แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - (〃ˆ ∇ ˆ〃)

หน้า: [1] 2
1

 
อะจ๊ากกก .... จะโดนคุณครูบัวตีเอารึเปล่าเนี่ย  :06:

2
บทความ (Blog) / ...
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 04:02:38 pm »
บีอก บ๊อก   
 
ว๊า ... ปากกาหมึกเขียนไม่ติด
 
งั้นขอเขียนด้วยหัวใจ  :19:
โปรดใช้ความรู้สึกในการอ่าน และวิจารณญาณในการดม  :06:

3
((( วิธีทดสอบพลังของจิตและวิธีเพิ่มพลังจิต )))


กรรมหรือการกระทำต่างๆ ย่อมต้องมีผลที่เกิดจากการกระทำนั้นๆ ก่อนการกระทำจะมีความคิดเกิดขึ้นก่อน ความคิดเป็นเรื่องของ " จิต " ธรรมชาติของจิตคนเราจะไม่อยู่นิ่ง แกว่งไปมาสับสนวุ่นวาย ไปกับสิ่งที่มากระทบต่างๆ จิตจะคิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดมีผลต่อสุขภาพทั้งทางกายและใจ ความคิดด้านลบทำให้จิตวุ่นวาย หงุดหงิด สับสน วิตก กังวล ขุ่นมัว ฯลฯ เป็นเหตุให้จิตเศร้าหมอง ซึมเศร้า กลุ้มใจ ฯลฯ เกิดความทุกข์ ความคิดด้านบวกทำให้จิตสงบ เย็น โล่งโปร่งเบาสบาย เป็นเหตุให้อารมณ์ดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส ฯลฯ เกิดความสุข

ทุกข์หรือสุขจึงเกิดจากความคิดจากจิตของเรา ไม่มีใครคิดร้ายต่อเราแต่เราจะทำร้ายตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว เราจึงต้องรู้จักตัวเรา รู้จักจิตของเรา โดยการพิจารณาจิตของเรา ให้รู้สภาพจิต ให้รู้ทันจิตของเรา โดยให้มี " สติ " คือรู้ ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้ขณะนี้เราคิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ จะยืน เดิน นั่ง นอน พูด โกรธ ฯลฯ ก็ให้มีสติรู้ ฝึกให้รู้ตัวอยู่ทุกขณะ เมื่อมีสติก็จะมีความคิดเกิดเป็นปัญญาขึ้น สติเป็นเหตุให้ปัญญา สัมปชัญญะเกิดขึ้น จะกระทำสิ่งใดย่อมมีความระมัดระวัง รอบคอบ ไม่ประมาท กระทำอย่างมีสติ ไม่กระทำอย่างขาดสติ ย่อมเกิดผลดี


ธรรมชาติของคนเราทุกคน ที่เกิดมาย่อมจะต้องมีโลภ โกรธ หลง (โลภะ โทษะ โมหะ) เป็นกิเลสที่ติดตัวมาด้วยกันทุกคน กิเลสอยู่ที่จิตหรือใจของเราอยู่ที่ตัวเรา เราจะมีสติควบคุมกิเลสได้มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่จิตของแต่ละคน กิเลสมีทั้งโทษและประโยชน์ กิเลสเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดทุกข์ สำหรับบุคคลทั่วไป เลิกกิเลสไม่ได้แต่สามารถลดได้ ละให้น้อยได้ ผู้ที่ละกิเลสได้มากทำให้ห่างจากความทุกข์มาก จนถึงจุดๆ หนึ่งหากจิตปราศจากกิเลสก็หมดทุกข์เปรียบเสมือนจุดของที่เส้นตัดกัน เท่ากับ 0 (จุดที่ไม่มีกิเลส) สภาพจิตที่ใกล้ 0 มากเท่าใดกิเลสก็ยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น ยิ่งห่างมากเท่าใดกิเลสก็ยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ


โดยปกติแล้วคนที่มีสภาพจิตใกล้ 0 มาก และห่าง 0 มาก จะมีจำนวนน้อยมาก ทุกข์เกิดขึ้นและมีอยู่ที่จิตของทุกคน โดยธรรมชาติหากเราต้องการดับทุกข์ ก็ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ ที่จิตของเรา เราต้องพิจารณาตัวเราเองอย่างไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างตัวเอง ให้รู้จักตัวเรา รู้จักจิตของเรา ยอมรับจิตของเรา จิตของเรามีกิเลสอยู่ในระดับใด ใกล้ 0 มากหรือห่างจาก 0 มาก มีความ " พอ " หรือยัง " ความพอ " ของเราสิ้นสุดแค่ไหน มีอีกเท่าไรจึงจะพอ ถ้าเรามีความพอแล้ว จิตเราจะลดกิเลสต่างๆ (โลภ โกรธ หลง) ลงได้ส่วนหนึ่ง จิตก็จะสงบขึ้น เย็น โล่ง โปร่งเบาสบายขึ้น ทำให้มีความสุข


นักปราชญ์ได้กล่าวไว้ว่า" ผู้ที่ชนะใจตนเอง ย่อมชนะสิ่งทั้งปวง " แต่การที่จะชนะใจตนเองเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะต้องชนะกิเลสต่างๆ แต่ก็สามารถทำได้ โดยรูปแบบต่างๆ กัน รูปแบบหนึ่งคือการฝึกสมาธิ " สมาธิ " มีอยู่ที่จิตของทุกคน มากหรือน้อยไม่เท่ากัน จิตที่มีสมาธิเป็นจิตที่นิ่ง แน่วแน่ ความคิดไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระจัดกระจาย ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ คิดในสิ่งเดียว เรื่องเดียว ไม่สับสนวุ่นวาย ซึ่งเป็นสิ่งทำได้ยากสำหรับคนที่ไม่มีสมาธิหรือมีสมาธิน้อย จิตที่มีสมาธิเป็นจิตที่มีพลัง มีอานุภาพ มี " พลังจิต " หรือ " จิตตานุภาพ " พลังจิตที่มีอยู่หากไม่รู้จักเก็บรักษาก็จะหมดไปได้และเพิ่มได้ เหมือนกับเงินทองที่เราหามาใช้จ่าย


ท่านลองทดสอบพลังจิตเบื้องต้นของท่านดู โดยการเรียกคนที่หันหลังอยู่ให้หันมาหาท่าน (ทำจิตให้เป็นสมาธิเรียกในใจ) เช่นบนรถเมล์หรือในโอกาสต่างๆ ที่หันหน้าไปทางเดียวกัน ถ้าเรามีพลังจิตเข้มแข็ง คนที่ถูกเรียกจะมีความรู้สึกเหมือนมี คนเรียกอยู่ด้านหลัง เขาก็จะหันหน้ามาตามเสียงเรียก หากได้ผลในระยะใกล้ให้ทดลองกับคนที่เรารู้จักแต่อยู่ห่างไกลกัน คนละสถานที่ ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนที่ท่านต้องการหรือไม่ (เจอกันสอบถามดู) หากไม่เกิดผลก็ไม่เป็นไร


พลังจิตฝึกได้ เพิ่ม ได้ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการฝึกสมาธิของแต่ละคน ขั้นต้นดูความราบเรียบจิตของท่านว่ามีความราบเรียบเพียงใด และสามารถใช้วิธีการต่อไปนี้เพาะกำลังของจิตให้เพิ่มขึ้นได้ (หลวงวิจิตรวาทการ, 2531:28)




 

ภาพประกอบขั้นที่ 1


ภาพประกอบขั้นที่ 2

 


ขั้นที่ 1 เอาน้ำใส่ถ้วยแก้วให้เต็มหรือเกือบเต็มถ้วย ถือถ้วยแก้วด้วยมือขวานั่งตัวตรง ชูถ้วยแก้วให้สูงเท่าระดับสายตา เพ่งตาดูถ้วยแก้วจะเห็นความหวั่นไหวของน้ำที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ขอให้ตั้งใจบังคับน้ำบังคับให้นิ่ง มือถือถ้วยให้นิ่ง ตั้งใจบังคับแขน บังคับมือ และบังคับน้ำในถ้วยให้นิ่ง ด้วยการนึกเป็นคำพูดว่า นิ่ง นิ่ง นิ่ง ความสั่นสะเทือนของน้ำจะลดน้อยลง ทำเพียงหนึ่งนาทีหยุด แล้วทำ ใหม่เปลี่ยนทำด้วยมือซ้ายบ้าง และสังเกตว่ามือซ้ายกับมือขวาของเราข้างไหนมีความราบเรียบดีกว่า

ขั้นที่ 2 ทำแบบเดียวกับขั้นที่ 1 แต่ให้ยืนและใช้ใบไม้แห้งเล็กๆ ลอยไว้ในแก้วตั้งใจบังคับแขน บังคับมือ บังคับน้ำ บังคับใบไม้ ด้วยการนึกเป็นคำพูดว่า นิ่ง นิ่ง นิ่ง ทำเพียงหนึ่งนาทีแล้วหยุดและทำใหม่ เปลี่ยนทำแขนซ้ายบ้างแขนขวาบ้าง


ทำแบบฝึกหัดขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 นี้ จนกว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ
คือน้ำนิ่งมากที่สุดที่จะนิ่งได้แล้ว จึงค่อยทำขั้นที่ 3


   ภาพประกอบขั้นที่ 3

ขั้นที่ 3 ใช้ถ้วยแก้วใส่น้ำเต็มถึงขอบปากถ้วย และใส่ใบไม้แห้งเหมือนขั้นที่ 2 แต่แทนที่จะถือถ้วยแก้วนิ่งอยู่เฉยให้เคลื่อนมือที่ถือถ้วยแก้วเป็นวงกลม ขณะที่เคลื่อนมือนั้นต้องบังคับน้ำให้นิ่ง แม้จะเคลื่อนไปมาก็ให้ความสั่นสะเทือนน้ำน้อยที่สุด ฝึกหัดทั้งสองมือ เมื่อได้ผลเป็นที่พอใจแล้วจึงไปขั้นที่ 4

 
ภาพประกอบขั้น 4

ขั้นที่ 4 ใช้ถ้วยแก้วใส่น้ำและใบไม้เหมือนขั้นที่ 2 และ 3 มือถือถ้วยแก้วนั่งยองๆ บนพื้น ตั้งใจบังคับน้ำให้นิ่ง แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน โดยพยายามให้น้ำมีความสั่นสะเทือนน้อยที่สุด ยืนแล้วกลับลงนั่ง ๆ แล้วกลับยืนสลับกัน คราวนี้ขยายเวลาจาก 1 นาทีเป็น 2 นาทีแล้วหยุดเป็นพัก ๆ ส่วนใจบังคับนั้น ในขั้นที่ 4 นี้ต้องตั้งใจบังคับทั่วตัวเราว่ามีความหนักแน่น ราบเรียบ ไม่ใช่บังคับแต่มือและแขน ต้องนึกบังคับทั่วร่างกาย

 
แบบฝึกหัดทั้ง 4 ขั้นนี้ เป็นการฝึกหัดใจของเราให้แน่วแน่ เป็นสมาธิ เป็นการสร้างอำนาจของจิตให้จิต มีความหนักแน่นมั่นคงและแข็งแรง ภาพประกอบขั้นที่ 4 พยายามฝึกหัดครั้งละ 7 วันหรือใช้เวลา 15 วัน สำหรับฝึกขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 สลับกันไป แล้วจึงฝึกขั้นที่ 3 และขั้นที่ 4 ขั้นละ 7 วัน แล้วท่านจะเห็นผลเพียงแค่ 7 วันแรกจะรู้สึกว่ามีอะไรดีขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ท่านทำแบบฝึกหัดนี้ครบ 4 สัปดาห์ก็ยิ่งเห็นผลดีมากขึ้น

 
ถ้าท่าน เป็นคนที่มักตื่นเต้น ตกใจง่ายลักษณะนั้นก็จะหายไป ถ้าท่านกลัวอะไรโดยไม่มีเหตุผลหรือสะดุ้ง หวาดกลัวอยู่เป็นนิตย์ ลักษณะอันนี้จะลดน้อยลง และถ้าท่านฝึกหัดต่อไปอีกก็จะเห็นผลดีมากขึ้น จนถึงจุดหนึ่งจิตจะไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หวั่นไหวเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย ไม่เศร้าโศก ไม่ขุ่นหมอง ปลอดโปร่งอยู่เสมอ เป็นมงคลอันสูงสุด.
เอกสารอ้างอิง หลวงวิจิตรวาทการ,พลตรี กำลังใจ พิมพ์ครั้งที่ 8 วิคตอรี่เพาเวอร์พ้อยท์ (28-36),2531

4
คุยสบาย นานาสาระ / ( ̄ˇ ̄)╭❤ รักนะจ๊า
« เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2010, 11:20:20 am »
 :09: แรงบันดาลใจแห่งความรัก  :19:  ต่อเนื่องมาจากกระทู้พี่แป๋มคนน่ารักจ้า
 
ความรัก ที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้
ช่างน่ารักและงดงามซะเหลือเกินจริง ๆ ... แหม ดูแล้วอดยิ้มไม่ได้นะเนี่ย
 
 
Sat 17, Jul 2010 11:03:31
 
Sat 17, Jul 2010 10:56:51
 

 

 
Sat 17, Jul 2010 11:03:30Sat 17, Jul 2010 11:03:30
 
Sat 17, Jul 2010 10:56:50  Sat 17, Jul 2010 10:56:50
 
[wma=300,50]http://dc107.4shared.com/img/53140403/882e1a8f/dlink__2Fdownload_2FcvFUD8Og_3Ftsid_3D20100721-233431-d3993a0a/preview.wma[/wma]
 
 
 

5
 
ล้างสารพิษด้วยการ หายใจ
ลองนั่งลง ทำใจและกายให้สบาย แล้วสังเกตุวิธีหายใจของคุณ
คุณจะเห็นว่า การหายใจเข้าออกของคนทั่วไปตื้นมาก
อากาศลงไปในปอดคุณตื้นเพียง 2-3 นิ้ว และออกมาจากจมูกคุณก็แค่ 2-3 นิ้วเช่นกัน

ทุกเซลล์ในร่างกายของคุณถูกหล่อเลี้ยงด้วยก๊าซออกซิเจน
การหายใจที่ตื้นเกินไป ทำให้เราไม่สามารถได้รับพลังงานที่ส่งมากับการหายใจ
ในทางเดียวกันการหายใจออกที่เฉื่อยๆไม่อาจขับพิษที่ขังลึกอยู่ในปอดได้
ซึ่งเป็นสาเหตูให้บางครั้งเรารู้สึก อ่อนเพลีย ไม่มีกำลังวังชา ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา
 
ประโยชน์ของวิธีการนี้คือ
การฟอกกาย และจิตของคุณ โดยการบำบัดด้วยออกซิเจน
และกำจัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์
และสารพิษต่างๆออกไป โดยการเติมอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด
และถ่ายของเสียออกจากปอดให้หมด

การหายใจแบบนี้อาจสรุปเรียกว่า เทคนิค 4-4-8 
มีประสิทธิภาพสูงในการฟอกส่วนต่างๆของร่างกายทั้งหมด
ผลพลอยได้จากเทคนิคนี้คือ ทำให้สมองแจ่มใสและอารมณ์ดีขึ้น

 
วิธีนี้ทำโดย :
 
หายใจเข้า นับ 1 ถึง 4 เมื่ออากาศเต็มปอด จะสังเกตุว่าหน้าท้องพองขึ้น
กลั้นอากาศไว้นับถึง 4 แล้วหายใจออก นับไปถึง 8
 
 
จะช้าหรือเร็วไม่สำคัญ ขอให้เป็นธรรมชาติตามกำลังของตนเองถือว่าถูกต้องแล้ว
เช่น ถ้าหายใจเข้านับ 4 ของท่านเผอิญเท่ากับ 4 วินาที กลั้นอากาศไว้ นับได้ 4 วินาทีเช่นกัน
แล้วหายใจออก เผอิญนับได้เท่ากับ 8 วินาที ไม่ว่าจะเป็นกี่วินาที ก็ถือว่าไม่ผิด
สำคัญคือ นับ 4-4-8 ให้รู้สึกเป็นธรรมชาติ เร็วหรือช้าไม่สำคัญ

เมื่อหายใจเข้านับ 4 ให้จิตนาการ ถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ เข้าสู่กาย
นึกถึงความสงบ ความบริสุทธิ์ ความมีกำลังวังชา ความแข็งแรง
และขณะที่กลั้นหายใจ นับ 4 นึกถึง สิ่งดีๆที่กล่าวมานี้กระจายไปทั่วร่าง
และเมื่อหายใจออก เอาสิ่งสกปรก อากาศเสีย สุขภาพไม่ดี หรือความเจ็บป่วยออกจากตัวไป
จนนับได้ 8 นึกถึง ความเจ็บไข้ ความโกรธ ความเกลียด ความเจ็บป่วย
และสิ่งไม่ดีอื่นๆออกจากร่างกายไป
 
หากไห้ได้ผลสูงสุด ให้ทำ 3 รอบ ซึ่งทำ 12 ครั้งต่อรอบ แต่ละครั้งประกอบด้วย 4 เข้า 4 กลั้น 8 ออก
แต่ค่อยๆทำอย่างช้าๆเท่าที่เรารับได้ปรกติ เมื่อคล่องแล้ว คุณจะรู้สึกว่าง่าย
และรู้สึกตัวเบา มีกำลังวังชา และเป็นพื่นฐานในการฝึกสมาธิ และฝึกกำลังอื่นๆ

หากกำหนดสติตามลมเข้าออกด้วย วิธีนี้จะเป็นการฝึกสมาธิ แบบอานาปานสติที่ดีมากไปในตัว
ถือว่าทำหนึ่งได้ถึง 2 และสุดท้ายไม่ว่าวิธีจะดีแค่ไหนอยู่ที่เราต้องเริ่มฝึกเป็นประจำ ไ
ม่ใช่เพียงอ่านผ่านๆไปเท่านั้น เพราะหากทำประจำในเวลาไม่นาน
ท่านจะรู้สึกถึงประโยชน์ว่ามีมากมาย ทำให้ท่านเข้าถึงความสงบ และสุขที่แท้จริง.

6
คุยสบาย นานาสาระ / 555555+ ทำกันไปด้ายย
« เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2010, 09:45:40 am »
 
The Japanese strange face championship !
เป็นการแข่งขันเพื่อสรรหาคนที่ทำหน้าได้แปลกที่สุดที่ญี่ปุ่นนะครับ

อันนี้เป็นแค่บางส่วนแต่โคตรฮา บางอันไม่น่าเชื่ออ่ะว่าจะเป็นคนเดียวกัน


อันแรกเนี้ยเป็นตาแว่นท่าทางเรียบร้อย
user posted image

user posted image
 
 
รูปทีสอง หน้าตาอินเทรนขวัญใจสาว ๆ
user posted image

แต่เจอแบบนี้ใคร ๆ ก็หนี (เหมือนไมเคิล แจ๊คสันเน้อ)

user posted image
 
 
ต่อมาเป็นสาว ๆ เริ่มจากสาวน้อยน่ารัก
user posted image

มาเป็นผีจูออน

user posted image
 
 
 
สาวน้อยน่ารักอีกคน

user posted image

กลายเป็นป้าแว่นที่ไหนก็ไม่รู้

user posted image
 
น่ากัวเจงๆ
บรื๊อออออออออออออออออออ
 
 
 
ถึงคราวสาวน้อยน่ารักแบบแขก ๆ

user posted image
 
กลายเป็น Simpson ไปซะแล้ว

user posted image
 
 
สาวตาโต แก้มป่อง

user posted image

เป็นยัยขะ มู๋ ขี๋
   
user posted image
 
 สวยใส วัยหวาน

user posted image

กลายเป็นเหยิน เถิก ไปได้

user posted image         
เซ็กซี่ไม๊คะ .....
user posted image

เซ็กซี่ หม่ายยยยยยยย ก๊ะ........ ก๊ากกกกกกกกกกกก (เซ็กเสื่อมทันที) นึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูน

user posted image           
ด้านข้างหนูสวยเนอะ ....
user posted image

แปลงร่างงงงงงงงง ไอ้โม่ง ปากจู๋

user posted image        หนึ่งไม่พอ ... 
user posted image

พลับขอสอง ..... ทั้งแม่และลูก

user posted image

7
 :06:   เป็นกำลังใจให้กับทุกหยาดเหงื่อและแรงใจนะจ๊า  :19: 
 
Wed 14, Jul 2010 16:06:10

8
กองทัพเดินด้วยท้อง / มีอะไรกินมั่ง
« เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2010, 06:58:16 pm »
มีอะไรกินมั่งอะ แบบว่ากำลังหิว  :06:

9
ท่าที่ 1




ท่าที่ 2




ท่าที่ 3




ท่าที่ 4




ท่าที่ 5



ท่าที่ 6




ท่าที่ 7



จั๊งซี่มันต้องถอนนน 555+


ขอบคุณที่มาจ้า http://std.eng.src.ku.ac.th/?q=node/327

10
เวลากับสุขภาพแบบฉบับของจีน

ทั้งหมดนี้เป็นการหมุนเวียนของพลังงานในร่างกายใน 24 ชั่วโมง
เป็นทฤษฎีการดูแลสุขภาพของจีนที่มีอายุมากว่า 5000 ปี



เวลา 21.00-23.00 น. ร่างกายจะสะสมพลังงานรวม..
พลังงานของร่างกายจะสร้างช่วงนี้เท่านั้น..จึงควรพักผ่อนเข้านอน 3 ทุ่ม ถ้าหากไม่เข้านอนช่วงเวลาดังกล่าว ร่างกายจะมีพลังงานเพื่อช่วยเหลือกระบวนการให้ร่างกายทำการสะสมพลังงานได้ไม่เต็มที่ ผลคือจะทำให้ร่างกายมีพลังงานสะสมไม่เพียงพอในการฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ ให้สะอาดแข็งแรงสำหรับวันต่อไป


เวลา 23.00-01.00 น. พลังงานที่สร้างขึ้นจะเคลื่อนเข้าสู่ถุงน้ำดี..
ร่างกายจะนำไปล้างถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีแข็งแรง ในการย่อยไขมันที่จะไปเปลี่ยนรูปเป็นฮอร์โมนเปลี่ยนรูปเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ไขสมอง น้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายทั้งหมด และจะย่อยไขมันช่วง ห้าทุ่ม ถึงตีหนึ่งเท่านั้น ถ้าเราไม่พักผ่อนในช่วงนี้ ไขมันพวกนี้จะตกตะกอนอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายเราเช่น ถุงไขมันใต้ตา มีพุง สมองเลอะเลือนง่าย ปวดไหล่ และตรงลำไส้จะปวดท้องง่าย ท้องเสีย หรือท้องผูกง่าย


เวลา 01.00 - 03.00 น. พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ตับ...
ตับจะเริ่มทำงานโดยใช้พลังงานที่สะสมไว้ หน้าที่ของตับ คือสะสมอาหารสำรองให้กับร่างกายและกำจัดของเสียให้กับร่างกาย ตลอดจนผลิตน้ำดี และส่งไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี ถ้าช่วงนี้เรายังไม่หลับนอน ยังทำงานอยู่ร่างกายจะสูญเสียพลังงานส่วนที่สะสมไว้ไป ตับจะทำงานหนักและอ่อนแอ การสะสมพลังงานสำรองลดลง การผลิตน้ำดีลดลง และจะส่งผลกระทบการทำงานของตับอ่อน

ขณะเดียวกันก็ส่งผลการผลิตฮอร์โมนอินซูลีนลดลงด้วย ผลที่ตามมาก็คือโรคภัยไข้เจ็บ คนที่ไม่พักผ่อนในช่วงนี้ จะทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตแปรปรวน โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยส์ รูมาติซึ่ม อาการภูมิบกพร่องต่างๆ เบาหวาน หัวใจ กระดูกเสื่อม แต่ถ้าพักผ่อนระหว่างตีหนึ่งถึงตีสาม จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดโรคดังกล่าวได้ จากตับพลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ปอดในช่วงเวลาจีสามถึงตีห้า


เวลา 03.00 - 05.00 น. พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ปอด
ถ้าปอดแข็งแรงคุณจะหลับสนิทในช่วงนี้ แต่ถ้าคุณเป็นโรคปอดหรือสูบบุหรี่ จะรู้สึกไม่สบายตัว เราจะถูกปลุกให้ตื่นในช่วงนี้ จะไอและหายใจขัด เพราะพลังงานจะสะสมไว้ฟอกอากาศบริสุทธิ์ เมื่อปอดไม่ดีพลังงานจะสะสมไว้ไม่ได้ และจะส่งผลให้ร่างกายไม่มีอากาศบริสุทธ์ไว้ฟอกโลหิตต่อไป


เวลา 05.00 - 07.00 น. พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่
เป็นช่วงที่เราต้องถ่ายอุจจาระ ร่างกายจะต้องเอาของเสียทิ้งให้หมดก่อน 07.00 น. ถ้าไม่ถ่ายในช่วงเวลานี้ ร่างกายจะเริ่มดูดซึมกากของเสียเข้าสู่ระบบเลือด จะดูดซึมของเก่าเข้าไปใช้งาน เป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า และในช่วงนี้ควรออกกำลังกายและสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อไปทำให้ลำไส้ใหญ่ขยับตัวและเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนของเสีย จะได้ถ่ายเอาของเสียทิ้งให้หมดก่อนเจ็ดโมงเช้า และให้ลำไส้ใหญ่พร้อมที่จะรับอาหารใหม่เข้ามาในช่วงถัดไปและผลิตเม็ดเลือดส่งให้กับหัวใจเพื่อนำไปเป็นพลังงานไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายต่อไป


เวลา 07.00 - 09.00 น. กระเพาะอาหารจะทำงานได้สูงสุดในช่วงนี้เท่านั้น
เราจะต้องรับประทานอาหารเช้า เพราะกระเพาะอาหารจะย่อยได้ดีที่สุด และสูงที่สุดในช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงอื่นๆจะทำได้น้อยกว่า ช่วงนี้กระเพาะอาหารของเราต้องการอาหาร และกระเพาะอาหารจะหลั่งน้ำย่อยมากที่สุดในช่วงนี้ ฉะนั้นพวกที่ไม่กินอาหารเช้า หรือกินอาหารไม่เพียงพอกินแต่เพียงกาแฟ โรคกระเพาะจะถามหาเพราะมันจะย่อยตัวมันเอง ที่สำคัญจะทำให้เกิดโรคหัวใจด้วย เพราะมันไม่ได้สารอาหารสำหรับอวัยวะเพื่อกลับไปสร้างพลังงานรวม


เวลา 09.00 - 11.00 น. ม้ามจะเริ่มเก็บพลังงานสำรอง
ม้ามจะเริ่มเก็บพลังงานสำรอง เก็บสารอาหาร เก็บทุกอย่างที่กระเพาะย่อยเต็มที่แล้ว และถ้าเราไม่กินเราจะเลี้ยงพลังงานสำรองออกมาใช้ ในขณะที่ดึงพลังงานสำรองออกมาใช้ พลังงานรวมเราจะหายไปเราจะอ่อนเพลีย และเริ่มไม่มีเรี่ยวแรง


เวลา 11.00 - 13.00 น. พลังงานจะเคลื่อนที่ไปที่หัวใจ
หัวใจเราจะแย่ถ้าไม่มีสารอาหาร เพราะไม่พลังงานจะไปสูบฉีดโลหิตเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย หัวใจจะทำงานหนัก ฉะนั้นคนที่เป็นโรคหัวใจวายมักจะเกิดก่อนเที่ยง หรือหลังจากรับประทานอาหารเที่ยง คนที่ไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำจะเป็นโรคหัวใจล้มเหลวได้ง่าย


เวลา 13.00 - 15.00 น. พลังงานจะเคลื่อนสู่ลำไส้เล็ก...
ถ้าสมมุติเราไม่ได้กินอาหารเช้า อาหารที่มารอย่อยในลำไส้เล็กก็จะไม่มี เราก็จะย่อยลำไส้เล็กของเราแทน ลำไส้เล็กจะเริ่มอ่อนแอ เพราะลำไส้เล็กมีหน้าที่เปลี่ยนรูปพลังงานจากสารอาหารต่างๆ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ ทุกอย่างตรงนั้นเพื่อให้เป็นพลังงานทั้งหมด ถ้าไม่มีสารอาหารแล้วหรือลำไส้เล็กอ่อนแอร่างกายจะเอาพลังงานที่ไหนมาสะสมหรือใช้ต่อไป


เวลา 15.00 - 17.00 น. พลังงานจะเคลื่อนมาที่กระเพาะปัสสาวะ
เมื่อลำไส้เล็กทำงานมากโดยการเปลี่ยนรูปพลังงานมากที่สุด เราจะเริ่มมีของเสีย กระเพาะปัสสาวะจะเริ่มทำงานหนักมากที่สุด ถ้าช่วงนี้ร่างกายขาดน้ำร่างกายก็จะดึงน้ำในส่วนต่างๆของร่างกายออกมาใช้เพื่อขับถ่ายของเสีย กระเพาะปัสสาวะจะทำงานมากที่สุดในช่วงเวลานี้


เวลา17.00 - 19.00 น. พลังงานจะเคลื่อนมาที่ไต
ช่วงเวลานี้เราไม่ควรออกกำลังกายหนัก เพราะไตทำงานหนักอยู่แล้ว เพื่อกรองสารพิษหรือขับถ่ายของเสีย ถ้าเราออกกำลังกายอาจทำให้ไตวายได้ หรือเวียนหัวง่าย ตาพร้าง่าย ปวดศีรษะง่าย


เวลา 19.00 - 21.00 น. พลังงานจะเคลื่อนมาที่กล้ามเนื้อหัวใจ
หลังจากหนึ่งทุ่มเราต้องพักผ่อนเพราะกล้ามเนื้อหัวใจจะต้องทำหน้าที่ฟอกเลือดที่ร่างกายนำไปใช้วันนี้ เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในวันต่อไป ถ้าเราไม่พักผ่อนเลือดเราจะข้น จะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนัก จะไม่ได้ซักล้างตัวเอง จะทำให้เป็นโรคหัวใจโตได้ หลังจากช่วงเวลานี้ร่างกายจะเตรียมพร้อมเพื่อสะสมพลังงานรวมใหม่อีกครั้งเป็นวัฏจักรอย่างนี้ไปเรื่อยๆทุกวัน จนกว่าร่างกายทั้งระบบจะไม่มีผู้ควบคุมอีกต่อไป คือ ดวงจิต หรือวิญญาณ ร่างกายก็จะตายและกลับคืนสู่สภาพของธรรมชาติที่มาจากธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

หน้า: [1] 2