สติ อันเป็นยอดแห่งธรรมทั้งหลาย
"สติ" เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ 16 ประการ
โดย.พระนาคเสน1.สติเกิดจากตัวผู้รู้ เช่น การระลึกชาติ
2.สติเกิดจากมีการกระตุ้นเตือน เช่น ผู้หลงลืมมีผู้อื่นเตือนก็ระลึกได้
3.สติเกิดจากอาศัยนิมิตที่สำคัญ เช่น ประสบเหตุอันยิ่งใหญ่ในชีวิต
4.สติเกิดจากประทับใจในสุข
5.สติเกิดจากประทับใจในทุกข์
6.สติเกิดจากการใด้เห็นสิ่งคล้ายกัน เช่นเห็นประกายแก้วแพรวพราวก็ระลึกถึงองค์พระ
7.สติเกิดจากการใด้เห็นสิ่งแตกต่างกัน เช่น เห็นสีแดงตัดกับสีดำ
8.สติเกิดจากคำตักเตือน การรู้ สำผัส เห็นได้ยิน ซ้ำ ๆ
9.สติเกิดจากเครื่องเตือน หรือ เห็นซ้ำ ๆก็จำได้
10.สติเกิดจากการสังเกตุของตนเอง
11.สติเกิดจากการท่อง คำนวน การนับ
12.สติเกิดจากวินัยหรือหลักวิชา เช่น รู้ศีล 5 เห็นคนตบยุงก็เกิดสติจำได้
13.สติเกิดจากการพัฒนาจิตตามหลักภาวนา เช่นกรรมฐาน 40 กอง
14.สติเกิดจากการอ้างตำรา เช่น เปิดตำราก็จำได้ว่าเคยได้อ่าน
15.สติเกิดโยงใยเหตุการณ์ ก็เป็นเหตุให้เกิดสติ
16.สติเกิดจากความทรงจำ เช่น เห็นบุคลก็จำได้
สติ 4 ขั้น
1.จูฬสติ สติเบื่องต้นตามธรรมชาติ มีในคนและสัตว์
2.อนุสติ (สติเกิดบ่อยๆจึงมีชื่อว่าอนุสติ)สติขั้นการเจริญสติ เช่น อนุสติ 10 อสุภะ 10 กสิน 10 อรูปฌาณ 4
3.มัชฌิมสติ สติขั้นกลางคือการพัฒนาสติ
4.มหาสติ สติระดับมรรค-ผล ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
สติ2ระดับ
1.สติระดับสัญชาติญาณ สามารถควบคุมการกระทำทางกายให้เป็นไปตามอำนาจของตน ซึ่งทุกคนมีตามธรรมชาติมากน้อยต่างกัน
2.สติระดับการฝึกฝนเรียนรู้ เป็นสติของผู้ฝึกสมถะ วิปัสนา แบ่งเป็น สติโลกียะ และสติโลกุตระ
สติจำแนกตามกาล
1.ในอดีต สติ หมายถึง การจำ การระลึกได้
2.ในปัจจุบัน สติ หมายถึง การรู้ตลอดสายในกายและจิตตามจริงเป็นปัจจุบัน
3.ในอนาคต สติ หมายถึง เจตนา ตั้งใจ ประสงค์จะกระทำ
สติ ย่อมมีปัญญาประกอบ3ประการ
1.ปัญญาในการเรียนรู้ จากการฟังคิด อ่าน เขียน
2.ปัญญาการไตร่ตรอง หาเหตุผล แก้ปัญหา
3.ปัญญา แห่งสัจจะธรรมของ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
สติตามคำพระบรมครู
พุทธองค์ทรงตรัสว่า
"สติเป็นสิ่งที่ยืนหยัดตั้งมั่น เพื่อขจัดทุกข์ทั้งมวลที่เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ให้หลุดพ้นออกไป"
พระไตรปิฏก
สติตั่งมั่นในไม่ฟั้นเฟือนในฌาณ1 มีสติสัมปชัญญะในฌาณ2 มีสติตั้งอยู่เป็นสุขในฌาณ3 มีสติบริสุทธิในฌาณ 4
ม.มู 12/47/29
พระธรรมปิฎก
สติ คือ ความระลึกได้ นึกได้ ความไม่เผลอการควบคุมใจไว้กับกิจหรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องจำการที่ทำคำที่พูดไว้เนิ่นนานได้
สติสัมปชัญญะ รู้ตัวรู้การกระทำในขณะนั้น ๆ ส่งผลให้พฤติกรรมเป็นไปด้วยปัญญา และเหตุผลที่บริสุทธฺ
หลวงปู่มั่น "สติ สำคัญสำหรับทำความเพียรและสติคือความเพียร"
หลวงตามหาบัว "ขาดสติการใดการนั้นเรียกขาดความเพียร"
หลวงพ่อชา สุภัทโธ "การปฏิบัติตนเป็นปรกติตามธรรมชาติมีสติระลึกรู้อยุ่เสมอปัญญาเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติจากการมีสติทุกอิริยาบท"
หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน "สติมีการทำงานอยู่ 3 ระยะ 1.สติตัวต้นระลึกก่อน 2.สติตัวกลางรู้ตัวกำหนดสติสัมปชัญญะ 3.สติตัวปลายคือปัญญา"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย "ทำจิตให้มีสิ่งรู้สิ่งระลึก จิตนึกถึงสิ่งใดให้มีสติกำกับเข้าไปเมื่อจิตมีสิ่งรู้สิ่งระลึกเขาจะมีพลังงานเพิ่มขึ้น"
หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาธีโป "เราฝึกสมาธิไม่ได้ก็คือ สติเรามันอ่อนมันไม่รวดเร็วมันระลึกไม่เร็วรู้ไม่เร็วไม่เท่าทันจิต"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังษี "สติคุมจิตให้อยู่ในอำนาจของบริกรรม พุทโธ..สิ่งไม่ถูกกำหนดหายไปสิ้น ตั้งสติให้แน่วแน่ในอารมณ์เดียวจนจิตรวมเป็นหนึ่ง"
หลวงพ่อลี วัดอโศการาม "รอบคอบด้วยสติ มั่นคงด้วยสมาธิเกิดปัญญารู้แจ้งถูกผิด"
หลวงปู่ขาว อนาลโย "สติทำอะไรไม่ผิดพลาดกุศลธรรมทั้งหลาย คุณความดีทั้งหลาย เกิดขึ้นได้เพราะบุคคลมีสติอย่างเดียว"
หลวงปู่หลุย "เอาสติรักษาจิตให้มั่นจะเกิดอัศจรรย์ในจิต สิ่งที่ไม่รู้ก็รู้ขึ้นมา"
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ "สติ มาจากรากศัพย์บาลี แปลว่า แล่น ๆขนส่งความรู้ความจำ"
หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ "ขอเพียงให้ กำหนดรู้ลมเข้า กับรู้ลมออก คือ เอาสติเข้าไปคุมไว้ คำว่าสติเป็นภาษาบาลี ถ้าฟังแล้วรู้สึกอึดอัด เราก็จะใช้ว่ารู้ ๆ แค่นี้ จะสบายกว่า ตัวรู้นี่ก็คือตัวสติพระพุทธเจ้าทรงให้ฝึกเฉพาะสติก่อนเท่านั้น ยังไม่เข้าถึงสัมปชัญญะ ซึ่งก็อยู่ในกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐานเหมือนกัน แต่ให้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็แล้วกัน
สายาดอ อูบัณฑิต "สติ หมายถึง พลังแห่งการเฝ้าสังเกต"
-http://board.palungjit.com/f10/%E0%B8%A ... 27503.html- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=44418&start=15**********************************************
ปริญญา แปลว่า การกำหนดรู้๑. ญาตปริญญา ....กำหนดรู้ด้วย
การรู้๒. ตีรณปริญญา ....กำหนดรู้ด้วย
การพิจารณา๓. ปหานปริญญา....กำหนดรู้ด้วย
การละเสีย.
ที่มาของคัมภีร์ : ขุ. มหา. ๒๙/๖๐.
>>> อุบาสก ผู้หนึ่ง /28 กันยายน56
****************************
พุทธพจน์ห้ามเอาไปแปล รู้จักหรือเปล่าพุทธพจน์น่ะ
พุทธพจน์มันหมายถึงปรมัตถบัญญัติ ไอ้ที่ยกมาท่านเรียกว่า....พุทธวจนะ
ในบทพุทธวจนะ มีทั้งสมมติบัญญัติและปรมัตถบัญญัติ
สมมติบัญญัติซึ่งมันเป็นบาลีสามารถเอาไปแปลเป็นไทยได้ แต่ปรมัตถ์บัญญัติห้ามเอาไปแปลเป็นไทย
ปรมัตถ์บัญญัติเราต้องรู้แจ้งด้วยตัวเอง นั้นก็คือรู้ตามสภาวธรรม...--------------------
เราต้องพิจารณาพุทธพจน์นั้นให้เกิดเป็นสภาวธรรม
นั้นหมายความว่า ปฏิบัติให้เห็นความเป็นจริงต่อพุทธพจน์นั้น
อย่างเช่น...ขนฺตี คำนี่ ถ้าเราไปแปล... ขันติ คือความอดกลั้น
จากความหมายที่เป็นปรมัตถ์ มันจะกลายเป็นสมมติบัญญัติทันที มันใช้ไม่ได้
หลักการแท้ๆนั้น เราต้องทำให้ปรมัตถ์บัญญัติ เป็นปรมัตถ์
หรือทำบัญญัติให้เป็นสภาวธรรม
อาจถามว่า แล้วเราจะบอกผู้อื่นได้อย่างไร นั้นก็พูดไปตามจริงว่า
เราเห็นและเข้าใจสภาวธรรมตัวนั้นอย่างไร ไม่ใช่ไปเอามาจากพจนานุกรม
ในพจนานุกรม บอกว่าขันติคือความอดทนอดกลั่น ในสภาพของจิตมันมีซ่ะที่ไหนกัน
สภาพของจิต มีแต่กระบวนการขันธ์ห้า มีแต่จิต เจตสิก รูป
ขันติที่เป็นปรมัตถ์หรือสภาวะ ก็คือ
การที่จิตไประลึกรู้สภาพธรรม เพื่อมาดับอกุศล
พูดง่ายๆมันก็คือสตินั้นเอง--------------------------------------------
ไม่ให้แปล หมายความว่า.......อย่าเอาปรมัตถ์บัญญัติไปแปล ไม่ใช่ไม่ให้แปลสมมติบัญญัติที่เป็นบาลี
พูดง่ายๆคือ ห้ามเอาปรมัตถ์บัญญัติที่เป็นบาลีไปให้ความหมายเอาเองตามภาษาไทย
-----....ถ้า เห็นบทพระไตรปิฏกที่เป็นบาลี --- ต้องไปเทียบกับ
พระไตรปิฎกที่เป็นภาษาไทย ในพระไตรปิฎกที่เป็นภาษาไทยท่านไม่ได้แปลปรมัตถ์บัญญัติ
แต่ที่เราเห็นเนื้อหาไทยยาวๆ นั้นเป็นเพราะท่านอธิบายในส่วนที่เป็นสมมติบัญญัติ
----ดูให้ดีจะเห็นว่า ในพระไตรปิฎกจะคงความเป็นปรมัตถ์บัญญัติเอาไว้
อาจจะเพี้ยนรูป แต่ยังคงเสียงเดิมเอาไว้ เช่นขนฺตี เขียนเป็น ขันติ
[47276.สาระของโอวาทปาฏิโมกข์]
******************************************
ความสำคัญของการภาวนาหรือการปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า
นั้นคือการดำเนินชีวิตแบบมีสติในเบื้องต้น และการมีอินทรีย์๕ในเบื้องปลาย
ดังนั้นการปฏิบัติที่แท้ ไม่ใช่การนั่งจมแช่อยู่กับความว่าง
ตรงข้ามการปฏิบัติที่ถูกต้องคือการ ทำให้จิตมีความคล่องแคล้วฉับไว
ควรค่าแก่การงาน ซึ่งการทำให้จิตมีลักษณะนี้ได้ ก็ต้องอาศัยอินทรีย์๕
นั้นก็คือ.......................ศรัทธา....วิริยะ....สติ..ปัญญา....สมาธิ
จขกทรู้หรือไม่ว่า....สมถะมีลักษณะอย่างไร
และสมาธิแท้ๆที่พระพุทธองค์ทรงสอนเป็นอย่างไร
จขกทรู้หรือเปล่าว่ากำลังเข้าใจผิด โดยคิดว่า สมาธิของฤษีเป็นสมาธิที่พระพุทธองค์ทรงสอน
-------------......................
การทำวิปัสสนาจะไม่สามารถทำในขณะที่อยู่ในฌานได้
จะต้องถอนออกมาจากฌานเสียก่อน ทำแบบนี้จึงจะเป็นแบบที่พระพุทธองค์ทรงสอน
ที่พูดมาเอามาจากประสบการณ์ และถามว่าทำไมถึงรู้
ก็จะบอกให้ ประสบการณ์การเห็นไตรลักษณ์ของผม มาจากการเจริญสติ
การให้จิตมีความคล่องแคล้วฉับไว ทันต่อสิ่งที่มากระทบ
------------................
วิปัสสนาก็คือการคิด
การพิจารณาธรรมจะต้องอาศัยมโทวาร เราต้องใช้มโมทวารเป็นผู้พิจารณาธรรม
แต่มันไม่ใช่มีแต่มโนทวาร ในการใช้มโนทวารพิจารณาธรรม ยังต้องอาศัยการนึกด้วย
เราต้องนึกระลึกถึงปัญญาหรือสภาวธรรมที่เราไปจดจำมา เอามาพิจารณาธรรมร่วมด้วย
----------...................
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ คนนั้นจะต้องรู้ผิดและรู้ถูกไปในคราวเดียวกัน
และจะรู้ผิดรู้ถูกได้ เขาจะต้องเคยผ่านการกระทำนั้นมาแล้ว
----------.................
การได้มาซึ่งญาน เราจะต้องปฏิบัติด้วยวิธีการทำ สมถะและวิปัสนาควบคู่กันไป
การทำฌานไม่ใช่หนทางแห่งญาน ผู้ที่ทำฌานจะได้มาซึ่งญานนั้น จะต้องเปลี่ยนฌานให้
มาเป็นวิปัสสนาเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นญานได้
-------------....................
ผู้มีประสบการณ์ เขาสามารถกล่าวในสิ่งที่เขาพบเจอมา โดยไม่ต้องไปอิงแอบกับตำราเล่มใด
การอ้างตำรายิ่งเป็นตำราที่ไม่ใช่พุทธพจน์ นั้นหาใช่ประสบการณ์ไม่ มันก็แค่การอ่านตำรา
---------------.......................
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต
จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป
คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่.. เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้น แท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น
เรื่องที่ .. ยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์
-----------------------.......................
ศาสนาพุทธเน้นเรื่องศรัทธา ศรัทธากับความเชื่อแตกต่างกัน
ศรัทธาประกอบด้วยปัญญา มีเหตุมีผล ส่วนความเชื่อนั้นไม่ประกอบด้วยปัญญา
------------------..................................
ปริเฉทนั้นน่ะ มันเป็นปริยัติโดยตรงเลย ความหมายก็คือ
การแบ่งเนื้อหาที่เป็นปริยัติไว้เป็นตอนๆ
-----------------.....................
.. บันไดขั้นที่หนึ่ง .....
หมั่นเจริญสติเพื่อให้เกิดปัญญา การจะปฏิบัติในเรื่องอริยมรรคมีองค์๘
มันไม่สามารถทำได้ถ้ายังขาดปัญญา
ปัญญาที่ว่าคือ การได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของอารมณ์เสียก่อน
... การนั่งทำฌานอย่างเดียวไม่สามารถเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้
-----------------................
หลงเข้าใจไปว่า แยกรูปแยกนาม เป็นปาฏิหาร
ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ มันก็แค่การที่จิตมีความเป็นสัมปะชัญญะ
คล่องแคล้วต่อการตามรู้ต่อสิ่งที่มากระทบ โดยเฉพาะที่มโนทวาร
รูปคือทวารทุกทวาร นามคือจิตผู้รู้ก็คือวิญญานนั้นเอง
สรุปให้ฟังง่ายๆ ก็คือ การที่จิตทันต่อสิ่งที่มากระบบ นั้นก็คือการแยกรูปแยกนามแล้ว
รวมถึงจิตผู้รู้และสิ่งที่ถุูกรู้(รูปหรือทวาร)-----------------------..........................................
ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
แต่ในสภาวะเดียวนั้น มีความหมายได้สามอย่าง
... ... ... ... ..........
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นสภาวะเดียว
-----------------.............
สติเป็นสภาวะที่......ระลึกรู้
การระลึกรู้ไม่ได้หมายถึงรู้ปัจจุบันอารมณ์
หน้าที่ของการรู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิต(วิญญาน)
สติเป็น
อาการของจิต ที่ไปรู้สัญญา(อดีด) สติไม่ใช่รู้ปัจจุบันอารมณ์
ตัวที่รู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิตหรือวิญญาน ... ...
สภาวะธรรมภายในกายใจเรา ไม่ว่าจะเกิดสภาวะใดขึ้น
ก็ต้องนับว่า สภาวะนั้นคือ ปัจจุบันอารมณ์
ต่อให้เกิดความหลงหรือโมหะ ก็ต้องนับโมหะเป็นปัจจุบันอารมณ์---------------------------------....................
สัมมาสังกัปปะเป็นหลักของการปฏิบัติในการดับอวิชา ไม่ใช่การทำฌาน
การทำฌานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถดับอวิชาได้
ความเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นก็คือ การใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรมเพียงให้เห็นถึง
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ถ้าไล่ลำดับของไตรสิกขา ในส่วนของอธิปัญญา จะต้องเกิดปัญญา(ไตรลักษณ์)เสียก่อน
เราจึงจะเอาปํญญาตัวนี้มาพิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะได้
-----------------------..............................
ผู้ที่มีปัญญาเห็นสภาวะธรรมแล้วเท่านั้น จึงจะรู้ว่าในความหมายของรูปนาม
มันไม้ได้แยกออกจากกัน เพียงแต่มันเป็นเรื่องของสังขาร เป็นเรื่องของจิต
จิตมีลักษณะเกิดขึ้นและดับไปในทันทีทันใด อาการของจิตหรือเจตสิกก็เช่นกัน
จะต้องเกิดพร้อมกับจิตและดับพร้อมกับจิต
จิตเป็นลักษณะสองอย่าง นั้นก็คือเป็นตัวรู้และเป็นอาการของจิต
จิตตัวรู้กับจิตที่เป็นอาการของจิต จะเกิดพร้อมกันไม่ได้
เพราะจิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป....ทีละดวง
จิตจะรู้
อาการของจิตได้ จะต้องให้จิตที่เป็นอาการของจิต
ดับไปเสียก่อน จึงจะเกิดจิตตัวรู้
จิตตัวรู้ก็คือ รู้อาการของจิตตัวที่ดับไป
ดังนั้นความหมายของการแยกรูปแยกนาม มันไม่ใช่การที่รูปและนามแยกออกจากกัน
--------------------...............................
ในสาระสำคัญที่เป็นวิชชาแท้ๆ
สภาวธรรมตัวนั้นก็คือ........สังขตธรรม
สังขตธรรมก็คือไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์เป็นลักษณะของสังขาร
ไตรลักษณ์ไม่ใช่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ไตรลักษณ์
เป็นเหตุให้เกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ในความเป็นไตรลักษณ์ก็คือลักษณะของสังขาร นั้นก็คือ....การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
สภาวะแท้ๆของไตรลักษณ์จึงมีสาม....เกิด ตั้งอยู่ ดับไป
แต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาวะอนิจจังไม่มี สภาวะทุกขังไม่มี และสภาวะอนัตตาไม่มี
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎแห่งธรรมชาติ เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม(กรุณาไปดูพระไตรปิฎกเพิ่มเติม)
เมื่ออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎแห่งธรรมชาติ แต่จิตไปรู้กฎแห่งธรรมชาตินี้เข้า
สภาวะที่เกิดขึ้นมันจึงเป็น........สภาวะที่เรียกว่า ปัญญา
ปัญญาเป็นอาการของจิต ที่เกิดขึ้นโดยเป็นสภาวะเดี่ยว ไม่มีสอง สาม สี่
สรุป เหตุให้เกิดคือไตรลักษณ์มีสามคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ผลก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปัญญามีเพียง...หนึ่ง
-------------------------.......................................
{
คำว่าไตรลักษณ์ เป็นบัญญัติที่สร้างขึ้นใหม่โดยครูบาอาจารย์รุ่นหลัง
มันเป็นการถอดบัญญัติมาเป็นบัญญัติ หลายคนที่ยังขาดปัญญามักจะเข้าใจว่า....
ไตรลักษณ์คือ....อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ไตรลักษณ์คือ ลักษณะของสังขารที่มี การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ในความเป็นลักษณะของสังขารนี้ มันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ด้วยเหตุปัจจัยดังนี้ ถ้าเราจะกล่าวว่า ไตรลักษณ์..หมายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ย่อมได้
แต่ถ้าเป็นหลักในการพิจารณาธรรม เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์
เราต้องเข้าใจว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสภาวะปัญญา
ส่วนการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..ไตรลักษณ์เป็นวิชชา เป็นเหตุให้เกิดปัญญา
นั้นคือเราต้องเอา วิชชา(เหตุแห่งปัญญา) และปัญญา(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
ไปพิจารณาธรรมเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ เป็นดังนี้เมื่อเราได้ยินว่า.."ไตรลักษณ์"
ก็ให้เข้าใจว่า นั้นคือ วิชชาและปัญญา เป็นปัจจัยร่วมกันอยู่
[หน้า 6 จากทั้งหมด 33]46821.ครึ่งชั่วโมง ทำใจให้สงบจากนิวรณ์ 5 ไม่ได้รู้มากมายก็ไร้ค่า}
***
นิพพานมีอย่างเดียว
นิพพานธาตุ จึงจะต่างกัน เพราะมันต่างกันด้วยธาตุ ไม่ใช่นิพพาน
..
ธาตุในที่นี้หมายถึง
กายใจของ สอุปาทิเสสบุคคลและกายใจของอนุปาทิเสสบุคคล
สอุปาทิเสสบุคคลคือผู้เจริญปัญญาด้วย .....สุตตมยปัญญา(อินทรีย์ห้า)
อนุปาทิเสสบุคคลคือผู้เจริญปัญญาด้วย......ภาวนามยปัญญา(ฌาน)
52969. ฆราวาสบรรลุอรหันต์จำเป็นต้องบวช???
********
ความหมายของประตูนิพพานมีสามทาง
ท่านหมายถึงการปฏิบัติให้ถึงนิพพานมีสามทาง นั้นก็คือ
๑......สุตตมยปัญญา
๒......จินตมยปัญญา
๓......ภาวนามยปัญญา
---------........................
สังเกตุ คือ........สัมปชัญญะ
ปัญญาไม่ใช่สัมมาสังกัปปะโดยตรง แต่ปัญญาเป็นเหตุให้เกิด ....สัมมาสังกัปปะ
ความหมายของสังเกตุ โดยรวมแล้วคือการพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจ โดยอาศัยหลักของ
ปัญญาและสติสัมปชัญญะ หลักการก็คือ พิจารณาหาเหตุแห่งธรรมที่เกิดขึ้น เช่นทุกข์
ส่วนวิปัสสนา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพิจารณา แต่ยังไม่ถึงระดับของการพิจารณาธรรม
เพราะวิปัสสนาเป็นการทำให้จิตเป็นสมาธิ ดูอารมณ์ที่เกิด
ความหมายก็คือดูเฉยๆ ยังไม่ถึงขั้นการพิจารณา
การสังเกตุ ตามที่ .. ยกมา โดยเหตุปัจจัยของการปฏิบัติแล้ว เป็นการให้จิตทันต่อ
สิ่งที่มากระทบทวารทุกทวาร แล้วพิจารณาเหตุปัจจัยแห่งการกระทบนั้น
ดังนั้นถ้าเราเริ่มต้นด้วยการสังเกตุ .........วิปัสสนาจะไม่เกิด
เพราะวิปัสสนาคือการดูอารมณ์เฉยๆ หมายความว่า.....ไม่ให้คิดและไม่ให้บังคับจิต(ไม่เพ่ง)
ส่วนสังเกตุ ถ้าเป็นความหมายในทางธรรม คือการพิจารณา
จะต้องอาศัย ปัญญาลงมาเป็นส่วนประกอบในความคิด สรุปก็คือความคิด
-----------------..............................................................
มันเป็นการอธิบายมรรควิธีส่วนย่อยของ......ภาวนามยปัญญา
ความหมายแท้ของการทำภาวมยปัญญาก็คือการเอาปัญญาไตรลักษณ์ ไปเพ่งหรือทำฌาน
การเพ่ง ท่านไม่ได้เพ่งสิ่งที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตา
ท่านท่านเพ่งที่ตัวสังขาร นั้นก็คือเพ่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
และในการเพ่งนั้นจะต้องมีปัญญามาประกอบด้วย ปัญญาเป็นสภาวะเดียว
แต่มีความหมายหรือผลเป็นสาม นั้นก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ผู้ปฏิบัติจะเลือกเอาอย่างใดมาเป็นผลของของเพ่งก็ได้
ถ้าเลือกการเพ่งสังขารให้เกิดผลเป็น....อนิจนิจจัง เราก็เรียกการเพ่งนั้นว่า....อนิมิตนิพพาน
ถ้าเลือกเพ่งสังขารโดยให้ผลเป็น.........ทุกขัง เราเรียกการเพ่งนั้นว่า.....อัปปณิหิตนิพพาน
ถ้าเลือกเพ่งสังขารโดยให้ผลเป็น.........อนัตตา เราเรียกการเพ่งนั้นว่า.....สุญญตนิพพาน
---------------------------------............................................
การปฏิบัติแนวโยคีหรือพวกยึดติดอภินิหารย์
ซึ่งในความเป็นจริง พระพุทธทรงชี้ให้เห็นว่า....มันเป็นมิจฉา
ส่วนเรื่องการปฏิบัติสู่นิพพาน ถ้าใครเป็นสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า......
ย่อมต้องมีททางสายเดียวอยู่แล้ว นั้นคือ อริยมรรคมีองค์๘.....
เราเรียกหนทางนี้ว่า สุตตมยปัญญา เป็นเพราะต้องอาศัยพระธรรมคำสอนของพระโคดม
แต่หนทางสู่นิพพานไม่ใช่มีสายเดียว มันมี๓สายดังที่กล่าวมาแล้ว
อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแต่พระโคดม ยังมีปัจเจกพุทธเจ้าอีกมากมาย
เราเรียกปัจเจกพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ตรัสรู้เหมือนกัน หนทางแห่งการตรัสรู้ของท่าน
ไม่ใช่หนทางแบบของสาวกพระโคดม
ปัจเจกพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ของท่านเอง จึงเรียกหนทางการตรัสรู้ของปัจเจกพุทธเจ้าว่า.....
จินตมยปัญญา การตรัสรู้ของพระโคดมเป็นจินตมยปัญญาเช่นกัน
ยังมีอีกหนทางนั้นก็คือพวกที่ทำฌาน การทำฌานไม่ใช่การปฏิบัติในอริยมรรคมีองค์๘
การทำฌานเป็นการเข้าสมาบัติ
ในตอนแรกพวกโยคีเข้าใจว่า การเข้าสมาบัติคือ สภาวะนิพพาน
แต่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้เหล่าโยคี ให้ปฏิบัติต่อไปจนถึง....นิโรธสมาบัติ
เราเรียกขั้นตอนการปฏิบัติของพวกโยคีหรือพวกทำฌานว่า.....ภาวนามยปัญญา
-------------------------------.........................................
[๘๐๔] พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒
วิภังคปกรณ์
ติกนิเทศ
(ว่าด้วย.. จินตามยปัญญา สุตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เป็นไฉน)
-http://www.84000.org/tipitaka/read/?35/804/438
*********************************************
การทำฌานหรือเรียกว่า
การเจริญภาวนา เป็นการมุ่งตรงสู่นิพพานด้วยการละ ราคะ โทสะ โมหะ
การทำอริยมรรคมีองค์๘หรือเรียกว่า
การเจริญปัญญา เป็นการมุ่งตรงสู่นิพพานด้วยการละ..อวิชา
----------------------------.........................................
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ท่านอธิบายการเข้าถึงนิพพาน ด้วยการเจริญภาวนา
ซึ่งมันเป็นเพียงหนทางหนึ่งในการไปสู่นิพพาน
... ... ... ........
เนื่องจากพระอภิธรรมมัตถสังคหะไม่ใช่พระไตรปิฎกแท้ๆ เป็นเพียงคัมภีร์
จึงไม่มีเนื้อหาอยู่ในพระไตรปิฎก ดังนั้นการอ้างอิงจึงต้องอาศัย เอามาจากเว็บที่เขาเผยแพร่
เป็นการเฉพาะ ดังนั้นผมจึงต้องเอามาจากเว็บพระอภิธัมออนไลน์.........
ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค
นิพพาน โดยอาการที่เข้าถึง
นิพพาน กล่าวโดยอาการที่เข้าถึง หรือกล่าวโดยสภาพที่บรรลุ หรือโดยอาการ ที่เป็นไปแล้ว มี ๓ คือ
ก. อนิมิตนิพพาน หมายถึงนิพพานนั้นไม่มีนิมิตไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีรูปร่าง
การสงัดจากนิมิตอารมณ์ ที่ยังให้เกิดกิเลส หรือ ชรามรณธรรม เป็นต้น นั้น
เรียกว่า อนิมิตตนิพพาน
ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา จนเห็นสามัญลักษณะ หรือ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง เห็นความไม่เที่ยง อันปราศจากนิมิตเครื่องหมายเช่นนี้แล้ว และเพ่งอนิจจังต่อไปจน บรรลุมัคคผล มีนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานที่เป็นอารมณ์แก่ผู้ที่เห็นอนิจจังนั้นมี ชื่อว่า อนิมิตตนิพพาน ผู้มีอนิมิตตนิพพานเป็นอารมณ์ บุญญาธิการแต่ปางก่อนแรง ด้วย สีล
ข. อัปปณิหิตนิพพาน หมายถึง นิพพานนั้น ไม่มีอารมณ์เป็นที่น่าปรารถนา
การสงัดจากความดิ้นรนอันเป็นเหตุให้เกิดสรรพทุกข์นั้น เรียกว่า อัปปณิหิต นิพพาน
ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา จนเห็นไตรลักษณ์ คือ ทุกข์ เห็นความทนอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปรไป อันหาเป็น ปณิธิ ที่ตั้งไม่ได้เช่นนี้แล้ว และเพ่งทุกข์ต่อไปจน บรรลุมัคคผล มีนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานที่เป็นอารมณ์แก่ผู้ที่เห็นทุกข์นั้นมี ชื่อว่า อัปปณิหิตนิพพาน ผู้มีอัปปณิหิตนิพพานเป็นอารมณ์ บุญญาธิการแต่ปางก่อน แรงด้วย สมาธิ
ค. สุญญตนิพพาน หมายถึง นิพพานนั้นสูญสิ้นจากกิเลสและอุปาทาน และ ขันธ์ ๕ ไม่มีอะไรเหลืออยู่
ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา จนเห็นไตรลักษณ์ คือ อนัตตา เห็นความไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ อันเป็นความว่างเปล่า เช่นนี้แล้ว และเพ่งอนัตตาต่อไปจนบรรลุ มัคคผล มีนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานที่เป็นอารมณ์แก่ผู้เห็นอนัตตานั้น มีชื่อว่า สุญญตนิพพาน ผู้ที่มีสุญญตนิพพานเป็นอารมณ์นี้ บุญญาธิการแต่ปางก่อนแรงด้วย ปัญญา
ผู้ที่เห็นสามัญญลักษณ์ หรือไตรลักษณ์ คือ อนิจจังกับอนัตตาแล้วก้าวขึ้นสู่ มัคคผลนั้น มีจำนวนมากกว่าผู้ที่เห็น ทุกขัง
จบปริจเฉทที่ ๖ ชื่อว่า รูปสังคหวิภาค
-http://abhidhamonline.org/aphi/p6/087.htm
[หน้า 1-5 จากทั้งหมด 33]
46821.ครึ่งชั่วโมง ทำใจให้สงบจากนิวรณ์ 5 ไม่ได้รู้มากมายก็ไร้ค่า******************************************
พราหมณ์แนวศาสนาอื่นกับแนวพุทธ ต่างกันอย่างไร
..
ถ้าเป็นแนวศาสนาอื่นหรือฮินดู ท่านให้ความหมายของพราหมณ์
ในความหมายของชนชั้นหรือชาติกำหนิด..............นี้ก็เป็นเรื่องของเขา(พุทธไม่เกี่ยว)
แต่ถ้าเป็นพุทธ พระพุทธองค์ให้ความหมายของพราหมณ์ไว้ดังนี้.......
วาเสฏฐสูตร.......(๗๐๗)-http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0
47463.กรรมและวิบาก เป็นตัวจักรขับให้ชีวิตสัตว์โลกดำเนินไป