อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ

<< < (19/33) > >>

sithiphong:
สัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ “คนอ้วน-เด็ก-แก่” ระวัง “โรคลมแดด” อาจถึงตาย!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 เมษายน 2557 15:55 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000045199-

  สธ. เตือนสัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ ระวังโรคลมแดด ชี้อันตรายร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันอาจถึงตาย เผยหน้าร้อนปีที่แล้วตายถึง 20 ราย แนะ 6 กลุ่มเสี่ยงป้องกันตัว โดยเฉพาะคนสูงอายุ เด็ก ความดัน อ้วน อดนอน ทำงานกลางแดด และกินเหล้า ให้ดื่มน้ำมากๆ เลี่ยงแดด ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนดี

สัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ “คนอ้วน-เด็ก-แก่” ระวัง “โรคลมแดด” อาจถึงตาย!!
   
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนที่สุด ที่น่าห่วงและมีอันตรายคือ โรคลมแดด หรือ ฮีตสโตรก (Heat stroke) ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่ร่างกายไม่สามารถปรับความร้อนในร่างกายได้ อุณหภูมิร่างกายจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิน 40 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หน้ามืด เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ช็อก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ กลุ่มเสี่ยงมี 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด 2. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบและผู้สูงอายุ 3. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง 4. คนอ้วน 5. ผู้ที่อดนอน และ 6. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
       
       “ร่างกายของคนอ้วนและผู้ที่อดนอน จะตอบสนองต่อความร้อนที่ได้รับช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะคนอ้วนจะมีไขมันใต้ผิวหนังมาก กลายเป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้ร่างกายระบายความร้อนออกได้น้อยกว่าคนทั่วไป ส่วนคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ร่างกายจึงสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนไม่ได้ดื่ม ที่สำคัญอากาศที่ร้อนจัดทำให้แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้รวดเร็ว กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้น เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย แต่เลือดไปเลี้ยงที่ตับ ไตน้อยลง ทำให้ไตวาย ร่างกายอาจปรับสภาพไม่ทัน เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้” ปลัด สธ. กล่าว
       
       ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ปัญหาจากอากาศร้อนมีผลกระทบต่อสุขภาพ 4 ระดับ ได้แก่ 1. ผิวหนังไหม้ (Sun burn) 2. ตะคริวจากความร้อน (Heat cramp) เนื่องจากสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปกับเหงื่อมาก 3. เพลียแดด (Heat exhaustion) จากร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง มีอาการหน้าซีด ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด ตาลาย และ 4. ลมแดด (Heat Stroke) ทั้งนี้ สำนักระบาดวิทยา รายงานปี 2546-2556 มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดรวม 196 ราย เป็นผู้สูงอายุมากที่สุด รองลงมาคือผู้มีอาชีพรับจ้าง มีโรคประจำตัว และดื่มสุรา โดยปี 2556 มีผู้เสียชีวิต มี.ค. - เม.ย. จำนวน 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชายและอายุมากกว่า 60 ปี เสียชีวิตในบ้านมากที่สุด รองลงมาคือ ที่ทำงาน และในรถยนต์
       
       นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า การช่วยเหลือผู้เป็นลมแดด ให้นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด คลายชุดชั้นในและถอดเสื้อผ้าออกให้เหลือน้อยชิ้น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกคอ ตัว รักแร้ ขาหนีบ หน้าผาก ร่วมกับการใช้พัดลมช่วยเป่าระบายความร้อน หรือเทน้ำเย็นราดตัว เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลง และรีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ในรายที่อาการยังไม่มากควรให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ส่วนการป้องกันนั้น ช่วงที่อากาศร้อนขอให้ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ไม่หนา ระบายความร้อนได้ดี ลดกิจกรรมออกแรงกลางแจ้ง ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอย่าทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดกลางแจ้ง ผู้ที่ออกกำลังกายควรทำในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ซึ่งอากาศไม่ร้อนมาก และค่อยเป็นค่อยไป ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวหากมีอาการผิดปกติ เช่น วิงเวียนปวดศีรษะ ใจสั่น ขอให้พบแพทย์



sithiphong:
อากาศร้อน...กลิ่นตัวแรง..กำจัดอย่างไรดี


-http://guru.sanook.com/27011/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99...%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87..%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5/-



วันนี้พี่เอมี่เจอเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาปรึกษาปัญหากลิ่นตัว..เพราะอากาศร้อนมาก อาบน้ำไม่นานเหงื่อก็ออกอีกแล้ว เพื่อนพี่บอกว่าขนาดใช้โรลออนที่โฆษณาว่าได้ผลนักหนายังไม่ช่วยอะไรเลย ทำอย่างไรดี

โดยปกติแล้วทุกคนจะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งเป็นกลิ่นธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนดม ต่างจาก กลิ่นตัว (Body Odor) ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมของร่างกาย ขับเหงื่อและไขมันออกมาทางผิวหนัง ทำให้เกิดความชื้น ส่งผลให้เกิดการเปื่อยยุ่ย และลอกออกของผิวหนัง จากนั้นแบคทีเรียและเชื้อราก็จะกินเซลล์ที่ตายแล้ว และขับกรดออกมาทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
บริเวณที่มักขับเหงื่อออกมามากที่สุด คือ ที่อับชื้น ได้แก่ รักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า ข้อพับต่างๆ และอวัยวะเพศ แต่ด้วยเป็นจุดอับ เวลาเหงื่อออกจึงระเหยออกไปได้ยาก ทำให้เกิดการหมักหมมเป็นกลิ่นเหม็น กลิ่นตัวของคนจะแรงขึ้น เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ
นอกจากนี้ อาหารบางชนิด เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ สะตอ กระเทียม หอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ตลอดจนยาบางชนิด ก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เช่น การใช้ยารักษาสิวทั่วไปที่มีสารเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ผสมอยู่เป็นประจำ รวมถึงโรคประจำตัวอื่นๆ ทั้งท้องผูก ตับอักเสบ ไต เบาหวาน พยาธิในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็ง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน

แล้วทำอย่างไรจะช่วยกำจัดหรือลดปัญหากลิ่นตัวได้บ้าง

1. รักษาความสะอาด อาบน้ำให้สะอาด สวมเสื้อผ้าที่สะอาด โดยเลือกเนื้อผ้าที่ใช้เส้นใยจากธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ระบายเหงื่อได้ดี ในกรณีที่กลิ่นยังติดอยู่บนเสื้อผ้า ซักด้วยผงซักฟอกแล้วยังไม่ออก ให้ลองแช่ผ้าในน้ำเกลืออุ่นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยใช้เกลือ 3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร
2. ผ่อนคลายความเครียด บางครั้งความเครียดก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน เพราะร่างกายจะหลั่งสารอดรีนาลีนออกมา
3. ทำดีท็อกซ์ การสะสมสารพิษในร่างกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน ปัญหานี้ช่วยได้ด้วยการทำดีท็อกซ์
4. ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆเพราะจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์กับร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย ดังนั้นขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ
นอกจากนี้ การรับประทานอาหารบางประเภทก็ส่งผลต่อปัญหากลิ่นตัวของเราได้ ดังนั้น มีวิธีลดกลิ่นตัวด้วยอาหาร ดังนี้

1. กินอาหารหลากหลาย กินโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสดทั้งใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สดโดยเฉพาะแก้วมังกรวันละ 1 จานเล็ก จะช่วยได้ดี หรือน้ำคั้นสดจากผักและผลไม้ รวมทั้งกินอาหารที่มีธาตุสังกะสี หรือแมกนีเซียม เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และอาหารทะเล 2. เลี่ยงการกินอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กุยช่าย ขิงสด สะตอ หัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ รวมถึงเลี่ยงการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3. เลี่ยงอาหารก่อพิษ จำพวกเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งหมู เนื้อ ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง เพราะจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ขับไขมันออกมามาก โดยเฉพาะใต้วงแขน และที่สำคัญจะก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้  ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่หากเกิดปัญหากลิ่นตัวแล้ว จะระงับได้อย่างไร พี่เอมี่มีวิธีด้วยสมุนไพรตามแบบธรรมชาติมาแนะนำค่ะ

1. ใบพลู นำใบพลูมาขยี้แล้วทารักแร้หลังอาบน้ำ เพราะใบพลูมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายชนิด 2. ใบฝรั่ง นอกจากจะช่วยระงับกลิ่นปากได้แล้ว ใบฝรั่งยังช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน โดยนำใบฝรั่งประมาณ 10 ใบ มาโขลกให้ละเอียดแล้วทารักแร้ ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วอาบน้ำให้สะอาด 3. มะนาว ใช้มะนาวผ่าซีกทาบริเวณรักแร้ขณะอาบน้ำ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 4. มะขามเปียก คั้นน้ำมะขามเปียกปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำมะขามแทนสบู่ตอนอาบน้ำ มะขามเปียกจะช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมม

ถ้าสมุนไพรยากไป มีอีกหลายวิธีที่นิยมค่ะ

1. สารส้ม ใช้สารส้มถูทาที่รักแร้หลังจากอาบน้ำทุกครั้ง โดยทาขณะที่รักแร้ยังเปียกอยู่ 2. สารส้มและพิมเสน นำสารส้มสะตุผสมพิมเสนอย่างละเท่าๆ กัน บดให้ละเอียด แล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อย ทาที่รักแร้ปล่อยให้แห้ง 3. ปูนแดง ใช้ปูนแดงผสมน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ เพื่อใช้ความเป็นด่างของปูนแดง ช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวหนัง (อย่าใช้ปูนแดงปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้กัดผิวได้) 4. สารสกัดจากสะระแหน่ หยดน้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ 2-3 หยด ใส่ลงในอ่างอาบน้ำ เพราะสะระแหน่มีคุณสมบัติเป็นยาดับกลิ่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว

และสุดท้าย เพื่อสาวทำงานแบบพี่เอมี่โดยเฉพาะ

วิธีกำจัดกลิ่นตัวอย่างง่ายในออฟฟิศ

ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำสะอาด หยดโคโลญเล็กน้อย หรือจะใช้น้ำมันหอมกลิ่นที่ชอบก็ได้ เช็ดใต้วงแขน หรือแผ่นหลัง สัก 1-2 รอบ จะรู้สึกสบายตัว เหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เป็นวิธีขจัดเหงื่ออย่างได้ผล และไม่เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมาอีกด้วย  ก่อนจากไป ขอสารภาพว่ายังไม่เคยทดลองใช้วิธีไหนเลยค่ะ เพื่อนๆ คนไหนทดลองแบบใดได้ผลไม่ได้ผลอย่างไรบอกข่าวกันบ้างก็ดีนะคะ...Happy Summer ค่ะ

ที่มา : sizterss.blogspot.com


sithiphong:
10 วิธีลดเครียดเพียง 5 นาที!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   30 เมษายน 2557 07:38 น.
-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000046788-


By Lady Manager
       
       ความเครียด ไม่ควรเก็บไว้นาน ควรเอามันออกจากหัว และหัดปล่อยวางบ้าง เพราะสังคมทุกวันนี้อาจจะต้องแข่งขันกันสุดๆ
       
       เรามีวิธีลดเครียดด้วยวิธีแสนง่าย และรวดเร็วมาฝากกันค่ะ ปิ๊ง!! เพียงแค่ 5 นาที หายเครียดเป็นปลิดทิ้ง
       
       1. จิบชาเขียว


       ชาเขียวเป็นแหล่งที่มาของ L-Theanine สารเคมีที่ช่วยให้บรรเทาความโกรธ ต้มน้ำที่เทออกและใช้จิบผ่อนคลายเป็นประจำทุกวันช่วยคุณให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง แม้จะอยู่ในสิ่งรายล้อมอันแสนจะวุ่นวาย แถมยังทำให้สุขภาพดีด้วยนะ
       
       2. เคี้ยวหมากฝรั่ง


       รสมิ้นต์, ผลไม้  ของหมากฝรั่งนุ่มๆ เหนียวๆ หวานๆ เย็นๆ เคี้ยวปุ้บจะทำให้คุณหายเครียดทันทีทันใด เป็นวิธีลดเครียดที่ง่ายและรวดเร็วที่จะเอาชนะความเครียด
       
       เพียงไม่กี่นาทีของการเคี้ยวหมากฝรั่งสามารถลดความวิตกกังวลและลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือที่เรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกหลั่งออกมาเมื่อร่างกายเกิดความเครียด หรือนอนไม่เพียงพอ
       
       แม้แต่การกินขนมขบเคี้ยวช่วยลดความเครียดได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืช และช็อคโกแลตชิป กินสักหนึ่งกำมือคุณก็พอจ้ะ มิเช่นนั้นน้ำหนักอาจจะพุ่งพรวดได้ เครียดหนักกว่าเดิม
       
       3. ใช้ความคิดสร้างสรรค์
       
       การสร้างภาพในจิตนาการ หรือความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราได้รับความสุขแห่งจินตนาการ มันจะเพิ่มอารมณ์สุขขึ้นมาทันทีในวันที่เรารู้สึกเครียด และตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว
       
       4. วางหัวลงบนหมอน


       การนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นสิ่งที่ดี แต่หากคุณอยู่ในออฟฟิศและมีความเครียดสะสมในช่วงเช้า พอถึงช่วงเที่ยงหรือบ่าย หากคุณมีเวลางีบสัก 10-15 นาที จะสามารภทำให้สมอง จิตใจ ร่างกาย ได้รับการพักผ่อนและชาร์ทพลัง
       
       ดังนั้นการมีหมอนนุ่มๆ เล็กไว้ในโต๊ะทำงานก็เป็นสิ่งที่เยี่ยมมาก เพียงวางหัวของคุณลงบนหมอนนุ่มๆ หรือเบาะนุ่มๆ เพียงไม่กี่นาทีจะทำให้คุณคลายกังวล ตื่นมาด้วยจิตที่เบิกบานได้ ลองดูสิ
       
       5. หายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ
       
       ค่อยๆ หายใจเข้าและหายใจลึกๆ กำหนดลมหายใจเหมือนการนั่งสมาธิ เพียงแค่นี้ก็ช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งบางทีเรามักลืมทำ แต่เป็นวิธีคลายเครียดที่เลิศมาก
       
       การหายใจช้าๆ ลึกๆ สามารถช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจได้ บรรเทาความวิตกกังวล รักษาสมดุลของจิตและกาย
       
       6. นวดมือด้วยตัวเอง


       ระหว่างทำงาน มือวางบนคีย์บอร์ด ตาจ้องหน้าคอมพ์ แน่นอนทั้งร่างกายล้าโดยไม่รู้ตัวเพราะคร่ำเคร่งกับงานหยุดจากจอคอมพ์สักครู่
       
       จากนั้นหันมาคว้าโลชั่น โดยบีบบนฝ่ามือ และใช้มือนวดฐานของกล้ามเนื้อใต้นิ้วหัวแม่มือเพื่อบรรเทาความเครียด ไหล่ คอ
       
       นอกจากนี้ การได้ยืดแข้งยืดขา สามารถคลายกล้ามเนื้อได้เช่นกัน
       
       7. หลับตาลง


       ไม่ต้องหลับลึกนะคะ เพียงแค่หลับตาจากความวุ่นวาย พักสายตา และสมองด้วยวิธีที่รวดเร็วและง่าย แค่ลดเปลือกตาจะทำให้จิตสงบลดเครียดได้ดีจริงๆ
       
       8. หยดน้ำเย็นบนข้อมือของคุณ
       
       บริเวณข้อมือจะมีหลอดเลือดแดงใหญ่อยู่ ภายใต้ผิวจะมีการระบายความร้อนเพื่อให้พื้นที่เหล่านี้สามารถช่วยให้สงบทั้งร่างกาย
       
       แนะนำว่า หากอยากลดความเครียดถูกต้องควรหยดน้ำเย็นให้โดนเส้นเลือดแดงจะทำให้ลดอุณหภูมิความร้อนได้ จิตใจสงบขึ้น
       
       9. หวีผม


       การหวีผมบ่อยๆ หรือการเคลื่อนไหวบริเวณหนังศีรษะซ้ำๆ ด้วยการแปรงผมจะทำให้ผ่อนคลายได้ เหมือนได้นวดศีรษะ
       
       แปรงที่ผ่านหนังศีรษะซ้ำๆทั่วหัวจะทำให้คุณผ่อนคลาย บางคนถึงขนาดอยากนอนเลยก็มี นั่นหมายความว่า อาจแปรงผมจะช่วยให้คุณอยากพักผ่อน และลดเครียดได้
       
       10. อยู่คนเดียว


       การหลีกหนีจากผู้คน หรือสังคมอันวุ่นวาย ไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียวนานมาก เพียงแค่ 10-30 นาที หลีกหนีออกมาจากเพื่อนฝูงเจ้านายสักพัก
       
       เพราะการได้อยู่คนเดียวจะทำให้คุณอยู่กับจิตใจตัวเองจริงๆ สามารถช่วยทำให้มีสมาธิ และล้างความเครียดจากคนอื่นได้อย่างดี
       
       เรียบเรียงจากวูเมนเฮลธ์

sithiphong:
บำบัดการปวดหลัง 2555 sripai.com

บำบัดการปวดหลัง 2555 sripai.com

http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q&feature=youtu.be

-http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q&feature=youtu.be-

sithiphong:
"ดร.เทอรี่ กรอสแมน" แนะวิธีบริหารสมองไม่เสื่อม

-http://campus.sanook.com/1371206/%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1/-


"หากคุณอยากบริหารสมองและฝึกความจำละก็ ลุกขึ้นมาเต้นรำกันเถอะ"

ข้อความข้างต้นเป็นหนึ่งในคำแนะนำจาก "ดร.เทอรี่ กรอสแมน" ผู้อำนวยการด้านการแพทย์นานาชาติ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล

ดร.เทอรี่ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การเต้นรำไม่ว่าจะจังหวะอะไร สไตล์ไหน ทั้งวอลซ์ แทงโก้ รุมบ้า หรือซัลซ่า เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายสมองและเพิ่มความสามารถของสมอง เพราะต้องทำความเข้าใจกับท่าใหม่ ฟังเพลง ตัดสินใจ ตลอดจนจดจ่อกับจังหวะและท่าเต้น

นอกจากการเต้นรำแล้ว ดร.เทอรี่แนะนำเพิ่มเติมว่า การเรียนภาษาใหม่เพิ่มก็เป็นวิธีที่ดีอีก วิธีหนึ่งในการออกกำลังกายสมองเหมือนกัน โดยการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการทำงานหรือแม้แต่งานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เล่นวิดีโอเกม เล่นดนตรี เป็นต้น

การลดความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการรักษาความจำ ซึ่ง ดร.เทอรี่มองว่า คนส่วนใหญ่สูญเสียความทรงจำ เพราะความเครียดมากกว่าโรคภัยหรือการเจ็บป่วยเสียอีก

"ความเครียดเป็นตัวทำลายความจำอันดับหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกต คือมีทั้งความเครียดที่ดีและไม่ดี ทุกคนควรรักษาความสมดุลของความเครียดทั้งสองส่วน"

กิจกรรมเพื่อลดความเครียดแบบง่าย ๆ ได้แก่ การเล่นโยคะ การนวด การออกกำลังกาย การรำไท้เก๊ก ฟังเพลง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน เมื่อคนเราอ่อนล้าหรือเหนื่อยมาก ๆ ร่างกายจะเกิดความเครียดและความดันเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น

การออกกำลังกายสมองตลอดช่วงชีวิตจะช่วยป้องกันการสูญเสียความจำ โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมชนิดต่าง ๆ ในเวลาต่อมาได้

ดร.เทอรี่กล่าวว่า การฟังเพลงเบา ๆ อาบน้ำอุ่น ๆ เป็นวิธีเตรียมตัวสำหรับการนอนหลับที่ดี สิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่งก่อน

เข้านอน คือการมองที่หน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ เนื่องจากแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้จะรบกวนการนอนหลับ เพราะมนุษย์ไม่คุ้นเคยกับแสงสีนี้ในเวลากลางคืน

สิ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสุขภาพสมองได้ คืออาหารที่มีคุณค่าและสมดุลทางโภชนาการ กล่าวคือ ควรรับประทานอาหารจำพวกปลา ผักและผลไม้สด หรือการดื่มไวน์ 1 แก้วต่อวัน ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติอย่างแปะก๊วยหรือวิโนซีติน ก็สามารถช่วยบำรุงสมองได้เช่นกัน

ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัดและอาหารทอด เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ หรือที่เรียกว่า "โรคเบาหวานของสมอง"

"ในอนาคต การใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเลตที่แพร่หลาย จะเปลี่ยนวิธีการใช้สมองของเรา เทคโนโลยีจะมีอิทธิพลต่อวิธีการใช้สมองของเรา และอาจช่วยให้เราสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากขึ้น การวิจัยและพัฒนาสมองอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต จะทำให้การรักษาสมองจากโรคภัยและความเจ็บป่วยเปลี่ยนแปลงไป"

เพื่อเป็นการระแวดระวังไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้นกับคนรอบข้างในระยะที่เกินเยียวยา ดร.เทอรี่แนะนำว่า หมั่นสังเกต

เห็นคนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นญาติ คู่รัก หรือเพื่อน หากไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวัน อย่างการขับรถ แต่งตัว ทำอาหาร หรือกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ ได้ ควรทำแบบประเมินกิจวัตรประจำวัน เพื่อดูว่าต้องรับการรักษาหรือไม่


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version