ผู้เขียน หัวข้อ: ทีวีดิจิตอลแบบไหนดีกว่ากัน: พลาสม่า แอลซีดี หรือแอลอีดี ?  (อ่าน 1739 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
 ทีวีดิจิตอลแบบไหนดีกว่ากัน: พลาสม่า แอลซีดี หรือแอลอีดี ?
-http://panarkom.blogspot.com/2013/06/blog-post_19.html-


วันนี้ใครไปที่ร้านขายโทรทัศน์หรือห้างแบบ Power Buy, Home Pro จะเห็นมีโทรทัศน์วางขายอยู่เรียงรายหลายแบบ แม้บางแบบหน้าตาคล้ายกัน แต่ราคาและเทคโนโลยีก็มีชื่อต่างกัน ผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยต้องงงกลับไป ถามพนักงานก็มักได้คำอธิบายที่ฟังไม่สมเหตุผล ไม่รู้ว่ารายละเอียดมันมากไปหรืออะไร รู้สึกเหมือนตัวเองมีสติปัญญาเบาๆ...พลาสม่า แอลซีดี แอลอีดี ?

ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านโทรทัศน์และเครื่องเสียงระดับ Consumer electronic มีพัฒนาการไปมาก จนผู้ผลิตเองก็มักจะไม่ได้ให้รายละเอียดทางเทคโนโลยีหรือสเป๊กในการขาย แต่พยายามใช้อารมณ์ ความงาม และคุณสมบัติเชิงนามธรรมของสินค้าในการโน้มน้าวขาย ผลักภาระการอธิบายไปที่พนักงานขายที่ไม่มีพื้นฐานเพียงพอ

ในส่วนพนักงานขาย ประสบการณ์ตรงที่เคยเจอเอง บอกได้ว่าทุกที่มีพนักงานขายที่ไม่มีคุณภาพ มุ่งขายของโดยเน้นประโยชน์ของคนขายเอง คือเชียร์ขายอย่างเดียวเพื่อเอาค่าคอม ยิ่งยี่ห้อไหนมีอัดฉีดพิเศษ พนักงานก็จะพยายามยัดเยียดเชียร์ ถ้าเป็นพนักงานขายของบริษัทส่งมา ก็มักจะเชียร์ไปทางยี่ห้อของตัว เผลอๆก็ให้ข้อมูลลบกับยี่ห้อคู่แข่ง ...แต่ไม่ว่าพนักงานห้างหรือพนักงานบริษัท ต่างก็ไม่พยายามดูที่ความต้องการของผู้บริโภค ไม่ได้ช่วยในการตัดสินใจ ความรู้สึกของคนซื้อบางครั้งจึงรู้สึกเหมือนสินค้าเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมในการตบทรัพย์

ทีวีที่ไม่ควรซื้อแล้ว
อย่างหนึ่งที่วันนี้เห็น คือโทรทัศน์อนาล็อคแบบ CRT หรือทีวีหลอดภาพแบบเดิมแทบไม่มีให้เห็นแล้ว และถึงมีก็ควรถือว่าเป็นสุดทางของเทคโนโลยีชนิดนั้นแล้ว หากไม่มีเหตุจำเป็นอะไรอื่นก็ไม่ควรซื้อมาใช้ ส่วนโทรทัศน์จอแบนที่เห็นอยู่ นั่นจะเป็นเทคโนโลยีอนาคตต่อไป

ดังเคยบอกแล้ว ว่าโทรทัศน์ดิจิตอลที่จะออกขายต่อไปอีกไม่นานนัก จะต้องมีเครื่องหมายบอกชัดเจนว่าเป็นเครื่องรับทีวีดิจิตอล หรือ Digital Ready และกสทช.ได้เตรียมโลโก้ไว้ให้แล้ว ส่วนที่ขายๆอยู่นั้น แทบทั้งหมดเป็นทีวีในระบบอนาล็อค แม้ในข้อเท็จจริง พื้นฐานเทคโนโลยีของจอภาพจะเป็นแบบดิจิตอล แต่ภาครับของเครื่องเป็นแบบอนาล็อค ต่อไปถ้ามีการแพร่ภาพทีวีเป็นดิจิตอล เครื่องรับพวกนี้ก็จะต้องพ่วงกล่องดำทั้งสิ้น ถ้าจะให้แนะนำ ก็อยากบอกว่าถ้าไม่จำเป็นก็รอไปก่อน อย่ารีบซื้อตอนนี้

ทีวีระดับความคมชัดสูงหรือ HDTV

สำหรับโทรทัศน์ความคมชัดสูง บอกได้ว่าวันนี้เท่าที่เดินดู ก็เห็นแต่โทรทัศน์ความชมชัดสูงวางขายอยู่แทบทั้งสิ้น คาดว่าในอนาคต คงจะไม่มีใครทำโทรทัศน์ที่ไม่สามารถรับทีวีความคมชัดสูงได้ เนื่องจากนโยบายของ กสทช. ที่กำหนดให้มีโทรทัศน์ความคมชัดสูงถึง 7 ช่อง น่าจะกระตุ้นให้ผู้ชมหาเครื่องรับที่สามารถรับความคมชัดขนาดนั้นได้


ภาพจาก : http://bit.ly/13Pz9Zd

Plasma: โทรทัศน์จอแบนรุ่นแรกๆ เป็นโทรทัศน์ที่ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่าพลาสม่า (Plasma)  หลักการแสดงภาพของเทคโนโลยีนี้เทียบเคียงให้เข้าใจง่ายก็คือคล้ายกับหลอดไฟนีออน คือในแต่ละช่องพิกเซลจะมีก๊าซอยู่ข้างใน เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปก๊าซก็จะปล่อยแสงออกมา (จึงเรีนกว่า Plasma) ในแต่ละ Pixel ยังแบ่งออกเป็นสามช่องย่อยสำหรับแม่สีสามสีโดยใช้สารเคลือบที่ต่างกัน การแปรความเข้มของกระแสไฟจะกระตุ้นสีที่แตกต่าง ส่วนความเข้มของภาพที่แสดงในแต่ละเซล จะควบคุมโดยเวลาที่ใช้ให้แสง (กระพริบนับเป็น 1000 ครั้งต่อวินาที) เทคโนโลยีนี้เป็นที่นิยมมากเมื่อราวสัก 10 ปีก่อนเนื่องจากในยุคนั้นโทรทัศน์ในระบบ LCD ยังไม่สามารถทำให้มีขนาดใหญ่ได้ (ขนาดใหญ่คือประมาณ 25 นิ้วเท่านั้น) โทรทัศน์ชนิดนี้มีข้อเสียที่กำจัดแสงสะท้อนได้น้อย หน้าจอจึงสะท้อนแสงจากหน้าต่างหรือหลอดไฟได้ง่าย และแม้มีจอแบน แต่จะมีน้ำหนักมาก และจะหนากว่าทีวีจอแบนชนิดอื่น นอกจากนี้หน้าจออาจเกิดการ Burned in ได้ คือมีเงาภาพถาวรที่จอหากเปิดภาพนิ่งทิ้งไว้นานๆ ทีวีพลาสม่าจะกินไฟมากกว่า LCD และ LED แต่ก็มีข้อดีที่ราคาย่อมเยากว่า  อนาคตของทีวีที่ใช้เทคโนโลยีนี้ มองว่าคงไปอีกไม่นาน เพราะเทคโนโลยีใหม่กว่าดูจะให้คุณภาพการรับชมและมีคุณสมบัติอื่นที่ดีกว่า 



ภาพจาก: http://bit.ly/13RTixD

LCD: LCD (Liquid Crystal Display) เทคโนโลยีชนิดนี้ใช้ผลึกของเหลวทึบแสงที่ถูกประกบอยู่ระหว่างแผ่นฟิล์ม ทำหน้าที่คล้ายม่านเปิดปิดให้แสงสว่างที่ฉายจากฉากหลังผ่านออกหน้าจอ เมื่อบังคับด้วยกระแสไฟฟ้า ผลึกจะมีคุณสมบัติในการเรียงตัวที่ทำให้สามารถเป็นตัวปรับแสงเพื่อแสดงภาพได้  และเพื่อให้จอภาพแสดงสีได้  ในแต่ละ Pixel ของจอจะซอยแบ่งแยกย่อยออกเป็นช่องขนาดเล็กๆ สามช่องสำหรับแม่สีแต่ละสี ช่องเหล่านั้นแต่ละช่องมีขนาดเล็กมากจนแสงที่ผ่านออกมาจากแต่ละ Pixel เมื่อมองด้วยตาเปล่า จะเห็นสีเบลอผสมกันเป็นสีธรรมชาติ การควบคุมภาพทำโดยควบคุมปริมาณแสงที่ยอมให้ผ่านออกมาในแต่ละ Pixel สามารถให้ภาพละเอียดสูงระดับ HD ได้ (1920 x 1080 Pixels) LCD เป็นเทคโนโลยีโทรทัศน์ที่เป็นที่นิยม เมื่อครั้งออกตลาดใหม่ๆ LCD มีปัญหาเรื่องขนาดของหน้าจอที่ไม่สามารถมีขนาดใหญ่มากๆ ได้ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาและได้ข้ามพ้นข้อจำกัดนี้ไปแล้ว จุดอ่อนของโทรทัศน์แอลซีดีคือสีดำไม่ดำสนิทเนื่องจากมีสีข้างหลังที่บังไม่ได้สมบูรณ์ สีไม่ตัดกันเข้ม และสูญเสียความคมชัดเมื่อรายการมีภาพเคลื่อนที่เร็ว เช่นฉากแอคชั่น ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเป็นรองเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นโอแอลอีดีที่ให้ภาพ Contrast ดีกว่าและไม่มีปัญหาเรื่องภาพเบลอเมื่อชมรายการกีฬาหรือแอคชั่น เทคโนโลยีแอลซีดีเมื่อเกิดใหม่ๆ กินไฟมาก แต่ปัจจุบันได้พัฒนาให้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังกินไฟมากกว่าจอในระบบ OLED อย่างไรก็ตามปัจจุบันจอภาพชนิดนี้เป็นจอภาพที่ขายดีที่สุด และยังมีการพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา

LED: LED TV เป็นเทคโนโลยีน้องใหม่ในสามเทคโนโลยีที่คุยถึงในวันนี้ แต่ก่อนจะคุยในรายละเอียด ต้องบอกก่อนว่าเรากำลังพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ที่ซับซ้อน และยังมีพัฒนาการต่อเนื่องอยู่ อย่างน้อยวันนี้เราจะพูดถึงทีวีชนิด LED (light emitting diodes) และ OLED (organic light emitting diode)
โทรทัศน์ที่เรียกว่า LED นั้น แท้จริงแล้วก็คือโทรทัศน์แบบ LCD นั้นเอง แต่ระบบ LCD ปกติ ระบบการให้แสงจากด้านหลังเป็นไฟนีออน (Fluorescence)ที่ให้แสงสว่างทั่วทั้งฉากหลัง โดยมีผลึกเหลวที่บังแสงอยู่ด้านหน้า แต่ในระบบของ LED ไฟที่ให้แสงด้านหลังจะเป็น LED ซึ่งเปรียบคล้ายหลอดไฟเล็กๆ กระจายตัวให้แสงอยู่ด้านหลัง และสามารถควบคุมให้เร่งหรือหรี่แสงได้ ภาพที่ออกมาจึงสดใสกว่า LCD เดิม สีดำๆ จริง และสีสว่างก็สว่างกว่า โทรทัศน์ระบบนี้สามารถทำให้จอบางกว่า LCD ปกติ



ภาพจาก:  http://bit.ly/1aroEyO

อีกเทคโนโลยีของโทรทัศน์ LED คือ OLED หลักการของเทคโนโลยีนี้ก็คือใช้แผ่นฟิล์มออร์แกนิคที่ประกบอยู่ระหว่างวัสดุตัวนำที่เป็นขั้วบวกและลบ  โมเลกุลของแผ่นฟิล์มออแกนิคนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวนำที่แปรค่าเปล่งแสงได้ ดังนั้นจึงมีธรรมชาติที่คล้ายเซมิคอนดัคเตอร์หรือสารกึ่งตัวนำ ที่สามารถทำหน้าที่เหมือนสวิชได้ เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ทำงานโดยไม่ต้องใช้แสงเป็นฉากหลัง ดังนั้นสีดำจึงดูดำกว่า และเนื่องจากมีแสงในตัวเอง Pixel ของ OLED จึงให้ภาพที่สว่างกว่า และคอนทราสดีกว่า โทรทัศน์แบบแอลซีดี  OLED ยังมีมุมรับชมที่กว้างกว่า ทำให้นั่งดูทีวีจากมุมเฉียงได้ดีกว่า และไม่มีแสงสะท้อนหน้าจอ ในแง่พลังงาน OLED ทำงานได้มีประสิทธิภาพจึงกินไฟน้อย ในด้ายกายภาพ ก็สามารถมีขนาดที่บางกว่าและเบากว่าทีวีแบบอื่น แต่โทรทัศน์ OLED ก็มีปัญหาของตัวมันเองเหมือนกัน เนื่องจากใช้แผ่นฟิล์มที่ทำจากวัสดุที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต (Organic) จึงทำให้มีอายุใช้งานที่จำกัด ความสดใสและสว่างของจอจะลดลงไปตามอายุการใช้งาน ซึ่งประมาณกันว่าจะมีอายุใช้งานได้ประมาณ 5-7 ปี อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นการคุยกันในที่นี้จึงต้องตระหนักว่ากำลังคุยถึงเทคโนโลยีที่ยังไม่นิ่ง แต่หากพยายามมองไปในอนาคต เทคโนโลยี OLED มีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในระยะยาว แต่ทั้งนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไป


พนา ทองมีอาคม
19-6-56
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
วิธีเลือกซื้อ LCD TV หรือ Plasma TV แบบไหนดีกว่ากัน
-http://www.boransat.net/board/index.php?topic=5.0-

วิธีเลือกซื้อ LCD TV หรือ Plasma TV แบบไหนดีกว่ากัน
จอธรรมดาทั่วไป ที่ทั้งอ้วน-หนา-หนัก นั้นเรียกว่า จอ CRT (Crystal Ray Tube) มีอัตราส่วนจอเป็น 4:3 แต่ส่วน Plasma และ LCD นั้นเป็นจอภาพแสดงผลแบบ "บาง" ทั้งคู่ โดยส่วนใหญ่มีอัตราส่วนจอเป็น 16:9 (มี LCD บางรุ่นเล็กที่เป็น 4:3) แต่มีวิธีการสร้างภาพไม่เหมือนกัน คือ

LCD - เป็นจอภาพที่แสดงผลแบบ TFT ภายในเป็นกระจก 2 ชั้นบรรจุของเหลว ที่ตกผลึกเฉพาะจุดที่ได้รับกระแสไฟฟ้าหรือความร้อน หรือที่เรียกว่า Pixel นิยมใช้ในจอคอมพิวเตอร์

Plasma  - หลักการทำงานคล้าย LCD แต่ใช้แก๊สบรรจุในแผ่นกระจกแทนของเหลว

จุดเด่นของ Plasma
1. มุมมองการรับชม

Plasma สามารถรับชมภาพได้ชัดเจนจากทุกมุมมอง คือมองภาพจากด้านซ้าย-ขวา หรือยืนดู นอนดู ได้หมดครับ ...ในขณะที่ LCD ทั่วไป ถ้าไม่ได้มองภาพตรงๆ ภาพจะมืดลงครับ

2. Contrast Ratio  (อัตราส่วนความแตกต่างระหว่างภาพมืดสุด-ถึง-สว่างสุด)

Plasma มักจะมี Contrast ที่ดีกว่า LCD ...ถ้า Contrast ต่ำ ภาพสีดำก็จะไม่ดำสนิท เช่นเดียวกับสีขาวก็จะไม่ขาวสนิท)

3. Response Time (ความเร็วในการตอบสนองเพื่อแสดงผลภาพ)

Plasms มีค่า Response Time ต่ำกว่า LCD ...ค่านี้ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งดีครับ เพราะถ้าหากค่ามากภาพเคลื่อนไหวจะเห็นมีเงาวิ่งตามภาพ

4. ราคาและขนาด

ราคาเทียบกันต่อนิ้วแล้ว Plasma จะมีราคาต่ำกว่า LCD และขนาดจะมีไปถึงขนาดใหญ่กว่า

- LCD TV จะผลิตตั้งแต่ 15" - 45"

- Plasma TV จะผลิตตั้งแต่ 37" - 60"

จุดเด่นของ LCD
1. Resolution  (ความละเอียดของหน้าจอ)

- Plasma ส่วนใหญ่จะมีความละเอียดที่ W-VGA 852x480 พิกเซล

- LCD ส่วนใหญ่จะมีความละเอียดมากกว่าที่ W-XGA (1,366x768) หรือสูงกว่านี้ก็มีครับ

2. Dot Pitch  (ระยะห่างระหว่างจุดสี)

ของ LCD มีค่าน้อยกว่า คือยิ่งค่าน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะหมายถึงระยะห่างระหว่างจุดใกล้กันกว่า  ทำให้เวลานำมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ภาพของ LCD จะละเอียดกว่า

3. Brightness  (ความสว่าง)

LCD มีความสว่างที่ดีกว่า Plasma เป็นจุดเด่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ

4. แสงสะท้อน บนผิวหน้าจอ

ทั้งทีวีจอแก้ว (CRT) หรือ Plasma TV หน้าจอจะเป็นกระจก ซึ่งแน่นอนว่าสะท้อนแสงแน่ๆครับ ถ้าห้องเราเปิดไฟไว้ เราจะเห็นหลอดไฟบนหน้าจอ และในฉากมืดๆ เรายังจะมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเราเองด้วยซ้ำครับ

LCD TV หน้าจอไม่ใช่กระจกครับ จึงไม่สะท้อนแสงแน่นอน ภาพจึงไม่มีแสงสะท้อนรบกวนคุณภาพของภาพครับ

5. ไม่มีอาการจอไหม้

Plasma TV ถ้าเปิดภาพใดภาพหนึ่งแช่ไว้นานๆ โดยไม่เปลี่ยนภาพ เช่น เปิดภาพที่เป็นจอกว้าง มีแถบดำด้านบน-ล่างของจอ หรือเปิดเกมที่มีการแสดงคะแนน ฯลฯ ค้างบนจอในจุดเดียวนานๆ จะเกิดอาการ "จอไหม้" ได้ครับ คือ ภาพที่เปิดแช่นั้นมันจะค้าง ถึงเราเปลี่ยนไปดูภาพอื่นแล้ว แต่ยังจะเห็นภาพนั้นลางๆค้างอยู่ ส่วน LCD TV จะไม่เป็นอาการนี้ครับ เค้าจึงนิยมเอามาใช้เป็นจอคอมพิวเตอร์ไงครับ

6. ประหยัดไฟ และการแผ่รังสีความร้อนต่ำกว่า

LCD ประหยัดไฟกว่า Plasma ประมาณ 40% ในขนาดเดียวกัน และยังแผ่ความร้อนออกมาน้อยกว่าด้วยครับ Plasma ที่เปิดทิ้งไว้สักพัก ลองไปยืนใกล้ๆดูครับ ร้อนวูบเลยล่ะ


พูดถึง SONY BRAVIA
สำหรับ LCD TV ของ Sony จะอยู่ในตระกูล "BRAVIA" โดยช่วงแรกจะมีทั้งหมด 9 รุ่นนะครับ จะแบ่งเป็น

- B-Series  15", 20"

- S-Series  23", 26", 32", 40"

- V-Series  26", 32", 40"

ที่น่าสนใจสุดคือ S-Series ด้วยราคา ขนาดและคุณภาพที่เหมาะสม

- ความละเอียด = WXGA (1366x768 พิกเซล)

- ความสว่าง = 500 cd/m2

- Contrast Ratio = 1,000 : 1

- Response Time = 8 ms

นอกจากนี้ S-Series ยังมี Contrast ที่ดีมากครับ เพราะปกติแล้ว LCD TV ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา จะมีจุดอ่อนอยู่ที่ Contrast ทุกที คือฉากมืดสีดำ มักจะไม่ดำ แต่จะออกเป็นสีเทาๆไปซะ แต่สำหรับรุ่นนี้ Contrast Ratio 1,000 : 1 (ดูตัวเลขอาจจะไม่ตื่นเต้นเพราะ Plasma TV เค้าโฆษณากันระดับ 10,000 : 1 กันแล้ว) แต่ปรากฏว่าพอนำมาเปรียบเทียบภาพระหว่าง

- Bravia LCD สเปก 1,000 : 1 กับ

- Plasma TV สเปก 10,000 : 1
ภาพของ LCD รุ่นนี้กลับมี Contrast ที่ดำสนิทมากกว่า Plasma ซะอีกครับ ถือว่า Contrast ไม่ใช่ปัญหาของ LCD TV รุ่นนี้แล้วล่ะครับ

เรื่องความสว่างของ LCD TV ไม่ค่อยเป็นปัญหาอยู่แล้วครับเพราะเป็นจุดเด่นของจอภาพแบบ LCD นี้  ส่วนด้านความละเอียดนั้น ปกติ LCD TV ทั่วไปมักจะมีความละเอียดน้อยแค่ XVGA แต่กับ S-Series ทุกรุ่นจะใช้จอที่มีความละเอียด WXGA ซึ่งถือว่าเหมาะสมและรองรับสัญญาณระดับ HDTV ครับ

สำหรับใน V-Series นั้น ถึงเป็นรุ่น Top แต่ดูราคาแล้ว ก็ยังถือว่าไม่เกิยเอื้อมเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ

- ความละเอียด = WXGA (1366x768 พิกเซล)

- ความสว่าง = 500 cd/m2

- Contrast Ratio = 1,300 : 1

- Response Time = 8 ms
สิ่งที่เพิ่มเติมจากรุ่น S-Series นะครับ

- ระบบสี WCG-CCFL  (ทำให้แสดงสีเขียว-แดงได้เข้มขึ้น)

- Wega Engine

- ช่องต่อ HDMI

- แอมป์แบบ S-Master (ดิจิตอลทุกขั้นตอน)

- ระบบเสียง TruSurround XT
เรียบเรียงจาก : บทความของคุณ SONYMAN
เรียบเรียงโดย : NutthNet.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03, กันยายน 2010, 07:58:11 am โดย ทีมงานบอร์ดโบราณ »


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)