หรือแม้กระทั่งการสัมผัส ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสต่างๆ ยิ่งในช่วงอากาศร้อนอบอ้าวด้วยแล้ว ความเสี่ยงในการเกิดโรคก็ยิ่งมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น เรามาดูกันดีกว่าว่าโรคอะไรบ้างที่มากับอากาศร้อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อเตรียมตัวในการรับมือได้อย่างถูกวิธี
       
       1.โรคอาหารเป็นพิษ โรคท้องร่วง โรคอหิวาตกโรค โรคไวรัสตับอักเสบเอ เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่อากาศร้อนและแห้งเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคโดยเฉพาะแบคทีเรียส่งผลให้อาหารที่ทำออกมารับประทานนั้นอาจบูดเสียได้ง่าย โดยเฉพาะพวกแกงที่มีส่วนผสมของกะทิหรือนมด้วยแล้ว รวมถึงการทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาดปนเปื้อนเชื้อโรค อาจทำให้เกิดโรคดังกล่าวได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน แต่หากมีภาวะขาดน้ำรุนแรงจะทำให้เกิดภาวะช็อค หมดสติ และเสียชีวิตได้
       
       2.โรคไข้หวัดและปอดอักเสบ เนื่องจากการเล่นน้ำสงกรานต์ทำให้ร่างกายเปียกชื้นเป็นเวลานาน ยิ่งในต่างจังหวัดมีการเล่นติดต่อกันตั้งแต่เช้าถึงเย็นด้วยแล้ว ควรต้องระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำและในกลุ่มเด็ก ไม่ควรสาดแรงจนเกินไปอาจทำให้สำลักน้ำ จนกลายเป็นที่มาของโรคปอดอักเสบได้ หากรู้สึกมีไข้หรือไม่สบายควรงดเล่นน้ำทันที เพราะจะทำให้อาการยิ่งรุนแรงมากขึ้น
       
       3.โรคตาแดง เป็นอีกโรคที่พบบ่อย เมื่อเราเล่นน้ำแล้วน้ำที่ไม่สะอาดที่มีเชื้อโรคปะปน เช่น น้ำในคลอง น้ำบาดาล หากน้ำกระเด็นเข้าตาและมือเราที่ไม่สะอาดอาจไปขยี้ตาก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบบวมแดงขึ้นมาได้ ถ้ามีอาการเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล ปวดตา
       
       4.โรคผิวหนัง ได้แก่ กลาก เกลื้อน ผดร้อน มักจะเกิดขึ้นได้ในหน้าร้อน จากการไม่รักษาความสะอาดของผิวหนัง และติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ หากเล่นน้ำที่ไม่สะอาดก็จะเกิดโรคได้ง่ายมาก จึงควรรักษาความสะอาดร่างกาย ใส่เสื้อผ้าที่ไม่หนาหรือคับจนเกินไป จะมีได้ทั้ง ตุ่มใส ตุ่มแดง ตุ่มหนอง ผื่นวงแดง ผื่นจุดสีขาว คันตามจุดอับชื้น หากมีผื่นที่น่าสงสัยให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
       
       5.โรคลมแดดหรือ ฮีตสโตรก (Heat Stroke) เป็นอีกโรคที่คนมักมองข้ามและคิดว่าอาจจะไม่ร้ายแรงมาก แต่แท้จริงแล้วอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว โดยโรคนี้คือการเป็นลมจากอากาศร้อน ทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส เกิดได้ในผู้ที่ร่างกายแข็งแรง ยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างร้อนจัดทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเป็นเวลานานๆ ร่างกายปรับตัวไม่ทัน สูญเสียเหงื่อมาก ระดับความเข้มข้นของเลือดและเกลือแร่ในร่างกายเข้มข้นเกินไป อาการเบื้องต้นได้แก่ รู้สึกกระหายน้ำมากๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ ช็อก หมดสติได้
       
       ผู้ป่วยจะมีอาการตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเหงื่อออก ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่วๆ ไป ที่จะพบว่าจะมีเหงื่อออกด้วย หากเกิดอาการดังกล่าวจะต้องหยุดพักทันที การป้องกันโรคลมแดด ควรหลีกเลี่ยงการยืนตากแดดเป็นเวลานานๆ หากจำเป็นควรสวมหมวกหรือกางร่ม ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด ยกเว้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจ โรคไต รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอากาศร้อนทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์จะสูง ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เกิดอาการปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะบ่อย ขาดน้ำ เป็นต้น
       
       ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานร่าเริง แต่ก็ไม่ควรละเลยการใส่ใจในการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง ต้องระวังเรื่องความสะอาดของอาหารและน้ำดื่ม และยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ด้วยการทานอาหารที่สุกใหม่สะอาด งดอาหารสุกๆ ดิบๆ หลีกเลี่ยงการทานอาหารค้างคืนหรืออาหารที่ปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน ดื่มน้ำที่สะอาดผ่านการกรองหรือต้มสุกมาแล้ว ล้างมือก่อนปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ใช้ช้อนกลางหากทานอาหารร่วมกัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแมลงวันตอม และเวลาเล่นน้ำสงกรานต์ควรจะใช้น้ำสะอาดในการเล่น อย่าใช้มือในการสัมผัสกับดวงตา ไม่ควรแช่อยู่ในเสื้อผ้าเปียกเป็นเวลานานๆ ควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่แห้งทันทีหลังเล่นน้ำเสร็จ เพื่อป้องกันเชื้อโรคและปรสิตที่ปะปนมากับน้ำ
       
       เมื่อเราเล่นน้ำเสร็จแล้วก็ควรรีบล้างตัวให้สะอาดด้วยสบู่ และเช็ดตัวให้แห้ง และหลักสำคัญคือควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน และหากพบความผิดปกติใดๆ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
       
       เทศกาลสงกรานต์ถือเป็นประเพณีที่ดีงาม เราจึงควรช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมนี้ไว้ ด้วยการนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่นเป็นหลัก ระวังอย่าสาดน้ำแรงจนทำให้ผู้อื่นสำลัก อย่าเล่นน้ำด้วยความคึกคะนองจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เท่านี้คุณก็จะอยู่กับอากาศร้อนในช่วงสงกรานต์ได้อย่างมีความสุขและความสนุกสนานอย่างมีวัฒนธรรม


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #84 เมื่อ: เมษายน 10, 2014, 06:25:36 am »
7 วิธีป้องกัน “โรคอุจจาระร่วง” เมื่อต้องหม่ำข้าวนอกบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 เมษายน 2557 19:32 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000040155-


กรมควบคุมโรคเผยแค่ 3 เดือน คนไทยป่วยอาหารเป็นพิษแล้ว 3.1 หมื่นราย สำรวจพบออกนอกบ้านประชาชนกลัวโรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษมากที่สุด แนะ 7 วิธีป้องกันตัวเองเวลากินข้าวนอกบ้านให้ปลอดภัยจากโรค

 วันนี้ (9 เม.ย.) ที่กรมควบคุมโรค นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวภายหลังเป็นประธานแถลงข่าว ดีดีซีโพล ครั้งที่ 4 เรื่อง “โรคและภัยสุขภาพจากการท่องเที่ยว: โรคอาหารเป็นพิษ” ว่าจากข้อมูลเฝ้าระวังโรคอาหารเป็นพิษ โดยสำนักระบาดวิทยา คร. ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 มี.ค. พบผู้ป่วยจำนวน 31,627 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 49.79 ต่อแสนประชากร สูงสุด 5 อันดับแรกคือ อุดรธานี หนองบัวลำภู อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และตราด โดยโรคอาหารเป็นพิษเกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือสารพิษที่เชื้อโรคสร้างเข้าไป ซึ่งการปนเปื้อนอาจเกิดตั้งแต่แหล่งผลิตอาหาร แหล่งปรุง เสิร์ฟอาหาร หรือแม้กระทั่งปนเปื้อนขณะกิน อาการที่พบคือ ถ่ายเหลว ร่วมกับปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน ไข้สูง ปวดเมื่อยเนื้อตัว และปวดข้อ เป็นต้น
       
       “โรคอาหารเป็นพิษมักป่วยไม่รุนแรง ยกเว้นกรณีได้รับเชื้อชนิดรุนแรง ในรายที่เสียน้ำและเกลือแร่มาก ในกรณีเด็กหรือผู้สูงอายุ เป็นต้น โรคนี้รักษาได้ตามอาการ เช่น การทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ ด้วยสารละลายเกลือแร่ และน้ำตาลทางปาก” อธิบดี คร. กล่าว
       
       นพ.โสภณ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 3,112 ตัวอย่าง พบว่าโรคเกี่ยวกับอาหารและน้ำในช่วงหน้าร้อนที่อยากให้ คร. ดำเนินการมากที่สุดคือ โรคอุจจาระร่วง ร้อยละ 53.8 รองลงมาคือ โรคอาหารเป็นพิษในนักเรียน ร้อยละ 23.3 และโรคอหิวาตกโรค ร้อยละ 11.2 ส่วนโรคที่น่ากลัวที่สุดขณะเดินทางคือ โรคอุจจาระร่วง/อาหารเป็นพิษ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างในสังคมชนบท เมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษไม่สามารถทำน้ำเกลือแร่ร้อยละ 59.1 ไม่แน่ใจทำน้ำเกลือแร่เพื่อรักษาตัวเองเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง ร้อยละ 57.5 ทั้งนี้ ร้อยละ 75.7 คิดว่าน้ำแข็งที่แบ่งขายตามท้องตลาด ร้านอาหารไม่สะอาด สำหรับการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ปลาร้าดิบ ก้อยดิบ ลาบดิบ พบว่ากินเป็นประจำ 5-7 วัน/สัปดาห์ ร้อยละ 61.8 ที่สำคัญไม่เคยล้างมือก่อนการเตรียมและปรุงอาหาร มากกว่าเป็น 2 เท่าของกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในเมือง
       
       นพ.โสภณกล่าวว่า วิธีป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ต้องป้องกันสาเหตุคือ การป้องกันการติดเชื้อทางอาหาร น้ำดื่ม และทางมือ ทั้งนี้เมื่อต้องเดินทางสามารถป้องกันได้โดย 1. ถ้าเตรียมอาหารไปจากบ้าน ไม่ควรเตรียมอาหารที่บูดเสียง่าย เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท ไม่เก็บในที่ร้อนเกินไปและนานเกินไป ควรทำให้ร้อนก่อนกิน 2. กรณีใช้อาหารกระป๋องสำเร็จรูป เลือกยี่ห้อและร้านค้าที่เชื่อถือได้ ฉลากอยู่ครบ มีวันหมดอายุชัดเจน กระป๋องไม่มีรอยบุบ หรือโป่ง 3. เมื่อกินอาหารตามร้าน ควรเลือกร้านที่ได้รับการรับรอง เลือกกินอาหารปรุงสุก ใช้วัตถุดิบสด จัดเก็บได้ถูกต้อง ไม่มีแมลงวันตอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล เนื้อสัตว์ และผักสด
       
       นพ.โสภณกล่าวว่า 4. เลือกซื้ออาหารที่ไม่ปรุงอาหารทิ้งไว้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอาหารที่มีกะทิประกอบ ส่วนยำ ลาบ ต้องปรุงให้สุก 5. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่คุ้นเคย 6. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนเตรียมอาหารและกินอาหาร รวมทั้งหลังจากเข้าห้องน้ำ 7. ดื่มน้ำสะอาด ถ้าต้องดื่มน้ำนอกบ้าน เลือกดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์ที่มีตรา อย. และถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ควรนำมาต้มให้เดือดก่อน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #85 เมื่อ: เมษายน 16, 2014, 03:09:42 am »

เตือนภัย! จอดรถเปิดแอร์นอน-ปิดกระจกถึงตาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 เมษายน 2557 13:48 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000042052-



 สพฉ. เตือนภัยเงียบเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ จอดพักรถนอนเปิดแอร์และปิดกระจก ถึงตายได้เพราะสูดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แนะก่อนเดินทางควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อม หากต้องจอดพักเลือกสถานที่ที่ปลอดภัย
       
       นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงของการเดินทางกลับบ้านของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังมีภัยเงียบที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือการจอดพักรถริมข้างทางแล้วเปิดแอร์เพื่อนอนหลับพักผ่อน ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ได้มีผู้ขับขี่รถต้องเสียชีวิตจากการเปิดแอร์นอนในรถแล้วหลายราย อันตรายจากการสตาร์ทรถแล้วเปิดแอร์นอนไปด้วยนั้นถือเป็นภัยใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม เพราะการเปิดแอร์พร้อมสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้และปิดกระจกรถมิดชิดทั้ง 4 ด้านนั้น จะทำให้ระบบแอร์ของรถยนต์ซึ่งจะต้องดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาหมุนเวียนภายในรถ จะดูดเอาควันจากท่อไอเสียรถยนต์เข้ามา ซึ่งในไอเสียรถยนต์มีทั้งก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ ระบุว่าการสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ เซื่องซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นปิดปกติ เนื่องจากมีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งเมื่อระบบแอร์ของรถยนต์ดูดก๊าซเหล่านี้เข้ามาเมื่อเรานอนหลับอยู่เราก็จะสูดดมก๊าซเหล่านี้เข้าไปด้วย และจะส่งผลต่อร่างกายของเราโดยทำให้เราค่อยๆ หมดสติจนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตไปในที่สุด
       
       นพ.อนุชา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สำหรับคนที่ต้องเดินทางไกลควรจะวางแผนการเดินทางให้ดี โดยต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ควรศึกษาเส้นทางการเดินทางให้ละเอียดเพื่อย่นระยะเวลาของการเดินทางให้ไวขึ้น และเลือกใช้เส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัย  และควรตรวจเช็กสภาพของรถให้พร้อมทั้งระบบเบรก สภาพเครื่องยนต์ใบปัดน้ำฝน หรือสัญญาณไฟต่างๆ ของรถ  และเมื่อรู้สึกง่วงก็ควรที่จะจอดรถนอนหลับพักผ่อนประมาณ 30-40 นาทีในที่ที่เหมาะสม อาทิ ป้อมตำรวจ ปั๊มน้ำมันที่มีไฟส่องสว่าง เมื่อจอดรถยนต์แล้วก็ควรดับเครื่องยนต์รถ และแง้มกระจกลงเล็กน้อยเพื่อทำให้เกิดการระบายอากาศภายในรถ และควรปรับเบาะรถให้พอดีกับการนอน  และอย่าลืมหากบาดเจ็บ หรือป่วยฉุกเฉินให้โทรหาสายด่วน 1669  ซึ่งเราพร้อมในการดูแลประชาชนทุกคนในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #86 เมื่อ: เมษายน 16, 2014, 03:20:34 am »



โรคไฟลามทุ่ง

-http://guru.sanook.com/26934/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87/-




ไฟลามทุ่ง เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นผื่นแดงลุกลามเร็ว คล้ายไฟลามทุ่ง สามารถรักษาให้หายขาดด้วยยาปฏิชีวนะที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค

ข้อสำคัญ ต้องรีบรักษาตั้งแต่แรก หากปล่อยทิ้งไว้ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกันอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเป็นอันตรายได้

ชื่อภาษาไทย

ไฟลามทุ่ง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้นอักเสบ

ชื่อภาษาอังกฤษ

Erysipelas. St. Anthony's Fire

สาเหตุ

โรคนี้เป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้น (upper subcutaneous tissue) รวมทั้งท่อน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง

ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า "เบตาเฮโมโลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (betahemolytic group A streptococcus)" มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า streptococcus pyogenes ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับที่ทำให้คอหอยหรือทอนซิลอักเสบ ส่วนน้อยอาจเกิดจากสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มอื่น หรือเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น

เชื้อจะเข้าทางบาดแผลหรือรอยแยกของผิวหนัง (เช่นผลถูกของมีคมบาด แผลถลอก รอยแกะเกา แผลผ่าตัด) ผู้ป่วยมักมีประวัตเกิดบาดแผลที่ผิวหนังบริเวณที่จะเกิดไฟลามทุ่งมาก่อน (แต่บางคนอาจไม่มีประวัติดังกล่าวชัดเจนก็ได้)

โรคนี้มักพบในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น ยาสตีรอยด์ ซึ่งอาจผสมอยู่ในยาชุด ยาลูกกลอน) ผู้ที่ผ่าตัดหลอดเลือดดำที่ขา (นำไปทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ) หรือผู้ที่มีภาวะอุดตันหลอดเลือดหรือท่อน้ำเหลือง

อาการ

มักพบผิวหนังมีการอักเสบ เป็นผื่นแดง ปวด บวม ร้อน (ใช้หลังมือคลำจะออกร้อนกว่าผิวหนังปกติ) ส่วนใหญ่ผู้ที่ป่วยมักมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศรีษะ ร่วมด้วย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง หลังติดเชื้อ (มีบาดแผล)

ต่อมาผื่นจะลุกลามขยายออกโดยรอบอย่างรวดเร็วแผ่เป้นแผ่นกว้าง ขอบนูนแยกออกจาผิวหนังที่ปกติอย่างชัดเจน และมีลักษณะคล้ายผิวส้ม เมื่อกดตรงบริเวณนั้นสีจะจางลงและมีรอยบุ๋มเล็กน้อย

ผื่นแดงที่แผ่ลามออกไปรวดเร็วนี้ เกิดจากพิษ (exotoxin) ของเชื้อโรค ไม่ใช่จากตัวเชื้อโดยตรง แม้ว่าเชื้อจะถูกกำจัดจากการใช้ยา พิษที่ตกค้างอยู่ก็ยังคงทำให้ผื่นลุกลามต่อไป จึงได้ชื่อว่า "ไฟลามทุ่ง"

ระยะท้าย ผื่นจะยุบและค่อยๆ จางหายไป ผิวหนังอาจจะลอกเป็นขุย และใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ กว่าผื่นจะหายสนิท โดยไม่เป็นผลเป็น

บางรายอาจพบรอยโรคเป็นเส้นสีแดง เนื่องจากท่อน้ำเหลืองอักเสบ ก่อนที่จะพบรอยผื่นแดงที่แผ่กระจาย และอาจพบต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณใกล้เคียงบวมโตและเจ็บ

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจเกิดตุ่มน้ำพอง มีน้ำเหลืองเยิ้ม มักจะไม่เป็นหนองข้น (ถ้าเป็นหนองมักเกิดจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ)

มักเกิดบริเวณขา อาจพบที่แก้ม รอบหู รอบตา แขน นิ้วมือ หรือนิ้วเท้าก็ได้

การแยกโรค

ผิวหนังอักเสบเป็นรอยผื่นแดง ปวด ร้อน อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่พบบ่อย ได้แก่

เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ (cellulitis) มีสาเหตุและลักษณะอาการแสดงแบบเดียวกับไฟลามทุ่ง แต่กินลึกถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกกว่า ได้แก่ชั้นไขมันด้วย ผื่นจะมีขอบไม่ชัดเจนแบบไฟลามทุ่งและอาจพบเป้นหนองหรือผิวหนังกลายเป็นเนื้อตายร่วมด้วย

งูสวัด (herpes zoster) ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อนและมีตุ่มน้ำพุขึ้นเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท อาจพบที่ใบหน้า ต้นแขน ชายโตรง หรือขา มักเกิดขึ้นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ต่อมาตุ่มจะแห้งตกสะเก็ด และทุเลาภายใน 2-3 สัปดาห์ อาจมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

ลมพิษ (urticaria) ผู้ป่วยจะมีผื่นนูนแดง และคัน ไม่ปวด เกิดขึ้นฉับพลัน หลังมีอาการแพ้ เช่น แพ้อาหาร แพ้ยา แพ้ฝุ่น เป็นต้น มักไม่มีไข้และจะขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย

เกาต์ (gout) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อ ข้อบวมแดงร้อน มักเป็นที่ข้อหัวแม่เท้า หรือข้อเท้าเพียงข้อใดข้อหนึ่ง อาจมีไข้ร่วมด้วย มักเกิดขึ้นหลังกินเลี้ยง ดื่มสุรา หรือกินอาหารที่ให้ยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล พืชผักหน่ออ่อน ยอดผัก

การวินิจฉัย

แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคไฟลามทุ่งจากลักษณะอาการแสดง และการตรวจพบผื่นแดงร้อน ปวด บวม ลุกลามเร็ว มีขอบชัดเจน

ในรายที่ไม่แน่ใจ อาจทำการตรวจเลือด หรือเพราะเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายที่มีภาวะโลหิตเป็นพิาแทรกซ้อน

การดูแลตัวเอง

หากพบมีอาการอักเสบของผิวหนัง คือเป็นรอยผื่นแดง ร้อน ปวด บวม ลุกลามรวดเร็ว หรือมีไข้ร่วมด้วยควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น กินยาสตีรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน)

เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไฟลามทุ่ง ควรรับการรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง และใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์แนะนำ อย่าหยุดยาเอง หรือหันไปใช้วิธีรักษาอื่น

ผู้ป่วยควรหยุดพักการเคลื่อนไหว และยกแขนหรือขาข้างที่เป็นให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการปวดและบวม

บางรายอาจต้องใช้ผ้ายืด (elastic bandage) พันตามคำแนะนำของแพทย์

การรักษา

แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อเช่น เพนิซิลลิน อะม็อกซีซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน นาน 10-20 วัน ถ้ามีไข้หรือปวดมาก ให้พาราเซตามอลบรรเทา ในรายที่เป็นรุนแรง หรือสงสัยมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลและใช้ยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลิน เซฟาโลสปอริน) ชนิดฉีด จนกว่าจะทุเลาจึงค่อยเปลี่ยนเป็นยาปฏิชีวนะชนิดกิน

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยทิ้งไว้ หรือได้รับการรักษาช้าเกินไป เชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือด เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ ซึ่งหากพบในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

บางรายเชื้ออาจแพร่กระจายไปที่หัวใจ (กลายเป็นเยื่อบุหัวใจอักเสบ) หรือข้อ (กลายเป็นข้ออักเสบชนิดเป็นหนอง)

ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี อาจกลายเป็นหน่วยไตอักเสบเฉียงพลัน (acute glomerulonephritis) มีอาการไข้สูง บวมทั้งตัว ปัสสาวะสีแดงคล้ายสีน้ำล้างเนื้อ

ร้อยละ 16-30 ของผู้ป่วยโรคนี้หลังจากรักษาหายแล้ว อาจกำเริบซ้ำได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เบาหวาน ผู้สูงอายุ) หรือมีความผิดปกติของท่อน้ำเหลือง

ถ้าเป็นซ้ำบ่อยๆ อาจทำให้ท่อน้ำเหลืองถูกทำลายถาวร เกิดอาการบวมแขนหรือขาได้

การดำเนินโรค

หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก อาการมักจะทุเลาภายใน 24-72 ชั่วโมง คือไข้ลด อาการปวดหรือร้อนของผื่นลดลง

ส่วนผื่นอาจลุกลามต่อไป และจะค่อยๆ จางหายไปใน 2-3 สัปดาห์ ในรายที่ได้รับการรักษาช้าเกินไป หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาจรุนแรงถึงเป็นอันตรายได้

การป้องกัน

1. ระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนัง

2. ถ้ามีบาดแผลเกิดขึ้น รีบล้างด้วยน้ำสบู่ และใช้ขี้ผึ้งที่เข้ายาปฏิชีวนะทา

3. หากพบผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงร้อน หรือมีลักษณะเป็นเส้นสีแดง หรือมีไข้ร่วมด้วย หรือเป็นเบาหวาน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาแต่เนิ่นๆ

ความชุก

ไฟลามทุ่ง พบได้บ่อยในผู้ที่มีบาดแผลหรือรอยแยกที่ผิวหนัง โดยเฉพาะในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยาสตีรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้ามกัน ผู้ที่ผ่าตัดหลอดเลือดดำที่ขา

ข้อมูลจาก : http://www.oknation.net/























คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #87 เมื่อ: เมษายน 19, 2014, 12:59:33 pm »
วิธีดูแลตัวเองเมื่อนอนดึก พักผ่อนน้อย

-http://guru.sanook.com/26956/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/-




การนอนดึก พักผ่อนน้อย เป็นเหตุให้อายุสั้น การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร

ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า

แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด

ดัง นั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว

ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ

ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอา พลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่าง กายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่

แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้ง ทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูก งอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรีย เข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้า เส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

ระบบเหงื่อ

คนที่ไม่มี เหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ

ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นใน ตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้

แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้ สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้าเราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : Samitivej Club

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #88 เมื่อ: เมษายน 19, 2014, 06:46:18 pm »
เคล็ด(ไม่)ลับต้มผักให้ได้ประโยชน์


-http://club.sanook.com/27094/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-



ในอาหารหลัก 5 หมู่ “ผัก” เป็นอาหารที่รวมรวมวิตามิน เกลือแร่และใยอาหารอยู่มากมาย มีคุณสมบัติช่วยรักษา หรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยบางประเภทได้ ผู้คนจึงนิยมบริโภค “ผัก” กันมากขึ้น และเมนูที่ใช้ “ผัก” ก็มีอยู่มากมายทั้งผัด ต้ม หรือลวก วันนี้ Sanook! Club มีวิธีต้มผัก หรือลวกผักให้ไม่เสียวิตามิน หรือคุณค่าทางอาหารมาฝากค่ะ

 

- ใช้น้ำน้อย หากใช้น้ำในปริมาณมาก จะทำให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำที่ต้มผักมากไปด้วย

- ต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงใส่ผักลงไป และใช้เวลาต้มน้อยที่สุด (ไม่เกิน 3 นาที) เพราะวิตามินบางชนิดจะสลายไปเมื่อโดนความร้อนนานๆ

- ใส่เกลือเล็กน้อยขณะน้ำเดือดจัด จะช่วยให้ผักต้มสุกเร็วขึ้น

- ไม่ควรหั่นผักชิ้นใหญ่ จะทำให้สุกช้า

- ผักที่เป็นหัว เช่นแครอท หัวไชเท้า ควรต้มน้ำเดือดอ่อนๆ และต้มทั้งหัว

- ตักผักที่ต้มสุกได้ที่แล้วลงไปแช่ในน้ำเย็นจัด ทำให้ผักคงสีเขียวสดน่ารับประทาน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #89 เมื่อ: เมษายน 20, 2014, 09:45:16 am »
โรคพิษสุนัขบ้า ป่วยแล้วตายทุกราย แพทย์แนะถูกกัดข่วนรีบหาหมอ

-http://health.kapook.com/view86453.html-


โรคพิษสุนัขบ้า ปัญหาที่ทุกคนต้องตระหนัก (สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค)

          โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ป่วยแล้วตายทุกราย แพทย์แนะผู้ที่ถูกสัตว์ต้องสงสัยโรคพิษสุนัขบ้า เช่น สุนัข แมว กัดหรือข่วน ให้รีบล้างแผล ใส่ยา กักหมา แล้วรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน

          เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวถึงสถานการณ์การพบสุนัขเพศเมียพันธุ์ผสมพุดเดิ้ล อายุ 3 ปี ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า และทำให้ลูกสุนัขที่นำไปขายในจังหวัดมหาสารคามติดเชื้อด้วยว่า ทางปศุสัตว์อำเภอโกสุมพิสัย ได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุข และองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบถึงการระบาด และดำเนินการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมทั้งวิธีการปฏิบัติหลังสัมผัสสุนัขและแมวที่ต้องสงสัยในพื้นที่รอบจุดเกิดโรครัศมี 5 กิโลเมตรแล้ว

          พร้อมกันนี้ กรมปศุสัตว์ ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดโครงการรณรงค์การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และส่งเสริมการเลี้ยงสุนัขที่ถูกต้องทั่วประเทศ โดยแนะนำให้ผู้เลี้ยงสุนัขนำสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปฉีดวัคซีนกระตุ้นตามที่สัตวแพทย์กำหนด และฉีดซ้ำทุกปีไม่ต้องรอหน้าร้อน เพราะโรคพิษสุนัขบ้าเกิดได้ตลอดทั้งปี

          ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุม กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ เกิดจากเชื้อไวรัสเรบี่ส์ สัตว์นำโรคได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น ชะนี กระรอก กระแต กระต่าย ลิง ค้างคาว หรือแม้กระทั่งสัตว์เศรษฐกิจ วัว ควาย แพะ แต่ สัตว์นำโรคที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย คือ สุนัข โดยมีผู้ป่วยร้อยละ 95 ติดเชื้อมาจากสุนัขกัดหรือข่วน รองลงมาคือ แมว ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าในน้ำลายได้ 1-7 วัน ก่อนแสดงอาการโรคพิษสุนัขบ้า

          ทั้งนี้ อาการของโรคพิษสุนัขบ้าที่พบในคนนั้น อาการเริ่มแรก คือ เบื่ออาหาร เจ็บคอ มีไข้ อ่อนเพลีย มีอาการคันรุนแรงบริเวณที่ถูกกัด แล้วอาการคันลามไปส่วนอื่น ต่อมาจะมีอาการกระสับกระส่าย กลัวแสง กลัวลม ไม่ชอบเสียงดัง เพ้อเจ้อ กลืนลำบาก โดยเฉพาะของเหลว กลัวน้ำ ปวดท้องน้อยและกล้ามเนื้อขากระตุก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรืออาจชัก เกร็ง อัมพาต หมดสติ และตายในที่สุด

 สำหรับโอกาสที่จะเจ็บป่วยหลังถูกสัตว์ที่ป่วยหรือมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัดหรือข่วนขึ้นอยู่กับ

          1. จำนวนเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าที่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งบาดแผลที่ถูกกัดมีขนาดใหญ่ ลึก หรือมีบาดแผลหลายแห่งจะมีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้มาก

          2. ตำแหน่งที่ถูกกัด หรือตำแหน่งที่เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่ร่างกาย เช่น ศีรษะ หรือ บริเวณที่มีปลายประสาทมาก เช่น มือหรือเท้า เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ระบบประสาทได้ง่าย

          3. อายุของคนที่ถูกสุนัขกัดหรือข่วน เช่น เด็กและผู้สูงอายุจะมีความต้านทานต่อโรคพิษสุนัขบ้าต่ำกว่าคนหนุ่มสาว

          4. สายพันธุ์ของเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ถ้าเป็นสายพันธุ์จากสัตว์ป่า จะมีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์จากสัตว์เลี้ยง

          อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า ประชาชนควรปฏิบัติตัวดังนี้

          1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้สัตว์เลี้ยง ครั้งแรกตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี แม้จะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้านเพราะอาจถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดขณะที่เห่าบริเวณช่องรั้วบ้าน หรือถูกกัดขณะเจ้าของเปิดประตูบ้านโดยที่เจ้าของไม่ทราบ หรือจากสุนัขที่นำเข้ามาเลี้ยงใหม่

          2. ปฏิบัติตามคำแนะนำ 5 ย คือ อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ และอย่ายุ่ง เพื่อป้องกันการถูกสุนัขกัด (อย่าแหย่ให้สุนัขโมโห อย่าเหยียบสุนัข (หาง, ตัว, ขา) หรือทำให้สุนัขตกใจ อย่าแยกสุนัขที่กำลังกัดกันด้วยมือเปล่า อย่าหยิบชามอาหารขณะสุนัขกำลังกิน และอย่ายุ่งกับสุนัขนอกบ้านหรือที่ไม่ทราบประวัติ)

          3. เมื่อถูกสุนัขกัดให้ล้างแผลให้สะอาด และรีบไปพบแพทย์ ส่วนสุนัขที่กัดให้ขังดูอาการเป็นเวลาอย่างน้อยเป็นเวลา 10 วัน

          "โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายได้ หากติดเชื้อและมีอาการแล้วเสียชีวิตทุกราย ป้องกันได้ด้วยการนำสัตว์เลี้ยงไปรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามกำหนด ใช้คาถา 5 ย ถ้าถูกสุนัขหรือสัตว์กัดข่วนให้รีบล้างแผล ใส่ยา กักหมา หาหมอ ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร 0-2590 3177-78 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422" อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเน้นย้ำในตอนท้าย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.ddc.moph.go.th/-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)