อรรถกถาที่อธิบายคัมภีร์ทั้งสองนี้
จึงอธิบายหมายเอาเฉพาะขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ดังนี้ :-
สพฺเพ ธมฺมาติ ปญฺจกฺขนฺธา เอว อธิปฺเปตา. อนตฺตาติ มา ชีรนฺตุ มา มียนฺตูติ วเส วตฺเตตุน สกฺกาติ อวสวตฺตนตฺเถน อนตฺตา สุญฺญา อสฺสามิกา อนิสฺสราติ อตฺโถ (ธมฺม.อ. ๗/๖๒ มมร.)
แปลว่า "
ข้อความว่า ธรรมทั้งปวง ทรงประสงค์เอาเฉพาะขันธ์ ๕ ข้อความว่า เป็นอนัตตา อธิบายว่า ที่เป็นอนัตตา คือ เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า เป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ เป็นสิ่งที่ไม่มีอิสระ เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ เนื่องจากไม่มีใครสามารถบังคับให้อยู่ในอำนาจได้ว่า จงอย่าแก่ จงอย่าตาย"
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ สพฺเพปิ จตุภูมิกา ธมฺมา อนตฺตา. อิธ ปนเตภูมิกธมฺมาว คเหตพฺพา (เถร.อ. ๒/๖๗๘/๒๘๓ มจร.)
"ข้อความว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา หมายความว่า
ธรรมทั้งหลายที่เป็นไปในภูมิ ๔ แม้ทั้งหมด (คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ คือ มรรค ผล นิพพาน) เป็นอนัตตา แต่ในที่นี้พึงถือเอาเฉพาะธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ เท่านั้น" ถ้าเป็นกรณีที่แสดงแต่หลักทั่วไปเป็นกลาง ๆ
ก็หมายเอาธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๔ เช่น
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา (
สํ.ข. ๑๗/๙๐/๑๐๕๑๐๖, ขุ.จูฬ. ๓๐/๘/๔๐ มจร.) "
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา"
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ สพฺเพ จตุภูมิกธมฺมา อนตฺตา (
สํ.อ. ๒/๙๐/๓๔๖ มจร.) "ข้อความว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา หมายความว่า
ธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๔ เป็นอนัตตา"
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ นิพฺพานํ อนฺโตกริตฺวา วุตฺตํ (
จูฬนิ.อ. ๘/๘ มจร.) "
ข้อความว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา นั้นพระพุทธองค์ตรัสรวมทั้งพระนิพพานด้วย"
เหตุไรอรรถกถาจึงอธิบายไม่ตรงกัน ก็ตอบว่า ต่างกรณีกันจึงอธิบายไม่ตรงกัน สำหรับผู้มิได้ศึกษาหลักการ หรือไม่เข้าใจความแห่งพุทธพจน์กับถ้อยคำบริบทก็เกิดความสับสน
ผู้มีทิฏฐิว่า "นิพพานเป็นอัตตา" ก็อ้างที่อรรถกถา
หมายเอาเฉพาะธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ เท่านั้นเป็นอนัตตา ส่วนภูมิที่ ๔ คือ โลกุตตรภูมิ เป็นภูมิที่ไม่มีทุกข์ มีแต่สุข จึงน่าจะเป็นอัตตา แล้วกล่าวจ้วงจาบการที่อรรถกถาอธิบายธรรมทั้งปวงหมายเอาธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๔ คือ มรรค ผล นิพพานด้วย เป็นอนัตตา ว่าเป็นการอธิบายที่สับสน ความจริงผู้ที่กล่าวนั้นสับสนเองการศึกษาอรรถกถา ถ้ายังไม่เข้าใจหลักการที่ท่านใช้ก็จะสับสน หลักการที่อรรถกถาใช้ว่า "
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ สพฺเพปิ จตุภูมิกา ธมฺมา อนตฺตา. อิธ ปน เตภูมิกธมฺมาว คเหตพฺพา" นั้น ข้อความตอนต้นว่า "สพฺเพปิ จตุภูมิกา ธมฺมา อนตฺตา" เรียกว่า "
อัตถุทธาร" คือ "
การยกเนื้อความที่มีอยู่ทั้งหมดขึ้นกล่าว" ข้อความตอนท้ายว่า "อิธ ปน เตภูมิกธมฺมาว คเหตพฺพา" เรียกว่า "
อัตถุทเทส" หรือ "
อธิปเปตัตถะ" คือแสดงหรือระบุเนื้อความที่ประสงค์ในที่นี้
การอธิบายลักษณะนี้ ในพระไตรปิฎกก็ใช้ เช่น "สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย" (วิ.มหา. ๑/๔๔/๓๐ มจร.) "
ภิกษุผู้มีสิกขาและความเป็นอยู่สมบูรณ์เสมอกัน ยังมิได้บอกคืนสิกขา" ท่านอธิบายโดยกล่าวถึงสิกขาที่มีทั้งหมด แล้ว
ชี้เฉพาะที่ประสงค์เอาในหน้าเดียวกันว่า "
สิกฺขาติ ติสฺโส สิกฺขา :- อธิสีลสิกฺขา อธิจิตฺตสิกฺขา อธิปญฺญาสิกฺขา. ตตฺร ยายํ อธิสีลสิกฺขา, อยํ อิมสฺมึ อตฺเถ อธิปฺเปตา "สิกฺขาญติ (
วิ.มหา. ๑/๔๕/๓๐ มจร.)
"คำว่า สิกขา หมายถึงสิกขา ๓ คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ในบรรดาสิกขา ๓ นั้น ในเรื่องนี้ประสงค์เอาอธิสีลสิกขา"นี้เป็นการบอกให้ทราบว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ทั้ง ๓ เป็นสิกขา
แต่ประสงค์เอาเฉพาะอธิศีล คือเป็นเรื่องของภิกษุผู้ยังมิได้ลาสีลสิกขานั่นเอง
เช่นเดียวกัน
ในการอธิบาย สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา บางแห่งท่านอธิบายแบบอัตถุทธาร คือ บอกให้ทราบว่า ธรรมอะไรบ้างที่เป็นอนัตตา แล้วชี้เฉพาะที่ต้องการในกรณีนั้น บางแห่งท่านอธิบายระบุเฉพาะที่ต้องการในกรณีนั้น มิได้บอกทั้งหมดหลักการอัตถุทธารนี้ ใช้มากทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถา-ฎีกา วิธีการที่ท่านแสดงไว้ที่พอจะหาดูได้มีอยู่ในคัมภีร์วิภังคมูลฎีกา และวิสุทธิมรรคมหาฎีกา ท่านเรียกว่า “อัตถุทธาร”ดั งนี้ :-
สมฺภวนฺตา นํ อตฺถานํ อุทฺธรณํ. สมฺภวนฺเต วา อตฺเถ วตฺวา อธิปฺเปตสฺส อตฺถสฺส อุทฺธรณํ อตฺถุทฺธาโร (วิภงฺคมูลฏีกา ๒/๑๘๙/๖๐, วิสุทธิ.ฏีกา ๒/๕๓๔/๒๑๖ มจร.) “
การยกเนื้อความทั้งหลายที่มีอยู่ขึ้นแสดง “หรือการกล่าวเนื้อความทั้งหลายที่มีอยู่แล้วระบุเนื้อความที่ประสงค์ชื่อ ว่าอัตถุทธาร” ……
…ถ้าเข้าใจหลักการอัตถุทธาร ก็จะเข้าใจการอธิบายความเรื่องนี้ของอรรถกถา หลักการนี้ ปัจจุบันมีการศึกษากันอยู่ แต่หนังสือเอกสารยังไม่แพร่หลาย
ในช่วงระยะนี้ มีผู้กล่าวว่าได้มีพระภิกษุกระทำสังฆเภท เนื่องด้วยได้มีการกระทำที่ทำให้คณะสงฆ์มีความเห็นแตกเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก
ปัญหาข้อนี้ ขอตอบก่อนสอบทานเทียบเคียงพระสูตรและพระวินัยว่า “การกระทำสังฆเภทในสังฆมณฑลสยาม เกิดขึ้นยาก เนื่องด้วยสถานที่ไม่อำนวย” ก็อย่าด่วนเชื่อหรือคัดค้านคำที่กล่าว เราควรจะได้สอบทานเทียบเคียงดูในพระสูตรและพระวินัยก่อน การที่พระภิกษุแสดงการปกป้องพระพุทธศาสนา พยายามประกาศพระสัทธรรมจนทำให้ทราบว่า “ใครเป็นอลัชชี ใครบิดเบือนหลักการคณะสงฆ์ฝ่ายเถร”วาท นั้น
เป็นผู้ทำสังฆเภท หรือเป็นผู้ที่ฟ้าส่งมากำจัดเสี้ยนหนามที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา แสดงเถรวาทย่ำยีอลัชชี กันแน่ เรื่องการกระทำของภิกษุสงฆ์ที่จัดเป็นสังฆเภทนั้นมีขอบเขตอย่างไร ท่านพระอุบาลีเถระได้เคยเข้ากราบทูลถามพระพุทธเจ้าแล้วว่า สงฆ์จะแตกกัน คือเป็นสังฆเภทด้วยเหตุเท่าไร
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า “
ภิกษุทั้งหลายมีความคิดเห็นในธรรมวินัยขัดแย้งกัน ๑๘ ประการ แยกกันทำอุโบสถ แยกกันทำปวารณา แยกกันทำสังฆกรรม จึงจัดว่าสงฆ์แตกกัน คือเป็นสังฆเภท ถ้ายังไม่แยกกันทำก็ยังถือว่าสงฆ์เป็นผู้สามัคคีกัน”
การที่ภิกษุสงฆ์มีความแตกแยกทางความคิดยังไม่เป็นสังฆเภท พระพุทธเจ้าทรงกำหนดการเป็นสังฆเภทด้วยการแยกกันทำอุโบสถ สังฆกรรมเรื่องนี้ พึงตรวจสอบดูเรื่องที่ท่านพระเทวทัตทำสังฆเภท ครั้งที่พระเทวทัตทำสังฆเภทนั้น ท่านได้บอกท่านพระอานนท์ ขณะพบกันในเวลาบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์ว่า “อชฺชตคฺเคทานาหํ อาวุโส อานนฺท อญฺญเตฺร ควตา อญฺญเตฺรว ภิกฺขุสํฆา อุโปสถํ กริสฺสามิ, สํฆกมฺมํ กริสฺสามิ” (วิ.จู. ๗/๓๔๓/๑๓๙ มจร.) แปลว่า “
ท่านอานนท์ ตั้งแต่วันนี้ไป จะมีผู้ทำอุโบสถแยกจากพระผู้มีพระภาค จะทำสังฆกรรมแยกจากพระผู้มีพระภาค” แล้วท่านก็ได้กระทำตามที่บอกท่านพระอานนท์
การกระทำของพระเทวทัตนี้ จัดเป็นสังฆเภท เพราะแยกตัวไปทำอุโบสถสังฆกรรมต่างหากจากพระพุทธเจ้า
มีปัญหาว่า ท่านพระเทวทัตแยกทำอุโบสถสังฆกรรมอย่างไร ตอบว่า แยกทำในเขตสีมาเดียวกัน ในกรุงราชคฤห์นั้นมหาวิหารทั้ง ๑๘ แห่ง รอบกรุงราชคฤห์ มีสีมาเดียวกัน ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระเป็นผู้ผูกสีมาครั้งหนึ่ง ท่านพระมหากัสสปเถระพักอยู่ที่อันธกวินทวิหาร ห่างจากกรุงราชคฤห์ ๓ คาวุต เดินทางมาลงอุโบสถที่พระเวฬุวันเพื่อให้ความสามัคคีแก่สงฆ์ ท่านข้ามแม่น้ำ ผ้าสังฆาฏิเปียก ซึ่งเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์สมมติติจีวราวิปปวาส คือเขตที่อยู่ปราศจากไตรจีวรได้
ภิกษุสงฆ์
เกิดความแตกแยกทางความคิด ทางข้อปฏิบัติแล้วแยกกันทำอุโบสถสังฆกรรมในสีมาเดียวกัน จึงจัดว่าเป็นสังฆเภท
สีมา คือเขตแดนที่ภิกษุสงฆ์กำหนดเป็นสถานที่ร่วมกันทำสังฆกรรม ในประเทศไทย ได้กำหนดเป็นของเฉพาะวัด และเขตสีมาของแต่ละวัด ก็ยังกำหนดเขตแคบเข้าไปอีก อยู่แค่เพียงบริเวณรอบโรงอุโบสถ เวลาทำอุโบสถสังฆกรรม ก็ทำวัดไหนวัดนั้น แม้ในวัดเดียวกัน ภิกษุสงฆ์กลุ่มหนึ่งทำอุปสมบทกรรมอยู่ในอุโบสถ ภิกษุสงฆ์อื่นภายในวัดมิได้เข้าร่วม กรรมก็ไม่เสีย เพราะสีมามิได้ครอบคลุมรอบวัด นี้คือเหตุผลที่กล่าวข้างต้นว่า “
การกระทำสังฆเภทในสังฆมณฑลสยาม เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องด้วยสถานที่ คือ สีมาไม่อำนวย”
ที่พูดกันในขณะนี้ว่า เกิดสังฆเภทนั้น เป็นคำพูดของผู้ไม่ยึดหลักการของพระไตรปิฎก เมื่อไม่เชื่อพระไตรปิฎก ไม่ถือตามพระไตรปิฎก อันเป็นประดุจองค์แทนพระบรมศาสดาแล้ว
ก็ไม่ควรจะปฏิญญาตนว่าเป็นพุทธบริษัท นี้คือการสอบทานเทียบเคียงข้อความที่ทำให้เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกันบางส่วน โดยใช้หลักมหาปเทส เมื่อสอบทานเทียบเคียงแล้วลงกันสมกันในพระสูตร ลงกันสมกันในพระวินัย ก็ลงความเห็นได้เลยว่า นี้เป็นพุทธพจน์ เป็นสัตถุศาสน์ เป็นหลักการของเถรวาท เมื่อได้อาศัยพระไตรปิฎกเป็นเครื่องตรวจสอบแล้วทราบว่า คำสอนของใครเป็นสัทธรรมปฏิรูปแปลกปลอมเข้ามา เป็นอัตโนมัติ ก็พึงกำจัดออกไปเสีย แล้วเราทั้งหลายจะธำรงรักษาพระธรรมวินัยที่บริสุทธิ์ไว้ได้.เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก :นายรังษี สุทนต์ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542
หน้า 277 - 299หนังสือธรรมะ ภาษาต่างประเทศ
An Introduction to the Study of Buddhism: A Sane Way to Live
Most Popular Books on Buddhism
Theravada Buddhism Recommended Reading
:http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=inquirer&group=11