ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวน่ารู้จาก ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร  (อ่าน 1593 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เรื่องราวน่ารู้จาก ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องราวน่ารู้จาก ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 14, 2014, 06:48:59 pm »
นิทานสอนใจ: ใครกันที่ชนะ
-http://prakal.wordpress.com/2014/06/13/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%88-%e0%b9%83%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b8%b0/-

ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / 1 วัน ago มิถุนายน 13, 2014

วันนี้วันศุกร์ เหมือนเคยทุกวันศุกร์ ผมจะนำเอานิทานที่ผมได้อ่านเจอ และรู้สึกดี และได้รับคำสอนอยู่ในนิทานมาเล่าให้อ่านกัน วันนี้ก็เช่นกันครับ เป็นนิทานอีกเรื่องหนึ่งที่ได้อ่านไว้นานแล้ว และยังคงเป็นนิทานที่ทำให้ผมรู้สึกว่าคนเราเองมีมุมมองต่อเรื่องเดียวกันที่แตกต่างกันออกไป ใครที่ถูกสอนมาอย่างไร อยู่กับสภาพแวดล้อมอย่างไร ก็มักจะคิดไปในทางนั้น ซึ่งจุดนี้เองที่มักจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาอีกมากมาย แค่เพียงเพราะมุมมองที่มองต่างกันออกไปเท่านั้น นิทานวันนี้มีเรื่องราวอยู่ว่า…

ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อน มีประเพณีอย่างหนึ่งของพระภิกษุนิกายเซ็น คือ พระภิกษุอาคันตุกะ ที่เดินทางมาถึงที่วัดใด จะต้องตอบปัญหาธรรมชนะพระภิกษุที่อยู่ก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้าพักได้ ถ้าแพ้ก็ต้องเดินทางหาวัดใหม่ต่อไป

วันหนึ่ง มีพระอาคันตุกะองค์หนึ่ง เดินทางมาจากที่ไกลถึงที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น วัดนี้มีพระเซนพี่น้อง 2 องค์อาศัยอยู่ องค์พี่เป็นผู้คงแก่เรียนรอบรู้แตกฉานมาก องค์น้องนอกจากจะตาบอดข้างหนึ่งแล้ว ยังมีสติปัญญาค่อนข้างทึบอีกด้วย เมื่อทราบระเบียบว่า จะต้องมีการโต้ธรรมะกันก่อนเข้าพักอาศัย พระอาคันตุกะก็ยินดีปฏิบัติตาม แต่เนื่องจากพระองค์พี่เหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติงานมาทั้งวัน จึงได้มอบให้พระองค์น้องทำหน้าที่โต้ปัญหาธรรมแทน และได้แนะให้พระองค์น้องใช้วิธีโต้ปัญหาแบบ “เงียบ” พระทั้งสององค์จึงไปยังที่บูชา จุดธูปบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วการโต้ปัญหาธรรมะก็เริ่มขึ้น ชั่วครู่เดียวพระอาคันตุกะก็เดินออกไปหาพระองค์พี่ แล้วกล่าวว่า

“น้องชายท่านเก่งเหลือเกิน ข้าพเจ้ายอมแพ้แล้ว “

“ท่านโต้ปัญหากันว่าอย่างไรล่ะ” พระองค์พี่ถาม

พระอาคันตุกะจึงชี้แจงว่า “ทีแรกข้าพเจ้าชูนิ้วขึ้นมาก่อนหนึ่งนิ้ว ซึ่งหมายถึงพระพุทธ น้องชายของท่านชูสองนิ้วตอบ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมด้วย ข้าพเจ้าจึงชูสามนิ้วตอบซึ่งหมายถึงว่าถ้าจะให้ครบ ก็ต้องมีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วย คราวนี้น้องชายท่านกลับชูกำปั้นมาที่หน้าผม ซึ่งหมายความว่า จะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม ก็ต้องมารวมเป็นหนึ่งเดียว คือพุทธศาสนา ผมจึงว่าน้องท่านเป็นผู้ชนะ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่”

พระภิกษุอาคันตุกะกล่าวแล้ว ก็ลาพระภิกษุองค์พี่เดินทางต่อไปสักครู่ พระองค์น้องก็เข้ามาหาพระพี่ชายอย่างเร่งรีบ แล้วถามหาพระอาคันตุกะว่า

“เจ้าหมอนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ?”

“เธอชนะเขาแล้วไม่ใช่หรือ ?” พระผู้พี่ถามด้วยความสงสัย

“ชนะกะผีอะไรล่ะ” พระองค์น้องโกรธ

“เธอโต้ปัญหากับเขาว่าอย่างไรล่ะ?“ พระองค์พี่ถามต่อ

“โต้อย่างไรนะหรือ” พระองค์น้องตะโกน

“พอเห็นหน้าผมเท่านั้น มันก็ชูนิ้วเดียวมาที่หน้าผม ซึ่งมันดูหมิ่นว่าผมมีตาข้างเดียว ผมสู้อดทนเพราะเห็นว่าเป็นแขก จึงชูตอบไปสองนิ้ว แสดงความยินดีที่เขามีตาครบบริบูรณ์ แทนที่มันจะรู้ตัว มันกลับชูนิ้วกลับมาอีกสามนิ้ว ซึ่งหมายความว่า ทั้งผมและมันมีตารวมกันอยู่สามตา อย่างนี้ไม่ใช่เยาะเย้ยแล้วจะเรียกว่าอะไร ผมเหลืออดจริงๆ จึงชูกำปั้นขึ้นมาจะต่อยหน้ามันสักหน่อย แต่มันกลับวิ่งออกมาเสียก่อน”

อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ผมว่านี่ก็คือมุมมองของคนเราต่อสิ่งต่างๆ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่มุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมองในมุมที่ตนสนใจ เข้าใจ และอยากจะมอง และถ้าเป็นแบบนี้ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ในการบริหารคนก็เช่นกันครับ ท่านที่เป็นหัวหน้างาน เป็นผู้จัดการ ที่ต้องบริหารจัดการลูกน้อง เวลาที่เราคุยกับลูกน้อง หรือได้ยินลูกน้องคุยอะไรมา เรามองอย่างไร เราเห็นในสิ่งที่ลูกน้องของเราเห็นหรือไม่ หรือต่างคนต่างมองในมุมของตนเอง โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็จะไม่ได้ใจลูกน้องของเราได้เลย

ดังนั้นสิ่งที่ควรจะระวังก็คือ อย่าให้มุมมองของตนเองมาปิดหูปิดตา และไม่สนใจมุมมองของคนอื่น จงเปิดใจ ละทิฐิและยอมที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองของตน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งความเข้าใจนี้ก็จะส่งผลดีต่อทั้งการทำงาน และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอีกด้วย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องราวน่ารู้จาก ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 14, 2014, 06:49:22 pm »

ท้อแท้ได้บ้าง แต่อย่าท้อถอยเด็ดขาด
http://prakal.wordpress.com/2014/06/12/%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b9%84%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b9%81%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b9%89/

ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / 2 วัน ago มิถุนายน 12, 2014

ช่วงนี้ได้พบเจอกับเพื่อนเก่าๆ หลายคน รุ่นน้องที่เรียนด้วยกันบ้าง ต่างก็บ่นว่าเกิดความท้อแท้ในชีวิต ผมเห็นเขายิ่งบ่น ก็ยิ่งท้อหนักเข้าไปอีก จริงๆ แล้วผมเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเคยรู้สึกท้อแท้ใจมาบ้าง ไม่ว่าคนนั้นจะรวย จะจน จะมีหรือไม่มีเงิน บางคนท้อแท้จนสิ้นหวังในชีวิตไปเลยก็คือ บางคนก็ท้อแท้เป็นช่วงๆ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นมีมรสุมอะไรเข้ามาในชีวิตของตนบ้างและรุนแรงสักแค่ ไหน บางคนก็เปลี่ยนเอาความท้อแท้กลั่นออกมาจนเป็นพลังในการต่อสู้ของชีวิตตนเอง เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตของตน

เวลาเรารู้สึกท้อเรามักจะไม่มีแรงที่อยากจะทำอะไรเลย การงานที่เคยทำได้ดี มันก็จะแย่ลงจนคนอื่นสังเกตได้ โดยที่เราเองอาจจะไม่รู้ตัวเลย หรือรู้ตัวแต่ก็ไม่สนใจ เพราะใจมันไม่สู้แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะสนใจไปทำไม แต่สิ่งนี้ล่ะครับที่จะทำให้ชีวิตของเรายิ่งถอยหลังลงไปอีก บางครั้งเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าไม่อยากทำอะไรเลย แต่การที่เราไม่ทำอะไรเลยนั้น มันทำให้เรายิ่งท้อ ยิ่งท้อก็ยิ่งไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร ก็ยิ่งท้อ มันก็วนไปเรื่อยๆ ครับ เราจำเป็นที่จะต้องตัดวงจรนี้ออกไปให้ได้

การตัดวงจรนี้ก็โดยการเริ่ม ลงมือทำอะไรสักอย่างก่อน อย่าอยู่เฉยๆ หรือไม่อยากทำอะไร หาอะไรก็ได้ครับที่เราอยากทำ หรือที่เราชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นเกมส์ ฯลฯ เริ่มจากสิ่งที่เราชอบก่อน แล้วพอความรู้สึกเริ่มดีขึ้นก็ค่อยเริ่มลงมือทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานให้มากขึ้น

อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้ก็คือ ให้ลองขับรถออกไปนอกบ้าน หรือจะนั่งรถเมล์ก็ได้นะครับ ยิ่งถ้าได้นั่งรถเมล์แล้วจะยิ่งเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะเราไม่ต้องใช้สมาธิในการขับรถ ลองสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว ผู้คนที่เดินทางไปมา บางคนนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะได้เจอกับคนที่เรารักเราชอบ บางคนเดินเก็บขยะตามถังขยะ ด้วยความหวังว่าจะเจอเศษอาหารที่เหลือๆ ที่จะพอช่วยประทังชีวิตเราไปได้ในแต่ละมื้อ บางคนก็นอนหลบแดดอยู่ข้างถังขยะบ้าง ตามมุมเสาไฟบ้าง

เดินทางดูอะไรไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มเห็นวิถีชีวิตของผู้คนมากขึ้น ป้าคนกวาดถนนยังคงกวาดเศษขยะ เศษใบไม้ตามทางเท้าด้วยใบหน้าที่ท่วมไปด้วยเหงื่อ พอเข้ามาถึงใจกลางเมือง เราก็จะเริ่มเห็นความวุ่นวายของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ราวกับว่ากำลังเดินไล่ล่าตัวอะไรอยู่ ชีวิตมีแต่ความเร่งรีบ บางคนก็เดินเข้าออกบริษัทต่างๆ ด้วยความหวังว่าจะได้ทำงานที่ตนถนัดและร่ำเรียนมา บางคนก็นั่งทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อแลกกับเงินเดือน และความสำเร็จในชีวิตของตนเอง

ลองพิจารณาผู้คนเหล่านี้สิครับ บางคนแย่กว่าเราด้วยซ้ำ แต่ทำไมเขาถึงยังตั้งหน้าตั้งตาทำ ทำ ทำ ก็เพราะชีวิตยังคงต้องเดินหน้าต่อไปน่ะสิครับ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่มีอะไรกิน ไม่มีความสำเร็จที่เราคาดหวังไว้

สำหรับผมเอง การที่ได้มองดูชีวิตผู้คนเหล่านี้มันช่วยทำให้ผมรู้สึกเกิดแรง เกิดพลังที่จะสู้ชีวิตต่อไป ความท้อแท้ที่เกิดขึ้นมันจะเริ่มหายไป และหมดไป และเริ่มเข้าสู่ความหวังอีกครั้งหนึ่ง

เพื่อนผมมีสองสามคนที่เป็นนัก ดนตรี คนแรกเล่นกีตาร์ ไปประกวดตามงานต่างๆ ก็พอจะได้รางวัลประดับบ้านบ้าง อีกคนเป่าแซกโซโฟน และเป็นนักดนตรีของโรงเรียน สองคนนี้ต่างก็วางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นศิลปินและนักดนตรีที่โด่งดังให้ได้ แต่โชคชะตากลับพลิกผัน ดนตรีไม่ได้ช่วยให้เขาได้งานทำ ไม่ได้ช่วยให้เขาได้ในสิ่งที่เขาหวัง แต่กลับทำให้เขายิ่งอดอยาก และหาเงินได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน

ทั้งสองคนก็เริ่มท้อแท้ใจ และคิดว่าจะทำอย่างไรดี สิ่งที่เขาทำเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะสั้นก็คือ การที่จะต้องหาเงินมาซื้อข้าวเพื่อประทังชีวิต ดังนั้นก็เดินเข้าโรงรับจำนำ เอาเครื่องดนตรีคู่กายไปจำนำ แซกโซโฟน อาจจะดูมีค่ามากกว่ากีตาร์ราคาไม่กี่พัน ดังนั้นก็เลยจำนำได้ง่ายกว่า ส่วนอีกคนก็ต้องหิ้วกีตาร์เข้าโรงรับจำนำไปเรื่อย รับจำนำแต่ให้ราคาไม่ดี บางที่เห็นก็ไม่รับแล้ว

คนแรกที่จำนำได้ ก็นำเงินไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น หาซื้ออาหารประทังชีวิตไป แต่ถามว่าพอเงินหมดแล้วจะทำอย่างไร คราวนี้ยิ่งหนักกว่าเดิมเพราะเครื่องมือหากินคู่กายก็ไม่อยู่แล้ว แล้วเขาจะทำอะไร นี่คือผลจากความท้อแท้สิ้นหวัง และการคิดสั้นๆ เพื่อให้อยู่ไปวันๆ

แต่อีกคนหนึ่งพอจำนำกีตาร์ไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรกินเหมือนกัน ก็ไปนั่งพักเหนื่อยอยู่แถวๆ สวนจตุจักร ไม่มีอะไรทำ ก็เลยเอากีตาร์ขึ้นมาบรรเลงเพลงที่ได้ฝึกฝนมา คิดแค่ว่ามันอาจจะช่วยลดความรู้สึกหิวลงไปได้บ้าง เขาหลับตาบรรเลงไปเรื่อยๆ สักพักก็เริ่มมีคนสนใจในบทเพลงที่เขาบรรเลง เพิ่มหยิบเงินและใส่ลงไปในซองกีตาร์ที่เขาวางไว้กับพื้น ห้าบาทบ้าง สิบบาทบ้าง บางคนชอบใจมากๆ ก็ให้เป็นร้อยเลยก็มี เพราะด้วยฝีมือของเขานั้นเรียกว่าอยู่ในขั้นมืออาชีพจริงๆ

วันนั้นเขา ได้ทำในสิ่งที่เขารัก และไม่อดตาย เครื่องมือในการหากินก็ยังอยู่ครบ ความท้อแท้เริ่มหายไป กลายเป็นความหวัง และเริ่มมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตด้วยสิ่งที่เขามีอยู่

วันรุ่งขึ้น เขาก็เริ่มตระเวนเล่นดนตรีตามข้างถนน เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จตุจักรบ้าง สยามบ้าง ไนท์พล่าซ่า บ้าง จนวันหนึ่งก็มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหา และถามเขาว่า “ไปเล่นดนตรีกับพี่มั้ย พี่เห็นเรามาหลายวันแล้ว ฝีมือดีมาก พี่ชอบ น่าจะเล่นเพลงในแนวเดียวกันได้ดี” นั่นก็คือโอกาสที่เริ่มเข้ามาหาเขา ถ้าวันนั้นเขาจำนำกีตาร์ตัวนี้ไป วันนี้คงไม่มีโอกาสแบบนี้

จาก วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้เล่นดนตรีกับวงดนตรีใหญ่ และผันตัวเองไปเป็นคนเบื้องหลัง แต่งเพลง ทำดนตรี และเป็นนักดนตรีในห้องอัดเสียงคอยเป็นมือปืนรับจ้างอัดเสียงให้กับศิลปิน ดังๆ หลายคน

จะเห็นว่าความท้อแท้นั้นเกิดได้ แต่อยากไปจมกับมันมากนัก ต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารักและถนัดที่จะทำ  ทำไปเถอะครับ ทำอย่างอดทน และมั่นคง  ผมเชื่อว่าถ้าเราทำมันอย่างเต็มที่แล้ว ความหวัง และกำลังใจในชีวิตของเรา มันจะเริ่มกลับคืนมาสู่ชีวิตเรา และเราจะเริ่มเห็นโอกาสว่ามันเปิดรอเราอยู่ตรงหน้านี่เอง แต่ไอ้ความท้อแท้มันมาบังเราซะจนเรามองไม่เห็นโอกาสดีๆ เลย

จงอย่าให้ความท้อแท้ มาทำให้เราท้อถอยนะครับ ชีวิตของเรายังมีโอกาส และความหวังรอเราอยู่เสมอครับ สู้ต่อไปนะครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องราวน่ารู้จาก ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 14, 2014, 06:50:20 pm »

ลูกน้องไม่มีแรงจูงใจเพราะเงินเดือนน้อยจริงหรือ
http://prakal.wordpress.com/2014/06/09/%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b9%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%9e/

ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / 5 วัน ago มิถุนายน 9, 2014

เคยได้ยินหัวหน้างาน และผู้จัดการบ่นให้ฟังว่า ลูกน้องของตนเองไม่รู้เป็นอะไร ไม่ค่อยอยากทำงาน เหมือนกับไม่มีแรงจูงใจในการทำงานเลย สั่งอะไรก็ไม่ทำตามสั่ง ทำงานแบบขอไปทีจริงๆ ก็เลยสอบถามไปว่า แล้วคิดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร คำตอบที่ผมได้มาก็คือ “ที่นี่เงินเดือนน้อย ก็เลยทำให้พนักงานไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน” ท่านผู้อ่านคิดอย่างไรกับเหตุผลดังกล่าวครับ

เรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานนั้น เรื่องเงินเอาเข้าจริงๆ ผมคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้แรงจูงใจหายไปทั้งหมดได้ หรือถ้าเป็นเรื่องเงินจริงๆ ผมคิดว่าพนักงานคนนั้นก็คงจะต้องลาออก และไปหางานทำใหม่ที่อื่นที่มีเงินเดือนที่พอกับที่พนักงานต้องการมากกว่าที่จะทนอยู่แบบนี้ (หรือเปล่า)

และการที่หัวหน้างานหรือผู้จัดการมองว่า ที่พนักงานขาดแรงจูงใจเพราะได้รับเงินเดือนน้อยนั้น อาจจะเป็นการมองที่ไม่ครบถ้วนเท่าไหร่ ในกรณีที่พนักงานยังคงอยู่ทำงานในบริษัท ไม่ได้ไปหางานที่อื่น นั่นแปลว่า พนักงานเองอาจจะไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของเงินเดือนค่าจ้างมากนัก เพราะเท่าที่ผมเคยประสบมา เวลาพนักงานมีปัญหาเรื่องค่าจ้างหรือเงินเดือนจริงๆ ทางออกที่ตรงที่สุดก็คือ การออกไปหางานใหม่ที่ทำให้เขาได้เงินเดือนค่าจ้างที่สูงขึ้นกว่าเดิม เขาจะไม่อดทนทำงานอยู่แบบนี้แน่นอน

และอีกอย่างก็คือ ด้วยอำนาจหน้าที่ของคนที่เป็นหัวหน้างาน และผู้จัดการนั้น เราไม่สามารถที่จะไปให้เงินเดือนพนักงานคนนั้นได้ตามที่เขาต้องการอยู่แล้ว ดังนั้นการบ่นกว่า พนักงานขาดแรงจูงใจเพราะเงินเดือนน้อย จึงเป็นสิ่งที่ผู้จัดการแก้ไขอะไรไม่ได้เลย

แต่ถ้าเรามั่นใจว่า พนักงานคนนี้ไม่ลาออกไปไหนแน่นอน เพราะรักบริษัท แต่ที่ไม่อยากทำงาน หรือขาดแรงจูงใจในการทำงานแสดงว่าต้องมีสาเหตุอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเงินเดือนค่าจ้างอย่างแน่นอน โดยทั่วไปสาเหตุก็มีดังต่อไปนี้ครับ

    หัวหน้างานของตนเอง เป็นสาเหตุหลักเลยที่ทำให้พนักงานไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน และเกิดความรู้สึกไม่อยากทำงานอีกเลย บางองค์กรพนักงานถึงกับลาออกเพราะเหตุของหัวหน้างานมากกว่าเรื่องของเงินเดือนด้วยซ้ำไป พนักงานบางคนเคยมาบ่นให้ฟังเลยว่า ที่ไม่อยากทำงานก็เพราะหัวหน้างานไม่ดีมากกว่า บางคนยอมลาออกไปทำงานกับองค์กรที่มีเงินเดือนน้อยกว่าด้วยซ้ำไป แต่ขอแค่เพียงไม่ต้องเจอหัวหน้างานแบบนี้ก็พอ

    ขาดบรรยากาศในการทำงานที่ดี บางบริษัททุกอย่างดีหมด แต่บรรยากาศในการทำงานนั้น ไม่เอื้อเลย ก็เลยทำให้หมดไฟ หมดแรงจูงใจในการทำงาน อาทิ หัวหน้างานไม่สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน เข้ามาทำงานก็ต่างคนต่างทำกันไป โดยไม่มีการพูดคุยกัน หรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน แบบนี้พนักงานก็คงหมดแรงจูงใจในการทำงานได้เช่นกัน

    ขาดเพื่อนร่วมงาน อีกประเด็นหนึ่งที่สามารถทำให้พนักงานหมดแรงจูงใจในการทำงานได้ก็คือ เรื่องของเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันในองค์กร บางคนทำงานคนเดียว ไม่มีเพื่อนเลย หรือบางคนมีเพื่อน แต่ก็ไม่มีความจริงใจต่อกันในการทำงาน มีแต่จะจ้องแทงกันข้างหลัง แบบนี้ก็ทำให้แรงจูงใจในการทำงานหายไปได้เช่นกันครับ

    ขาดความเป็นธรรม บางองค์กรอะไรๆ ก็ดี เงินเดือนก็สูง สวัสดิการก็ดี แต่ที่พนักงานไม่อยากทำงานให้ดี ก็เพราะทำงานไปก็รู้สึกว่า บริษัทไม่เป็นธรรมต่อพนักงานเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประเมินผลงาน การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง การขึ้นเงินเดือน ฯลฯ ก็เต็มไปด้วยความเอียง และไม่เป็นธรรม แบบนี้พนักงานคนไหนก็ไม่มีแรงจูงใจในการทำงานได้

    ขาดความก้าวหน้าในการทำงาน พนักงานที่เข้ามาทำงานกับองค์กรก็ย่อมที่จะต้องการความก้าวหน้าในการทำงาน แต่ถ้าทำผลงานดีแล้ว แต่กลับไม่มีความก้าวหน้าใดๆ เกิดขึ้นเลย หรือทำงานไปเรื่อย โดยไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้น หรือเก่งขึ้น แบบว่า การฝึกอบรมต่างๆ ก็ไม่เคยมี แบบนี้แรงจูงใจก็หายได้อีกเช่นกัน

จริงๆ แล้วผมคิดว่ายังมีประเด็นอีกเยอะที่ทำให้พนักงานขาดแรงจูงใจในการทำงาน สิ่งที่ต้องการจะบอกก็คือ เรื่องของเงินเดือน ค่าจ้างนั้น เป็นส่วนหนึ่งก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วในการทำงาน คนเราไม่ได้ทำงานไปเพื่อเงินเป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าเงินจะมีความสำคัญก็จริง

ลองคิดดูสิครับ ทำไมเราถึงทำงานจนดึกดื่น ทำไมวันหยุดยังต้องแบกงานกลับมาทำที่บ้าน ทำไมเราถึงยอมออกเงินส่วนตัวเพื่อทำงานบางอย่าง ทำไมเราถึงพยายามหาวิธีการเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ไม่ใช่ทำแบบขอไปที ตรวจแล้วตรวจอีก เพื่อให้งานออกมา perfect ที่สุด ทุกอย่างนี้ ทำไปเพื่อเงินจริงๆ หรือ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องราวน่ารู้จาก ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 14, 2014, 06:51:07 pm »
เคล็ดลับง่ายๆ ในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน

http://prakal.wordpress.com/2014/03/27/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89-2/


ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / มีนาคม 27, 2014


พูดถึงคำว่า “แรงจูงใจ” ผมคิดว่าหัวหน้างานทุกคน ทุกระดับ ล้วนต้องผ่านการศึกษา อบรม และพัฒนากันในเรื่องนี้มาไม่มากก็น้อย เนื่องจากคนที่เป็นหัวหน้านั้น จะต้องทำงาน และสร้างผลงานโดยอาศัยลูกน้องแต่ละคนที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดี เพื่อให้ผลงานของตนเองออกมาดี และทำให้ผลงานของหัวหน้าอย่างเราๆ ดีไปด้วย

ถ้าใครได้ศึกษาเรื่องของทฤษฎีในการสร้างแรงจูงใจกันอย่างจริงๆ จังๆ จะเห็นว่า มีทฤษฎีที่ว่ากันด้วยเรื่องนี้มากมาย มีนักทฤษฎี นักวิชาการ นักจิตวิทยา ที่ทำการทดลอง วิจัย ในเรื่องของปัจจัยที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับคนเราว่ามีอะไรบ้าง จนบางครั้งเราเองในฐานะของผู้ปฎิบัติก็เกิดอาการงงๆ ว่าแล้วเราจะใช้ทฤษฎีไหนดี ในการมาสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานของเรา

ผมเองคิดว่าเราเองคงจะไม่สามารถนำเอาทฤษฎีตรงๆ มาใช้ในการทำงานจริงๆ ได้ทั้งหมด คงต้องอาศัยการประยุกต์ ยิ่งไปกว่านั้นในเรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานนั้น ผมคิดว่าถ้าใครไม่เคยเรียนเรื่องเหล่านี้มา ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาทฤษฎียากๆ มานั่งอ่าน หรือนั่งเรียนกัน วิธีง่ายๆ ก็คือ ให้ถามตัวเองว่า ถ้าเราจะอยากทำงาน หรือ จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ อะไรคือสิ่งที่จะมีกระตุ้น และสร้างพลังให้เราสามารถทำได้อย่างที่เราคิดไว้

การที่หัวหน้าจะสร้างแรงจูงใจให้กับลูกน้องได้ ก็ต้องคิดกับตัวเองก่อนว่า ถ้าเราเป็นลูกน้อง เราต้องการหัวหน้างานแบบไหนที่จะทำให้เราอยากจะทำงานให้อย่างเต็มใจ และพอใจ ลองนั่งนิ่งๆ แล้วทำเป็นรายการลงในกระดาษเปล่าดูก็ได้นะครับ ว่าจะมีอะไรบ้างที่หัวหน้าทำแล้วจะสร้างแรงจูงใจให้กับเราได้จริงๆ

พอคิดได้แล้ว ก็ให้คิดต่อไปว่า แล้วลูกน้องของเราเองล่ะ ต้องการอะไรเพื่อที่จะทำให้เขาอยากจะทำงานให้เราด้วยความเต็มใจและพอใจเช่นกัน
จากการทำแบบฝึกหัดคล้ายๆ แบบนี้ กับกลุ่มผู้เข้าสัมมนาในหลักสูตรการพัฒนาทักษะการบังคับบัญชาที่ผมบรรยายให้กับลูกค้าในหลายๆ รุ่น ก็สามารถสรุปออกมาเป็นแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้ครับ

    ปฏิบัติต่อพนักงานด้วยการให้เกียรติ นี่คืออันดับแรกที่พนักงานส่วนใหญ่เขียนมาว่า หัวหน้างาน และผู้จัดการควรจะปฏิบัติต่อลูกน้องตนเองด้วยความเคารพในสิทธิของกันและกัน รวมทั้งปฏิบัติต่อพนักงานในลักษณะเดียวกับที่เราต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรานั่นเองครับ เช่น พูดจาด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ สุภาพ ไม่ขึ้นเสียง หรือแสดงกิริยาก้าวร้าว โดยเฉพาะการมองพนักงานระดับล่างๆ หรือลูกน้องว่า เป็นคนในระดับที่ต่ำกว่าเรา ดังนั้นเราจะพูดเอะอะ โวยวายอะไรกับเขาก็ได้ เพราะเราอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า บางคนถึงกับชี้หน้าด่าลูกน้องต่อหน้าคนอื่นเลยก็มี เพราะต้องการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเองมีอำนาจ และอย่ามาหือกับตนนะ การแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับลูกน้องนั้น เป็นปัจจัยที่จะทำให้พนักงานของเราหมดพลัง หมดแรงจูงใจในการทำงานให้กับหัวหน้าอย่างแน่นอน เพราะพนักงานจะรู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ และคิดว่าทำไมนายถึงต้องมาแรงกับเราแบบนี้ เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงเลย พนักงานบางคนบ่นดังๆ ออกมาให้เราได้ยินเลยว่า “ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรกับนายมา ชาตินี้ถึงโดนนายด่าแบบไม่ยั้งเลย” ผมเองคิดว่าการให้เกียรติคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก อยู่ที่ตัวเราเองนี่แหละครับว่าจะอยากทำหรือเปล่า พนักงานเองก็จะรู้สึกดีมาก ถ้านายปฏิบัติกับพนักงานอย่างให้เกียรติ และเป็นกันเอง ไม่ถือตัว ยิ่งนายระดับสูงในองค์กร ปฏิบัติต่อพนักงานอย่างให้เกียรติด้วยแล้ว พนักงานจะยิ่งรู้สึกเคารพ และจะให้เกียรตินายกลับบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นจะเกิดพลังและแรงบันดาลใจในการทำงานให้กับนายดีๆ แบบนี้

    ปฏิบัติต่อพนักงานด้วยความเป็นธรรม อันดับที่สองของปัจจัยที่จะสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพนักงานได้ ก็คือ หัวหน้าจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และแสดงออกถึงความไม่เป็นธรรมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการมอบหมายงาน การควบคุมดูแลการทำงาน การให้รางวัลการทำงาน การประเมินผลงาน หัวหน้างานบางคน รู้สึกชอบ รัก พนักงานบางคน ก็จะพยายามที่จะดูแลเอาใจใส่พนักงานคนนั้นเป็นพิเศษ จนทำให้พนักงานคนอื่นในทีมรู้สึกได้ ในทางตรงกันข้าม หัวหน้างานบางคนรู้สึกไม่ชอบหน้าพนักงานบางคน ก็จะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ จะเป็นอะไรช่าง ไม่รู้เรื่องอะไรใดๆ ทั้งนั้น อยากออกก็ออกไป อยากอยู่ก็อยู่ไปแบบนี้ ถ้ามีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นในทีมงานของเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ความขัดแย้งภายในทีมงานเราเอง การเมืองภายในทีม การแทงกันข้างหลัง ฯลฯ แล้วแรงจูงใจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จริงมั้ยครับ

    ให้ความสำคัญ ความใส่ใจ และให้รางวัลแก่พนักงานเมื่อพนักงานทำผลงานได้ดี นี่ก็เป็นอีกหลักเกณฑ์ง่ายๆ ที่รู้กันทั่วไป แต่กลับไม่ค่อยเห็นใครเอามาใช้อย่างจริงจังในทางปฏิบัติ รางวัลในที่นี้ผมจะหมายถึงรางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงินมากกว่าที่เป็นตัวเงินนะครับ เพราะเรื่องของรางวัลที่เป็นตัวเงินนั้น หัวหน้างานบางระดับแทบจะไม่สามารถให้รางวัลในรูปตัวเงินแก่พนักงานได้เลย แต่สิ่งที่เราสามารถให้พนักงานได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างานในระดับไหนก็ตาม ก็คือ คำชื่นชม การขอบคุณ การชมเชยต่อหน้าคนอื่น หัวหน้าบางคนคิดว่า การให้รางวัลในรูปตัวเงินจะเป็นตัวสร้างแรงจูงใจได้ดี แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว มันจะไม่ได้ผลในแง่ของการสร้างแรงจูงใจมากนัก เช่น การขึ้นเงินเดือนเยอะๆ พนักงานได้เงินแล้ว มันก็จบไป พลังและแรงจูงใจก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหัวหน้าให้การชื่นชมในผลงาน ให้คำขอบคุณ และมีการชมเชยพนักงานต่อหน้าคนอื่น และยังพยายามที่จะสร้างและพัฒนาพนักงานให้เก่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจริงใจด้วยแล้ว สิ่งนี้เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นพลัง และสร้างแรงจูงใจที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวพนักงานได้มากกว่ารางวัลที่เป็นตัวเงิน ซึ่งจะจะทำให้พนักงานรู้สึกมีแรงบันดาลใจ และมีพลังที่จะสร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง

แค่เคล็ดลับ 3 ประการข้างต้น ถ้าหัวหน้าคนไหนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง และอย่างจริงใจ แล้ว ผมเชื่อว่า พนักงานในทีมอย่างน้อยก็ 95% จะเกิดแรงจูงใจในการทำงานอย่างแน่นอนครับ

เริ่มต้นการทำงานในแต่ละวันด้วย การเดินเข้ามาในบริษัทด้วยรอยยิ้ม และคำทักทายลูกน้อง ถามไถ่ทุกข์สุขของลูกน้องก่อน เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานแต่ละวัน แค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแรงจูงใจที่ดีแล้วครับ จากนั้นก็ค่อยต่อด้วยเคล็ดลับ 3 ประการข้างต้น รับรองว่า ทีมงานทุกคนของเราจะมีแรงจูงใจในการทำงานอย่างเปี่ยมล้น และทำงานอย่างมีความสุขแน่นอนครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องราวน่ารู้จาก ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 14, 2014, 06:52:08 pm »
เรื่องนี้ จากเว็บดร.บุญชัย

จะกระตุ้นให้ลูกน้องตั้งใจทำงานได้อย่างไร 

http://www.drboonchai.com/index.php?option=content&task=view&id=235&Itemid=

   
สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า องค์กรกำลังจะล่มสลายหรือกำลังก้าวถอยหลังคือ ลูกน้องเบื่องาน ทำงานเช้าชามเย็นชาม คิดเองไม่เป็น ไม่ตามงานก็ไม่ลงมือทำ ไม่สนใจทีมเวิร์ค คอยแต่จะต่อต้าน มีกิริยาวาจารุนแรงกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน หรือบางคนก็เก็บตัวเงียบ ไม่สนใจคนอื่น คอยแต่จะเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนแต่กลับไม่มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ลูกน้องบางคนไม่ยอมบอกข้อมูลที่แท้จริง หรือไม่ยอมสอนงานคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต และเหตุผลสำคัญที่เป็นต้นเหตุแห่งหายนะนี้คือ ผู้บริหารบริหารงานไม่เป็น ผู้บริหารยังไม่เข้าใจศาสตร์ในการบริหารงานอย่างแท้จริง ฉะนั้น บทความนี้จึงนำเสนอวิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ปัจจัยแห่งความล้มเหลวที่ทำให้ผู้นำไม่สามารถบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ คือ
1.             ผู้บริหารมีอัตตาตัวตนสูง
ผู้บริหาร ผู้นำ หรือหัวหน้าเมื่อก้าวขึ้นมาบริหารคนอาจจะเผลอหลงใหลในอำนาจที่ตนมีอยู่ จนลืมที่จะเข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่คนรอบข้าง  เมื่อลุแก่อำนาจก็มักจะทำอะไรโดยไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำ กำลังพูดอะไร และสิ่งนั้นจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน
 
2.             ผู้บริหารมีมุมมองในการมองโลกที่ผิด
หัวหน้าบางคนมองลูกน้องในแง่ร้ายว่า ลูกน้องมีแนวโน้มจะโกงเสมอถ้ามีโอกาสหรือชอบอู้งานเมื่อไม่มีใครคอยกำกับ ชอบเล่นพรรคเล่นพวก ชอบจับกลุ่มนินทาหรือรอเวลาจะเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าอยู่ทุกเมื่อ ถ้าหัวหน้าคิดเช่นนี้พฤติกรรมที่แสดงออกมาจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง คอยแต่จะจับผิด คิดเล็กคิดน้อย ใช้อำนาจเข้าข่มขู่ ไม่ยอมให้อิสระหรืออำนาจในการตัดสินใจใด ๆ หากลูกน้องเจอหัวหน้าประเภทนี้ก็ย่อมเบื่อหน่าย อึดอัด ไม่อยากทำงานเป็นธรรมดา เพราะเชื่อว่าถึงจะเสนองานไปหัวหน้าก็คงไม่ยอมรับอยู่ดี ถ้าลูกน้องไม่มีจิตใจจะทำงานแล้วองค์กรจะอยู่รอดได้อย่างไร
 
3.             ผู้บริหารไม่มีคุณธรรมจริยธรรมเพียงพอ
โดยธรรมชาติแล้วในช่วงแรก ลูกน้องจะยอมให้โอกาสหัวหน้าคนใหม่ได้ปรับตัวและเรียนรู้งาน และพอจะทนรับได้แม้ว่าหัวหน้าจะไม่ค่อยมีความสามารถมากนัก แต่จะไม่มีลูกน้องคนใดทนรับหัวหน้าที่ไม่มีคุณธรรมจริยธรรมได้เช่น ลูกน้องทำดีแล้วไม่ได้ดีเพราะหัวหน้ามีมาตรฐานในการสนับสนุนและเลื่อนขั้นลูกน้องตามผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ หรือเลื่อนตำแหน่งโดยดูตามความอาวุโสหรืออายุการทำงานเป็นหลัก เป็นต้น เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดีลูกน้องย่อมไม่มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ทำงานไปก็เพื่อความอยู่รอดเท่านั้นเองและเมื่อสบโอกาสลูกน้องที่ถอดใจแล้วเหล่านี้จะทิ้งองค์กรไปได้อย่างไม่ไยดีถ้ามีงานอื่นที่ดีกว่า หรือแม้แต่จะยอมขายข้อมูลขององค์กรให้กับบริษัทคู่แข่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ฉะนั้น บางครั้งพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกน้องสามารถเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นข้อบกพร่องในการทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดี
 
4.             ผู้บริหารไม่มีความเข้าใจศาสตร์ในการบริหารอย่างแท้จริง
ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust)  จะก่อให้เกิดความศรัทธา ความจงรักภักดี การยอมมอบกายมอบใจที่จะทำงานเพื่อบริษัท สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารองค์กร ลูกน้องจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวหัวหน้าได้อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าหัวหน้ามีความยุติธรรม ไม่เเลือกปฏิบัติ มีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนว่า จะนำพาองค์กรไปในทิศทางใด หัวหน้าเป็นที่พึ่งของเขาได้ และสนับสนุนให้เขาได้พัฒนาขีดความสามารถที่มีอยู่ ถ้าหัวหน้ามีเป้าหมาย เป็นคนดี แต่ไม่สามารถดึงความสามารถที่แท้จริงของลูกน้องมาใช้ได้ ลูกน้องก็จะรู้สึกว่า  ตนเองย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาใด ๆ หรือเบื่อหน่ายกับงานเพราะต้องทนทำงานในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดหรือไม่ชอบ เพียงเพราะหัวหน้าเองมองไม่ออกว่า ลูกน้องคนไหนควรจะทำงานประเภทใด ในทางกลับกัน ถ้าลูกน้องได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัดหรือสิ่งที่ตนเองชอบแม้ว่าจะไม่ตรงตามสาขามากนัก แต่ลูกน้องจะมีกำลังใจทำงาน จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า สามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้
 
                วิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง
1)            ฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินทุกเสียงที่ตนเองพูด เมื่อมีสิ่งใดมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางความคิดแล้วอย่าให้กระเทือนถึงใจ เมื่อกระทบแล้วอย่าปรุงแต่ง กระทบแล้วอย่าเอามาคิดต่อ อย่าขุ่นมัว พยายามตั้งใจฟังเพื่อนร่วมงานและลูกน้องเพื่อทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหาอะไร รู้สึกอย่างไร และต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเรา ในขณะที่พูดจะต้องมีความรู้เนื้อรู้ตัว พูดจาด้วยความสำรวม ในใจจะต้องมีความเมตตาและความปรารถนาดี เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
 
2)            มีกรอบในการมองโลกที่ดีและถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ให้เน้นงานมากกว่าตัวบุคคล และให้เตือนตนเองอยู่เสมอว่าอย่าบ้าอำนาจมากนัก แม้วันใดที่เราลงจากตำแหน่ง เมื่อเราหันกลับไปมองจะต้องมีความภาคภูมิใจและมีความสุข จะเดินไปที่ใดก็มีคนให้ความเคารพรักไม่ใช่เต็มไปด้วยศัตรู อย่างไรก็ตาม หากเราเกรงว่าการมองโลกในแง่ดีจะเป็นการประมาทจนอาจเพลี่ยงพล้ำโดนลูกน้องที่คดโกงหลอกใช้และฉ้อฉลได้ เราก็ต้องวางระบบการทำงานที่รัดกุม สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสชัดเจนในทุกขั้นตอน มีการตรวจสอบได้เป็นระยะ ๆ
 
3)            รักลูกน้องเสมือนหนึ่งว่าเป็นญาติของเราเอง รู้จักให้เกียรติคน มีเมตตา มีน้ำใจ มีระเบียบวินัย รักษาคำพูด มีความยุติธรรมใครทำดีต้องได้ดี รู้จักมองโลกในแง่ดี ให้โอกาสคน และทำการใดก็ตามจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เมตตาก็ต้องมีปัญญา ทำแล้วต้องไม่เดือดร้อน มีหลักการและเหตุผลชัดเจน และที่สำคัญเมื่อเรามีความปรารถนาดีอยากจะแนะนำหรือตักเตือนลูกน้อง ให้เราเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เพราะความหวังดีกับใครนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างไรก็ได้ เพราะถ้าเราพูดโดยไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่า ควรจะพูดอย่างไร นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมทำตามแล้วอาจจะตีความหมายความปรารถนาดีของเราไปในแง่ลบก็เป็นได้ นอกจากนั้น การเลื่อนตำแหน่งและสนับสนุนลูกน้องจะต้องพิจารณาจากคุณธรรมความดีและความสามารถเป็นหลัก
 
4)            สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในจิตใจของลูกน้องให้ได้ หัวหน้าที่ดีจะต้องรู้จักสร้างแรงดลบันดาลใจ สร้างกำลังใจ ปลุกพลังแห่งความทะเยอทะยานเพื่อทำเป้าหมายขององค์กรให้เป็นจริง เมื่อหัวหน้ามีไฟ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน ลูกน้องย่อมมีขวัญและกำลังใจตามไปด้วย นอกจากนั้น หัวหน้าจะต้องมอบหมายงานตรงตามความชอบ ความถนัด และความสามารถของลูกน้อง หากลูกน้องมีข้อด้อยตรงจุดไหน ก็หาคนช่วยเสริมเพื่อให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและเพื่อสนับสนุนการทำงานเป็นทีม พยายามดึงความเก่งของลูกน้องออกมา ให้โอกาสให้ลูกน้องได้แสดงความสามารถ และมอบหมายงานพร้อมตั้งกำหนดเวลา มีการตามงานเป็นระยะ ๆ และเน้นผลสำเร็จ (end-result) เป็นสำคัญ นอกจากนั้น องค์กรควรจัดสัมมนาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถของลูกน้อง และเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในองค์กรอีกด้วย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)