อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

สมาธิเพื่อชีวิต (๑), (๒)

(1/4) > >>

ฐิตา:



สมาธิเพื่อชีวิต (๑) หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

สมาธิตามธรรมชาติ

คำสอนของพระพุทธเจ้า... เป็นคำสอนของ ปัญญาชน
ไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคล   ผู้เชื่อ ในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ด้วยความงมงาย

ศาสนาพุทธ สอนให้คนเรียน   ให้รู้ธรรมชาติ  และกฎของธรรมชาติ
ถ้าใครจะถามว่า ธรรมะคืออะไร

ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ
ธรรมชาติคืออะไร ก็คือ กายกับใจของเรา

สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน
นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ

สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ

สอนสมาธิ ต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัว ที่สุด
ความรู้เห็นอะไร  ที่เขาอวดๆ กันนี่  อย่าไปสนใจเลย

ให้มันรู้ เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรา
รู้ว่าธรรมชาติของกาย อย่างหยาบๆ

มันต้องมีการ   เปลี่ยนอิริยาบถ   อยู่เสมอ ยืน เดิน นั่ง นอน
รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือ "ความจริงของกาย"


สมาธิ เพื่ออะไร

ปัญหาสำคัญ ของการฝึกสมาธิ นี่...
บางที เราอาจจะเข้าใจไขว้เขว ไปจากหลักความจริง

สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่ง

สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มี "สติสัมปชัญญะ"
รู้ทันเหตุการณ์นั้น ๆ ในขณะปัจจุบัน

สมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติ   เพื่อให้เกิดความรู้  ความเห็น   ภายในจิต
เช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต

รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีต  ว่าเราเกิดเป็นอะไร
รู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตายไปแล้ว  เราจะไปเป็นอะไร

อันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้

อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว   อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ดังนั้น...เราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ดีไหม


ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า   ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่
มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิ

อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้ว   ต้องเห็นนรก
ต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไร

สิ่งที่เราเห็นในสมาธิ มันไม่ผิดกัน   กับที่เรานอนหลับ แล้วฝันไป
แต่สิ่งที่เราจำเป็น ต้องรู้ ต้องเห็นนี่   คือเห็น"กาย" ของเรา เห็น"ใจ" ของเรา

ฐิตา:





หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ

การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิด สมาธิ สติ ปัญญา
มีหลักที่ควรยึดถือว่า

ทำจิตให้มีอารมณ์"สิ่งรู้"  สติให้มี"สิ่งระลึก"   จิตนึกรู้สิ่งใด ให้มีสติ"
สำทับ" เข้าไปที่ตรงนั้น

ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด   เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว   เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด
ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติ    ตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ

อันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล


ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร
คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้

ทำสติให้มีสิ่งระลึก หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใด
ให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้

ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา


สมาธิ ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น
ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียว

มันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออก
แต่ถ้าเราจะคิดว่า อารมณ์ของสมาธิ

คือ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีสติสัมปชัญญะ

รู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เอง
เราจะเข้าใจหลัก การทำสมาธิ อย่างกว้างขวาง

และสมาธิที่เราทำอยู่นี่ จะรู้สึกว่านอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา
หรือเพ่งดวงจิตแล้ว ออกจากที่นั่งมา

เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน
ดื่ม ทำ พูด คิด แม้ว่าเราจะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้

เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา
เวลาเรานอนลงไป คนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิด

ในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไป
แต่เรามีสติตามรู้ความ คิดจนกระทั่งนอนหลับ

ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาด

ดอกโศก:
อนุโมทนาค่ะ พี่แป๋ม
ขอบคุณที่นำคำสอนของครูบาอาจารย์มาปันให้อ่านค่ะ ^_^

เรื่องน่าอ่าน ภาพประกอบก็น่าประทับใจ สวยมากค่ะ

 :13:

ฐิตา:





นี่ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้   สมาธิจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน
ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญ

แต่ถ้าหากจะเอา สมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียว
มันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันที แม้การงานอะไรต่าง ๆ

มองดูผู้คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมด   อันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย


ทำสมาธิถูกทาง ไม่หนีโลก ไม่หนีปัญญา
ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิที่ถูกต้องนี่ สมมติว่ามีครอบครัว

จะต้องรักครอบครัวของตัวเองมากขึ้น
หนักเข้าความรักมันจะเปลี่ยน

เปลี่ยนจากความรักอย่างสามัญธรรมดา
กลายเป็นความเมตตาปรานี

ในเมื่อไปเผชิญหน้ากับงานที่ยุ่ง ๆ
เมื่อก่อนรู้สึกว่ายุ่ง แต่เมื่อปฏิบัติแล้ว

ได้สมาธิแล้ว งานมัน จะไม่ยุ่ง
พอประสบปัญหาเข้าปุ๊บ

จิตมันจะปฏิวัติตัวพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ซึ่งมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

ทีนี้บางทีพอเราหยิบปัญหาอะไรขึ้นมา
เรามีแบบแผนตำรายกขึ้นมาอ่าน พออ่านจบปั๊บ

จิตมันวูบวาบลงไปปัญหาที่เราข้องใจจะแก้ได้ทันที
อันนี้คือสมาธิที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน

แต่สมาธิอันใดที่ไม่สนใจกับเรื่องชีวิตประจำวัน
หนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้ว

สมาธิอันนี้ทำให้โลกเสื่อมและไม่เป็นไป
เพื่อทางตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานด้วย

ฐิตา:





ทุกคนเคยทำสมาธิมาแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างเราสำเร็จมาเพราะพลังของสมาธิ
ไม่มีสมาธิ            เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร

ไม่มีสมาธิ            สอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างไร
ไม่มีสมาธิ            ทำงานใหญ่โตสำเร็จได้อย่างไร

ไม่มีสมาธิ            ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร

พวกเราเริ่มฝึกสมาธิมา
ตั้งแต่พี่เลี้ยง นางนม พ่อแม่ สอน

ให้เรารู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักอ่าน
รู้จักคนโน้นคนนี้ จุดเริ่มต้นมันมาแต่โน่น

ทีนี้พอมาเข้าสู่สถาบันการศึกษา
เราเริ่มเรียนสมาธิอย่างจริงจังขึ้นมาแล้ว

แต่เมื่อเรามาพบพระคุณเจ้า หลวงพ่อ หลวงพี่ ทั้งหลายนี้
ท่านจะถามว่า “เคยทำสมาธิไหม”

จึงทำให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่า
เราไม่เคยทำสมาธิไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อน

เพราะท่านไปขีดวงจำกัดการทำสมาธิ
เฉพาะเวลานั่งหลับตาอย่างเดียว

ไม่เป็นชาววัดก็ทำสมาธิได้    ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวา
มานั่งสมาธิหลับตา อย่างที่พระท่านชักชวน

การปฏิบัติ สมาธิเอากันอย่างนี้ ยืน เดิน
นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด

ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ทุกคนได้ฝึกสมาธิ
มาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version