ผู้เขียน หัวข้อ: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ  (อ่าน 7930 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: มกราคม 01, 2014, 09:08:34 pm »
อิ่มบุญปีใหม่ “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มกราคม 2557 10:24 น.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884-



มหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ วัดไตรมิตรฯ
       ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กิจกรรมหนึ่งที่ผู้คนนิยมทำกันมากก็คือการทำบุญไหว้พระ โดยเฉพาะการเดินทางไหว้พระ 9 วัด ใน 1 วันนั้นก็เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ และสำหรับในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ปี 2557 นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดกิจกรรม “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” ซึ่งเป็นเส้นทางไหว้พระ 9 วัด ที่จัดทำขึ้นใหม่ มีบางวัดที่น่าสนใจเข้ามาเพิ่มเติม เป็นเส้นทางทางเลือกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนา โดยวัดทั้ง 9 แห่งต่างก็มีคติอันเป็นมงคลแก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ อีกทั้งยังมีสิ่งที่น่าสนใจและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนี้


พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศ
       วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร : สุขภาพแข็งแรง
       
       “วัดบวรนิเวศวิหาร” เป็นวัดที่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปถึง 2 องค์ คือ “พระพุทธชินสีห์” และ “พระสุวรรณเขต (พระโต)” เป็นพระประธานประดิษฐานคู่กัน อีกทั้งภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามฝีมือของขรัวอินโข่ง
       
       ด้นหลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่หุ้มกระเบื้องสีทอง รอบฐานเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน บริเวณระเบียงองค์เจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก โดยเชื่อว่าท่านจะช่วยให้ผู้ที่คิดร้ายต้องแพ้ภัยต่อตัวเองในที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถมากราบขอพระจากท่าน ขอให้ท่านอวยพระให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืนตลอดไป อีกทั้งขณะนี้วัดนี้ยังเป็นที่ตั้งพระศพของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปอีกด้วย


วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่)
       วัดทิพยวารีวิหาร : ความรักยืนยาว
       
       “วัดทิพยวารีวิหาร” (กัมโล่วยี่) เป็นวัดจีน ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนแต่แทรกศิลปะไทยบางแห่ง เช่น ลวดลายแกะสลักต่างๆ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมีลักษณะเหมือนศาลเจ้าจีน ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแบบจีน
       
       ผู้คนนิยมมาสักการะเทพอุ้มสม ขอพรให้สมหวังในความรักและครอบครัวมีความสุข นอกจากนี้ศาลเจ้าที่วัดแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเทพมังกรเขียวที่คนจีนแต้จิ๋วนับถือกันมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะความศักดิ์สิทธิ์ ของท่านมักอวยพรให้ผู้ศรัทธา ได้ผลสมความปรารถนา ด้านการคุ้มครองดวงชะตา เสริมพลังบารมี และโชคลาภ


พระพุทธเทวราชปฏิมากร แห่งวัดเทวราชกุญชร
       วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร : การงานก้าวหน้า
       
       “วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” หรือชื่อเดิมว่า “วัดสมอแครง” เป็นวัดเก่าแก่ที่กรมพระพิทักษ์เทเวศรได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และพระองค์จึงทรงรับวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานนานว่า “วัดเทวราชกุญชร”
       
       สถานที่สำคัญภายในวัดนี้คือพระอุโบสถขนาดใหญ่ ภายในมีภาพจิตรกรรมที่งดงามเป็นหมู่เทวดาชุมนุมขณะที่พระพุทธองค์ทรงโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และยังมีภาพภิกษุปลงอสุกรรมฐานซึ่งหาชมได้ยาก
       
       เข้ามากราบนมัสการองค์พระพุทธเทวราชปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยทวารวดี พุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้นิยมถวาย “ผ้าไตร” แทนดอกไม้ธูปเทียน ใครขอพรเรื่องการงาน อาชีพ ได้รับความสำเร็จเป็นทวีคูณ


หลวงพ่อโต หรือซำปอกง วัดกัลยาณมิตรฯ
       วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร : ค้าขายรุ่งเรือง
       
       “วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร” สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ภายในวัดกัลยาฯ มีสิ่งที่น่าสนใจคือ พระวิหารหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือที่ชาวบ้านจะนิยมเรียกท่านว่า "หลวงพ่อโต" ส่วนคนจีนก็จะเรียกว่า "ซำปอกง" โดยพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ
       
       พุทธศาสนิกชนทั้งคนไทยและคนจีนนิยมมากราบสักการะหลวงพ่อโต หรือซำปอกง และมักขอพรเรื่องธุรกิจการค้า การเดินเรือ และขอให้การเดินทางปลอดภัย


หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตรฯ
       วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร : การเงินมั่งคั่ง
       
       “วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร” เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” หรือ "หลวงพ่อทองคำ" พระพุทธรูปทองคำแท้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกบันทึกไว้ในกินเนสบุค เชื่อกันว่าหลวงพ่อทองคำเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่เดิมถูกปูนพอกไว้แต่ต่อมาปูนกะเทาะออกด้วยอุบัติเหตุคนจึงได้เห็นว่าองค์พระสร้างด้วยทองคำ
       
       ปัจจุบันหลวงพ่อทองคำประดิษฐานอยู่ในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ และภายในมณฑปยังจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อทองคำบอกเล่าเรื่องราวขององค์พระพุทธรูป และมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเยาวราช จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับชุมชนเยาวราชย่านไชน่าทาวน์ของไทย อีกทั้งผู้คนยังนิยมมากราบนมัสการพระพุทธทศทลญาณหรือ “หลวงพ่อโต” พระประธานในอุโบสถอันศักดิ์สิทธิ์ และนิยมมาบนบานกันด้วยพวงมาลัยดอกมะลิที่อธิษฐานขอพรให้สำเร็จสมหวัง การเงินมีทรัพย์มาก


ภายในพระอุโบสถวัดราชบพิธตกแต่งในสไตล์ตะวันตก
       วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร : ธุรกิจมั่นคง
       
       “วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร” เป็นวัดที่มีความโดดเด่นตรงที่พระอุโบสถที่ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย แต่ภายในตกแต่งแบบตะวันตกในสไตล์ยุโรปแบบโกธิค คล้ายพระที่นั่งแห่งหนึ่งในพระราชวังแวร์ซาย ภายในประดิษฐาน “พระพุทธอังคีรส” พระประธานอันงดงามที่ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนจากอิตาลี และที่ใต้ฐานพระได้บรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ถึง 5 พระองค์คือ พระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรให้ธุรกิจมั่นคง
       
       ภายในวัดราชบพิธยังเป็นที่ตั้งของ “สุสานหลวง” ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อประดิษฐานพระสรีรังคารแห่งสายพระราชสกุลในพระองค์ ซึ่งอนุสาวรีย์เหล่านั้นก็มีรูปทรงที่หลากหลาย มีทั้งแบบไทย แบบฝรั่ง หรือแม้แต่แบบขอมก็มี


กราบเจดีย์ 4 รัชกาลที่วัดโพธิ์
       วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) : สำเร็จสมหวัง
       
       “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” เป็นวัดที่มีของดีน่าชมอยู่หลายสิ่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธเทวปฎิมากร พระพุทธรูปปางสมาธิอันงดงาม ผู้คนนิยมมากราบสักการะขอพรพระพุทธเทวปฏิมากร ให้พรสำเร็จดุจดังเทวดาสร้างสรรค์ทุกประการ
       
       ส่วนวิหารพระพุทธไสยาสก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดชม โดยองค์พระพุทธไสยาสที่วัดโพธิ์นี้เป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเมืองไทย ทอดพระองค์ยาว 46 เมตร พระบาทตกแต่งลายประดับมุกภาพมงคล 108 ที่รับคติมาจากชมพูทวีป ถือเป็นลายศิลปะไทยผสมจีน ผสมผสานกันอย่างประณีตศิลป์
       
       นอกจากนั้นในวัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ 4 รัชกาล ได้แก่ พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1) , พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2) ,พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3) และพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่และงดงามมากอีกด้วย


ไปวัดอรุณอย่าลืมชมยักษ์วัดแจ้งด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ
       วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง) : ราบรื่น ร่มเย็น
       
       “วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร” มีพระปรางค์วัดอรุณตั้งโดดเด่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา องค์ปรางค์มีความสูงประมาณ 67 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ และมณฑปทิศ ประดับด้วยกระเบื้องทำเป็นลวดลายต่างๆ สวยงามยิ่งนัก
       
       เข้าไปกราบสักการะพระประธานในพระอุโบสถพระนามว่า “พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ภายในพระพุทธอาสน์บรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขอพรให้ชีวิตราบรื่น ร่มเย็น และอย่าลืมออกมาชม “ยักษ์วัดแจ้ง” ที่ด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ ยักษ์ทั้งสองตนเป็นยักษ์ปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายและเครื่องแต่งตัว นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคู่กับยักษ์ทั้งสองตนนี้


โลหะปราสาทแห่งวัดราชนัดดา
       วัดราชนัดดารามวรวิหาร : ความสุข
       
       “วัดราชนัดดารามวรวิหาร” เป็นวัดที่มี "โลหะปราสาท" หนึ่งเดียวในประเทศไทย และหนึ่งเดียวของโลก ที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นโดยมีพระราชประสงค์ให้สร้างโลหะปราสาทขึ้นแทนการสร้างธรรมเจดีย์ โดยช่างได้เดินทางไปดูแบบถึงยังประเทศลังกาและนำเค้าเดิมนั้นมาเป็นแบบสร้าง แล้วปรับปรุงให้เป็นศิลปกรรมแบบไทย ด้านบนโลหะปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สามารถขึ้นไปกราบไหว้ขอพรให้ชีวิตมีความสุข ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
       
       ผู้ที่สนใจเส้นทาง “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” สามารถขอรับแผนที่ท่องเที่ยวได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ วัดทั้ง 9 แห่งที่กล่าวมานี้



http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ กระตุกหางแมว

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 943
  • พลังกัลยาณมิตร 545
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: มกราคม 29, 2014, 06:44:43 pm »
ขอบคุณมากครับผม  :13:
อัน1เพ ของดี มีตำหนิ แต่พอใจ
-อยากอยู่อย่างเพียงพอ แต่ใจไม่ยอมพอเพียง-

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 10:17:31 pm »
10 ที่ท่องเที่ยวฮิตชลบุรี ระยอง เมืองริมทะเลอ่าวไทย

-http://travel.sanook.com/1391046/10-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/-




1. พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลเขาหมาจอ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 5 อาคาร คือ เทิดพระเกียรติมหาราช ปวงปราชญ์ร่วมใจ ใฝ่เรียนรู้ผู้ฉลาด พิฆาตความไม่ดีที่ประจักษ์ และ พิทักษ์ศักยภาพทะเลไทย ตามลำดับ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเชิงวิชาการ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้มีความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ




2. อาณาจักรปลาการ์ตูน เพอคูล่า ฟาร์ม (PERCULA FARM) ที่ตั้ง : 3/46 หมู่ 2 ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี  ฟาร์มปลาการ์ตูนเอกชนรายแรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ เรียนรู้ขั้นตอนวิธีการเพาะเลี้ยงและการขยายพันธุ์ของปลาการ์ตูน ตื่นตากับเหล่าฝูงปลาการ์ตูนพันธุ์ต่างๆ นับแสนตัว บริเวณด้านในอควอเรียม และถ้าหากท่านใดต้องการสัมผัสกับปลาทะเลให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น สามารถนั่งเรือไปชมปลาในกระชังพร้อมให้อาหารปลาทะเลที่หาดูยาก อาทิ ปลาช่อนทะเล ปลาฉลาม ปลาโฉมงาม ปลาหูช้าง และปลาอื่นๆ อีกกว่าร้อยชนิดได้




3 ตลาดสดอาหารทะเลแสมสาร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเพราะคุณสามารถซื้อหาอาหารทะเลทุกประเภทได้ที่นี่ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา นานาชนิด ที่ส่งตรงมาจากท้องทะเลทุกวัน หน้าตาคุ้นบ้าง ไม่คุ้นบ้าง แต่แม่ค้าบอกว่ารับประทานได้ทุกตัว จะจ้างร้านค้าแถวนั้นให้นึ่งหรือย่างให้เลยก็ได้ โดยมีน้ำจิ้มรสเด็ดปรุงขายพร้อม หรือจะซื้อกลับไปทำรับประทานเองที่บ้านก็ดี ราคาไม่แพง ในส่วนของร้านค้าฝั่งตรงข้ามจะจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งและของที่ระลึก




4. เรือหลวงจักรีนฤเบศร ที่ตั้ง : กองเรือยุทธการ ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของประเทศไทย ที่ทางกองทัพเรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถตอบสนองกับการปฏิบัติภารกิจแบบครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่ออันเป็นมงคลว่า "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์จักรี




5. หาดนางรำ ตั้งอยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด บริเวณใกล้เคียงกับกองเรือยุทธการ จุดจอดเรือหลวงจักรีนฤเบศร หากขับรถตรงเข้าไปก่อนถึงกองเรือยุทธการให้เลี้ยวซ้าย ขับไปตามทางจะพบกับหาดนางรำ ซึ่งเป็นหาดที่มีความสวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งในฝั่งทะเลอ่าวไทยแถบตะวันออกแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านท้องถิ่นและคนบริเวณแถบนี้ เพราะมีความเงียบสงบ น้ำทะเลมีความสะอาดใส หาดทรายสีขาวนวลสวย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว




6. ถนนยมจินดา ตลาดเก่าเมืองระยอง ในสมัยก่อนที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์กลางการค้าขาย แหล่งรวมเศรษฐกิจแห่งแรกของเมืองระยอง ที่พรั่งพร้อมไปด้วย ตลาดสด ธนาคาร โรงหนัง และร้านค้าขายต่างๆ รวมไปถึงยังเป็นที่ตั้งบ้านเจ้าเมืองต้นตระกูลยมจินดาอีกด้วย ในปัจจุบันยังคงหลงเหลือไว้เพียงความเงียบเหงา ที่แฝงไว้ซึ่งเสน่ห์ของบ้านเก่า เรือนเก่าที่บางหลังก็มีคนอยู่บ้าง หรือบางหลังก็อาจปิดไว้เพื่อรอการบูรณะในโอกาสต่อไป การมาเดินเล่นที่นี่ก็ได้บรรยากาศแบบย้อนยุคดีเหมือนกัน




7. เจดีย์กลางน้ำ เจดีย์องค์นี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2416 ในสมัยที่พระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เป็นเจ้าเมืองระยอง ในสมัยนั้นการเดินทางทางน้ำถือว่าเป็นการคมนาคมสายหลักของจังหวัดระยอง เจดีย์กลางน้ำจึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ว่าได้เดินทางเข้ามาถึงยังตัวเมืองระยองแล้ว ปัจจุบันได้รับการบูรณะเพื่อให้มีทางเชื่อมถึงยังองค์พระเจดีย์ได้ มีความร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง การเดินทางจากตัวเมืองไปตาม ถนนอดุลย์ธรรมประภาส เลี้ยวขวาที่ถนนสมุทรคงคา ตัดผ่านตรงต่อไปผ่านวัดปากน้ำไปอีกราว 1.5 กิโลเมตร ไปจนสุดทางก็จะพบกับพระเจดีย์กลางน้ำ




8.ตลาดน้ำเกาะกลอย ตั้งอยู่ในบริเวณด้านหลังปั้มน้ำมัน ปตท. บนถนนสาย 36 ตรงข้าม Big C ระยอง เป็นตลาดน้ำเปิดใหม่ขนาดกะทัดรัดกำลังเดิน ในคอนเซ็ป "เพลิดเพลินเดินเล่น ตลาดเกาะกลอย อุ่นไอร่องรอย ความทรงจำครั้งเยาว์วัย" มีให้เลือกช้อปและเลือกชมกันทั้งของกินของใช้ ในบรรยากาศย้อนยุค สถานที่สะอาด ลมพัดเย็นสบาย




9.ทุ่งโปรงทอง ชมพันธุ์ไม้ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ที่ชาวประแสภูมิใจเสนอในเวลานี้ ทางเดินไปชมทุ่งโปรงทอง เป็นสะพานไม้ทอดยาวบนป่าชายเลน เมื่อเดินมาถึงปลายทางก็จะพบทุ่งโปรงทองที่ขึ้นกันอย่างหนาแน่นเต็มพื้นที่ หากจะมาเที่ยวแนะนำให้มาช่วงตอนสายนิดๆ กับตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะตก เพราะบรรยากาศดีมากๆ เหมาะกับการถ่ายรูปและชมวิวชิลล์ๆ เป็นที่สุด




10. เรือรบหลวงประแส เรือรบหลวงของไทยที่ผ่านสมรภูมิรบเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากอริศัตรูมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันได้มีการนำเรือหลวงประแสมาตั้งไว้บริเวณปากน้ำประแสเพื่อสร้างความภูมิใจกับชาวประแส นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมและถ่ายภาพกับเรือรบได้ทุกซอกทุกมุม หรือหากใครอยากนั่งชมวิว บริเวณนั้นก็มีศาลาและร้านอาหารให้สั่งมาชิมลองท้องในบรรยากาศเงียบสงบติด ทะเล เหมาะสำหรับพาเพื่อนฝูงและครอบครัวมาเที่ยวมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารคู่หูเดินทาง

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 10:22:53 am »
ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางกอกน้อยอยู่ติดกับกองเรือเล็ก กองทัพเรือ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งเดียวในโลก ที่มีการจัดแสดงเรือที่สำคัญที่ใช้ในงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์มาแต่อดีตโบราณกาล  ที่บ่งบอกถึงคุณด้านวัฒนธรรมของศิลปกรรมงานเชิงช่างที่สง่างามวิจิตรบรรจง  เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร และได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญรางวัลมรดกทางทะเล ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ ( THE WORD SHIP THUST MARITIME HERITAGE AWARD “ SUPHANNAHONG ROYAL BARGE) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

วันนี้จึงขอนำชมเรือพระราชพิธีกันอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าหลายคนได้มีโอกาสชื่นชมขบวนเรือพระยุหยาตราชลมารค ซึ่งเป็นราชประเพณีว่าด้วยการเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีขบวนเรือทั้งหมด๕๒ ลำ ที่มีการจัดรูปกระบวนเรือรบในแม่น้ำตามตำราพิชัยสงคราม ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งปัจจุบัน ได้มีประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ถวายผ้ากฐินหลวงวัดอรุณราชวราราม
เรือพระราชพิธีที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ฯ มีจำนวน ๘ ลำได้แก่
๑.เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ จัดเป็นเรือพระที่นั่งลำดับชั้นสูงสุด สำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ เรียกว่าเรือพระที่นั่งทรง โขนเรือเป็นรูปหงส์ ซึ่งหมายถึงหงส์อันเป็นพาหนะของพระพรหมตามคติฮินดู และเป็นเครื่องหมายของความสง่างามที่ควรคู่กับพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ ในพระพุทธศาสนาได้มีกล่าวไว้ในชาดก เรื่องของหงส์ซึ่งบอกเล่าถึงชาติกำเนิดในอดีตของพระพุทธองค์ หงส์ในสังคมไทยเป็นเครื่องหมายแสดงความสง่างาม สิ่งสูงส่ง และบุคคลมีชาติตระกูล เรือสุพรรณหงส์มีลักษณะ ปิดทองประดับกระจก มีความยาว ๔๖.๑๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย  นายท้าย ๒ นาย
๒.เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชจัดเป็นเรือสำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ หรืออัญเชิญผ้าพระกฐิน หรือประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ เรียกว่าพระที่นั่งรอง  โขนเรือเป็นรูปพญานาค ๗ เศียร นาคปรากฏอยู่ในตำนานอินเดียที่อาศัยอยู่ในโลกบาดาลทำหน้าที่ปกปักรักษาผืนน้ำ อนันตนาคราชผู้แผ่ร่างเป็นที่ประทับของพระนารยณ์ขณะบรรทมเหนือเกษียรสมุทร ในช่วงเวลาที่ถูกสร้างโลกใหม่หลังจากที่เวลากัลป์หนึ่งได้สิ้นสุดลงอนันตนาคราจึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร สะท้อนถึงความเชื่อของสังคมไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นอวตารแห่งพระนารายณ์เมื่อพระองค์เสด็จประทับในเรือพระที่นั่งเปรียบเสมือนพระนารายณ์ประทับเหนือพญาอนันตนาคราช โดยเรือมีลักษณะเป็นไม้จำหลักปิดทองประดับกระจก ภายนอกทาสีขาว ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๔.๘๕ เมตร กว้าง  ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๒ นาย นายท้าย ๒ นาย
๓.เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือพระที่นั่งลำแรกและลำเดียว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรือพระที่นั่งรอง โขนเรือ สลักลวดลายเป็นนาคเกี่ยวกระหวัดนับร้อยนับพันตัว หรือที่เรียกว่านาคเกี้ยว แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่านาคผู้มีถิ่นที่อยู่ในน้ำและเป็นผู้พิทักษ์ผืนน้ำ ลักษณะปิดทองประดับกระจก มีลวดลายนาคเกี้ยวตลอดลำ ภายนอกลำเรือทาสีชมพู ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๕.๖๗ เมตร กว้าง ๒.๙๑ เมตร ใช้ฝีพาย ๖๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๔.เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ โขนเรือเป็นพระนารายณ์หรือพระวิษณุ เป็นเทพเจ้าที่สำคัญในศาสนาฮินดู ได้รับการนับถือว่าเป็นผู้ปกป้องโลก ตามตำนานกล่าวว่าพระวิษณุประทับอยู่กลางเกษียรสมุทรเมื่อเกิดทุกข์เข็ญ รูปของพระวิษณุ คือ บุรุษมีสี่กร ถือตรี คฑา จักร สังข์ และทรงครุฑ (สุบรรณ)เป็นพาหนะ สังคมไทยในอดีตมีความเชื่อในคติสมมติเทพที่รับมาจากศาสนาพราหมณ์หรืฮินดู เชื่อว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอวตารของพระวิษณุ การสร้างสิ่งต่าง ๆ สำหรับพระมหากษัตริย์จึงสอดคล้องกับความเชื่อนี้  เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙  เป็นเรือลำแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กองทัพเรือร่วมกับกรมศิลปากรและสำนักพระราชวัง จัดสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี  มีลักษณะไม้จำหลักลงรักปิดทองล่องชาดประดับกระจกสีน้ำเงิน พื้นเรือทาสีแดงชาด ลำเรือแกะสลักประดับกระจก ลายก้านขดกระหนกเทศ  ความยาว ๔๔.๓๐ เมตร กว้าง ๓.๒๐ เมตร  ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๕.เรือครุฑเหินเห็จจัดเป็นเรือรูปสัตว์ ในประเภทเรือกระบวนปิดทอง ลักษณะโขนเรือเป็นรูปพญาครุฑหยุดนาคสีแดง สร้างขึ้นตามตำนานของอินเดียว่าเป็นพาหนะของระนารายณ์ ซึ่งในงานศิลปะมักปรากฏครุฑคู่อยู่กับนาค ซึ้งสร้างตามเรื่องราวของการต่อสู้ครุฑกับนาคที่เป็นอริกัน ตัวเรือปิดทองประดับกระจก ตัวเรือภายในทาสีแดง ภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๕๘ เมตร กว้าง  ๒.๑๐เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ นาย นายท้าย ๒ นาย
๖.เรือกระบี่ปราบเมืองมาร จัดเป็นเรือรูปสัตว์ โขนเรือกระบี่ปราบเมืองมาร แสดงถึงหนุมานในฐานะนายทหารผู้จงรักภักดีต่อพระราม (อวตารหรือพระวิษณุ) มีหน้าที่สำคัญในการยกทัพไปตีเมืองมาร หรือกรุงลงกาของทศกีณฑ์ประเภทกระบวนปิดทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  โชนเรือเป็นรุปกระบี่สีขาว ปิดทองประดับกระจก เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๘๕ เมตร  กว้าง ๒.๑๐ เมตร ฝีพาย ๓๖ นาย นายท้าย ๒ นาย 
๗.เรือสุรวายุภักตร์ จัดเป็นเรือรูปสัตว์ ประเภทเรือกระบวนเขียนลายทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  โขนเรือสลักเป็นรูปยักษ์ กายเป็นนกสีคราม ปรากฏในเรื่องราวรามเกียรติ์ว่าคราวหนึ่งบินไปเห็นพระราม พระลักษณ์ ก็จะโฉบเอาไปกิน หนุมานและสุครีพตามไปช่วยไว้ได้ และฆ่าอสุรวายุภักษ์เสีย ลักษณะเรือ ปิดทองประดับกระจก เครื่องแต่งกายสีม่วงด้านหลังสีเขียว ลำเรือภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๓๑.๐๐ เมตร กว้าง ๒.๐๓ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๐ นาย  นายท้าย ๒ นาย
๘.เรือเอกไชยเหินหาว สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑  โขนเรือเป็นทวนไม้รูปดั้งเชิดสูง เขียนลายทองรูปเหรา หรือจระเข้ เป็นสัตว์หิมพาน อาจมีที่มาจากมกรที่มีลำตัวยาว มีขา ๔ ขา มาจากศิลปะอินเดียโบราณ ดังปรากฏในศิลปะทวารวดีและศิลปะลพบุรี เรียกชื่อ เหรา เห็นได้จากปราสาทบายนของเขมรโบราณ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘  ราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว ตัวเรือมีความยาว ๒๙.๗๖ เมตร กว้าง ๒.๐๖ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๘ นาย นายท้าย ๒  นาย

ขบวนพยุหยาตราชลมารค ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวต่างประเทศมาแล้วถึงความสง่างามยิ่งใหญ่หาที่ใดเสมอเหมือน ที่มีความสวยงามและทรงคุณค่าในด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นขวัญกำลังใจให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมในพระบารมีพระมหากษัตริย์ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยยิ่งนัก หากมีเวลาควรไปชมด้วยตนเองเพราะถือได้ว่าสมบัติของแผ่นดินที่มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกนี้ การเดินทางไม่อยากหากคุณเริ่มต้นจากสนามหลวงสามารถขึ้นรถโดยสารประจำทาง ๑๔๕  สังเกตกรมอู่ทหารเรือ แล้วสามารถลงป้ายนั้นเดินผ่านกรมอู่ทหารเรือมาเข้าซอยเล็ก ๆ ก็จะพบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข ๐-๒๔๒๔-๐๐๐๔


พาเที่ยวไปกับ.....โชติกา วีรนะ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 10:23:48 am »
ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2014, 07:29:00 am »
พาชมพิพิธภัณฑ์ครุฑ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย

-http://travel.kapook.com/view96258.html-



พิพิธภัณฑ์ครุฑ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย


เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าเอ่ยถึง "ครุฑ" หลาย ๆ คนคงนึกถึงเครื่องหมายสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงความผูกพันทางศาสนาและในวรรณคดีที่คนไทยรู้จักมาเนิ่นนาน แต่วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปเรียนรู้อีกมุมหนึ่งของครุฑผ่าน "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในไทยกันค่ะ



          แต่ก่อนที่เราจะไปเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์ครุฑ ควรต้องไปทราบถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับครุฑกันก่อนค่ะ โดย อาจารย์ประสาท ทองอร่าม (ครูมืด) ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย กรมศิลปากร ได้บอกเล่าว่า ครุฑเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสัตว์ประเสริฐ ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ โดยคำว่า องค์ครุฑ พญาครุฑ หรือครุฑ แปลว่า ผู้รับภาระหรือผู้ที่แบกภาระ ท่านเป็นวิหคกึ่งเทพ ลักษณะรูปร่าง คือ มีจะงอยปาก ส่วนหน้า หน้าตา มีปีก มีขาเป็นพญานกอินทรีย์ ส่วนร่างกายจะเป็นเทพหรือมนุษย์ที่น่าเกรงขาม ยิ่งใหญ่ และสง่างาม ตามตำนานของศาสนาฮินดูโดยแท้จริงนั้นบอกว่าท่านเป็นโอรสของพระกัศยปฤาษีและพระนางวินตา (โดยมีพี่น้องต่างมารดากับ "พญานาค" เทพเจ้าแห่งงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งทั้งสองไม่ถูกกัน) อีกทั้งท่านยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูต่อมารดาเป็นอย่างมาก เพราะท่านช่วยเหลือมารดาให้พ้นจากคำสาป



ตำนานขององค์ครุฑ

          ตามตำนานของศาสนาฮินดูเล่าว่าองค์ครุฑเป็นโอรสของ "พระกัศยปฤาษี" และ "พระนางวินตา" โดยก่อนหน้านี้ "พระทักษะ" ได้มอบธิดา 2 คน คือ "นางกัทรุ" และ "นางวินตา" ให้กับพระกัศยปฤาษีซึ่งใหญ่เทียบเท่ากับบรรดาเทพทั้งหลาย มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ใครขอพรอะไรจะได้อย่างนั้น ซึ่งต่อมาทั้ง 2 นาง ได้เข้าไปขอพรกับพระกัศยปฤาษี โดยนางกัทรุขอให้มีลูก 1,000 คน และมีอิทธิฤทธิ์เก่งกาจ ซึ่งนางก็ได้สมหวังโดยคลอดลูกออกมาเป็นพญานาค 1,000 ตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีลูก 2 คน แต่ยิ่งใหญ่และเหนือกว่าลูกทั้งพันของนางกัทรุ เวลาต่อมานางวินตาก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ 2 ฟอง แต่นานวันเข้าไข่ทั้ง 2 ฟอง ก็ไม่ฟักซะที นางร้อนใจจึงทำการกะเทาะเปลือกไข่ 1 ฟอง ส่งผลทำให้ลูกที่เกิดมานั้นเป็นชายครึ่งนกที่มีสภาพร่างกายพิการ ชื่อว่า อนอุรุ (ต่อมาชื่อว่า พระอรุณ) ซึ่งอนอุรุโกรธมารดาที่ทำให้พิการ จึงสาปขอให้มารดาตกเป็นทาสของนางกัทรุ 500 ปี และจะพ้นจากสาปก็ต้องพึ่งใบบุญจากลูกที่เกิดจากไข่อีกหนึ่งฟองที่เหลือ ซึ่งจะเกิดหลังนี้อีก 500 ปี จากนั้นท่านก็บินจากไปเป็นสารถีของพระอาทิตย์



          ต่อมาเมื่อเวลาล่วงผ่านไป 500 ปี ไข่อีก 1 ฟอง ก็ถึงเวลากำเนิดเกิดขึ้น ว่ากันว่าเวลาที่ท่านกำเนิดออกมานั้นทั่วทั้งจักรวาลได้ยินเสียงกัมปนาทกึกก้องไปทั่วหล้า โดยองค์ครุฑมีลำตัวใหญ่ถึง 50 โยชน์ ปีกซ้ายและขวากว้างใหญ่อีกข้างละ 50 โยชน์ ลำคอ หาง 50 โยชน์ จะงอยปาก 9 โยชน์ ปากอ้ากว้างได้อีก 9 โยชน์ เวลาบินกระพือปีกกวักหนึ่งบินไกลไปได้ 100 โยชน์ (ความยาว 1 โยชน์ มีระยะเทียบเท่ากับ 16,000 เมตร หรือ 16 กิโลเมตร) และเมื่อเกิดมาแล้วองค์ครุฑก็ต้องคอยรับใช้นางกัทรุและลูก ๆ ที่เป็นพญานาคตามมารดา



          หยดน้ำตาที่หลั่งลงบนผืนดินของมารดายามหลับใหลด้วยความลำเข็ญ หลังการรับใช้นางกัทรุมาเป็นเวลานาน ทุก ๆ วันองค์ครุฑเฝ้าดูมารดาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนมารดาของตนต้องตกเป็นทาสเขาอยู่ร่ำไป จนวันหนึ่งที่ความอดทนถึงขีดสุด เมื่อนางกัทรุมารดาแห่งพญานาค ใช้ให้มารดาพานางและเหล่านาคกว่า 1,000 ตัว ข้ามไปยังมหาสมุทรอีกฝั่งด้วยความยากลำบากแสนสาหัส การเจรจาต่อรองกับพญานาคเพื่อไถ่ตัวมารดาให้พ้นทุกข์จึงเกิดขึ้น องค์ครุฑมิอาจทนเห็นมารดาของตนตกเป็นทาสรับใช้นางกัทรุ จึงไต่ถามนางกัทรุถึงวิธีที่มารดาจะเป็นอิสระ

          "เจ้าจงไปเอาน้ำอมฤตมาให้เราดื่ม บัดนั้นมารดาเจ้าจะพ้นจากการเป็นทาส" เพราะซึ่งน้ำอมฤตจากพระจันทร์สรรค์สร้างความอมตะนิรันดร์สู่ผู้ถือครอง ต่อมาพระอินทร์ได้เข้าขัดขวางองค์ครุฑ เกิดการต่อสู้กันขึ้น จนทำให้ขนจากกายองค์ครุฑร่วงหล่นลงเส้นหนึ่ง องค์ครุฑจึงได้ถวายขนเส้นนั้นให้แก่พระอินทร์ จึงได้นามว่า "สุบรรณ" และว่าขนอันงดงาม และเมื่อพระอินทร์รู้ว่าองค์ครุฑต้องการน้ำอมฤตเพื่อช่วยมารดา ท่านจึงเปิดทางให้ องค์ครุฑจึงกล่าวกับพระอินทร์ว่า "น้ำอมฤตนี้เพื่อแลกอิสรภาพของมารดา ขอท่านจงชิงกลับมาก่อนที่นาคจะได้ดื่ม หลังจากข้านำน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้สู่แดนพญานาคแล้ว"



          ครานั้นพระนารายณ์เทพผู้รักษา เสด็จขึ้นจากเกษียรสมุทรเพื่อมาขัดขวางองค์ครุฑมิให้สามารถนำน้ำอมฤตไปได้ แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์อันแรงกล้าจึงมิอาจมีผู้ใดชนะ และเมื่อพระนารายณ์รู้ว่าองค์ครุฑต้องการนำน้ำอมฤตไปช่วยมารดาหาใช่นำมาให้ตนเอง จึงชื่นชมในความกตัญญูและมอบน้ำอมฤตให้ไปเพื่อล้างคำสาปของมารดา

          "ข้าขอสรรเสริญที่ท่านไม่คิดดื่มน้ำอมฤตนี้ พรหนึ่งข้อจะเป็นของท่าน" พระนารายณ์ จึงประทานพรให้องค์ครุฑหนึ่งข้อ

          "ข้าขออยู่สูงกว่าพระองค์ ขอเป็นผู้ไม่มีความเจ็บแม้ไม่ได้ดื่มน้ำอมฤต" องค์ครุฑได้เอ่ยขอพรจากพระนารายณ์

          "ท่านยอมเป็นพาหนะของข้า ข้าจะให้ท่านอยู่ที่เสาธงของข้า เพื่อที่ท่านจะได้อยู่สูงกว่าข้า" หลังจากนั้นปรางค์ "นารายณ์ทรงสุบรรณ" ได้ถือกำเนิดขึ้น เหตุนี้เององค์ครุฑจึงเปรียบเป็นดั่งพาหนะของกษัตริย์ ผู้ทรงเป็นอวตารของพระนารายณ์ ครุฑจึงได้รับการนับถือและยกให้เป็นสัตว์สัญลักษณ์แห่งแผ่นดินไทยนับแต่นั้นมา

          เอาล่ะ...พอทราบตำนานขององค์ครุฑกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ตามเราไปเที่ยวชมความสง่างามที่น่าเกรงขามขององค์ครุฑ ณ พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กันเลยค่ะ



ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ครุฑ

          พิพิธภัณฑ์ครุฑของธนาคารธนชาต นับเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย จัดสร้างจากแนวความคิดของผู้บริหารธนาคารธนชาต ที่ต้องการส่งผ่านความเคารพและความรู้ที่มีความสำคัญเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระเจ้าแผ่นดิน อีกทั้งยังตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อและความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อองค์ครุฑ

          ทั้งนี้นับจากที่ธนาคารนครหลวงไทย ได้ควบรวมเข้ากับธนาคารธนชาต เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ธนาคารธนชาต ซึ่งได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญขององค์ครุฑพระราชทานที่มีความผูกพันและความศรัทธามาอย่างนานกับคนไทย จึงได้อัญเชิญเครื่องหมายครุฑพ่าห์ที่พระราชทานให้กับธนาคารหลวงไทย เพื่อติดตั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขาเป็นการเฉพาะนั้น ไปประดิษฐานในที่อันเหมาะสม ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารธนชาต บางปู และมีการประกอบพิธีกรรมทางพราหมณ์ตามหลักประเพณีปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยคณะพราหมณ์จากสำนักพระราชวัง เพื่อจัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครุฑในทุก ๆ ด้านให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยมีพื้นฐานความเชื่อจากคติจักรวาลในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ อีกทั้งยังเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับสถาบันการปกครองของไทยอย่างลึกซึ้ง และครอบคลุมความเชื่อที่ปรากฏให้เห็นในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน



          สำหรับพิพิธภัณฑ์ครุฑนั้น แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 ห้อง ได้แก่ โถงต้อนรับ, ห้องครุฑพิมาน (ป่าหิมพานต์), ห้องนครนาคราช, ห้องอมตะจ้าวเวหา และห้องจัดแสดงครุฑไม้สักเก่า

          โดยเรามาเริ่มกันที่ "โถงต้อนรับ" ซึ่งเป็นรูปวงกลม ที่เมื่อเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ครุฑสิ่งที่เห็นเด่นเป็นสง่า ก็คือ โลโก้พิพิธภัณฑ์ครุฑที่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง และทางด้านขวามือจะเป็นกาพย์ห่อโคลงที่กล่าวถึงพญาครุฑในแง่มุมทางพุทธศาสนา ที่ได้รับเกียรติจากยอดกวีแห่งยุครัตนโกสินทร์ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ส่วนทางด้านขวามือของโถงต้อนรับยังมีภาพถ่ายหน้าสาขาต่าง ๆ ของธนาคารนครหลวงไทย ที่ถ่ายทอดความประทับใจเก็บไว้ รวมถึงมีวีดิทัศน์แนะนำเรื่องราวและความสำคัญขององค์ครุฑโดย อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นที่ปรึกษาในการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าประสบการณ์การปั้นครุฑจากศาสตราภิชาน สัญญา วงศ์อร่าม ภาควิชาศิลปศึกษา คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



          จากนั้นเมื่อชมโถงต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็เดินขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อท่องไปยังดินแดนหิมพานต์ ณ ห้องครุฑพิมาน หรือวิมานแห่งครุฑ ซึ่งเป็นการรังสรรค์ห้องจัดแสดงให้เป็นเสมือนป่าหิมพานต์ ดินแดนที่กำเนิดขึ้นภายใต้แนวความคิดศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ห้องนี้จะมีการจำลองสัตว์วิเศษที่ปั้นเสมือนจริง ต้นมักกะลีผล สระอโนดาตจำลอง ฯลฯ



          ดื่มด่ำกับดินแดนหินพานต์แล้วก็ได้เวลาไปชื่นชมความงามของ "นครนาคราช" โดยเนรมิตอุโมงค์ทางเดินกว่า 10 เมตร ให้กลายเป็นมหานครใต้น้ำทั้งสีสันและบรรยากาศ เพื่อให้สมกับเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าแห่งสายน้ำอย่างพญานาค ซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์กับองค์ครุฑ โดยมีการจิตรกรรมฝาผนัง "ครุฑยุดนาค" ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ขององค์ครุฑและพญานาค



          ก่อนจะเข้ามาชมสื่อมัลติมีเดีย ณ ห้องอมตะจ้าวเวหา ที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ขององค์ครุฑในด้านการกตัญญูกตเวที พละกำลัง และความเสียสละ ซึ่งที่ห้องนี้ได้มีการนำเอาองค์ครุฑบางส่วนมาประทับไว้บนผนัง




          และเมื่อรับรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับองค์ครุฑกันบ้างแล้ว ก็ถึงเวลาไปพบกับ "ห้องจัดแสดงครุฑไม้สักเก่าแก่" จำนวนมาก โดยแต่ละตัวมีรูปแบบที่สง่างามแตกต่างกันไปตามจินตนาการของช่างแกะสลัก เพราะในอดีตไม่มีการกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่กำหนดลักษณ์ขององค์ครุฑ ทั้งนี้ เสน่ห์ขององค์ครุฑไม้สักแกะสลักนั้นไม่ได้อยู่ที่ความสวยงาม ท่วงท่าอันสง่างามที่แสดงถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขามอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่คุณค่าและประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์องค์ครุฑแต่ละตัว ซึ่งทุกตัวถูกอันเชิญมาประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์ครุฑก็มีความเก่าแก่แตกต่างกันไป โดยตัวที่เก่าแก่ที่สุด คือ องค์ครุฑจากสาขาราชดำเนิน ซึ่งเป็นสาขาแรกของธนาคารนครหลวงไทย มีอายุกว่า 70 ปี



          ทั้งนี้พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ยังไม่เปิดให้เยี่ยมชมอย่างเป็นทางการ หากใครต้องการไปสัมผัสกับมนตร์เสน่ห์ต่าง ๆ ขององค์ครุฑนั้น อดใจรอกันสักหน่อยนะคะ ^__^



แผนที่การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ครุฑ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)