คลายวิถีทุกข์ด้วยธรรมะ > ธรรมะเสวนา

การมองสามชั้น ในการอ่านนิทานไซอิ๋ว :PULING的主頁

<< < (2/4) > >>

ฐิตา:


//-ปฐมบท
1.เรี่มจากการประชุมสภา พุทธจักร
พระถังในอดีต หลับขณะ พระยูไลเทศน์
เลยต้องมาเกิด เพื่อ"ทำคุณไถ่โทษ" เดินทางไปอัญเชิญ
หลักการของพุทธธรรมมาให้แผ่นดินถัง (มหาปรัชญาปริมิตาสูตร)

2.กำเนิดโพธิจิต โพธิปัญญา
หงอคง(ว่างอย่างยิ่ง)
จากไข่หิน ที่กาลเวลา แสงสุริยันจันทรา เห่กล่อม มานานเป็นล้านๆปี
ระเบิด มีลิงเผือกน้อย
อาศัยที่ภูเขา บุปผา ผลาผล อันงาม และพบถ้ำม่านน้ำ(ทางสู่สวรรค์)
และแสวงหาอมฤตธรรม(ทำอย่างไรจะไม่ตาย)

เรียนวิชาเซียน และวิชาอมตะ แต่ต้องคำสาปในวิชาว่า
500ปี จะถูก "ภัยสาม"สายฟ้าฟาด ไฟสวรรค์เผา และลมกรดพัด ฉีกร่างเป็นชิ้นๆ
และรับวิบากกรรม"ร้อยแปด"(ตัณหาร้อยแปด?)
....จากนั้น ได้อาวุธคู่มือ จากแดนบาดาล(จิตในสำนึก)
กระบองอู่ยี่(ปลอกทองสมใจนึก)"จินตนาการ"
เสื้อเกราะทองคำ(พาหุสัจจะ ศิลป์) ความรอบรู้ และลึกซึ้งในสาขาวิชาการ

รองเท้าไยบัว (ความใฝ่รู้)
หมวกหางหงส์(วิสัยทัศน์)
....อาละวาดนรก ทำลายบัญชี เกิดตาย จึงเป็นอมตะ
"โพธิจิต ไม่มีวันตายจากใจมนุษย์ แต่บางคนจะหลับจนตายก็ไม่รู้จัก" อิๆ



....อาละวาดสวรรค์
เข้าใจมโนธรรม และดูถูก ว่าเป็น แค่ ของเล่น อิๆ
....พบพระยูไล ถูกจองจำใต้ภูเขาห้ายอด
พบโลกุตระธรรม เริ่มรู้ว่า "ขันธุ์ห้า เป็นของหนัก"
....พระโพธิสัตว์กวนอิม ให้รอพระถัง
ต้องรวมทีม อินทรีย์ภายใน
ศรัทธา....พระถัง
วิริยะ......ม้าขาวเจ้าชายมังกร
สติ.........ตือบ่วยก่าย(ศีล?)
สมาธิ......ซัวเจ๋ง
โพธิปัญญา....ตัวหงอคงเอง

เข้าไป จัดระเบียบ ชีวิตชีวา
"สร้างจิตภาพ กายภาพใหม่"
ด้วยการ ไปเปลี่ยน กิเลสให้เป็นโพธิ
กลับร้ายเป็นดี ตามเนื้อเรื่อง ในไซอิ๋ว อิๆ
......................

จากจิต...............โลกียะ
มาพบจิต.............มโนธรรม
มาพบจิต.............โลกุตระ
มาพบจิต..............โพธิจิต
มาพบจิต..............สากลจักรวาล
พบเสรีภาพความสุข ท่องโลก ธรรม แบบ คนดี อยู่ที่ตัวเราเอง
ต้องลงไปชำระจิต ให้หมดอาสวะ อิๆ.



Suraphol Kruasuwan
Shared publicly  -  Sep 22, 2013
:https://plus.google.com/u/0/102795770125676715056/posts
:http://www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=5888&visitOK=1

ฐิตา:

 
ติดอาวุธทางปัญญา รู้เท่าทันจิตตนเอง
//-จิตสูงสุด ในชีวิตมีสองจิต
1.จิตแท้จิตเดิม หรือโพธิจิต
2.จิตปรุงแต่ง คือ อภิจิต

//-การปฏิบัติธรรม เพื่อหวังผล ............ เลิกเป็นทาส
เพลิงอารมณ์ทุกข์ เพลิงกิเลสด้วยการ ล้างขยะปรุงแต่งจิต(ทำอาสวะให้สิ้น)
เป็นการปลุก "โพธิจิต"ให้ตื่น มากุม สภาพจิตปรุงแต่ง
ถ้าสำเร็จ ก็จะเป็น "พระอริยะ พุทธะ"

//-การปฏิบัติธรรม เพื่อ มี สิทธิ์อำนาจ เหนือมนุษย์ ให้ตนวิเศษกว่าธรรมชาติอื่น
เป็นการ สร้าง"ภวตัณหา ที่ทรงฤทธิ์"
ถ้าสำเร็จ ก็จะเป็น"นักปราชญ์"  "นักสิทธิ์" หรือนักมายากล ผู้ขมังเวทย์
..............................................

 //-โพธิจิต (จิตที่เป็นชีวาแห่งชีวิต)มีมาก่อนฟ้าดิน ไม่มีวันตาย
มีแต่หลับ กับตื่น
โพธิจิต หลับไหล อยู่ใน"กายกว้างศอก ยาววา มีสัญญาใจครอง"
อภิจิตสังขาร คือจิตปรุงแต่ง ทำให้เรามีความรู้สึกว่า"เรามีอยู่"
เป็น"ผู้สำเร็จราชการ บริหารชีวิตเรา ตั้งแต่จุติในโลกนี้"
อำนาจสุงสุดของ จิตสังขารคือ"อภิจิต"
ที่มีทั้งเหตุผล จินตนาการ บริหารจัดการ ทักษะ ของชีวิต

จากการ
-เรียนรู้โลก
-เรียนรู้ธรรมะ
-แตกฉานในภาษา
-มีปฏิภาณไหวพริบ

//-ผู้ที่ รู้เท่าทันอภิสังขารจิต.................... คือพระพุทธเจ้า
ผู้ที่ปลุก โพธิจิตตื่น.............................. คือพระพุทธเจ้า
ผู้ที่เบิกบาน เมื่อ"โพธิจิต ชนะ อภิสังขารจิต.... คือพระพุทธเจ้า
ผู้ที่บอกทาง สู้ ชนะมายาอภิสังขารจิต.......... คือพระพุทธเจ้า
ผู้ที่ต้องเดินทางภายใน สู่จิตเราเอง เพื่อ"ปลดปล่อยโพธิจิต......... คือ"เรา"

//-วันหนึ่ง เราต้องปลุก "โพธิจิต"ของเราให้ตื่นๆๆๆๆๆ
-แล้วสองจิต ก็ต้องรบกัน อิๆ
-แล้วสองจิต ก็เป็นมิตรต่อกัน
วันนั้นคือ"มหาสันติสุข สันติธรรม"ชีวามีชีวิต อิๆ

//-เสียงมนต์ขึ้นแล้ว...................น้ำตาซึม
เมฆหมอกบังจิตครึ้ม....................สลายหาย
มหากรุณา ส่งแสงสู่โลก...............วิโยคคลาย
พร ทิพย์ เวทย์ ธรรม ทั้งหลาย.........สาธุกาล ฯ

//-ชีวิต มาแล้ว.............................จากไป
บุญบารมี กุศลไซร์........................ตามติดนั่น
มีชีวาในชีวิต คือกำไร.....................แท้จริงกัน
แบกหนัก วางเบานั้น.......................ธรรมดาโลกเอยฯ
............................................................

時々होशདང一རພຊຍ๛:

ภาพไซอิ๋ว สวยมากครับ
:07: :07: :07:

ฐิตา:


ในไซอิ๋ว ได้เล่าถึง สองลิง หงอคง(โพธิจิต) กับลิงหกหู(อภิจิต) สู้กัน
กิเลส(ภวตัณหา)กับโพธิปัญญา
พระถังซัมจั๋งและศิษย์รอนแรมกันมาระหว่างทาง
ถูกนายโจร ๒ คนคุมพรรคพวกเข้าปล้น
เห้งเจียก็ชักตะบองออกตีจนตาย
พระถังก็โกรธเห้งเจียว่าโหดร้ายไร้ศีลธรรม
เห้งเจียก็เถียงว่าขืนไม่ฆ่ามัน มันจะฆ่าอาจารย์
อาจารย์และศิษย์ให้นึกเคืองซึ่งกันและกัน

ครั้นตกกลางคืน พระถังและศิษย์ขอเข้าพักค้างที่บ้านบิดาของสมุนโจรที่เห้งเจียตีตาย
บุตรชายเจ้าของบ้านสมุนโจรคิดแค้น จึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าจับตัวเห้งเจีย
จะฆ่าแก้แค้นให้นายเห้งเจียจึงตีจนตาย แล้วยังตัดคอให้พระถังได้ชม
พระถังโกรธสุดขีด จึงร่ายคาถาบีบขมับเห้งเจีย
มงคลที่สวมหัวก็บีบจนเห้งเจียล้มกลิ้งไปมา
พระถังเดือดดาลใส่เห้งเจียไม่ให้ร่วมทางไปไซที
เห้งเจียน้อยใจ จึงร้องท้าทายกับพระถังว่าจะไม่ร่วมทางอีก
ครั้นจะกลับไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องก็นึกละอายสมุนลิง
จึงเหาะลิ่วไปสำนักน่ำไฮ้ของกวนอิมโพธิสัตว์
กวนอิมขอให้เห้งเจียอยู่ที่นั่น เพราะเล็งญาณรู้ว่า

การไปไซทีนั้นปราศจากเห้งเจียนำทางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้
ถ้าพระถังให้โป้ยก่ายนำทางจะเข้าที่คับขัน
และจะต้องมาตามเห้งเจียที่นี่อยู่ดี

ฝ่ายพระถังเมื่อไล่เห้งเจียไปแล้ว
ก็ให้โป้ยก่ายจูงม้านำทางพอตะวันใกล้เที่ยงพระถังก็ให้โป้ยก่ายเหาะไปบิณฑบาต
โป้ยก่ายก็เหาะหายไปนานจนพระถังหิวทุรนทุราย
ซัวเจ๋งจึงรับอาสาไปหาน้ำมาให้พระถังรองท้อง
พระถังจึงอยู่กับม้าขาวและหาบห่อจีวรตามลำพัง

ทันใดนั้น เห้งเจียก็ผลุนผลันเข้ามาเอาหม้อน้ำถวาย
ฝ่ายพระถังยังไม่หายโกรธก็ร้องด่าและขับไล่
เห้งเจียก็โกรธจึงฉวยตะบองมาทุบตีพระถังจนล้มคว่ำสลบแน่นิ่ง
เห้งเจียก็รวบหอบเอาข้าวของห่อจีวรหนีไปยังถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง ภูเขาฮ้วยก๊วยซัว

ฝ่ายโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งไปพบกันกลางทางก็รีบกลับมาหาพระถัง
เห็นนอนนิ่งอยู่ก็เข้านวดเฟ้นแก้ไขจนฟื้นขึ้นมา
เมื่อพระถังเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งสองก็โกรธแค้นเห้งเจียนักที่ทรยศเนรคุณต่ออาจารย์ของตัว

พระถังซัมจั๋งไม่มีจีวรจะครองก็เศร้าใจ
ขอร้องให้ซัวเจ๋งไปตามคืนมาให้ได้
ซัวเจ๋งก็คว้าตะบองเหาะลิ่วไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง
พบเห้งเจียกำลังจัดขบวนไปไซทีใหม่
โดยเนรมิตพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวขึ้นด้วยฤทธิ์
ซัวเจ๋งก็โกรธสุดขีด คว้าตะบองเข้าไล่ทุบตีซัวเจ๋งตัวปลอมจนตาย
ฝ่ายเห้งเจียก็เรียกให้ลูกสมุนเข้าจับตัวซัวเจ๋ง

ซัวเจ๋งเห็นเหลือกำลังก็ล่าถอย
เหาะไปยังน่ำไฮ้เพื่อจะไปฟ้องพระกวนอิม
เรื่องการทรยศเนรคุณของเห้งเจียและคิดกำเริบจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง

ครั้นถึงเขาน่ำไฮ้ ซัวเจ๋งก็พบเห้งเจียยืนอย่ข้างกวนอิมก็โกรธฉวยตะบองได้ก็ไล่ทุบ
จนกวนอิมต้องร้องห้าม เมื่อซัวเจ๋งทราบความว่าเห้งเจียอยู่ที่เขาน่ำไฮ้กับกวนอิมตลอดมิได้ไปไหนเลย
ก็ประหลาดใจ เล่าความที่ตนเองไปพบเห้งเจียที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องให้ทราบ
เห้งเจียก็โกรธที่มีผู้บังอาจปลอมแปลงเป็นตนไปทำร้ายพระถัง
จึงชวนซัวเจ๋งเหาะลิ่วไปสู่เขาฮ้วยก๊วยซัว

พอเห็นเห้งเจียอีกตนหนึ่งแล้ว เห้งเจียก็โกรธ
ชักตะบองออกจากรูหู กระโดดเข้าทุบตี ต่างสู้รบกันนัวเนีย
จนซัวเจ๋งไม่รู้จะช่วยฝ่ายไหน เห้งเจียจึงรบล่อไปจนถึงพระพักตร์พระกวนอิม
เพื่อให้ภาวนาคาถาให้มงคลบีบขมับ

ครั้นเมื่อกวนอิมภาวนาคาถาแล้วเห้งเจียทั้งสองต่างล้มกลิ้งไปมาด้วยกันทั้งค่
ร้องเรียกชื่อก็ขานรับเหมือนกัน จนแยกไม่ออกว่าตัวไหนจริงตัวไหนปลอม
เมื่อไม่สำเร็จเห้งเจียก็รบล่อลงไปถึงนรก
ให้ยมบาลเปิดบัญชีดูว่าใครบังอาจปลอมแปลงมา ก็ไม่สำร็จ

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋อง(ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นดิน)
ได้ใช้ให้สิงห์ที่นอนหมอบอยู่แทบเท้า(ชื่อทีเทีย)
นั้นนอนกกลงกับดินแล้วก็ได้รู้ความลับเรื่องเห้งเจียทั้งสองสิ้น
เมื่อทีเทียทำตามคำสั่งแล้วก็กราบทูลพระโพธิสัตว์ว่า
แม้เห้งเจียปลอมนี้ก็จริงเหมือนกัน แต่ไม่ควรพูดออกมาในบัดนี้
เพราะจะเกิดจลาจลโกลาหล แล้วจะไม่มีความสุขเลย
เพราะฤทธิ์ของเห้งเจียทั้งสองเสมอกัน ไม่มีใครแยกได้
เว้นแต่พระยูไล พระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋องจึงแจ้งความลับนี้ให้แก่เห้งเจียทั้งสองทราบ

ฝ่ายเห้งเจียตัวจริงเมื่อได้ยินดังนั้นก็รบล่อไปไซที
เสียงก้องอึกทึกทั้งฟ้าดิน พระยูไลจึงตรัสเรียกให้สาวกมาดูว่า
"เธอจงสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง คอยดูสองจิตรบกันให้ดี "

แล้วทรงเล่าให้สาวกฟังถึงกำเนิดของลิง ๔ ประเภท
เรียกว่า มูลวานร ๔ คือ
๑. เจื๊อเก๊า มีฤทธิ์แปลงกายได้ทุกอย่าง รู้ฟ้า - ดิน
๒. เบ๊เก๊า รู้ฟ้าดินด้วย รู้เรื่องมนุษย์ และเป็นอมตะ
๓. อวนเก๊า มีฤทธิ์อาจลูบพระอาทิตย์พระจันทร์ได้
๔. มิเก๊า (หกหู) รู้แจ้งสิ่งทั้งปวง มีหูที่ฟังเสียงได้ไกลนับพันโยชน์

พระยูไลตรัสมูลวานร ๔ แล้วก็เอาบาตรขว้างไปครอบลิงลักฮี้เกา
ที่เหมือนกับเห้งเจียทุกประการไว้ได้
เห้งเจียกำลังโกรธ มิฟังเสียงห้ามของพระยูไล
ก็เอาตะบองกระทุ้งลงในบาตร จนลิงหกหูถึงแก่ความตาย
แล้วทูลลา เหาะมุ่งกลับไปหาพระถัง

ฝ่ายโป้ยก่ายเหาะไปที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง
เอาคราดเก้าซี่สับพระถังปลอม โป้ยก่ายปลอมตายสิ้น
แล้วหอบห่อจีวรของพระถังเหาะกลับมาสมทบกัน
เห้งเจียกับพระถังคืนดีกันแล้วก็ออกเดินทางรอนแรมมุ่งทิศปราจีนต่อไป
............. อ้างอิง


..........................
//-อยากเป็นนักปราชญ์ นักสิทธิ์ มีสี่ประการ
1.เรียนรู้ ศาสตร์ศิลป์....รอบรู้เรื่อง"โลก"
2.เรียนรู้ ธรรม กฎ วัฒนธรรม...รอบรู้เรื่อง"ธรรมชาติ"
3.เรียนรู้ ภาษา ทั้งภาษาคน ภาษาสัญญาลักษ์ ภาษาท่าทาง ภาษาศิลป์
4.เรียนรู้ ฝึกฝน มีปฏิภาณ ไหวพริบ
.........................

//-จะเป็นพุทธะ ต้องฝึกเปิดตาปัญญา (วิสัยทัศน์)ทั้งห้าปัญญา
-ตาปัญญาพุทธะ....ที่พิจรณา ด้วย สติปัญญา ไม่ใช้อารมณ์ อหังการ
-ตาธรรมะ.........เข้าใจธรรมชาติ ทั้ง สมมุติ ธรรม ปรมัตถะ อริยะ
-ตาสมันตะ........ความรุ้รอบตัว ศาสตร์ศิลป์ อัพเดทเสมอ
-ตาญาณ ฌาน.....ความรู้เช่นทศพลญาณ และ สหัชญาณ ที่เป็นผลของสมาธิฌาน
-ตาทิพย์.........ความสามารถเข้าใจสิ่งที่ละเอียยด ลึกซึ้ง

........................
นักปราชญ์ จึงไม่ใช่ พุทธะเสมอไป มีอภิจิต ที่ยิ่งใหญ่
เพราะ นักปราช์ ทำ"อาสวะให้สิ้น"ไม่เป็นอิๆ
จึงตกเป็นทาส ขยะปรุงแต่งจิต ที่จิตสำนึกตน ที่ปรุงและเสพจาก

-ตรรกะ..เหตุผลที่ตนเอง เชื่อ ชอบ
-จินตนาการ...ที่ปรุงแต่งแบบ ใส่ไข่ใสนม เว่อร์เกิดเหตุ
-มโนธรรม....ยึดเอามโนสำนึกตน เป็นใหญ่
-ทักษะ......เทคโน เทคนิค แทคติก ทักษะ..ที่ตนใช้แล้วได้ผล

ในการส่งเสริม แรงขับชีวิตตนเอง
-อยากชนะ
-อยากยิ่งใหญ่
-อยากเป็นอมตะ
-อยากเป็น ที่หนึ่งในสังคม อิๆ
..........................................................

//-ดังนั้นการปฏิบัติ ธรรมต้องมีปัสสัทธิ หยุดตั้งหลัก ทบทวนว่า
 เรากำลัง"ปลุกโพธิจิตให้ตื่น"
 หรือกำลังสร้าง จิตปรุงแต่งเป็น"อภิจิต" สุดยอดของภวะตัณหา
ไม่งั้น เราก็เหมือน คนบ้า ยิงลูกศรขึ้นฟ้า
แทนที่จะถอนศรในจิต เจ็ดประการคือ
ศร ราคะ โทสะ โมหะ ทิฎฐิ มานะ โศก
อภิสังขาร(การปรุงแต่งอย่างฟุ้งซ่านเพราะอวิชชาพาไป)

Suraphol KruasuwanOWNER
การสนทนา  -  Aug 3, 2014
คนรัก รักษ์ สุขภาพ กีฬา และจักรยาน
สุขภาพดี คือลาภอันประเสริฐ ที่เราทำได้เอง
https://plus.google.com/u/0/communities/102080888916677168217

ฐิตา:


เสริมอาหารทางปัญญา
บทที่ ๔๗
สุญญตา - เรือท้องโหว่

อาจารย์และศิษย์หมายตาปราสาทของพระยูไลบนเขาเล่งซัวเป็นสำคัญ มุ่งตรงไปทางประตูธรรม จนบรรลุถึงลำน้ำลิ้งหุ้นโต้ ซึ่งกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก เงียบสงัดไร้ผู้คน มีสะพานไม้อันเดียวที่ลื่นเหลือจะข้าม พระถังนึกหวั่นใจว่ามาผิดทางเสียแล้ว ยิ่งเห้งเจียยืนยันว่า นี่แหละคือทาง ยิ่งท้อแท้ยิ่งขึ้น แม้เห้งเจียจะกระโดดขึ้นสะพานไม้อันเดียว แล้ววิ่งไปฟากตรงข้ามแล้วกลับมาให้ดู แต่ทั้งพระถัง โป้ยก่ายและซัวเจ๋งก็ไม่กล้าข้ามอยู่ดี ก็รีรอกันอยู่

ขณะนั้นมีคนแจวเรือจ้างอยู่ริมลำน้ำ เห้งเจียเห็นก็จำได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์เตี๊ยบจิ๊นโจ๊วซือจำแลงมาช่วยส่งข้ามฟาก คนแจวเรือร้องตะโกนเรียกพระถังลงเรือ แต่พระถังเห็นเรือนั้นแล้วไม่กล้าลง เพราะเป็นเรือไม่มีท้อง คนแจวเรือจึงตะโกนบอกว่า...

" เรือของข้าพเจ้ามีอยู่ตั้งแต่เริ่มฟ้าดิน จนบัดนี้ก็ยังใช้ข้ามฟากอยู่ แม้มีคลื่นลมแรง เรือก็หาโคลงเคลงไม่ ไม่มีหน้าไม่มีหลัง(ไม่มีหัวไม่มีท้าย) สม่ำเสมอดี ไม่เสพด้วยอายตนะภายนอก ประสานกลมกลืนกันมาหมื่นกัปป์แสนกัลป์ สะดวกสบายดี เรือไม่มีท้องเท่านั้นที่อาจพาข้ามมหาสมุทร ส่งสู่ฟากตรงกันข้ามมามากแล้วตั้งแต่โบราณกาล ตราบปัจจุบันก็เช่นกัน"

แม้คนแจวเรือจ้างจะบอกกล่าวเช่นนั้นแล้ว พระถังก็หากล้านั่งไม่ เห้งเจียเห็นเช่นนั้นก็กระโดดเข้าผลักพระถังจนหล่นลงในน้ำ คนแจวเรือก็ฉุดแขนพระถังขึ้นนั่งกลางลำเรือ เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งและม้าขาวก็ถูกฉุดลงเรือหมด คนแจวเรือก็ค้ำเรือไม่มีท้องออกสู่กลางลำน้ำ ฝ่าคลื่นไปอย่างรวดเร็ว

ครั้นมาถึงกลางลำน้ำ พระถังก็ได้เห็นซากศพลอยอยู่ จึงให้นึกกลัวยิ่งนัก
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องขึ้นว่า "นั่นคือท่าน นั่นคือท่าน - ตตฺตร ตวํ อสิ"
โป้ยก่าย ซัวเจ๋งก็ลุกขึ้นตบมือ ต่างร้องตะโกนว่า "นั่นคือท่าน นั่นคือท่าน"
คนแจวเรือก็ร้องตะโกนขึ้นว่า "ควรรื่นเริงบันเทิงใจ เพราะนั่นคือท่าน "
ทุกคนในเรือต่างก็ร้องสรรเสริญขึ้น "นั่นคือท่าน นั่นคือท่าน"

จนกระทั่ง เรือถึงฝั่ง ครั้นแล้ว พระถังก็ประจักษ์ว่า ว่างจากขันธ์ทั้งหลาย
ตัณหาก็ดับสิ้นเชิง และเรือจ้างกับคนแจวก็หายวับไป

พระถังก็เอ่ยปากชมเชยเห้งเจีย แต่เห้งเจียบอกว่า
ทุกคนต่างอาศัยกันและกันมาโดยตลอด จึงสำเร็จการได้

ท่านอาจารย์และศิษย์รู้สึกบันเทิงใจเป็นที่สุด ต่างเดินชมนกชมไม้ที่ออกดอกออกช่องดงาม กิ่งก้านสล้าง ปากของทุกคนก็ร้องสรรเสริญภูมิภาคนั้น และบรรดาผู้ที่อยู่ ณ เขาเล่งซัว ต่างก็ร้องทักทายพระถังกันทั่วหน้าดุจญาติสนิท



>>> http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=maekai&date=24-11-2008&group=15&gblog=50
Suraphol KruasuwanOWNER
การสนทนา  -  Aug 3, 2014
คนรัก รักษ์ สุขภาพ กีฬา และจักรยาน
สุขภาพดี คือลาภอันประเสริฐ ที่เราทำได้เอง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version