ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
sithiphong:
รวมมิตร สะกิดข่าว เรื่องราวของ "รถยนต์"
.
sithiphong:
หน้าร้อน ...ทำอย่างไร? ดูแลเครื่องยนต์ไม่ให้ร้อนเกินไป
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1395505552&grpid=&catid=09&subcatid=0903-
-ภาพ:arrowheadradiator.com
คอลัมน์ คาร์ทิปส์
ย่างเข้าหน้าร้อน นอกจากอุณหภูมิภายในและภายนอกรถยนต์จะร้อนระอุเมื่อต้องตากแดดแล้ว ความร้อนของเครื่องยนต์ก็เป็นสิ่งที่ต้องหมั่นดูแล จากเกจ์วัดความร้อนเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเกจ์ทำงานได้ดีแสดงค่าความร้อนได้ถูกต้อง เมื่อเกจ์วัดแสดงค่าความร้อนสูงขึ้นมากกว่าปกติ ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของระบบระบายความร้อนของรถยนต์ด้วย
ถ้าระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ผิดปกติ จะได้ป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ได้ทันท่วงทีและซ่อมบำรุงได้ถูกจุดก่อนจะลุกลามเป็นปัญหาที่บานปลาย
ระบบระบายความร้อนของรถใหม่ๆ มักไม่ค่อยมีปัญหาอาจไม่ต้องระวังอะไรมากนัก แค่หมั่นถ่ายน้ำตามกำหนด และหมั่นดูแลระดับน้ำให้พอดีเท่านั้นก็พอ แต่รถที่มีอายุมากขึ้น ต้องการการดูแลมากขึ้นด้วยเช่นกัน การดูแลและป้องกันเครื่องยนต์ร้อนเกินปกติ (OVERHEATED) มี 5 วิธีทำได้ดังนี้
1.หมั่นดูแลหม้อน้ำ หาจุดรั่ว และดูสภาพรังผึ้งให้อยู่ในสภาพปกติสามารถระบายความร้อนได้ดี ไม่มีอะไรมาบังทางลม เพราะหม้อน้ำเป็นอุปกรณ์ที่ถ่ายเทความร้อนจากน้ำไปสู่อากาศถ้าหม้อน้ำระบายถ่ายเทความร้อนไม่ดี ก็ทำให้เครื่องยนต์ร้อนและผิดปกติได้
2.วาล์วน้ำ เป็นอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ วาล์วน้ำเป็นอุปกรณ์ควบคุมความร้อนของเครื่องยนต์ ไม่ให้อุณหภูมิต่ำเกินไป แต่เมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่กำหนด วาล์วน้ำจะเปิดออกให้น้ำไหลเวียนมาระบายความร้อนที่หม้อน้ำ แต่ถ้าวาล์วน้ำไม่ยอมเปิด หรือปิดค้าง น้ำก็ไม่มาระบายความร้อนที่หม้อน้ำก็ทำให้เครื่องร้อนผิดปกติและพังได้
3.ถ่ายน้ำในหม้อน้ำสม่ำเสมอ การถ่ายน้ำนี้ไม่ใช้แค่เปิดก๊อกแล้วเติมน้ำใหม่ แต่เราต้องเติมน้ำยาสำหรับหม้อน้ำลงไปด้วย
4.น้ำมันเครื่อง ก็เป็นต้นเหตุของความร้อนได้เช่นกัน ถ้าคุณภาพไม่ดีพอ หรือปริมาณไม่เพียงพอ เพราะน้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดการเสียดสีในเครื่องยนต์ ถ้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี ความร้อนก็จะตามมา
5.น้ำมันเชื้อเพลิง บางคนคิดว่าการจูนน้ำมันให้บาง (น้ำมันน้อยกว่าอากาศ) แล้วจะประหยัด ถึงจะประหยัด แต่ก็ได้ไม่มาก จะแถมความร้อนให้เราแทน เพราะถ้าน้ำมันบาง เครื่องจะร้อน การจูนน้ำมันให้บาง ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเครื่องยนต์สักเท่าไหร่ การจูนที่พอเหมาะจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดมากกว่า
(ที่มา:มติชนรายวัน 22 มีนาคม 2557)
sithiphong:
9 ข้อต้องรู้! ก่อนไปสอบใบขับขี่เกณฑ์ใหม่ 1 มิ.ย. 2557
-http://auto.sanook.com/6787/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4.%E0%B8%A2.-2557/-
หลายคนคงรู้กันแล้วว่ากรมขนส่งปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ โดยเนื้อหาเพิ่มทักษะการขับขี่ เพิ่มจำนวนข้อสอบ เพิ่มเกณฑ์ผ่านการทดสอบและช่องทางอนุญาตใบขับขี่มากขึ้น แต่บางคนอาจจะไม่รู้รายละเอียด Sanook! auto มี 9 เรื่องน่ารู้สำหรับการสอบใบขับขี่แบบใหม่มาฝากครับ
1. ปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ จะเริ่ม 1 มิ.ย. 57
2. ในการสอบภาคทฤษฎีนั้นเพิ่มจำนวนข้อสอบเป็น 50 ข้อ ผ่านเกณฑ์การสอบร้อยละ 90 (หรือทำได้ 45 ข้อ) จากเดิมข้อสอบ 30 ข้อเกณฑ์ผ่านเพียงร้อยละ 75 (หรือทำได้ 22 ข้อ)
3. ข้อสอบแบบใหม่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,000 ข้อ ใช้หมุนเวียนออกสอบในแต่ละรอบ
4. ข้อสอบทั้งหมดเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก ให้ประชาชนได้ศึกษาก่อนสอบด้วย
5. สำหรับการทดสอบภาคปฏิบัติ หรือการทดสอบขับรถนั้น จะทำในวันถัดไป แต่ไม่เกิน 90 วัน นับจากวันที่ยื่นเรื่องวันแรก
6. ผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตขับขี่ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่มีใบอนุญาตชนิดเดียวกัน ไม่อยู่ระหว่างพักและเพิกถอนใบอนุญาต
7. สำหรับผู้ที่มีร่างกายพิการดังต่อไปนี้ เช่น แขนขาดข้างเดียว ขาขาดข้างเดียว ตาบอดข้างเดียว ลำตัวพิการ หูหนวก เมื่อต้องการมีใบอนุญาตขับขี่ ต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ขนส่งก่อนจึงจะทำได้
8. หลักฐานที่นำไปด้วย คือ
-บัตรประชาชนตัวจริงพร้อมใบสำเนา หรือบัตรประจำตัวข้าราชการพร้อมใบสำเนาที่ใช้แทนบัตรประชาชน
-ใบรับรองแพทย์ตัวจริงไม่เกิน 1 เดือน ที่รับรองว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ
9. เนื่องจากปัจจุบันผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ต้องรอคิวอบรมและทดสอบเป็นเวลานาน กรมการขนส่งฯจึงให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด ประสานสถาบันการศึกษาภาครัฐที่มีมาตรฐานและมีความพร้อมจัดอบรมภาคทฤษฎีตามหลักสูตรที่กรมการขนส่งฯกำหนด ให้กับผู้ที่ประสงค์ขอรับใบอนุญาตขับขี่ เบื้องต้นเฉพาะผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่รถใหม่ และการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ ส่วนจะเริ่มได้เมื่อไหร่นั้น จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ
------------------------------------------------------------------------------------------
ขนส่งทางบกปรับนโยบายสอบใบขับขี่ใหม่ เริ่ม 1 มิ.ย.นี้
-http://auto.sanook.com/6731/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4.%E0%B8%A2.%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89/-
เมื่อไม่นานมานี้ กรมการขนส่งทางบกได้ประกาศถึงการปรับหลักเกณฑ์การทดสอบเพื่อขอรับใบขับขี่ใหม่ ทั้งรถส่วนบุคคลและรถโดยสาธารณะให้เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม
โดยมาตรการการทดสอบเพื่อขอรับใบขับขี่ใหม่นั้น จะมุ่งเน้นไปยังการสอบข้อเขียน ซึ่งจากเดิมที่มีการรวบรวมไว้ในระบบ 300 ข้อ และเลือกคำถามมาทดสอบ 35 ข้อนั้น จะถูกปรับให้เพิ่มคำถามไว้ในระบบเป็น 1,000 ข้อ และเลือกคำถามมาทดสอบเป็น 50 ข้อ
นอกจากนั้น เกณฑ์การวัดผลยังถูกปรับเปลี่ยนจาก 75% มาเป็น 90% ซึ่งหมายความว่าจากเดิม ที่ต้องตอบคำถามให้ถูกต้องมากกว่า 23 ข้อจาก 35 ข้อ มาเป็นตอบถูกมากกว่า 45 ข้อจาก 50 ข้อ ทำให้เหลือโอกาสตอบผิดเพียงแค่ 5 ข้อเท่านั้น ซึ่งถือเป็นทางออกที่ดีที่จะทำให้ผู้สอบ มีความรู้ความเข้าใจในกฎจราจรมากขึ้นนั่นเอง
ส่วนการอบรมการจราจร 4 ชั่วโมงก่อนเข้าทดสอบข้อเขียนนั้น กรมการขนส่งเห็นว่าปัจจุบันมีผู้ขอรับใบขับขี่เป็นจำนวนมาก ต้องมีการจองคิว โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ กทม. จึงเตรียมให้ใช้พื้นที่สถาบันการศึกษา เพื่อการอบรมทดสอบผู้ที่ต้องการสอบใบขับขี่แทน แล้วนำมาสอบใบขับขี่ได้ทันที โดยไม่ต้องเข้าอบรมที่กรมการขนส่ง
ส่วนการทดสอบทดสอบขับรถนั้น ยังคงใช้มาตรการเดิมอยู่ต่อไป
ขอบคุณภาพประกอบจาก www.srdriving.com
sithiphong:
5 อันดับรถหายมากที่สุด
-http://auto.sanook.com/6685/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/-
'รถหาย' ถือเป็นภัยใกล้ตัวของเจ้าของรถมากกว่าที่คิด ซึ่งการจะได้ครอบครองรถยนต์สักหนึ่งคัน ต้องแลกกับหยาดเหงื่อแรงกายอย่างหนัก ไหนจะต้องเสียค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาสารพัด แต่กลับต้องมาถูกขโมยหายไปในเพียงพริบตาเพราะมิจฉาชีพที่แฝงตัวอยู่ในสังคม พร้อมสารพัดวิธีในการโจรกรรม
วันนี้ Sanook!Auto มี 5 อันดับรถยนต์ที่เสี่ยงต่อการโจรกรรมมากที่สุดมาฝากกัน
ก่อนอื่นเรามาดูกันถึงสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับการขโมยรถยนต์ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาล่าสุด นับตั้งแต่เดือน เม.ย.56 จนถึง เม.ย.57 พบว่า
มี ผู้เสียหายที่ถูกโจรกรรมเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นจำนวนสูงถึง 2,952 คดี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวแบ่งออกเป็นรถยนต์ 369 คดี และรถจักรยานยนต์ 2,583 คดี
จากตัวเลขทั้งหมด มีคดีที่สามารถจับกุมตัวผู้โจรกรรมได้เพียง 298 คดี ซึ่งไม่ถึงร้อยละ 10 ของคดีทั้งหมดด้วยซ้ำ
ช่วงเวลาที่รถหายมากที่สุด คือ ตั้งแต่ 18.00 น. ไปจนถึง 24.00 น.
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนับรวมทั้งสถิติของรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมกัน เนื่องจากมอเตอร์โชค์จะมีความเสี่ยงถูกโจรกรรมช่วงที่เจ้าของไปจอดไว้ตาม ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ต่างๆหลังจากเลิกงาน หรือระหว่างทางกลับบ้าน ขณะที่รถยนต์จะมีความเสี่ยงมากที่สุดตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป เนื่องจากการขโมยรถยนต์มักใช้เวลานานกว่า และเทคนิคที่ซับซ้อนกว่า ทำให้ผู้ร้ายเลือกใช้เวลาที่เจ้าของรถนอนหลับไปแล้ว เพื่อความสะดวกในการลงมือนั่นเอง
5 อันดับรถยนต์ที่ถูกขโมยมากที่สุด
1. Toyota Altis
2. Toyota Vios
3. Toyota Fortuner
4. Toyota Vigo
5. Isuzu D-Max
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดเป็นรถยอดนิยมในตลาดบ้านเราทั้งสิ้น โดย 'โตโยต้า อัลติส' นำมาเป็นอันดับ 1 เนื่องจากอัลติส เป็นรุ่นยอดนิยมโดยเฉพาะการนำมาเป็นรถแท็กซี่ จึงมีโอกาสสูญหายเนื่องจากถูกนำมาถอดชิ้นส่วนแยกเป็นอะไหล่ขายเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากนำไปขายแบบทั้งคัน
ขณะที่รถกระบะทั้ง 'โตโยต้า วีโก้' และ 'อีซูซุ ดีแมกซ์' มีอัตราการหายใกล้เคียงกัน แต่วีโก้อาจมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเล็กน้อย
เห็นแบบนี้แล้ว ใครกำลังใช้รถยอดฮืตติดอันดับดังกล่าว ก็คงมีหวั่นๆกันบ้าง แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้รถยี่ห้อที่ว่ามา ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากรถทุกคันมีโอกาสเสี่ยงต่อการโจรกรรมทั้งนั้น เพียงแต่ขโมยอาจนำไปขายได้ราคาต่ำกว่ารถตลาดยอดนิยมเท่านั้นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์
-http://auto.sanook.com/6685/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/-
----------------------------------------------------------------------------------------
คลิปชัดๆ ตร.จราจรโบกจับ-รับเงินปล่อย !
-http://auto.sanook.com/6792/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%86-%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2/-
ขณะนี้ในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปตำรวจ เรียกผู้ขับขี่รถยนต์ และจักรยานยนต์ ที่ทำผิดกฎจราจรเพื่อเขียนใบสั่ง แต่ตร.ไม่ได้เขียนใบสั่งและรับเงินจากผู้ขับขี่ก่อนปล่อยไป
เพจ The Irrawaddy (Burmese Version) ได้โพสต์คลิปความยาว 4:03 นาที เป็นคลิปเหตุการณ์ตำรวจนายหนึ่ง เรียกผู้ขับขี่รถยนต์ และจักรยานยนต์ ที่ทำผิดกฎจราจรเพื่อเขียนใบสั่ง แต่ตร.ไม่ได้เขียนใบสั่งและรับเงินจากผู้ขับขี่ก่อนปล่อยไป โดยตำรวจนายนี้สวมหมวกหมายเลข 6636 สน.บางนา ภายในระยะเวลา 4 นาทีมีการเรียนรถยนต์ 1 คัน รถแท็กซี่ 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 2 คัน
คลิปตำรวจรับเงินเห็นจะๆชัดๆ ปรับปรุงสำนักงานตำรวจแห่งชาติด่วน
-http://www.youtube.com/watch?v=jAY2W9hS7Z0-
(ขอบคุณเนื้อหาจาก VoiceTV และคลิปจากเฟซบุ๊ค IrrawaddyBurmese)
http://auto.sanook.com/6792/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%86-%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2/
sithiphong:
9 ข้อต้องรู้! ก่อนไปสอบใบขับขี่เกณฑ์ใหม่ 1 มิ.ย. 2557
-http://auto.sanook.com/6787/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4.%E0%B8%A2.-2557/-
หลายคนคงรู้กันแล้วว่ากรมขนส่งปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ โดยเนื้อหาเพิ่มทักษะการขับขี่ เพิ่มจำนวนข้อสอบ เพิ่มเกณฑ์ผ่านการทดสอบและช่องทางอนุญาตใบขับขี่มากขึ้น แต่บางคนอาจจะไม่รู้รายละเอียด Sanook! auto มี 9 เรื่องน่ารู้สำหรับการสอบใบขับขี่แบบใหม่มาฝากครับ
1. ปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ จะเริ่ม 1 มิ.ย. 57
2. ในการสอบภาคทฤษฎีนั้นเพิ่มจำนวนข้อสอบเป็น 50 ข้อ ผ่านเกณฑ์การสอบร้อยละ 90 (หรือทำได้ 45 ข้อ) จากเดิมข้อสอบ 30 ข้อเกณฑ์ผ่านเพียงร้อยละ 75 (หรือทำได้ 22 ข้อ)
3. ข้อสอบแบบใหม่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,000 ข้อ ใช้หมุนเวียนออกสอบในแต่ละรอบ
4. ข้อสอบทั้งหมดเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก ให้ประชาชนได้ศึกษาก่อนสอบด้วย
5. สำหรับการทดสอบภาคปฏิบัติ หรือการทดสอบขับรถนั้น จะทำในวันถัดไป แต่ไม่เกิน 90 วัน นับจากวันที่ยื่นเรื่องวันแรก
6. ผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตขับขี่ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่มีใบอนุญาตชนิดเดียวกัน ไม่อยู่ระหว่างพักและเพิกถอนใบอนุญาต
7. สำหรับผู้ที่มีร่างกายพิการดังต่อไปนี้ เช่น แขนขาดข้างเดียว ขาขาดข้างเดียว ตาบอดข้างเดียว ลำตัวพิการ หูหนวก เมื่อต้องการมีใบอนุญาตขับขี่ ต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ขนส่งก่อนจึงจะทำได้
8. หลักฐานที่นำไปด้วย คือ
-บัตรประชาชนตัวจริงพร้อมใบสำเนา หรือบัตรประจำตัวข้าราชการพร้อมใบสำเนาที่ใช้แทนบัตรประชาชน
-ใบรับรองแพทย์ตัวจริงไม่เกิน 1 เดือน ที่รับรองว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ
9. เนื่องจากปัจจุบันผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ต้องรอคิวอบรมและทดสอบเป็นเวลานาน กรมการขนส่งฯจึงให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด ประสานสถาบันการศึกษาภาครัฐที่มีมาตรฐานและมีความพร้อมจัดอบรมภาคทฤษฎีตามหลักสูตรที่กรมการขนส่งฯกำหนด ให้กับผู้ที่ประสงค์ขอรับใบอนุญาตขับขี่ เบื้องต้นเฉพาะผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่รถใหม่ และการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ ส่วนจะเริ่มได้เมื่อไหร่นั้น จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version