ผู้เขียน หัวข้อ: ดีบัว มีประโยชน์มากมายอย่างไร ?  (อ่าน 2297 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



ดีบัว มีประโยชน์มากมายอย่างไร ?
ดีบัว คือ ต้นอ่อนในเมล็ดบัวหลวง หรือมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn. อยู่ในวงศ์ Nelumbonaceae ดีบัวมีรูปร่างคล้ายสาก ยาว 1-1.5 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 มิลลิเมตร มีใบอ่อน 2 ใบ เป็นใบสั้นกับใบยาว สีเขียวเข้มหรือเขียวอมเหลือง ปลายใบม้วนเป็นรูปคล้ายลูกศร ต้นอ่อนตรงมีขนาดเล็กมากอยู่ระหว่างใบอ่อนทั้งสอง ยาว 2 มิลลิเมตร โคนต้นสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองอมเขียว รูปทรงกระบอกยาว 2-4 มิลลิเมตร เนื้อหนา เปราะ รอยหน้าตัดมีรูเล็กๆ จำนวนมาก

ดีบัวสีเขียวสด ไม่มีกลิ่น รสขมจัด สรรพคุณในตำรายาไทยใช้ดีบัว 2-5 กรัมชงดื่มต่างน้ำชา แก้อาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ การติดเชื้อในช่องปาก ลดความดันโลหิต ช่วยขยายเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ กรณีเส้นเลือดตีบ แก้กระหายน้ำ แก้กระหายหลังอาเจียนเป็นโลหิต แก้น้ำกามเคลื่อนขณะหลับ(ฝันเปียก)

สำหรับการศึกษาทางเภสัชวิทยาแยกเป็นฤทธิ์ต่อหัวใจและความดันโลหิต สารสกัดด้วยน้ำจากดีบัวมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ประกอบด้วยสาร demethylcoclaurine มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สาร methyl corypalline มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ

สาร neferine มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต และต้านการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ โดยมีผลต่อการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ขณะที่ฤทธิ์ต้านจุลชีพ สารสกัดแอลกอฮอล์จากดีบัวมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus group A ทำให้นอนหลับ ส่วนฤทธิ์ลดปวดและต้านการอักเสบ สารแอลคาลอยด์มีฤทธิ์ลดอาการปวดและแก้อักเสบ

ทั้งนี้ ภาวะหัวใจขาดเลือดคือ อาการเจ็บหน้าอก ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อหัวใจได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ โดยทั่วไปอาการนี้มีสาเหตุจากการมีไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือดหัวใจในปริมาณมาก ทำให้การไหลผ่านของเลือดลดน้อยลง เกิดการขัดขวางการได้รับสารอาหารและออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นผลให้เกิดอาการแน่นหน้าอกขึ้นได้ อาการดังกล่าวอาจเกิดมากขึ้นเมื่อหัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นและต้องการเลือดในการไหลเวียนมากขึ้น เช่น การทำกิจกรรมต่างๆ หรือภาวะความเครียดทางอารมณ์ ซึ่งถือเป็นอาการเด่นๆ ของโรคหัวใจขาดเลือด อันเป็นโรคที่สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความวุ่นวายของสภาพสังคมเมืองในปัจจุบัน

ประโยชน์ของดีบัวโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหัวใจ พบว่ามีฤทธิ์บำรุงหัวใจ ขยายหลอดเลือดหัวใจ เพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ อาจสามารถเป็นสมุนไพรทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจได้

นอกจากนี้การศึกษาฤทธิ์ของดีบัวมีส่วนช่วยรักษาโรคหัวใจจากภาวะขาดเลือดได้ จากการศึกษาในระดับสัตว์ทดลอง(หนู) เท่านั้น ยังมิได้มีรายงานวิจัยที่ยืนยันผลการศึกษาในมนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงรายงานความเป็นพิษและผลข้างเคียงที่ยังศึกษากันอยู่น้อย ดังนั้น สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่กำลังอยู่ในการควบคุมของแพทย์แผนปัจจุบันต้องการใช้ดีบัวในการดูแลสุขภาพจึงควรปรึกษาแพทย์แผนไทยผู้มีความรู้ ควบคู่แพทย์แผนปัจจุบันที่เป็นเจ้าของไข้ต่อไป

http://www.khaosod.co.th/
>>> อกาลิโก แปลว่า ไม่ประกอบด้วยกาล
ได้แชร์ รูปภาพ ของ ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ




ของดีบ้านเรา.....เม็ดบัว
สารในเม็ดบัว อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี
มีโปรตีนประมาณ 23 เปอร์เซนต์ เกลือแร่ ฟอสฟอรัส
มีสรรพคุณในเรื่อง บำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต ป้องกันมะเร็งตับเพราะไปฆ่าเชื้อรา ช่วยในรักษาอาการท้องร่วง และบิดเรื้อรัง ใช้กันเป็นยาบำรุงเลือด หรือเพิ่มเลือดด้วยค่ะ ที่สำคัญทึ่สุดดีบัว ที่ขมๆ แก้โรคหัวใจ

การทานเม็ดบัว เพื่อการบำรุงเลือด
มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการทานเม็ดบัวสดเท่านั้น
เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว หรือการนำมาต้มให้สุกจะใช้ไม่ได้ เม็ดบัวเชื่อมที่ใส่ในไอศกรีมก็ใช้ไม่ได้ค่ะ 

กันไว้ดีกว่าแก้กินเม็ดบัว....ต้านมะเร็งตับ
มีการวิจัยพบว่า เม็ดบัวมีสารแอนติออกซิแดนต์ในปริมาณสูง
ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น
- ชะลอการเสื่อมของอวัยวะและผิวพรรณ
- ป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ
- ส่วนดีบัว รสขม ขยายหลอดเลือดหัวใจ แก้กระหายน้ำ แก้น้ำกามเคลื่อนขณะหลับ
- เมล็ด รสฝาดหอม บำรุงกำลัง บำรุงไขข้อ ทำให้กระชุ่มกระชวย แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เสมหะ แก้พุพอง แก้ดีพิการ แก้อาเจียน แก้อ่อนเพลีย เพิ่มไขมันในร่างกาย
- เปลือกของฝักและเม็ดบัว
- เปลือกฝัก รสฝาดหอม แก้ท้องเดิน สมานแผลในมดลูก
- ก้านดอก รสเย็นเมา ตากแห้งสูบแก้ริดสีดวงจมูก

เม็ดบัวไทย-จีน ความเหมือนที่แตกต่าง
การเลือกกิน เม็ดบัวส่วนใหญ่ที่เราเห็นทั่วไป จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนซึ่งจะมีเมล็ดขนาดใหญ่ ผ่านการกะเทาะเปลือก ดึงดีบัว(ต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียวเข้ม)ออก และอบแห้งแล้ว

ส่วนเม็ดบัวไทยนั้นไม่ค่อยพบวางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากมีเมล็ดเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยม แต่จากผลการวิจัยของ อาจารย์ปริญดา ที่ศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า อาจารย์ปริญดาจึงแนะนำว่า ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยดีกว่า โดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด

วิธีกินคือ
ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึงเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ด และดีบัวในปริมาณสูง

ส่วนชนิดอบแห้งนั้น เรานำมาทำอาหารคาวหวานได้หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดี คือ น้ำอาร์ซี เม็ดบัวต้มน้ำตาลทรายแดง ผสมในเต้าฮวย หรือเต้าทึง ข้าวอบใบบัว เป็นต้น

ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อให้ได้ของสดใหม่ คุณภาพดีมีดังนี้ค่ะ
ชนิดอบแห้ง
1. ควรเลือกเมล็ดที่มีสีเหลืองนวล ถ้ามีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าเป็นเม็ดบัวเก่าที่เก็บไว้นานแล้ว เมล็ดไม่แตกหัก และไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน
2. ขั้วเมล็ดไม่ดำคล้ำ เพราะจะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานแล้ว
3. ไม่มีกลิ่นสาบหรือเหม็นหื่น

ชนิดฝักสด
เลือกฝักที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน จะได้เม็ดบัวที่มีเนื้อกรอบ หวานกำลังดี คราวนี้ถ้าเจอฝักบัวสดในตลาดอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือมาคนละสองสามกำนะคะ

โดย ทางแพทย์สายพุทธ ขอขอบคุณข้อมูลจากชีวจิต
>>> อกาลิโก แปลว่า ไม่ประกอบด้วยกาล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 27, 2013, 10:17:20 am โดย ฐิตา »