ผู้เขียน หัวข้อ: พระสูตรสำคัญของมหายาน  (อ่าน 1853 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
พระสูตรสำคัญของมหายาน
« เมื่อ: มีนาคม 03, 2014, 07:50:55 pm »

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับมหายาน
พระสูตรสำคัญของมหายาน
มีอะไรบ้างแต่ละสูตรว่าด้วยเรื่องอะไร

          สำหรับพระสูตรของมหายานนั้นมีมากมาย แต่ละสูตรจะยาวมาก บางสูตรอ่านหลาย ๆ สัปดาห์จึงหมด เช่น มหาปรัชญาปารมิตา มีถึง 600 ผูกในสูตรเดียว อวตังสกมหาไพบูลยสูตรมี 80 ผูก ในที่นี้จะขอคัดรายชื่อพระสูตรสำคัญของมหายานมาพอสังเขป ดังนี้

1.วัชรปรัชญาปารมิตา
          พระวัชรปรัชญาปารมิตสูตรชั้นหลักอันสำคัญยิ่งสูตรหนึ่งของพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน พุทธมามกชนฝ่ายมหายาน ทั้งจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี ย่อมรู้จักคุ้นเคยกับพระสูตรนี้ได้ดี โดยเฉพาะในวงการพุทธบริษัทจีน ได้จัดพระสูตรนี้เป็นปาฐะที่จะต้องสวดสาธยายในงานพิธีศราทธพรต ดุจเดียวกับการสวดอภิธรรมของเรา ถ้าว่าโดยลักษณะของพระสูตรนี้ ก็จัดเข้าในหมวดปรัชญาปารมิตาในพระไตรปิฎกของลัทธิมหายาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสูตรหมวดปรัชญาปารมิตาที่สำคัญๆ อาทิเช่น มหาปรชญาปารมิตาสูตรก็ดี ไมตรีราชาโลกปาลสูตรก็ดี และวัชรปรัชญาปารมิตสูตร ฯลฯ ก็ดี

 ล้วนเป็นหลักธรรมสำคัญของลัทธิมหายานนิกายศูนยตวาทินหรือที่เรียกอีกนามหนึ่งว่า นิกายมาธยมิกะ อันมีพระนาคารชุนมหาเถราจารย์ชาวอินเดียใต้เป็นผู้ก่อกำเนินมนครั้งพุทธศตวรรษที่ 7 แต่วัชรปรัชญาปารมิตสูตร ใช่ว่าจะมีความสำคัญสำหรับนิกายศูนยตวิทินนิกายเดียวเท่านั้นก็หาไม่ แม้นิกายอื่นๆ ในลัทธิมหายาน เช่นนิกายวิชญาณวาทิน หรือโยคาจารย์ นิกายเซ็น นิกายเทียนไท้ นิกายฮั่วเงี้ยม และนิกายสุขาวดี ก็นับถือยกย่องพระสูตรนี้ คณาจารย์แห่งนิกายดังกล่าว ได้แต่งอรรถกถาแก้พระสูตรนี้ ตามคติแห่งิกายของตน นับตั้งแต่บุราณกาลจวบจนสมัยปัจจุบัน ยิ่งนิกายเซ็นด้วยแล้ว ก็ยิ่งบูชาพระสูตรนี้หนักหนา ถึงกับถือว่าวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรเป็นดุจกุญแจที่จะไขให้ผู้ปฏิบัติธรรมบรรลุถึงความเป็นพุทธโดยฉับพลัน (เสถียร โพธินันทะ, ชุมนุมพระสูตรมหายาน, สำนักพิพมพ์บรรณาคาร, 2516, 264-265)

           ปรัชญาปารมิตาสูตร จัดว่าเป็นพระสูตรดั้งเดิมที่สุด เป็นมูลฐานทฤษฎีว่าด้วยศูนยตา ปรัชญาปารมิตาสูตรนี้มีอยู่หลายคัมภีร์ด้วยกัน เช่น มหาปรัชญาปารมิตา อัษตสหัสริกปรัชญาปารมิตาหฤทยะ เป็นต้น พระสูตรนี้ได้แปลออกเป็นภาคจีนประมาณพ.ศ.713 ท่านกุมารชีพ แปลไว้หลายคัมภีร์ เช่นอัษตสหัสริกะ วัชรัจเฉทิกะอันเป็รคัมภีร์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดชาวจีนมากที่สุด วัชรัจเฉทิกะปรัชญาปารมิตาสูตร สอนว่า "ทกๆสิ่ง ทุกๆอย่างเป็นเพียงมายา เป็นเพียงปรากฏการณ์ และเป็นเพียงผลิตกรรมของจิตของเราเองเท่านั้น" แล้วลงท้ายด้วยคำว่า "สิ่งประกอบทั้งมวลเหมือนความฝัน ฟองน้ำ เงาหยาดน้ำค้าง แสงฟ้าแลบ" ส่วนในปรัชญาปารมิตาหฤทยะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สั้นที่สุด และเป็นหัวใจของพระสูตรชุดนี้ได้กล่าวถึงเรื่องของศูนยตาไว้โดยละเอียด อ่านดูได้จากลิงค์ในคำสอนมหายาน
          (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)
          http://www.mahayana.in.th/tmayana/vajraparmita.html
          http://www.agalico.com/board/archive/index.php/t-18675.html

วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร กับอนัตลักขณสูตร เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
           “คติธรรมในวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร นี้ ไม่มีอะไรพิสดารนอกเหนือกว่าคติธรรมในอนัตตลักขณสูตรฝ่ายบาลี เพียงแต่อนัตตลักขณสูตรพูดอย่างย่อๆ สั้น ๆ ไม่ละเอียดในเชิงวิจัย เช่นวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรเท่านั้น อย่างไรก็ตามทั้ง 2 พระสูตรนี้เป็นสูตรประกาศทฤษฎี “อนัตตา” หรือ “อนาตมา” ควมไม่มีตัวตนนั้นเป็นจุดเด่นพิเศษของพระพุทธศาสนาที่แตกต่างจากปรัชญาชั้นสูงของพราหมณ์ เช่นปรัชญาเวทานตะก็ดี ปรัชญาสางขยาก็ดี แม้จะสอนให้ละความยึดถือในสรรพสิ่งอื่นๆ มีร่างกายและวิญญาณเป็นต้น แต่ที่สุดก็ยังมี “อาตมัน” หรือ “พรหมาตมัน” คือตัวตนที่แท้จริง เหลืออยู่เป็นบรมสุขเป็นนิพพานในตัวของมันเอง หรือไปกลมกลืนกับสภาพอมตะอย่างใดอย่างหนึ่ง

 ส่วนพระพุทธศาสนาสอนให้รุดหน้าไปโดยการดับแม้ที่สุดความมีอยู่แห่งอาตมันนี้ด้วย เป็นการดับรอบขั้นสุดท้าย เพราะตราบใดที่ยังมี “ตัวเรา” ตราบนั้นก็ยังมี “ของ ๆ เรา” ตราบใดยังมี “ผู้รู้” ตราบนั้นก็ยังมี “สิ่งที่รู้” ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือว่ายังเป็นอาสวกิเลสชั้นสุขุมละเอียดอยู่ ไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เด็ดขาดเหมือนมีกองไฟอยู่ก็ย่อมมีความร้อนฉะนั้น หลักธรรมซึ่งปรากฏในวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรว่าโดยสรุปแล้วก็คือการปฏิเสธความมีอยู่แห่ง “ตัวตนหรือผู้รู้” และปฏิเสธความมีอยู่แห่ง “สิ่งที่รู้” กล่าวคือปฏิเสธอหังการและมมังการนั้นเอง (ชุมนุมพระสูตรมหายาน, เสถียร โพธินันทะ, สำนักพิพมพ์บรรณาคาร, 2516) หน้า 265-267

2. อวตังสกะสูตร
          อวตังสกะสูตร มหายานถือว่า เป็นพระสูตรที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ในขณะที่พระองค์เข้าสมาธิหรืออยู่ในสภาพธรรมกาย อวตังสกะสูตรนี้ ต้นฉบับแปลที่สมบูรณ์มีอยู่ 2 ฉบับคือ
          2.1 ฉบับที่แปลโดย ท่านพุทธภัทระ เป็นหนังสือ 60 เล่ม แปลในราชวงศ์ชินตะวันออก ในระหว่างปี พ.ศ.961-1063
          2.2 ฉบับแปลโดยท่านศึกษานันทะ ซึ่งได้แปลในสมัยราชวงศ์ถัง ระหว่างปี1238-1242 เป็นหนังสือ 80 เล่ม ในปี พ.ศ.1439-1440 ท่านปรัชญาได้แปลอีกฉบับหนึ่ง เป็นหนังสือ 40 เล่ม
          ใจความสำคัญของพระสูตรนี้คือ "เมื่อเราพิจารณาโลกในแสงจิตภาพของไวโรจนพุทธ พุทธที่สูงสุดหรือธรรมกาย เราเห็นโลกเต็มไปด้วยความแจ่มใสเห็นโลกแห่งแสงบริสุทธิ์แท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นหนึ่ง หนึ่งนั้นคือสัจสุงสุด พุทธะ จิต สรรพสัตว์ เป็นหนึ่ง"
           (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

3. คัณฑวยุหสูตร
          ในคัณฑวยุสูตรนี้ เป็นพระสูตรที่บรรยายการจาริกแสวงโมกษะธรรมของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ สุธนะ ซึ่งมีเรื่องอยู่ว่า
          สมัยหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าประทับ ณ เชตวนารามของอนาถปิณฑิกเศรษฐีท่ามกลางหมู่พระโพธิสัตว์ 500 ซึ่งมีพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นหัวหน้าพระโพธิสัตว์เหล่านั้น กำลังคอยฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์อยู่ แต่พระพุทธเจ้าทรงเข้าสมาธิเสีย พร้อมกับได้ทรงเนรมิตพระเชตวนารามให้ใหญ่โตอย่างหาขอบเขตมิได้ พระโพธิสัตว์จากสิบทิศได้พร้อมกันมาเฝ้าพระองค์และได้แต่งโศลกสรรเสริญพระองค์ พระพุทธเจ้าได้ทรงเปล่งรัศมีออกจากระหว่างขนตาส่องสว่านเห็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั่วทศทิศ เป็นเหตุให้ดวงใจของพระโพธิสัตว์ทั้งมวลเต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณา เพื่อจะบำเพ็ญประโยชน์ต่อสรรพสัตว์

          พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงได้ท่องเที่ยวสั่งสอนประชาชนในที่ต่างๆ ในสมัยหนึ่ง ในขณะที่กำลังสั่งสอนชาวประชาอยู่ในเมื่องหนึ่งของแคว้นธัญยการะ มีเด็กหนุ่มในตระกูลผู้มั่งคั่งคนหนึ่งชื่อ "สุธนะ" นั่งฟังธรรมอยู่ในที่ชุมนุนนั้นด้วย สุธนะฟังด้วยปรารถนาเพื่อศึกษา พระมัญชุศรีโพธิสัตว์จึงได้แนะนำแก่เขาว่า "ในการแสวงหาสัจธรรมนั้น เธอต้องแสวงหาเพื่อนที่แท้จริงคอยช่วยเหลือ จงไปทีภูเขามโยโฮประเทศโษรกุ ณ ที่นั้นเธอจะพบสครเมฆภิกษุ ท่านจะให้คำแนะนำที่ดีต่อเธอ
สุธนะจึงได้เดินทางไปพบสครเมฆภิกษุ ท่านก็ได้สั่งสอนแก่เขาอย่างกว้างขวางและแนะนำให้เขาไปหาเพื่อนคนอื่นๆต่อไปอีก โดยนั้นนี้ สุธนะจึงได้ไปเที่ยวหาสหายถึง 53 คน สุดท้ายได้ไปหาพระสมัตรภัทรโพธิสัตว์ อาศัยคำสั่งสอนของท่าน สุธนะจึงได้บรรลุธรรมธาตุสัจจะสูงสุด
          เล่มสุดท้ายของคัณฑวยุหสูตร ได้กล่าวถึงคำปฏิญาณของสุธนะและความปรารถนาของเขาในการที่ประสงค์ไปเกิดในสุขาวดียุหภพ คำสปฏิญาณของสุธนะมีดังนี้

          1 ขอนับถือพระพุทธะ
          2 ขอให้ได้สรรเสริญพระตถาคต
          3 ขอให้ได้ถวายของแต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
          4 ขอให้ได้ล้างบาปในอดีต
          5 ขอให้จงยินดีในบุญกรรม และความสุขของบุคคลอื่น
          6 ขอให้ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าสั่งสอนธรรม
          7 ขอให้ได้อาราธานาพระพุทธเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในโลก
          8 ขอให้ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อสั่งสอนแก่บุคคลอื่น
          9 ขอให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสรรพสัตว์
          10 ขอให้ได้บำเพ็ญต่อบุคคลอื่น (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

4. ทศภูมิกสูตร
           พระสูตรนี้ต้นฉบับเดิมที่เป็นภาษาสันสกฤตยังอยู่ครบสมบูรณ์ และมีฉบับแปล 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งแปลโดยท่านธรรมรักษ์ ซึ่งแปลในปี พ.ศ.840 และฉบับที่แปลโดยกุมารชีพ พระสูตรนี้ได้กล่าวถึงวัชรครรภะโพธิสัตว์ ได้บรรยายถึงข้อปฏิบัติ ที่จะทำให้บุคคลบรรลุความเป็นพระโพธิสัตว์ 10 ประการ คือ

          1 ปรมุทิตา ขั้นนี้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบารมี เฉลี่ยความสุขให้สรรพสัตว์
          2 วิมลา ขั้นนี้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี
          3 ปรภากวี ขั้นนี้พระโพธิสัตว์พิจารณาถึงสภาพอันแท้จริงของสิ่งทั้งหลาย แสวงหาธรรมเพื่อ ช่วยสัตว์ผู้ประสบทุกข์ โดยปฏิบัติบันติบารมีธรรม
          4 อริสมติ ขั้นนี้พระโพธิสัตว์ ขจัดความคิดอันผิดๆให้หมดสิ้นไป บำเพ็ญวิริยบารมี
          5 สุทุรชย ขั้นนี้พระโพธิสัตว์มีความรู้สมบูรณ์ ด้วยการปฏิบัติธยานบารมี

          6 อภิมุกต ขั้นนี้พระโพธิสัตว์ เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มชัดในทฤษฎีปฏิจจสมุปบาท เป็นขั้น
แห่งปรัชญาหรือปัญญาบารมี
          7 ทุรงคม ขั้นนี้พระโพธิสัตว์ เกิดความชำนาญในอุบายวิธีต่างๆแห่งปัญญา
          8 อจล ขั้นนี้พระโพธิสัตว์อยู่ในสภาพที่ไม่เกิดและไม่ตาย เกิดในพุทธศาสนา ยังภูมิแห่งพุทธ ของตนให้บริสุทธิ์ ปฏิบัติปรินามนบารมี
          9 ขั้นนี้พระโพธิสัตว์มีปรัชญาของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์เต็มที่สามารถสั่งสอนธรรม และปลุกสัตว์ให้ตื่นขึ้นจากอวิชชาเป็นขั้นที่บำเพ็ญพลบารมี
          10 ขั้นนี้พระโพธิสัตว์บรรลุขั้นสุดท้าย พระโพธิสัตว์มีอำนาจและลักษณะของพระพุทธทุกประการเป็นขั้นที่บำเพ็ญญาณบารมีธรรม
(http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

5 วิมลเกียรตินิทเทศสูตร
          ประวัติวิมลเกียตินิเทศสูตร พระสูตรนี้มีกำเนิดราวปลายพุทธศตวรรณที่ 5 เมื่อพระนาคารชุนรจนาอรรกถามหาปรัชญาปารมิตาสูตรก็ได้อ้างข้อความในวิมลเกียตินิเทสสูตรนี้หลายตอน เป็นที่น่าเสียดายว่า ต้นฉบัยสันสกฤตของพระสูตรนี้ ปัจจุบันหายสาบสูญค้นหาไม่พบแม้ในคัมภีร์ ศึกษาสมุจจัย ของพระสันติเทวะ (รจนาในราวพุทธศตวรรษที่ 13) ได้ยกข้อความในพระสูตรนี้มาอ้างไว้มากแห่ง ทำให้เราสามารถเห็นเค้าโครงพระสูตรนี้ในรูปสันสกฤต แต่ก็มิใช่พรสูตรนี้ทั้งสูตร อย่างไรก็ดี เป็นโชคดีของวรรณคดีพระพุทธศษสนามหายานที่ได้มีผู้แปลถ่ายทอดรักษาไว้ในพากย์จีนพากย์ธิเบตครั้งบุราณกาล เฉพาะวิมลเกียรตินิเทศสูตรในพากย์จีนแปลกันไว้ถึง 7 สำนวนด้วยกัน แต่เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันเพียง 3 สำนวนเท่านั้น คือ

          1. ฉบับแปลของอุบาสกจีเหลียน ในพุทธศตวรรษที่ 7
          2. ฉบับแปลของพระกุมารชีพ ในพุทธศตวรรษที่ 9
          3. ฉบับแปลของพระสมณเฮี่ยงจัง ในพุทธศตวรรษที่ 11
( เสถียร โพธินันทะ, ชุมนุมพระสูตรมหายาน, สำนักพิพมพ์บรรณาคาร, 2516, ธ-น)

          พระสูตรนี้นิกายเซ็นชอบและนิยมเป็นที่สุด ในพากย์จีนมีอยู่หลายฉบับ แต่ปัจจุบันมีอยู่ 3 ฉบับ ในญี่ปุ่นมีอรรถกถาอธิบายความในพระสูตรนี้เกือบทุกนิกาย ความในพระสูตรนี้เล่าว่า
          ครั้งหนึ่ง วิมลเกียรติโพธิสัตว์ มิได้ไปร่วมประชุมเพราะป่วย พระพุทธองค์จึงสั่งให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายไปถามข่าวเกี่ยวกับความเจ็บไข้ของวิมลเกียรติโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็อิดเอื้อนไม่อยากไป โดยอ้างเหตุว่า ตนเองมีค่าไม่สมควรจะไปให้คำแนะนำแก่วิมลเกียรติโพธิสัตว์ ตกลงพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นผู้ไปและได้ถามถึงสุขภาพของวิมลเกียรติโพธิสัตว์ ท่านได้ตอบด้วยคำพูดที่น่าจับใจว่า "ความเจ็บไข้ของพระโพธิสัตว์เกิดจากมหากรุณา และมีอยู่ในเวลาที่สรรพสัตว์ยังคงมีอวิชชา เมื่อใดความป่วยของสรรพสัตว์หมดสิ้นไปแล้ว เมื่อนั้นความป่วยไข้ของข้าพเจ้าจะหมดไปด้วย ข้าพเจ้าป่วยก็เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายป่วย

          จุดเด่นของวิมลเกียรตินิทเทศสูตรอยู่ตรงที่ว่า การจะเป็นพระโพธิสัตว์และดำรงชีวิตตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นพระภิกษุ ใครๆก็อาจปฏิบัติได้เหมือนกันหมด พีชแห่งความเป็นพุทธอาจค้นพบได้ จนกระทั่งในชีวติแก่งตัณหา ความหมายอันแท้จริงของสูตรนี้ก็คือการค้นหาความเป็นพุทธในตัวเอง ซึ่งเต็มไปด้วยตัณหานานาประการให้พบแล้วทำตัวให้บริสุทธิ์

6. ศูรางคมสมาธิสูตร
          พระสูตรนี้อ้างถึงความสำคัญของการบำเพ็ญสมาธิว่า เป็นมูลเหตุให้บรรลุการตรัสรู้ ความเป็นพระโพธิสัตว์และสัจธรรม ฉบับแปลมีถึง 9 ฉบับแต่สูญหายไปหมดแล้วเหลือเพียงฉบับเดียวที่กุมารชีพแปลเท่านั้น
          สุรางคมสมาธิสูตรได้กล่าวว่า พระสถิรมติโพธิสัตว์ได้เป็นผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระโพธิสัตว์ผุ้ปรารถนาชีวิตแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์หากแต่ยังไม่ต้องการจะเข้าสู่นิรวาณควรจะปฏิบัติอย่างไรดี พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ควรบำเพ็ญสมาธิ
(http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

7. สัทธรรมปุณฑริกสูตร
          พระสูตรที่สำคัญพระสูตรหนึ่งซึ่งนิกายมหายานในจีนและญี่ปุ่นนับถือกันมาก ฉบับแปลภาษาจีนเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 3 ฉบับ คือ
          1 ฉบับแปลของท่านธรรมรักษ์ แปลในปี พ.ศ.829
          2 ฉบับแปลของท่านกุมารชีพ แปลในปี พ.ศ.949
          3 ฉบับแปลของท่านจิสันคุปตะและท่านคุปตะ แปลในปี พ.ศ.1144

ฉบับแปลทั้ง 3 ถือว่าฉบับที่ท่านกุมารชีพแปลเป็นฉบับที่ดีที่สุด ใจความของพระสูตรโดยย่อมีว่า
          ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฎ ท่ามกลางพระภิกษุ พระโพธิสัตว์ เทวดาและสัตว์อื่นๆ เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมจบแล้วก็เข้าสมาธิและแผ่รัศมีไปยังโลกทางทิศตะวันออก เมื่อพระองค์ออกจากสมาธิ ได้ตรัสบอกแก่พระสารีบุตรว่า เหตุที่พระองค์ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ด้วยอุบายวิธีต่างๆกัน เนื่องด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ที่มีต่อสรรพสัตว์ คำสั่งสอนอันแท้จริงของพระตถาคตนั้นมีเพื่อหนึ่งเดียวเท่านั้นคือเพื่อสรรพสัตว์ แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าเรื่องบิดาได้ช่วยบุตร 3 คนออกจากเรือนแล้ว ก็ได้พบรถอันสวยงามคันหนึ่ง เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า พระตถาคนได้ช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากไตรโลกอันเป็นเสมือนหนึ่งเรือนไฟไหม้ โดยอาศัยวิธีต่างๆสั่งสอน แต่จุดมุ่งหมายเป็นอันเดียวกันหมดคือเพื่อสรรพสัตว์

          ในบทที่ 25 ที่เรียกว่าสมันตมุขนั้น ได้กล่าวสรรเสริญพระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ กล่าวถึงว่า การที่พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์มีกายถึง32 กาย ก็เพื่อประโยชน์ในการรับใช้สรรพสัตว์
          (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)
          http://www.mahayana.in.th/tmayana/สัทธรรมปุณฑรีกะ.html
          http://www.mahaparamita.com/Sutra/MiaoHuaLianHuaJingGuanYinPin.pdf

มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พระสูตรสำคัญของมหายาน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 03, 2014, 07:59:53 pm »
ต่อค่ะ...

8. ศรีมาลาเทวีสูตร
          ผู้แปลพระสูตรนี้คือ ท่านคุณภัทระ พ.ศ.863-1022 และท่านโพธิรุจิ พ.ศ.1051-1078 พระสูตรมีใจความว่า
          พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสพยากรณ์แห่งหญิงผู้หนึ่งคือ เจ้าหญิงศรีมาลาเทวีว่า "เมื่อเธอเข้าใจธรรมชาติอันแท้จริงของตถาคตแล้ว เธอจะตั้งบริสุทธิภูมิอันสูงสุดขึ้น" เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์เช่นนี้ เจ้าหญิงศรีมาลาเทวีจึงได้ตั้งสัตย์ปฏิญานไว้ 10 ประการคือ

          1 จะไม่ล่วงละเมิดพระวินัย
          2 จะไม่เป็นคนหยิ่งยะโส
          3 จะไม่ขอโกรธเคืองกับใคร
          4 จะไม่เป็นคนอิจฉา
          5 จะไม่เป็นคนริษยา

          6 จะไม่รักใคร่สสารวัตถุใดๆ
          7 ขอปฏิบัติคุณธรรม 8 คือ ให้ทาน ปิยวาจา กระทำประโยชน์และร่วมมือกับบุคคลอื่น กับทั้งขอให้ได้ดำรงอยู่ในสภาพที่ไม่มีความเกาะเกี่ยวใดๆ
          8 ขอให้ได้ปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายออกจากความทุกข์
          9 คัดค้านการล่วงละเมิดพระวินัย
          10 รักษาธรรม

นอกจากนี้ เจ้าหญิงศรีมาลาเทวียังได้กล่าวอธิบายว่า มีบุคคล 3 ประเภทเท่านั้นที่เข้าสู่วิถีของมหายาน
          1 บุคคลผู้บรรลุธรรมปัญญาอันลึกซึ้งโดยตนเอง
          2 บุคคลผู้ยังธรรมแห่งความเชื่อฟังให้สมบูรณ์
          3 บุคคลผู้ถึงแม้จะไม่เข้าใจปัญญาแต่เชื่อมั่นในพระตถาคต
          (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

9. พรหมชาลสูตร
          พระสูตรนี้ ท่านกุมารชีพ ได้แปลไว้ในปี พ.ศ.949 เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยวินัยของมหายานทุกนิกาย
วินัยของมหายานนั้น มีอยู่ 10 ประการคือ
          1 อย่าฆ่าสัตว์
          2 อย่าลักทรัพย์
          3 อย่าละเมิดบุตรภรรยาบุคคลอื่น
          4 อย่าพูดคำเท็จ
          5 อย่าดื่มน้ำเมา
          6 อย่ากล่าวคำผิดของบุคคลอื่น
          7 อย่าสรรเสริญตัวเอง
          8 อย่าเป็นคนอิจฉาริษยา
          9 อย่าเป็นคนอกตัญญู
          10 จงสรรเสริญพระไตรรัตน์
          พุทธบุตรต้องถือว่า ชายทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งบิดาของเขา สตรีทุกคนเป็นมารดาของเขา เพราะว่าคนเหล่านี้ในอดีตเคยได้เป็นมารดาบิดาของตนมาแล้วถ้าหากว่าคนเหล่านี้ ก็เท่ากับฆ่ามารดาบิดาของตนเอง

10. สุขาวดีวยุหสูตร
          ในยุคของท่านคุรุนาคารชุน มีแนวคิดเรื่องภพหน้าปรากฏในนิกายบริสุทธิภูมิ หรือกายสุขาวดี 3 ประการด้วยกัน คือ
          1 เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตของพระศรีอารย์
          2 เกิดในภูมิตะวันออกของพระอักโษภยะ
          3 เกิดในภูมิตะวันตกของพระอมิตาภะ
          มหาสุขาวดีวยุหสูตรนี้ ชีเกา กับ โลกักเษมะ ได้เป็นผู้นำเข้าสู่ประเทศจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 7 ต่อจากนั้นมา ก็ได้มีการแปลออกเป็นพากษ์จีนหลายครั้ง กุมารชีพได้แปลไว้เมื่อปี พ.ศ.1008 เรียกชื่อว่า อนุสุขาวดีวยุหสุตร ท่างสิงหวรมัน ได้แปลไว้อีกในปี พ.ศ.1565

          ในคัมภีร์สุขาวดีวยุหสูตรเล่าว่า พระพุทธเจ้าได้สนทนากับพระอานนท์ถึงเรื่องพระภิกษุธรรมการะว่า ต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นพระอมิตาภพุทธเจ้า พระภิกษุธรรมการะนี้ ได้ตั้งสัตย์ปฏิณาณไว้ว่า จะยังไม่ขอบรรลุความเป็นพระโพธิสัตว์ จนกว่าจะได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์หมดแล้วจึงจบรรลุ จึงได้ตั้งปริสุทธิภุมิหรือแดนสุขาวดีขึ้น เพื่อรับรองดวงวิญญาณของบุคคลผู้ที่จะไปเกิดในภพนี้ ผู้ที่จะไปเกิดในสุขาวดีภพได้ ต้องมีความเชื่อมั่นในพระอมิตาภพุทธเจ้า ในเวลาตายก็ให้ระลึกถึงชื่อของพระอมิตาภพุทธเจ้าไว้
          (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)
          http://mahaparamita.com/Sutra/WuLiangShouJueJing.pdf
          http://www.mahayana.in.th/tmayana/sukhavati.html
          http://www.mahaparamita.com/Sutra/WuLiangShouJueJing.pdf

11. ตถาคตครรภสูตร
          พระสูตรนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า "มหาไพบูลยตถาคตครรภสูตร" มีผู้แปลออกสู่พากย์จีนเมื่อปี พ.ศ.893-974 คำว่า "ตถาคตครรภ" มีปรากฏอยู่ในทศภูมิกสูตรก่อน ในพระสูตรได้อธิบายไว้ว่าตถาคตครรภนั้นก็คือพุทธภาวะ กล่าวคือจิตของคนธรรมดานั้นแม้จะถูกหุ้มห่อด้วยกิเลส แต่ภายในก็ยังมีภาวะเท่ากับพระตถาคตเจ้า และทั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับโลกนี้จะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาปรากฏให้เห็นนั้น ก็เพื่อจะให้สัตว์โลกทราบถึงข้อนี้ คือจะให้ทราบว่า สัตว์โลกมี "พีช"ของ "พุทธ"อยู่แล้ว

พระสูตรนี้แม้จะกล่าวว่า จิตมีความเป็นพุทธโดยกำเนิดแล้ว แต่ไม่ได้อธิบายถึงคุณลักษณะของตถาคตครรภ และตถาคตครรภนี้ มีความสัมพันธ์กับกิเลสอย่างไร รวมทั้งความสัมพันธ์กับการเวียนว่ายตายเกิดด้วย พระสูตรนี้จึงควรสันนิษฐานว่า เป็นพระสูตรแรก
(http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

12. อสมปูรณอนุสูตร
          พระสูตรนี้ไม่ทราบผู้ใดแปลสู่พากย์จีน ความในพระสูตรนี้ถือว่า สัตว์โลกย่อมเกิดดับอยู่ใน "ธรรมธาตุ" ขณะที่สัตว์โลกมีความหลงผิดอยู่ ก็ไม่มีอะไรเป็นการเพิ่ม ในขณะที่สัตว์โลกนั้น เห็นแจ้ง แล้วก็ไม่มีอะไรทีได้ลดหย่อนไป นีคือความหมายของคำว่า ไม่เพิ่มไม่หย่อน คือไม่มีการเพิ่มเติมหรือลดหย่อนในทางจิตที่กำลังหลงผิดอยู่หรือเห็นแจ้งอยู่

พระสูตรนี้สรุปว่า สัตว์โลกธาตุ คือตถาคตครรภ และตถาคตครรภ คือธรรมกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สมบูรณ์โดยไม่มีอะไรเพิ่มและไม่มีอะไรหย่อนไป ฉะนั้นสัตว์โลกธาตุซึ่งมีธรรมกายนี้ เป็นภาวะแห่งปรมัถธรรม ไม่เกิด ไม่ดับ แต่เนื่องด้วยเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสัตว์โลกธาตุ จึงแสดงออกเป็นความหลงผิดหรือเป็นความเป็นแจ้งที่สัตว์โลกมีความหลงผิดหรือเห็นแจ้งนั้น เนื่องจาก
          1 ปรับจิตให้เข้ากับตถาคตครรภ ประกอบการที่เป็นวิสุทธิธรรม
          2 ไม่ปรับจิตให้เข้ากับตถาคตครรภ ประกอบการที่เป็นกิเลส
          (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

13. มหาปรินิรวาณสูตร
          พระสูตรนี้ท่านธรรมรักษ์ แปลไว้เมื่อปี พ.ศ.960 พระสูตรนี้ได้บรรยายถึงว่า แนวคิดของตถาคตครรภหรือพทธภาวะของพระสูตรต่างๆดังกล่าวล้วนแต่เป็นการค้นหาความสำเร็จในความเป็นพุทธโดยสัญชาตญาณอันมีมาแต่เก่าก่อน ซึ่งเป็นการเริ่มจากตรรกวิทยาหรือจิตวิทยา ส่วนที่พระองค์ยังคงสถิตอยู่ ซึ่งถือว่าเอาพระธรรมของพระองค์เป็นการสถิตอยู่ของพระองค์นั้นทัศนะแบบนี้เป็นแต่เพียงการนำเอาพระธรรมของพระองค์ มาเป็นจุดที่จะให้ระลึกถึงบุคลิคของพระองค์เท่านั้น ไม่เป็นการเพียงพอสำหรับศาสนา ฉะนั้นพระสูตรนี้จึงถือเอาพระองค์ในประวัติศาสตร์เป็นพระองค์ที่ยังทรงสถิตอยู่

          พระสูตรนี้ ขยายความจากนิพพานของเถรวาทมารวมกับแนวคิดของมหายานที่แตกต่างกับพระสูตรอื่นนั้น ความจริงหลักธรรมเป็นแนวทางที่จะละความหลงไปสู่ความเห็นแจ้งเพื่อความหลุดพ้น แต่ความหลุดพ้นอันอาศัยการละความหลงไปสู่การเห็นแจ้งนั้น มีอยู่ทางเดี่ยว คือด้วยจิตของเรา ที่ว่าตถาคตครรภ พุทธจิต ธรรมกาย พุทธกายหรือนิพพานก็ตาม ล้วนเป็นการสังเกตุจากจิต

พระสูตรนี้ถือว่า การนิพพานของพระองค์ ไม่เป็นแง่ลบตามที่เคยเข้าใจกันแต่เป็นการแสดงออกของ "ความใหญ่ยิ่งของมหาอัตต" เป็นนิจจัง เป็นสุข เป็นวิสุทธิ แม้พระวรกายที่เราเห็นจะดับไปก็ตาม แต่พระวรกายที่แท้จริงยังคงมีอยู่ และพระวรกายที่แท้จริงนี้ มีอยู่เพื่อจะโปรดสัตว์ จึงได้บันดาลให้เกิดเป็นนิรมานกายและสัมโภคกาย
          จากแนวคิดพระวรกายยังสถิตย์อยู่ ดำเนินมาถึงพระวรกายในประวัติศาสตร์ก็ยังคงสถิตย์อยู่นั้น เริ่มด้วยสัทธรรมปุณฑริกสูตร ต่อด้วยพระสูตรนี้แล้วถูกขยายไปอีกในสุวรรณประภาสูตร

          พระสูตรนี้ เริ่มด้วยการถือว่า สัตว์โลกมีพุทธภาวะอยู่ทั้งสิ้น จบลงด้วยการถือว่า พระองค์ทรงสถิตย์อยู่เป็นนิตย์ เมื่อเช่นนี้ก็เป็นอันรับรองว่าสัตว์โลกจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ทั้งสิ้น ความจริงตามแนวคิดของสายตถาคตครรภ แม้จะยืนยันว่าสัตว์โลกบรรลุถึงพุทธภูมิได้ทั้งสิ้น แต่ก็มีข้อแม้ว่าประเภทอิจฉันติกะสำเร็จไม่ได้ แต่พระสูตรนี้รับรองว่าอิจฉันติกะก็จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด เพราะว่า อิจฉันติกะแม้จะไม่ประกอบกุศลกรรม แต่พุทธภาวะที่มีอยู่เป็นกุศลกรรม เมื่อมีพุทธภาวะย่อมต้องบรรลุในพุทธภาวะถึงพุทธภูมิได้ในวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน
          แนวคิดดังกล่าว แม้จะไม่ใช่สูตรนี้สร้างขึ้นทั้งหมด แต่เนื่องจากเป็นพระสูตรใหญ่จึงเป็นการสนับสนุนให้หลักธรรมเหล่านี้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเป็นสาระสำคัญของพุทธศาสนาในอินเดีย รวมทั้งมีอิทธิพลมากในจีนด้วย

14. สันธินิรโมจนสูตร
           พระสูตรนี้เป็นพระสูตรเก่าแก่พระสูตรหนึ่ง ซี่งท่านเฮี่ยงจัง(พระถังซัมจั่ง)ได้แปลออกมา เป็นคัมภีร์หลักของนิกายธรรมลักษณ์
พระสูตรนี้ถือว่า สรรพธรรมในโลกธาตุ ล้วนเกิดจากจิต แต่จิตนี้ได้ให้กำเนิดแก่โลกได้อย่างใด โลกจึงมีสภาพเช่นนี้ ต่างไม่ได้อธิบายให้ชัด คงถือว่าเนื่องมาจากอวิชชา โลกอันเป็นความหลงนี้จึงเกิดขึ้น หากจิตบริสุทธิ์สุขาวดีก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน

           อวิชชานั้น ต่างถือว่าเป็น "มูลอวิชชา" ส่วนจิตที่บริสุทธิ์(สัทจิต) ต่างรับรองว่ามีพุทธภาวะอยู่และเป็นตถาคตครรภ เมื่อเช่นนี้ อวิชชากันสัทจิตมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และร่วมกันแสดงออกซึ่งโลกนี้ได้ด้วยประการใดยังไม่เป็นการอธิบายและที่สุด ก็เกิด "วิญญาณมาตรา"(ด้วยวิญญาณเท่านั้น) ขึ้น เพื่ออธิบายในเรื่องเหล่านี้

          หลักธรรมวิญญาณมาตรา สำเร็จด้วยพระอสังคะ พระวสุพันธุและพระคณาจารย์อีกหลายท่าน แต่มีรากฐานมาจากพระสูตรนี้ทั้งสิ้น พระสูตรนี้เป็นหลักธรรมของนิกายธรรมลักษณ์ หรือที่เรียกว่า นิกายโยคาจาร
          แนวคิดพิเศษของพระสูตรนี้ ได้แก่การเพิ่มวิญญาณ6 ให้เป็นวิญญาณ 8 คือเพิ่มอาลยวิญญาณ(วิญญาณที่ทำหน้าที่สะสม) หรืออทานวิญญาณเป็นวิญญาณที่ 7 แต่ต่อมาได้ถือเอาอาลยวิญญาณเป็นวิญญาณที่ 8 ส่วนอทานวิญญาณเป็นวิญญาณที่ 7 และเปลี่ยนชื่อว่า มนัสวิญญาณซึ่งทำหน้าที่ยึดมั่นในความมีตัวตน

          พระสูตรนี้กล่าวคาถาในแรกเริ่มว่า "วิญญาณมีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง มีพีชะทั้งหลาย ไหลหลั่งอย่างกระแสน้ำเชี่ยว เราไม่แสดงต่อคนที่โง่เขลาเพราะเกรงว่าชนเหล่านั้น จะยึดวิญญาณนี้เป็นตัวตน(อัตตา) และได้อธิบายว่า ที่เรียกว่าอทานวิญญาณนั้น ก็เพราะวิญญาณนี้สามารถสะสมเก็บรักษาบรรดาพีชะได้ กล่าวคือ อาลยวิญญาณนั้น คือสภาพแห่งจิตอยู่ภายในมนัสวิญญาณ ไหลหลั่งเป็นกระแสเหมือนกระแสน้ำเป็นเหตุที่สร้างสรรพธรรมขึ้น และเก็บสะสมประสบการณ์ทั้งหลายไว้ เป็นหลักในการเวียนว่ายตายเกิดและก็เป็นหลักในการที่จะเห็นแจ้งด้วย

          พระสูตรนี้ได้สร้าง "ไตรลักษณ์" ขึ้น เป็นการแยกสรรพธรรมทั้งหลายเป็น 3 ประเภท
          ปริกัลปปิตะลักษณะ(ภาพที่เห็นตามความหลงผิด) คือความหลงผิด ความเผลอ หรือสัญญาวิปลาสเห็นผิดไปจากความจริง เช่นเห็นเชือกเป็นงู แล้วก็หวั่นกลัวไปเอง
          ปรตันตรลักษณะ(ภาพที่เห็นตามที่เกิดขึ้น เป็นการเห็นในสิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย เป็นความรู้ทั่วไปหรือความรู้ทางวิทยศาสตร์ เช่นเห็นเชือกเป็นเชือกและรู้ว่าเชือกนั้นทำด้วยอะไร
          ปรินิษปันลักษณะ(ความที่เห็นตามความสมบูรณ์ที่แท้จริง) เป็นการเห็นตามตถตา(เป็นเช่นนั้น) เป็นสมภาค(เสมอภาค)

          การแยกประเภทดังนี้ ก็คือการเห็นที่เป็นความเท็จกับการเห็นที่เป็นความจริงเท่านั้น
          ลักษณะทั้ง 3 นี้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะใด ย่อมปราศจากจิตไม่ได้ ลักษณะอันเกิดจากการยึดผิด เป็นอาเวคภาค(ภาพภายนอก)ของจริง ไม่มีภาวะที่แท้จริงลักษณะที่เกิดจากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย ก็เป็นสิ่งที่เกิดจากจิต ไม่มีภาวะที่แท้จริง ส่วนลักษณะอันเป็นตถตา ก็เป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยอันเกิดจากสัทจิตปราศจากจิตแล้วต่างไม่มีภาวะแท้จริงแห่งตน ฉะนั้น หลักธรรมของนิกายวิญญาณมาตรานี้ ก็มีสูญเป็นที่สุดเช่นกัน

          อริยสัจ 4 ซึ่งพระองค์ตรัสไว้ในแรกเริ่มนั้น เป็นหลักธรรมของสาวกยาน เป็นสูตรประเภทปริยายธรรม คือการแสดงธรรมโดยทางอ้อม ยังไม่สิ้นเนื้อหาของธรรมต่อมาพระองค์ ได้แสดงถึงสรรพธรรมปราศจากภาวะแห่งตน ไม่มีการเกิดดับ มีความสงบแต่แรกเริ่ม เป็นนิพพานโดยภาวะแห่งตนเพื่อประทานแก่บรรดาโพธิสัตว์ แต่ก็ยังไม่สิ้น ขอบเขตของพระธรรม สูตรนี้ได้ปรรยายถึงลักษณะ 3 และการปราศจากภาวะแห่งตน เป็นการแสดงธรรมแก่ยานทั้ง 3 เป็นเจตจำนงของพระองค์อย่างสมบูรณ์ สูตรนี้เป็นสูตรล่าสูตรของมหายาน และปรากฏขึ้นในฐานะเป็นวิญญาณมาตรานิกาย อันเป็นนิกายใหม่ ไม่รวม 3 ยาน อย่างที่ สัทธรรมปุณฑริกสูตร แต่กลับแยกเป็น 3 ยาน สูตรนี้มาในรูปที่ควรเป็นศาสตร์มากกว่าที่จะเป็นสูตร           (http://www.mahayana.in.th/buddhism/mahayan.html)

15. ลังกาวตารสูตร
          ลังกาวตารสูตร เป็นพระคัมภีร์หลัก (Text) ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นหนึ่งในเก้าคัมภีร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ สำคัญที่เรียกว่าสูตร สูตรหนึ่งนั้นมิใช่สั้นๆ เช่นที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นหนังสือเล่มขนาดใหญ่หรือคัมภีร์หนึ่งนั่นเอง ลังกาวตารสูตรพิมพ์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อ ค.ศ. 1922 โดยท่าน Bunyin Nangio. M.A. (oxon) D. Litt.Kvoto. สูตรนี้แปลเป็นภาษาจีนครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.433 โดยท่านคุณภัทระ แห่งอินเดีย เป็นครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ. 513โดยท่านโพธิ รุจิ แห่งอินเดีย และครั้งที่สามเมื่อ ค.ศ. 700 โดยท่านศึกษานันทะ แห่งอินเดียเหมือนกัน เป็นสูตรว่าด้วยศึกษาธรรมล้วน

           ภาคที่แปดแห่งลังกาวตารสูตรนี้ กล่าวถึงเรื่องการกินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะ เรียกว่า ภาคมางสภักษนปริวรรต จากข้อความในภาคนี้ ย่อมเป็นการพิสูจน์ไว้อย่างเต็มที่ว่า สาวกในพระพุทธศาสนา จะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาสก็ตาม จะไม่ รับประทาน เนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเลย ต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอน ซึ่งตัดตอนมาจากข้อความในภาคนั้น โดยเห็นว่าพวกเราแม้เป็นฝ่ายเถรวาท (หินยาน) ก็ควรได้อ่านฟังกันไว้บ้าง เป็นการประกอบการศึกษาเรื่องนี้ด้วยใจอันเป็นอิสระ ข้อความในพระสูตรนั้นมีดังนี้
          "พระตถาคตเจ้าผู้ทรงอรหันต์ ได้ตรัสรู้อย่างถูกถ้วนแล้ว และได้ตรัสความเป็นกุศลหรืออกุศลแห่งการ บริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา เพื่อว่าเราและสาวกอื่นๆ ในพระพุทธศาสนาในปัจจุบันและอนาคต จะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้แก่เขาเหล่าโน้น ผู้บริโภคเนื้อสัตว์เพื่อเป็นการทำลายความอยากในเนื้อสัตว์ของเขาเหล่านั้นๆ เสีย"
          (http://www.skn.ac.th/skl/project/budis79/test.htm)

นานาสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนา
-http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/mahayana28.htm

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พระสูตรสำคัญของมหายาน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2016, 08:20:51 am »
พระวินัยลัทธิมหายาน
เสถียร โพธินันทะ

ลัทธิมหายานมิได้มีภิกขุปาฎิโมกข์เป็นเอกเทศ คงปฏิบัติวินัยบัญญัติตามพระปาฏิโมกข์ของฝ่ายสาวกยาน แต่มีแปลจากฝ่ายสาวกยานคือ โพธิสัตว์สิกขา เพราะลัทธิมหายานสอนให้มุ่งพุทธภูมิ บุคคลจึงต้องประพฤติโพธิจริยา มีศีลโพธิสัตว์เป็นที่อาศัย วินัยโพธิสัตว์นี้ สาธารณะทั่วไปแม้แก่ฆราวาสชนด้วย มีโพธิสัตว์กุศลศีลสูตร ๙ ผูก พุทธปิฎกสูตร ๔ ผูก พรหมชาลสูตร (ต่างฉบับกับบาลี) ๒ ผูก โพธิสัตว์ศีลมูลสูตร ๑ ผูก และอื่นๆ อีก พึงสังเกตว่าเรียกคัมภีร์เหล่านี้ว่า “สูตร” มิได้จัดเป็นปิฎกหนึ่งต่างหาก

อรรถกถาพระสูตรของคันถรจนาจารย์อินเดีย
มี ๓๓ ปกรณ์ เช่น มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ ๑๐๐ ผูก แก้คัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ทศภูมิวิภาษาศาสตร์ ๑๕ ผูก สัทธรรมปุณฑริกสูตรอุปเทศ ๒ ผูกเป็นอาทิ.

อรรถกถาพระสูตรของคันถรจนาจารย์จีน
มี ๓๘ ปกรณ์ เช่น อรรถกถาพุทธาวตํสกมหาไพบูลยสูตร ๖๐ ผูก และปกรณ์ประเภทเดียวกันอีก ๕ คัมภีร์ นอกนั้นมีอรรถกถาลังกาวตารสูตร ๘ ผูก อรรถกถาวิมลกีรตินิทเทศสูตร ๑๐ ผูก อรรถกถาสุวรรณประภาสสูตร ๖ ผูก อรรถกถาสัทธรรมปุณฑริกสูตร ๒๐ ผูก อรรถกถามหาปรินิรวาณสูตร ๓๓ ผูก เป็นอาทิ.

ปกรณ์วิเศษของคันถรจนาจารย์อินเดีย
มี ๑๐๔ ปกรณ์ เช่นโยคาจารภูมิศาสตร์ ๑๐๐ ผูก ปกรณารยวาจาศาสตร์การิกา ๒๐ ผูก มหายานอภิธรรมสังยุกตสังคีติศาสตร์ ๑๖ ผูก มหายานสัมปริครหศาสตร์ ๓ ผูก มัธยานตวิภังคศาสตร์ ๒ ผูก เหตุวิทยาศาสตร์ ๑ ผูก มหายานศรัทโธตปาทศาสตร์ ๒ ผูก มาธยมิกศาสตร์ ๔ ผูก ปรัชญาประทีปศาสตร์ ๑๕ ผูก มาธยมิกนยายศาสตร์ ๒ ผูก ศตศาสตร์ ๒ ผูก มหายานานวตารศาสตร์ ๒ ผูก มหายานโพธิสัตว์ศึกษาสังคีติศาสตร์ ๑๑ ผูก มหายานสูตราลังการ ๑๕ ผูก ชาตกมาลา ๑๐ ผูก มหาปุรุษศาสตร์ ๒ ผูก สังยุกตอวทาน ๒ ผูก ทวาทศทวารศาสตร์ ๑ ผูก นอกนั้นก็เป็นปกรณ์สั้นๆ เช่น วิชญาณมาตราตรีทศศาสตร์ วีศติกวิชญาณมาตราศาสตร์ อลัมพนปริกษศาสตร์ อุปายหฤทัยศาสตร์ หัตถธารศาสตร์ วิชญาณประวัติศาสตร์ วิชญาณนิทเทศศาสตร์ มหายานปัญจสกันธศาสตร์ เป็นอาทิ.

ปกรณ์วิเศษของคันถรจนาจารย์จีน

มี ๑๔ ปกรณ์เป็นคัมภีร์ประเภทฎีกาแก้ปกรณ์วิเศษรจนาโดยคันถรจนาจารย์อินเดีย มี ๑๑ ปกรณ์ รจนาโดยคันถรจนาจารย์จีนมี ๑๘ ปกรณ์ คัมภีร์ปกิณณกคดีที่อธิบายหลักธรรมบ้าง ที่เป็นประวัติบ้าง ของคันถรจนาจารย์อินเดียรวบรวมไว้ก็ดี รจนาขึ้นใหม่ก็ดี มีทั้งของฝ่ายพาหิรลัทธิด้วย รวม ๕๐ ปกรณ์ อาทิเช่น พุทธจริต ๕ ผูก ลลิตวิสตระ ๒๐ ผูก นาคเสนภิกษุสูตร (มิลินทปัญหา) ๓ ผูก อโศกอวทาน ๕ ผูก สุวรรณสัปตติศาสตร์ ของลัทธิสางขยะ ๓ ผูก และไวเศษิกปทารุถศาสตร์ของลัทธิไวเศษิก ๑ ผูก เป็นต้น

ส่วนปกรณ์ปกิณณกคดีประเภทต่าง ๆ ของนิกายมหายานในประเทศจีน มีนิกายเทียนไท้ นิกายเฮี่ยงซิ้ว นิกายเซ็น นิกายสุขาวดี นิกายวินัยกับนิกายอื่น ๆ อีก รวมทั้งประเภทประวัติศาสตร์ และจดหมายเหตุที่รจนารวบรวมไว้ โดยคันถรจนาจารย์จีน มีประมาณ ๑๘๖ ปกรณ์ ปกรณ์เหล่านี้ มีทั้งชนิดยาวหลายสิบผูก และชนิดสั้นเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ.

ความสำเร็จแห่งพระไตรปิฎกฉบับจีน ดังพรรณนามา เกิดจากความวิริยะ อุตสาหะ ของท่านธรรมทูตทั้งหลายผู้ภักดีศาสนา ซึ่งมีทั้งที่เป็นชาวอินเดีย ชาวอาเซียกลาง และชาวจีน ได้แปลถ่ายจากภาษาสันสกฤตออกเป็นภาษาจีน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายดายเลย อักษรศาสตร์สันสกฤต และอักษรศาสตร์จีน มีความยากลึกซึ้งขนาดไหน และมีลีลาแตกต่างกันในเชิงไวยากรณ์ขนาดไหน ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ศึกษาอักษรศาสตร์ทั้ง ๒ ชาตินั้นแล้ว

ยิ่งในการแปลนี้ เป็นการถ่ายทอดปรมัตถธรรมของพระศาสนา อันมีอรรถรสสุขุมล้ำลึกนักหนา ก็ยิ่งทวีความยากเย็นขึ้นอีกหลายเท่าทวีคูณ แต่บรรดาท่านธรรมทูตเหล่านั้นก็พยายามบากบั่นผลิตงานของท่านขึ้นสำเร็จจนได้ ควรแก่การเคารพสรรเสริญของปัจฉิมาชนตาชน อย่างยอดยิ่ง

เราพอจะแบ่งระยะกาลแปลคัมภีร์อย่างกว้าง ๆ ได้ ๙ สมัย คือ

๑. สมัยวงศ์ฮั่นยุคหลังถึงต้นวงศ์ถัง (พ.ศ. ๖๑๐-๑๒๓๗) ในระยะเวลา ๖๖๓ ปีนี้ มีธรรมทูตทำงานแปลรวม ๑๗๖ ท่อน ผลิตคัมภีร์ ๙๖๘ คัมภีร์ ๔,๕๐๗ ผูก

๒. สมัยกลางวงศ์ถัง ถึงวงศ์ถังตอนปลาย (พ.ศ. ๑๒๗๓-๑๓๓๒) มีธรรมทูตทำงานแปล ๘ ท่าน

๓. สมัยปลายวงศ์ถัง ถึงต้นวงศ์ซ้อง พ.ศ. ๑๓๓๒-๑๕๘๐) มีธรรมทูตทำงานแปล ๖ ท่าน

๔. สมัยวงศ์ช้อง ถึงวงศ์หงวน (พ.ศ. ๑๕๘๐-๑๘๒๘) มีธรรมทูตทำงานแปล ๔ ท่าน

ในจำนวนธรรมทูต ๔ สมัย ๑๙๔ ท่านนี้ ผู้ที่มีเกียรติคุณเด่นมีรายนามต่อไปนี้ อันสิธเกา, ธรรมกาละ, ธรรมนันทิ, อภยะ, ธรรมรักษ์, ศิริมิตร, สังฆเทวะ, กุมารชีพ, ปุณยาตระ, พุทธยศ, พุทธชีวะ, พุทธภัทร, สังฆภัทร, คุณภัทร, โพธิรุจิ, ปรมัตถะ, กาลยศ, ธรรมมิตร, พุทธคุปตะ, ธรรมคุปตะ, สังฆปาละ, ฟาเหียน, เฮี่ยงจัง, เทพทหาร, ศึกษานันทะ, อี้จิง, วัชรโพธิ, สุภกรสิงหะ ,มโมฆวัชระ, ปรัชญา, ธรรมเทวะ, สันติเทวะ, ทานปาละเป็นต้น ในบรรดาท่านเหล่านั้นมีพิเศษอยู่ ๕ ท่าน ที่ได้รับยกย่องว่าเป็น “นักแปลคัมภีร์อันยิ่งใหญ่” คือ

๑. พระกุมารชีพ เลือดอินเดียผสมคุจะ มาประเทศจีนเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๙ แปลคัมภีร์ ๗๔ ปกรณ์ ๓๘๔ ผูก

๒. พระปรมัตถะ ชาวอินเดียแคว้นอุชเชนี มาประเทศจีนเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๐ แปลคัมภีร์ ๖๙ ปกรณ์ ๒๗๘ ผูก

๓. พระสมณะเฮี่ยงจัง ชาวมณฑลโฮนาน จาริกไปอินเดียศึกษาพระธรรมวินัย เมื่อ พ.ศ. ๑๑๗๒ กลับประเทศจีนเมื่อ ๑๑๘๘ แปลคัมภีร์ ๗๙ ปกรณ์ ๑,๓๓๐ ผูกหรือ ๑,๓๒๕ หรือ ๑,๓๓๕ ผูกไม่แน่)

๔. พระสมณะอี้จิง ชาวเมืองฟันยาง จาริกไปอินเดียศึกษาพระธรรมวินัย เมื่อ พ.ศ. ๑๒๑๔ กลับประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. ๑๒๓๗ แปลคัมภีร์ ๕๖ ปกรณ์ ๒๓๐ ผูก

๕. พระอโมฆวัชระ เชื้อสายอินเดียเหนือ แปลคัมภีร์ เมื่อ พ.ศ. ๑๒๘๙-๑๓๑๔ จำนวน ๗๗ ปกรณ์ ๑๐๑ ผูก.

งานถ่ายทอดพระธรรมวินัยดังพรรณนานั้น ได้รับพระบรมราชูปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ จึงสามารถดำเนินไปได้โดยเรียบร้อย พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชโองการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานขึ้นคณะหนึ่ง มีการแบ่งหน้าที่เป็นแผนกหรือตำแหน่งดังนี้

๑. ประธานในการแปล ต้องเป็นผู้รอบรู้ในภาษาสันสกฤต หรือภาษาอินเดียภาคต่าง ๆ รวมทั้งภาษาเอเซียกลางด้วย เป็นผู้ควบคุมพระคัมภีร์ ที่แปลโดยตรง

๒. ล่ามในการแปล ได้แก่ผู้รู้ภาษาสันสกฤตหรือภาษาของท่านธรรมทูต และภาษาจีนดี ฟังคำอธิบายในข้อความในคัมภีร์สันสกฤตจากผู้เป็นประธานแล้วก็แปลเป็นภาษาจีนโดยมุขปาฐะ สำหรับล่ามนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เสมอไป ถ้าประธานมีความรู้ในภาษาจีน

๓. ผู้บันทึก ได้แก่ผู้คอยจดคำแปลของล่ามลงเป็นอักษรจีน ถ้าประธานแตกฉานในอักษรศาสตร์จีนดี ก็ไม่ต้อง เพราะเขียนเองได้

๙. ผู้สอบต้นฉบับ ได้แก่ผู้ตรวจสอบ ผู้ทานดูข้อความแปล ที่จดไว้จะตรงกับต้นฉบับหรือไม่

๕. ผู้ตกแต่งทางอักษรศาสตร์ ได้แก่ผู้มีหน้าที่ตกแต่งภาษาจีน ซึ่งแปลจดไว้แล้วให้สละสลวยถูกต้องตามลีลาไวยากรณ์ของจีน ฟังไม่เคอะเขินหรือกระด้างหู ทั้งนี้เพราะล่ามก็ดี ผู้บันทึกก็ดี จำต้องรักษาถ้อยคำให้ตรงกับต้นฉบับ ซึ่งในบางกรณีลีลาโวหารอาจกระด้าง หรือไม่หมดจดก็ได้

๖. ผู้สอบอรรถรส ได้แก่ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบฉบับแปลจีนนั้นให้มีอรรถรส ตรงกันกับต้นฉบับโดยทุกประการ

๗. ผู้ทำหน้าที่ธรรมภิคีติ ได้แก่การสวดสรรเสริญสดุดีคุณพระรัตนตรัย ก่อนที่จะเริ่มงานแปลทุกวาระ หรือสวดสาธยายข้อความในพระคัมภีร์ที่แปลนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือเจ้าหน้าที่พิธีการนั่นเอง

๘. ผู้ตรวจปรู๊ฟ เมื่อเขาแปลและจดกันเป็นที่เรียบร้อยหมดจดทุกอย่างแล้ว ก็ปรู๊ฟกันอีกทีหนึ่งเพื่อให้ถูกต้อง กันผิดพลาด หากจะมีอะไรหลงหูหลงตาบ้าง

๙. เจ้าหน้าที่ฝ่ายราชการ ซึ่งจะต้องเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่คอยดูแลให้มีจตุปัจจัยสมบูรณ์ และคอยอุปการะผู้ถวายความสะดวกแก่คณะกรรมการ ตลอดจนเป็นผู้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบถึงผลงาน บางครั้งเมื่อคัมภีร์ปกรณ์หนึ่ง ๆ แปลจบลง ก็นำถวายขอพระราชนิพนธ์บทนำ

เมื่อพิจารณาการดำเนินงานอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้มั่นใจว่า พระไตรปิฎกจีนพากย์นี้มีข้อแปลผิดพลาดได้น้อยแต่ถึงกระนั้น เนื่องด้วยในสมัยต้น ๆ แห่งการแปลคัมภีร์ ท่านผู้แปลที่เป็นประธานเป็นชาวต่างชาติ จะต้องมาตั้งต้นเรียนรู้ภาษาจีน ต่อเมื่อเข้ามาเมืองจีนแล้ว ก็ยากที่จะซาบซึ้งถึงขนาดเช่นชาวจีนเองได้ ฉะนั้นจึงมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องลีลาโวหารทางอักษรศาสตร์จีน มิได้ผิดพลาดกับอรรถรส

ที่น่าประหลาดอยู่คือ ท่านกุมารชีพเป็นคนต่างชาติแท้ ๆ สามารถแปลได้อย่างวิจิตร จนจัดสำนวนของท่านอยู่ในอันดับวรรณคดีชั้นสูงของจีน ส่วนท่านสมณะเฮี่ยงจัง และท่านสมณะอี้จิงนั้น มิพักต้องกล่าวถึงละ เพราะท่านเป็นชาวจีน และยังแตกฉานในภาษาสันสกฤตออย่างเอกอุ ยิ่งท่านเฮี่ยงจังด้วยแล้ว ท่านสามารถรจนาปกรณ์วิเศษได้ในภาษานั้นๆ จึงหาข้อบกพร่องใด ๆ ในคัมภีร์ที่ท่านทั้งสองแปลไว้มิพานพบเลย

โดยสรุปแล้วก็นับได้ว่าพระไตรปิฎกจีนพากย์นี้ งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

พระไตรปิฎกฉบับเขียน
จีนเป็นชาติรู้จักทำกระดาษใช้เขียนหนังสือ แต่ยุคราชวงศ์ฮั่น คือประมาณร่วม ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว เมื่อพระพุทธศาสนาแพร่หลายเข้าไป การแปลคัมภีร์แปลกันเป็นระยะ ๆ มากบ้างน้อยบ้าง มิได้แปลทีเดียวหมดทั้งไตรปิฎก พุทธบริษัทจีนก็ต้องคัดลอกคัมภีร์ ที่แปลแล้วไว้ในกระดาษบ้าง จารึกไว้ในแผ่นไม้บ้าง เพื่อศึกษาเล่าเรียนและเก็บรักษา

ครั้นลุถึงแผ่นดินพระเจ้าเหลียงบูเต้แห่งราชวงศ์เหลียง เมื่อ พ.ศ. ๑๐๖๑ มีพระราชโองการให้ชำระรวบรวมพระไตรปิฎกเท่าที่แปลแล้ว และพวกปกรณ์วิเศษได้จำนวนรวม ๑,๔๓๓ คัมภีร์ จำนวนผูกได้ ๓,๗๔๑ ผูก ต่อมาในสมัยวงศ์งุ่ย ชำระหนหนึ่ง สมัยวงศ์ปักชี้ หนหนึ่ง สมัยวงศ์ซุ้ย ๓ หน สมัยวงศ์ถัง ๙ หน มีลำคับดังนี้ :-

๑. แผ่นดินพระเจ้าถังไทจง ศักราชเจ็งกวนปีที่ ๙ (พ.ศ. ๑๑๖๙) จำนวน ๗๓๙ คัมภีร์ ๒,๗๑๒ ผูก
๒. แผ่นดินพระเจ้าถังเกาจง ศักราชเฮี่ยนเข่ง ปีที่ ๔ (พ.ศ. ๑๒๐๒) จำนวน ๘๐๐ คัมภีร์ ๓,๓๖๑ ผูก
๓. แผ่นดินพระเจ้าถังเกาจงอีกเหมือนกัน ศักราชลิ่นเต็ก ปีที่ ๑ (พ.ศ. ๑๒๐๗) จานวน ๘๑๖ คัมภีร์ ๔,๐๖๖ ผูก
๔. แผ่นดินจักรพรรดินีบูเช็กเทียน ศักราชบ้วนส่วย ปีที่ ๑ (พ.ศ. ๑๒๓๘) จำนวน ๘๖๐ คัมภีร์ ๓,๙๒๙ ผูก
๕. แผ่นดินพระเจ้าถังเฮียงจง ศักราชไคหงวน ปีที่ ๑๘ (พ.ศ. ๑๒๗๓) จำนวน ๑,๐๗๖ คัมภีร์ ๕,๐๙๘ ผูก
๖. แผ่นดินพระเจ้าถังเต็กจง ศักราชเฮงหงวน ปีที่ ๑ พ.ศ. ๑๓๒๗) จำนวน ๑,๑๔๗ คัมภีร์ ๕,๑๔๙ ผูก
๗. แผ่นดินพระเจ้าถังเต็กจงอีกเหมือนกัน ศักราชเจ็งหงวน ปีที่ ๑๑ (พ.ศ. ๑๓๓๘) จำนวน ๑,๒๔๓ คัมภีร์ ๕,๓๙๓ ผูก
๘. แผ่นดินพระเจ้าถังเต็กจงดุจกัน ศักราชเจ็งหงวน ปีที่ ๑๕ (พ.ศ. ๑๓๔๒) จำนวน ๑,๒๕๘ คัมภีร์ ๕,๓๙๐ ผูก
๙. สมัยวงศ์ถังภาคใต้ ศักราชเปาไต๋ปีที่ ๓ (พ.ศ. ๑๔๘๘) จำนวน ๑,๒๑๙ คัมภีร์ ๕,๔๒๑ ผูก
รวมการชำระรวบรวมพระไตรปิฎก ฉบับเขียน ๑๕ ครั้ง

พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์
จีนเป็นชาติแรกในโลก ที่คิดการพิมพ์หนังสือได้ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๗ สมัยราชวงศ์ฮั่น เริ่มแรกมีผู้คิดใช้วิธีอัดก๊อปปี้ จากตัวอักขระที่จารึกไว้บนแผ่นหินหรือแผ่นไม้ก่อน ต่อมาพัฒนาการเจริญขึ้นตามลำดับ ใช้วิธีแกะเป็นตัวนูนบนแผ่นไม้แล้วใช้หมึกทา เอากระดาษนาบพิมพ์ติดหนังสือขึ้นมา

ครั้นต่อมาวิชาพิมพ์ก้าวหน้า จนถึงแกะตัวพิมพ์ได้ เมื่อปรารถนาจะพิมพ์ ก็ใช้วิธีเรียงตัวพิมพ์เอา ซึ่งมีกำเนิดขึ้นในราวสมัยราชวงศ์ซ้อง แต่มาเจริญแพร่หลายคือสมัยราชวงศ์หงวนและเหม็ง วิชาการพิมพ์ของจีน เช่นวิธีนาบพิมพ์ แม้จะมีมาก่อนสมัยถังคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาก็ยังนิยมใช้คัดลอกกัน

ครั้นลุสมัยถังในหมู่พุทธบริษัทนิยมพิมพ์ภาพพุทธรูป พระโพธิสัตว์ไว้ในแผ่นกระดาษบูชา ต่อมาจึงได้คิดพิมพ์พระสูตรบางเอกเทศขึ้น ปรากฏว่า เอกสารพิมพ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือพระสูตรของพระพุทธศาสนาชื่อ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (ผู้เขียนแปลเป็นไทยแล้ว) มิสเตอร์สติน นักขุดค้นโบราณวัตถุ ค้นพบพระสูตรพิมพ์นี้ในถ้ำแห่งหนึ่งของเมืองต้นฮอง มณฑลกานสู เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ ปัจจุบันต้นฉบับเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงลอนดอน (ดูภาพประกอบในตอนก่อน) ในหนังสือเล่มนี้มีข้อความบอกถึงอายุดังนี้

“ศักราชฮัมทงปีที่ ๙ เดือน ๔ วันที่ ๑๕ เฮ่งกาย (ชื่อคน) สร้างขึ้นเป็นธรรมทานอุทิศ, บูชาแด่บิดามารดาทั้งสอง”

ศักราชฮัมทงปีที่ ๙ ตรงกับ พ.ศ. ๑๔๑๑ คือประมาณพันกว่าปีมาแล้ว ถึงกระนั้นตลอดสมัยวงศ์ถัง ก็ยังมิได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกขึ้น ตราบลุถึงสมัยวงศ์ช้อง

๑. ในสมัยราชวงศ์ซ้อง พระเจ้าซ้องไทโจ๊วฮ่องเต้ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ เมื่อศักราชไคเป้าปีที่ ๔ (พ.ศ. ๑๕๑๔) มีพระราชโองการให้ขุนนางผู้ใหญ่ ชื่อเตียช่งสิ่งไปชำระรวบรวมพิมพ์พระไตรปิฎก ที่มณฑลเสฉวน พระไตรปิฎกฉบับนี้มาแล้วเสร็จ เมื่อรัชสมัยพระเจ้าซ้องไทจงพ.ศ. ๑๕๒๖ กินเวลา ๑๒ ปี เรียกว่า “พระไตรปิฎกฉบับไคเป้า” นับเป็นปฐมพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ที่เก่าที่สุดของโลกพระพุทธศาสนา ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ของฝ่ายเถรวาทที่พิมพ์เก่าที่สุด (ไม่ใช่จารึกหรือคัดลอก) ตามที่ข้าพเจ้าทราบ คือ พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ของไทย เมื่อรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๑ ช้ากว่าของจีน ๙๑๗ ปี พระไตรปิฎกฉบับไคเป้ามีคัมภีร์ ๑,๐๗๖ คัมภีร์ ๕,๐๔๗ ผูก แต่หายสาบสูญเสียมากกว่า เหลือเพียงข้อความกระท่อนกระแท่นบางคัมภีร์เท่านั้น

๒. พระไตรปิฎกฉบับเคอร์ตานจั๋ง พิมพ์โดยพระราชโองการกษัตริย์เคอร์ตาน ซึ่งเป็นเตอร์กพวกหนึ่ง ปกครองดินแดนทางใต้ของมานจูเรียและจีนเหนือ พระไตรปิฎกพิมพ์ด้วยอักษรจีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๕ บัดนี้สาบสูญกันหมดแล้ว

๓. พระไตรปิฎกฉบับกิมจั๋ง พิมพ์ครั้งราชวงศ์กิม ซึ่งเป็นตาดอีกพวกหนึ่ง ยึดครองจีนเหนือ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๑๖๙๑-๑๗๑๖ ใช้อักษรจีนเหมือนกัน ยังมีคัมภีร์เหลืออยู่ ณ บัดนี้ ๔,๙๕๐ ผูก ค้นพบที่วัดกวางเซ่งยี่ มณฑลชานสี

๔. พระไตรปิฎกฉบับช่งหลิงบ้วนชิ่งจั๋ง ในรัชสมัยพระเจ้าซองสิ่นจง สมณะชงจิง วัดตังเสียงยี่ เมืองฟูจิว บอกบุญเรี่ยรายพิมพ์ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๑๖๒๓-๑๖๔๗ มีการพิมพ์เติมต่อมาอีกหลายหนสำหรับฉบับนี้ รวมจำนวน ๖,๔๓๔ ผูก ปัจจุบันกระจัดกระจายหมด

๕. พระไตรปิฎกฉบับพีลู้จั๋ง ในรัชสมัยพระเจ้าซ้องฮุยจง สมณะปุงหงอ วัดไคหงวนยี่ เมืองฟูจิว บอกบุญเรี่ยรายพิมพ์ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๑๖๕๘-๑๖๙๓ มี ๖,๑๑๗ ผูก ยังมีฉบับเหลืออยู่ที่ญี่ปุ่น

๖. พระไตรปิฎกฉบับซือเคยอี้กักจั๋ง ในรัชสมัยพระเจ้าช้องเกาจง พุทธบริษัทชาวฮูจิว พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๑๖๗๕ มีจำนวน ๑,๔๒๑ คัมภีร์ ๕,๔๘๐ ผูก ยังมีฉบับสมบูรณ์อยู่ที่ญี่ปุ่น

๗. พระไตรปิฎกฉบับชือเคยจือฮอจั๋ง ประมาณเวลาพิมพ์ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ คงเหลือบางส่วนเท่านั้น

๘. พระไตรปิฎกฉบับจีซาจั๋ง พิมพ์ราว พ.ศ. ๑๗๗๔ มี ๑,๕๓๒ คัมภีร์ ๖,๓๖๒ ผูก

มีต่อค่ะ...  >>สมัยวงศ์หงวน
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/satien/ubasok-27.htm